ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 14 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 261 - 280 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
261 | การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | นร | 16/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเท่าเทียมกันและป้องกันไม่ให้ภาคธุรกิจเกิดสภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีหลักทรัพย์หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่เพียงพอในการขอสินเชื่อจากธนาคาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
262 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563) | นร04 | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ได้แก่ พิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) รวมทั้งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๓ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๔ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
263 | พิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 | คค | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งให้เสนอพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ ต่อรัฐสภาบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
264 | รายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสำหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | รง | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสำหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานอันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๖๓ และกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) ได้พิจารณาวินิจฉัยสั่งจ่ายไปแล้ว ณ วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๐๙๕,๓๙๙ ราย เป็นเงิน ๖,๐๕๒ ล้านบาท ๒. กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) ได้มีการติดตามนายจ้างที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทน จำนวน ๒๙,๔๐๖ ราย โดยให้หน่วยปฏิบัติดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์/อุทธรณ์ COVID-19 ณ สำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ รวมทั้งส่วนกลาง ณ สำนักงานประกันสังคม สำนักงานใหญ่ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ๒.๒ มีหนังสือแจ้งสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทน ให้ตรวจสอบและส่งชื่อลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับเงิน เพื่อดำเนินการจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยให้ยื่นเรื่องได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ๒.๓ มีหนังสือแจ้งผู้ประกันตนที่ยังไม่ได้รับเงิน ให้ยื่นร้องทุกข์/อุทธรณ์ ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
265 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ | มท | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียในการพัฒนา จัดโครงการเฉพาะ หรือกิจกรรมด้านการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกของคู่ภาคีที่หามาได้ โดยขึ้นอยู่กับกฎหมายภายในประเทศ กฎ ระเบียบ และนโยบายแห่งชาติซึ่งใช้บังคับในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งสหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีเป้าหมายของโครงการความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดการภัยพิบัติ และการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับการบรรเทาความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และศูนย์ภาวะวิกฤตของสหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่วมกับสหพันธรัฐรัสเซีย เนื่องจากเป็นการดำเนินงานตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้แล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในฐานะผู้ประสานงานหลักในคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติทำความเข้าใจร่วมกันกับกระทรวงป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งสหพันธรัฐรัสเซียที่เป็นตัวแทนของสหพันธรัฐรัสเซียในประเด็นเนื้อหาในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในแต่ละประเด็น และไม่ก่อให้เกิดการสร้างภาระผูกพันในประเด็นที่อาจจะขัดกับกฎหมายของแต่ละประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
266 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 | นร11 | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๘ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๑.๕ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ ลดลงจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๒.๒ (%QoQ_SA) โดยด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนปรับตัวลดลง การส่งออกรวมปรับตัวลดลงตามการส่งออกบริการที่ปรับตัวลดลงมาก ในขณะที่การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว ส่วนด้านการผลิต การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่ง และสาขาก่อสร้างปรับตัวลดลง ขณะที่การผลิตสาขาการขายส่งและการขายปลีก สาขาไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการเงินและการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารขยายตัว ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-๖.๐)-(-๕.๐) เนื่องจาก (๑) การปรับตัวลดลงรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒) การลดลงรุนแรงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ (๓) เงื่อนไขข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด ๑๙ ในประเทศ และ (๔) ปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๘.๐ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๗ และร้อยละ ๒.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-๑.๕)-(-๐.๕) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๔.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
