ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา | อก. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี
เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด เฉพาะในพื้นที่ตามประทานบัตรเดิม
ที่ ๑๒๓๓๘/๑๕๑๕๔ เนื้อที่ ๖๙ ไร่ ๑ งาน ๗๘ ตารางวา ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคม เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมควรรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านอุปทานและความต้องการใช้แร่ในระยะปานกลางและระยะยาว
เพื่อใช้ประกอบกับการพิจารณาศักยภาพในการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยให้ชัดเจนทั้งระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำและความเพียงพอของพื้นที่ที่คงเหลืออยู่
พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ
เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริง แล้วพิจารณาตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการในพื้นที่นอกเหนือจากที่ได้รับการอนุมัติตามข้อ
๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมให้ชัดเจนโดยให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับประทานบัตรดำเนินการเพื่อป้องกันผลกระทบจากการดำเนินการต่อแหล่งโบราณคดีในบริเวณโดยรอบหรือพื้นที่ใกล้เคียงไม่ให้ได้รับความเสียหายและให้ได้รับการอนุรักษ์อย่างเหมาะสมตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ เมษายน ๒๕๖๓ (เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี
เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา และห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา
ที่จังหวัดยะลา) ๒.๒
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อเท็จจริงกรณีพื้นที่ทำเหมืองแร่บริเวณเขายะลา
และพิจารณากำหนดแผนผังการใช้พื้นที่ดังกล่าวในภาพรวมให้ชัดเจน เช่น
พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังหรือมีข้อจำกัด
พื้นที่ที่สามารถเสนอขอใช้ประโยชน์ได้เพื่อใช้ประกอบการพิจารณากำหนดทางเลือกในการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่เป็นข้อตกลงร่วมกันกับภาคประชาชนได้อย่างเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
242 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.12 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑
แนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยจะไม่มีการประเมินส่วนราชการ
แต่ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดเดิมเพื่อใช้ในการติดตาม (monitoring)
และให้ถอดบทเรียนในการบริหารจัดการผลกระทบและการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ส่วนราชการเสนอตัวชี้วัดใหม่
และให้สำนักงาน ก.พ.ร.
สรุปบทเรียนในภาพรวมของส่วนราชการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดสภาวะวิกฤติในอนาคต ๑.๒ กรอบและแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี ๒ องค์ประกอบในการประเมิน ได้แก่ (๑)
การประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน (Performance Base) และ (๒) การประเมินศักยภาพในการดำเนินงาน (Potential Base) ๒. ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
รายงานผลการสรุปบทเรียนการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
ในภาพรวมของส่วนราชการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ในอนาคตด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
243 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
การขยายอายุการใช้งานของรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน จาก ๙ ปี เป็น
๑๒ ปี นั้น
อาจทำให้รถดังกล่าวมีการระบายก๊าซไฮโดรคาร์บอนและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ซึ่งเป็นมลพิษเกินมาตรฐานมากกว่ารถยนต์ประเภทอื่น
และส่งผลให้เกิดก๊าซโอโซนเป็นสารมลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
ออกสู่บรรยากาศเพิ่มมากขึ้นด้วย
แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ดังนั้น ในระยะแรกเห็นควรขยายอายุการใช้งานของรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
จาก ๙ ปี เป็น ๑๒ ปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี
แล้วให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนขยายอายุการใช้งานของรถดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อกำหนดอุปกรณ์ ระบบ
หรือเทคโนโลยีติดตามรถที่สามารถนำมาใช้แทนเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถและขยายอายุการใช้งานของรถแท็กซี่
จาก ๙ ปี เป็น ๑๒ ปี เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านบริการและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่เจ้าของรถและผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดให้มีมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไว้ล่วงหน้าด้วย
และควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการขยายระยะเวลาอายุการใช้งานของรถยนต์รับจ้างอย่างใกล้ชิด
โดยในกรณีที่เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อม รวมถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง
เห็นควรพิจารณาเสนอขอทบทวนกฎกระทรวงดังกล่าวตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
244 | ร่างระเบียบว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์อื่นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะไม่ปกติ พ.ศ. .... และร่างหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการชดเชยค่าเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตซึ่งได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวม 2 ฉบับ | นร.54 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์อื่นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่
หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะไม่ปกติ พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อให้ความช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่มีการประกาศภาวะไม่ปกติ
และร่างหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการชดเชยค่าเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตซึ่งได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการชดเชยค่าเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตซึ่งได้รับความเสียหายจากการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