267 | แนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียนรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) | ศธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียน รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ดื่มนม จำนวน ๒๖๐ วันต่อปีการศึกษา ตามประกาศของคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (ฉบับที่ ๒) ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๑.๑ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๑.๑.๒ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนหลังวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ หรือกรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒ โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวัน จำนวน ๒๐๐ วันต่อปีการศึกษา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้นักเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก และชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณอาหารกลางวันทุกคน จำนวน ๒๐๐ วัน และเพิ่มเงินอุดหนุนจากอัตรา ๑๐ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ให้เพิ่มเงินอุดหนุนเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ทำให้โรงเรียนไม่สามารถจัดหาอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้ จึงจำเป็นต้องจ่ายงบประมาณค่าอาหารกลางวันนักเรียนให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนเพื่อนำไปจัดหาอาหารกลางวันให้นักเรียนรับประทานที่บ้าน ทั้งนี้ ให้รวมถึงอาหารมื้ออื่น ๆ ที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเคยจัดให้ ตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒.๒ กรณีการจัดการเรียนการสอนชดเชย ให้โรงเรียนดำเนินการจัดอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้เช่นเดียวกับวันจัดการเรียนการสอนตามปกติ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดชนิดของนม (นมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชที) ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการขนส่ง การเก็บรักษา และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่เพื่อให้นักเรียนได้รับนมที่มีคุณภาพไม่เกิดปัญหาการบูดเสียด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
268 | รายงานผลการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสำหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | รง | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสำหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานอันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๖๓ และกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้มายื่นขอใช้สิทธิกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม-วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๐๒๘,๓๓๔ ราย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มีการคัดกรองกรณียื่นซ้ำ และกรณีที่ไม่ใช่ผู้ประกันตนมาตรา ๓๓ ออกแล้ว ๒. กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) ได้พิจารณาวินิจฉัยสั่งจ่ายไปแล้ว จำนวน ๕๖๘,๖๐๔ ราย เป็นเงิน ๓,๐๔๖ ล้านบาท สำหรับผู้ประกันตนที่ยังเหลืออยู่ จำนวน ๔๕๙,๗๓๐ ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ ๓๑๓,๔๔๕ ราย และผู้ประกันตนที่ยังไม่มีหนังสือรับรองการหยุดงาน จำนวน ๑๔๖,๒๘๕ ราย ซึ่งได้มีการประสานติดตามนายจ้าง จำนวน ๕๐,๘๖๒ แห่ง พบว่า (๑) นายจ้างยังคงประกอบกิจการ และยังมีการจ่ายค่าจ้างตามปกติ จำนวน ๓,๐๒๙ แห่ง จำนวนลูกจ้าง ๒๓,๑๒๙ ราย (๒) นายจ้างจ่ายเงินตามมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำนวน ๑,๐๖๖ แห่ง จำนวนลูกจ้าง ๑๔,๔๕๕ ราย และ (๓) นายจ้างยังไม่ได้รับรอง จำนวน ๔๖,๗๖๗ แห่ง จำนวนลูกจ้าง ๑๐๘,๗๐๑ ราย ซึ่งได้ระดมเจ้าหน้าที่จากกรมต่าง ๆ ประกอบด้วย กรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม ติดตามประสานงาน คาดว่าจะติดตามได้ภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ๓. สำหรับการพิจารณาวินิจฉัยส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๑๓,๔๔๕ ราย ได้เพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่วินิจฉัย และให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทั้งวันหยุดเสาร์อาทิตย์และนอกเวลาราชการทุกวัน ซึ่งได้สั่งการให้วินิจฉัยเพื่อให้มีการจ่ายเงินแล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
269 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2562 | กค | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน ในปี ๒๕๖๒ กำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ ๒.๕ ? ๑.๕ ส่วนในปี ๒๕๖๓ ได้กำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินใหม่ โดยใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง (๒) การประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวที่ร้อยละ ๒.๑ ต่ำลงจากช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๒ ที่ร้อยละ ๒.๗ จากอุปสงค์ต่างประเทศเป็นสำคัญ ในส่วนของเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๓ มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ ๒.๘ เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (๓) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๒ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๕๐ ลดลงจากครึ่งแรกของปีที่ร้อยละ ๐.๙๒ จากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และ (๔) การดำเนินนโยบายการเงิน มีการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน และการสื่อสารนโยบายการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ กนง. ประเมินภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของประเทศและรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายไตรมาส เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และรวดเร็วยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
270 | มาตรการเยียวยาช่วยเหลือคนพิการในช่วงภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | พม | 28/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการเยียวยาช่วยเหลือคนพิการในช่วงภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. รับทราบการช่วยเหลือคนพิการผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คนละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวนหนึ่งครั้ง โดยใช้จ่ายจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบฐานข้อมูลของคนพิการผู้ได้รับผลกระทบตามมาตรการในครั้งนี้ และมาตรการอื่น ๆ ของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยการเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก เป็นสำคัญ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และถูกต้องครบถ้วนตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด และเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการคลังและงบประมาณในอนาคตมากเกินสมควรด้วยไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบในหลักการให้ปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการของคนพิการที่มีอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ จากเดิมที่ได้รับ ๘๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน เป็น ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ทั้งนี้ งบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
271 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2562) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๒) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย (๑) ภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปี โดยการส่งออกสินค้าหดตัวต่อเนื่องตามปริมาณการค้าโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น การส่งออกบริการกลับมาขยายตัวจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงตามกำลังซื้อที่อ่อนแอลง การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงตามแนวโน้มอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ลดลง ด้านการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวเป็นผลจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ยังไม่ประกาศใช้ และภาวะการเงินยังอยู่ในระดับผ่อนคลายเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลงตามตลาดโลก ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงตามอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและสามารถรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้ อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง ณ สิ้นปี มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ และ (๒) การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยมีการดำเนินงานและประเมินผลนโยบาย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านนโยบายการเงิน ด้านสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
272 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับเขตทะเลชายฝั่งในบริเวณจังหวัดตราด โดยปรับปรุงเขตทะเลชายฝั่งเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในเขตทะเลชายฝั่งให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ลดปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายโดยไม่เจตนา ลดความขัดแย้งของชาวประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
273 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 | นร10 | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๓ ที่เห็นชอบให้จัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๘๙๗ อัตรา ประกอบด้วย การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับการบรรจุบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ให้เข้ารับราชการ รวม ๓๘,๑๐๕ อัตรา และการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับการบรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ ที่เป็นนักศึกษาคู่สัญญากับกระทรวงสาธารณสุขและสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ รวม ๒,๗๙๒ อัตรา รวมทั้งมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข รองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ และให้พิจารณาบรรจุแพทย์แผนไทยโดยอาจใช้อัตรากำลังที่เหลืออยู่ไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ พร้อมปฏิทินการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่างเคร่งครัด (๒) กำหนดนิยามคุณลักษณะของบุคลากรและลักษณะงานที่จะได้รับการพิจารณาให้เปลี่ยนสถานภาพเป็นข้าราชการให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับการให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน รวมทั้งการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ และ (๓) เร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถวางระบบการบริหารอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจบริการสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
274 | มาตรการรองรับการดำเนินการในระยะยาวตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กรณีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 74/2557 ) | นร09 | 15/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่ปัจจุบันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในภาวะระบาดใหญ่ทั่วโลก ประกอบกับระบบกฎหมายไทยใช้ระบบคณะกรรมการมากกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ทั้งหมด ทั้งการประกอบกิจกรรมภาครัฐและภาคเอกชน และรัฐบาลได้กำหนดมาตรการให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนปฏิบัติงานจากที่บ้าน (Work From Home : WFH) และมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อมิให้มีการชุมนุมของกลุ่มคนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้การประชุมในรูปแบบคณะกรรมการตามที่กฎหมายกำหนดทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนต้องกระทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ดี การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗๔/๒๕๕๗ เรื่อง การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ อันเป็นกฎหมายกลางว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบ เช่น ในเรื่ององค์ประชุมซึ่งอย่างน้อยหนึ่งในสามของผู้เข้าร่วมประชุมยังคงต้องมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน และผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดต้องอยู่ในราชอาณาจักร จึงทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาระบาดอย่างรุนแรง ซึ่งภาคธุรกิจต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ สมควรตรากฎหมายกลางว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นพระราชกำหนดตามมาตรา ๑๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขึ้นใช้บังคับแทนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว จึงลงมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีกฎหมายกลางเพื่อรองรับการประชุมตามกฎหมายที่ดำเนินการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำร่างพระราชกำหนดตามหลักการดังกล่าว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยเร่งด่วนต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
275 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อปรับปรุงระยะเขตทะเลชายฝั่งและแผนที่ท้ายกฎกระทรวงในส่วนของจังหวัดชลบุรี จากเดิม “เส้นโค้งเว้า” เป็น “เส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” เพื่อให้เกิดความชัดเจนของแนวเขตทะเลชายฝั่งสำหรับประมงพื้นบ้านกับประมงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) การกำหนดทะเลชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงฯ มีผลกระทบต่อเขตพื้นที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด และการประกอบอาชีพของประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ สมควรที่จะได้เสนอแก้ไขประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดในเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สอดคล้องด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ (๒) ควรประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนประมงชายฝั่งและประมงพาณิชย์ โดยเฉพาะประมงพาณิชย์ขนาดเล็กได้รับทราบและเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้การดูแลรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำอยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน และแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายตามเจตนารมณ์แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ (๓) ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลในแต่ละพื้นที่ และ (๔) ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