รวม ๒ ฉบับ ตามที่ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น
เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลตามความจำเป็นและเหมาะสม
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
245 | ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค ปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล 2 กรณี | มท. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน (ปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
๒ กรณี) เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลในครอบครัวมีภาวะสุขภาพที่ดีและมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสุขภาพของประชาชน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ กันยายน
๒๕๖๓) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ ค่าธรรมเนียมแพทย์หรือค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ปฏิบัติงานกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในคลินิกพิเศษหรือคลินิกนอกเวลาของสถานพยาบาลของทางราชการมีสิทธิเบิกได้เท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินครั้งละ ๓๐๐ บาท รวมแล้วไม่เกินปีงบประมาณละ ๓,๖๐๐ บาท ๑.๒
ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลในครอบครัวกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกในสถานพยาบาลของเอกชนหรือคลินิกเวชกรรมมีสิทธิเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงรวมแล้วไม่เกินปีงบประมาณละ
๓,๖๐๐ บาทต่อครอบครัว ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงสวัสดิการในครั้งนี้
และข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องเหตุผลความจำเป็นที่นำมาสู่การเสนอขอปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล
ประเด็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการทางการแพทย์ในคลินิกพิเศษหรือคลินิกนอกเวลาในอัตราที่สูง
ทำให้พนักงานเลือกใช้สิทธิวันลาเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลกับคลินิกในเวลามากกว่านอกเวลาราชการ
ซึ่งอาจจะส่งผลให้เวลาการปฏิบัติงานให้การประปาส่วนภูมิภาค
และประสิทธิภาพในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานลดลงนั้น
ประเด็นดังกล่าวหากมีข้อมูลผลการศึกษาวิจัย
หรือผลการวิเคราะห์เพื่อเป็นหลักฐานเชิงวิชาการประกอบการพิจารณาตามที่เสนอด้วย
จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและจะสามารถใช้ดำเนินงานป้องกันความเสี่ยงขององค์กรในส่วนของประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานได้ตรงสภาพปัญหาที่แท้จริงอีกปัจจัยหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
246 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนว่าด้วยการลดผลกระทบเชิงลบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) | นร.02 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน่วาด้วยการลดผลกระทบเชิงลบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (Draft) Joint Statement of the ASEAN Ministers Responsible for
Information to Minimise the Negative Effects of Coronavirus Disease 2019
(COVID-19) และอนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนของ ไทย รับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
แบบเวียน (Ad-referendum) โดยกรมประชาสัมพันธ์จะประสานสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อแจ้งยืนยันการรับรอง ของไทย
โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลภารกิจด้านสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์จาก ๑๐
ประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสาระสำคัญคือ การส่งเสริม บทบาท สนับสนุน และยกระดับการดำเนินงานร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน
ในการ พัฒนาการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ให้มีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับ ข้อมูลอย่างถูกต้อง
ทันต่อสถานการณ์ และพัฒนาความร่วมมือในการจัดการกับข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระ สำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
247 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม)
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๐
แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ
๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี
ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ ภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สิ้นสุดลง
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
โดยการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากขึ้น
รวมทั้งเริ่มทยอยปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๘๐
ของประมวลรัษฎากร
เมื่อระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศกลับสู่ภาวะปกติก่อนการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ในปี ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
248 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.01 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน
ไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น ๒. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ๓.
การดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์
ควรใช้กลไกของคณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน
และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชนระดับกระทรวง
การกำกับดูแลและเร่งรัดติดตามผลการแก้ไขปัญหาของผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องราวร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน
(Chief Complaint Executive Officer : CCEO) รวมถึงการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำกระทรวง
การประสานงานผ่านเครือข่ายในพื้นที่ ๔.
ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ด้วย
ซึ่งหากระบบมีประสิทธิภาพจะสามารถตอบสนองหน่วยงานในการวางแผนการปฏิบัติงานบูรณาการข้อมูล
และกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
ในภาวะที่เกิดเหตุวิกฤตหรือภัยพิบัติได้
๕.
ให้มีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ถึงภารกิจของหน่วยงาน การให้บริการ
และการให้ความช่วยเหลือของแต่ละหน่วยงานให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง
รวมทั้งหน่วยงานในพื้นที่ควรมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนก่อนที่ปัญหาจะขยายวงกว้าง
และประชาชนเดินทางมาที่ส่วนกลางเพื่อขอความช่วยเหลือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
249 | (ร่าง) นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2563 - 2565 (ฉบับปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี) | นร.02 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง)
นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ (ฉบับปรับปรุงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
๒๐ ปี) โดยเป็นการปรับปรุงนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ.
๒๕๕๙-๒๕๖๔) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
ที่ได้ประกาศใช้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานสื่อสารมวลชนของประเทศนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่อไป ๑.๒
มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานสื่อสารมวลชนของประเทศดำเนินการตาม (ร่าง)
นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์ฯ (ฉบับปรับปรุงฯ) โดยกำหนดแผนงาน โครงการ ตัวชี้วัดประจำปีให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดภาพรวมของ
(ร่าง) นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์ฯ (ฉบับปรับปรุงฯ) แล้วนำแผนงาน โครงการ
ตัวชี้วัดประจำปีดังกล่าวบรรจุเข้าสู่แผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน
พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติและในระบบ eMENSCR
ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ๒.
ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนินการในด้านต่าง
ๆ เช่น การบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤต
การมุ่งเน้นรูปแบบการคิดนอกกรอบและการคิดสร้างสรรค์ในยุคที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา
เพื่อลดการเกิดข่าวลวง (Fake News) ควรมีหลักสูตรเพื่อเพิ่มทักษะการสื่อสารด้านการต่างประเทศเพื่อรองรับภารกิจการผลิตข้อมูลข่าวสารและสื่อที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศที่มีคุณภาพ
ควรทบทวนการกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละแนวทางการพัฒนาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
250 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 | นร.11 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี
๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี
๒๕๖๓ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑๒.๒ ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ ๒.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๓ ลดลงจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ (%QoQ_SA) ร้อยละ ๙.๗ รวมครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ
๖.๙ ในด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและบริการ
และการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง
ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัว ด้านการผลิต
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม
สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งการขายปลีก และสาขาไฟฟ้าและก๊าซ
ปรับตัวลดลง ในขณะที่การผลิต สาขาก่อสร้าง สาขาการเงินและการประกันภัย
และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารขยายตัว ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี
๒๕๖๓ คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-๗.๘)-(-๗.๓) เนื่องจากการปรับตัวลดลงมากของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ภาวะถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าสโลก ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19
ในประเทศ และปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๑๐.๐
การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ ๓.๑ และร้อยละ ๕.๘ ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-๑.๒)-(-๐.๗) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๒.๕ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
251 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2563 | นร.11 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง
ปี ๒๕๖๓ โดยความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๓ ได้แก่
การจ้างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง การว่างงานเพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานลดลง
หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว ขณะที่คุณภาพสินเชื่อด้อยลงทุกประเภท
การเจ็บป่วยโดยรวมลดลง แต่มีการระบาดของไข้เลือดออกอย่างรุนแรงในบางพื้นที่
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลง คดีอาญารวมลดลง
แต่ยังคงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการลักลอบค้ายาเสพติด
การประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างเข้มงวด
การเกิดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตลดลง
แต่ยังต้องเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุจากจักรยานยนต์
รวมทั้งการร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคลดลง
ขณะที่การร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพิ่มขึ้น สำหรับสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่
การปรับตัวทางการศึกษาในภาวะการระบาดของ COVID-19 และความท้าทายของการออกแบบระบบการคุ้มครองทางสังคม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
252 | การจัดทำร่างข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรคนประจำเรือระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ รัฐเซีย เยอรมนี ยูเครน อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวม 12 ประเทศ | คค. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดทำร่างข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรคนประจำเรือระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้
ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ รัสเซีย เยอรมนี ยูเครน อังกฤษ
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวม ๑๒ ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงด้านการเดินเรือพาณิชย์ระหว่างประเทศหลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ทั่วโลกได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น
หน่วยงานที่มีอำนาจต้องรับรองว่าการฝึกอบรมและการประเมินความรู้ความสามารถของคนประจำเรือ
และผู้ที่รับผิดชอบในการฝึกอบรมและการประเมินความรู้ความสามารถของคนประจำเรือ
ดำเนินการโดยผู้ที่มีคุณวุฒิที่เหมาะสม และเป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม
การออกประกาศนียบัตร และการเข้าเวรยามของคนประจำเรือ ค.ศ. ๑๙๗๘ (International
Convention on Standards of Training, Certification and
Watchkeeping for Seafarers, 1978) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับคนประจำเรือที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยทางทะเลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ
(International Maritime Organization : IMO) มีอยู่จำกัด
กระทรวงคมนาคมควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงแรงงาน เป็นต้น รวมถึงภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในกิจการพาณิชยนาวี
โดยพิจารณาแนวโน้มความต้องการแรงงานในประเทศและต่างประเทศ
รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลแรงงาน
มาตรการผลิตและพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้มีคนประจำเรือที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดการจ้างงานไทยและสามารถขยายตลาดการจ้างงานในต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
253 | การแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง (แม่น้ำเจ้าพระยา บึงบอระเพ็ด และบึงสีไฟ) | นร. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการแก้ไข
ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติและแม่น้ำลำคลอง
ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำและเป็นเส้นทางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญ บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
อันจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยของประชาชน
จึงมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับ ติดตาม
และเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องในเรื่องสำคัญเร่งด่วน
ดังต่อไปนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานและเร่งรัดการพัฒนาและฟื้นฟูสภาพของบึงบอระเพ็ด
จังหวัดนครสวรรค์ และบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร
ให้เป็นพื้นที่ชะลอและรองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝนและสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้ในช่วงฤดูแล้ง
๒.
ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
ร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแนวทางการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำของประชาชน
รวมทั้งการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำในคลองแสนแสบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
254 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... | คค. | 04/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตท่าเรือและเขตจอดเรือในบริเวณแม่น้ำบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา
เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการคมนาคมขนส่งทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพื่อควบคุมดูแล เพื่อจัดระเบียบการจราจรทางน้ำ การขนส่งทางน้ำ
และเป็นการป้องกันและควบคุมมลภาวะทางน้ำ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ระบบการขนส่งสินค้าในพื้นที่ที่มีความราบรื่นต่อเนื่อง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมเจ้าท่าพิจารณาถึงระบบอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งท่าเรือให้สามารถรองรับต่อปริมาณการขนส่งที่อาจเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคหรือภาระแก่ประชาชนและผู้ประกอบการเกินควร รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและกรมเจ้าท่ากำหนดหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดพื้นที่ของเขตท่าเรือและเขตจอดเรือที่สอดคล้องกับการใช้งาน
รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการทบทวนความเหมาะสมของการกำหนดพื้นที่เขตท่าเรือและเขตจอดเรือในระยะต่อไปให้สอดคล้องกับปริมาณการขนส่งทางน้ำที่อาจเปลี่ยนแปลง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
255 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... | กษ | 21/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องและประโยชน์ที่จะได้รับให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมถึงการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อให้กลุ่มผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยการให้คำปรึกษาและให้ความรู้แก่ผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การวางแผนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสาน ตลอดจนการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ทั้งในด้านการแปรรูปผลผลิตส่วนเกิน และการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าในทุกมิติ นอกจากนี้ ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ในการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการ และให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤต ที่มุ่งเน้นการนำระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและให้บริการประชาชน โดยเร่งดำเนินการพัฒนาการให้บริการทั้งในการยื่นคำขอ ชำระค่าธรรมเนียม และรับใบอนุญาตดังกล่าว ผ่านระบบ e-Service เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายต้นทุนการผลิตของผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
256 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 | มท | 14/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราภาษีป้ายสำหรับป้ายที่มีตัวอักษรไทยล้วน หรือป้ายที่มีตัวอักษรไทยปนอักษรต่างประเทศและปนกับภาพหรือเครื่องหมายอื่น หรือป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใด ๆ หรือป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ และกำหนดอัตราภาษีป้ายขึ้นใหม่สำหรับป้ายซึ่งมีข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพที่เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนเป็นข้อความ เครื่องหมาย หรือภาพอื่นได้ โดยเครื่องจักรกลหรือโดยวิธีใด ๆ และกำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรคำนึงถึงช่วงเวลาการนำร่างกฎกระทรวงฯ มาบังคับใช้ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับนี้ครบกำหนดระยะบังคับใช้ ๓ ปีแล้ว ควรมีการทบทวนการกำหนดอัตราภาษีใหม่เพื่อให้อัตราภาษีสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
257 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 พ.ศ. 2562 | สช | 14/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งประกอบด้วย ๔ มติ ได้แก่ มติ ๑ ทบทวนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ มาตรการทำให้สังคมไทยไร้ใยหิน มติ ๒ วิถีเพศภาวะ : เสริมพลังสุขภาวะครอบครัว มติ ๓ รวมพลังชุมชนต้านมะเร็ง และมติ ๔ การจัดการเชิงระบบสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake New Center) เป็นช่องทางในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนและสร้างความรู้ความเข้าใจหรือแนะนำแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องโรคภัยและสุขภาพให้แก่สังคม (๒) กระทรวงวัฒนธรรมเห็นว่า ในมติ ๒ วิถีเพศภาวะ : เสริมพลังสุขภาวะครอบครัว ควรมีแนวทางการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของเด็กและเยาวชนในเรื่องวิถีเพศภาวะอย่างเหมาะสม รวมถึงการสร้างการยอมรับและเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในระดับครอบครัวและชุมชน และ (๓) สำนักนายกรัฐมนตรีเห็นว่า กรมบัญชีกลางในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ ควรพิจารณากำหนดรายละเอียดและแนวทางปฏิบัติให้หน่วยงานภาครัฐใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ปลอดแร่ใยหินต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ มาดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
258 | การสำรวจภาวะการทำงานของประชาชน | นร | 08/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้เริ่มคลี่คลายลง และภาครัฐได้มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถดำเนินกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งนายจ้างสามารถเริ่มกระบวนการจ้างงานได้อีกครั้ง มีผลทำให้ตัวเลขอัตราการว่างงานเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเร่งสำรวจและรวบรวมข้อมูลภาวะการทำงานของประชาชนในภาพรวมของประเทศ และปรับปรุงข้อมูลให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
259 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 | นร11 | 08/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๓ (๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) การจ้างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้มีงานทำมีจำนวน ๓๗.๔๒ ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๐.๗ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในปี ๒๕๖๓ ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และผลกระทบจากภัยแล้งต่อการจ้างงานภาคเกษตรกรรม (๒) หนี้ครัวเรือนชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน โดยมีมูลค่า ๑๓.๔๗ ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๕.๐ ชะลอลดลงจากร้อยละ ๕.๕ ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของสินเชื่อทุกประเภท ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๗๙.๘ สูงสุดในรอบ ๑๔ ไตรมาส เนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และ (๓) ความเคลื่อนไหวทางสังคมอื่น ๆ เช่น การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ ๑๙.๙ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขยายตัวร้อยละ ๕.๕ ขณะที่การบริโภคบุหรี่ลดลงร้อยละ ๑.๐ คดีอาญารวมลดลงร้อยละ ๔.๘ จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกและจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๖.๔ และ ๒๐๘ ตามลำดับ เป็นต้น ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ การเลิกเรียนกลางคัน : ความเสี่ยงอนาคตเยาวชนไทย พฤติกรรมทางการเงินของครัวเรือนไทยและความเสี่ยงทางการเงิน และบทความเรื่อง “วิกฤต COVID-19 : บทเรียนเพื่อการก้าวต่อไปอย่างมีภูมิคุ้มกัน”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
260 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2562 | สสส. | 08/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔ ประจำปี ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) สถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงหลักต่อสุขภาพและผลงานเด่นในปี ๒๕๖๒ เช่น สานพลังผู้นำศาสนา ต้านภัยบุหรี่ และชุมชนต้นแบบสู้เหล้า ยุติความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น (๒) ผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย เป้าประสงค์ ๖ ประการ ได้แก่ ลดปัจจัยเสี่ยงหลัก พัฒนากระบวนการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอื่น ๆ พัฒนาต้นแบบสุขภาวะ สร้างความตื่นตัวและค่านิยมใหม่ในสังคม ขยายโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมสมรรถนะของระบบสุขภาพและบริการสุขภาพ และ (๓) การตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการทำงานในปี ๒๕๖๒ โดยในส่วนของรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ
|