276 | ขอความเห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 | คค | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกลไกในการควบคุมการทิ้งเทลงในทะเลโดยห้ามทิ้งเทของเสียและวัสดุอย่างอื่นจากเรือ อากาศยาน แท่นหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ไม่ต้องตั้งข้อสงวนตามข้อ ๗ ของพิธีสารฯ ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ๒. เห็นชอบพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ และภาคผนวกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... เพี่อรองรับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควรพิจารณาการใช้ถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ไม่สอดคล้องกัน อาทิ มาตรา ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ ว่าด้วยนิยามของคำว่า “ทะเล” ซึ่งใช้ถ้อยคำ “...ดินใต้ผิวดินท้องทะเล” และนิยามของคำว่า “การทิ้งเท” ซึ่งใช้ถ้อยคำว่า “...ดินใต้ผิวดินในทะเล...” จึงอาจพิจารณาปรับแก้ไขโดยใช้ถ้อยคำว่า “...ดินใต้ผิวดินของพื้นดินท้องทะเล” แทน เพื่อให้สอดคล้องกัน รวมทั้งสอดคล้องกับถ้อยคำที่ใช้ในคำแปลอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และแก้ไขถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ในส่วนที่กล่าวถึง “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ให้เป็น “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรเมื่อพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. ๑๙๙๖ ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๙๖ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. ๑๙๗๒ ภายหลังจากที่การเข้าเป็นภาคีพิธีสารฯ ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ๖. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) วางกรอบการดำเนินงานในระดับปฏิบัติที่ต้องเชื่อมโยงและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการจัดการขยะบกสู่ทะเล ให้การดำเนินงานมีความสอดประสานและบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นภาคีพิธีสารฯ ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
277 | ขออนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 | สธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรอบอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ จำนวนรวม ๔๕,๖๘๔ อัตรา (๓๘,๑๐๕+๗,๕๗๙) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) รับเรี่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียด เงื่อนไข เงื่อนเวลา ให้ถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์และความจำเป็นอันเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และกรอบอัตรากำลังของข้าราชการที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๒ สัปดาห์ ทั้งนี้ ให้พิจารณาในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดอื่น ๆ ด้วย และให้ คปร. นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการคัดเลือกบรรจุบุคคลซึ่งมิได้สำเร็จการศึกษาในวุฒิที่ ก.พ. กำหนด การสนับสนุนเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน การจัดสรรโควตาพิเศษ ความดีความชอบพิเศษ การเพิ่มอายุราชการเพิ่มทวีคูณ การลดดอกเบี้ยเงินกู้ การปรับอัตราชดเชย และการปรับสิทธิประโยชน์บุคลากรที่ได้รับความเสียหายกรณีปฏิบัติหน้าที่ ไปพิจารณาในรายละเอียดให้ถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. คปร. กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
278 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2562 | นร11 | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ เช่น การจ้างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น และสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงสุดในรอบ ๑๑ ไตรมาส เป็นต้น (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ การป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดต่ออุบัติใหม่จากต่างประเทศ คุณภาพการศึกษาไทยยังคงต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และปัญหาฝุ่น PM2.5 ต้องการการจัดการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และ (๓) บทความเรื่อง “การพัฒนา Generation Y เพื่อรองรับการขับเคลื่อนประเทศ” ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
279 | มาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤต [รองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)] | นร12 | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤต [รองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)] รวม ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการเพื่อการปรับเปลี่ยนการให้บริการงานอนุมัติ อนุญาต รับรอง จดแจ้ง หรือจดทะเบียนตามกฎหมาย (๒) มาตรการเพิ่มเติมอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของหน่วยงานของรัฐและลดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 และ (๓) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามการพัฒนาระบบใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Authentication) หรือระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งอาจใช้เวลาในการพัฒนาระบบนาน เพื่อให้ระบบได้รับการพัฒนาขึ้นใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมและรองรับสภาวะวิกฤตอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งความเห็นเกี่ยวกับกรณีปรับเปลี่ยนข้อความอัตโนมัติของสายด่วน ๑๑๑๑ ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน ที่ให้มีการจัดทำเมนูลัดเพื่อรับฟังข้อมูลอัตโนมัติเกี่ยวกับโรคโควิด 19 โดยให้พิจารณาเกี่ยวกับระยะเวลาในการรับฟังข้อมูลอัตโนมัติให้เหมาะสมตามแนวทางของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชนทางสายด่วน ๑๑๑๑ ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชน ในสภาวะวิกฤต [รองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)] ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางรองรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวที่เป็นรูปธรรม รอบคอบ และรัดกุม เพื่อป้องกันปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวด้วย ๓. ให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวกับการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น พลังงาน ประปา โทรคมนาคม และคมนาคมขนส่ง เร่งปรับเพิ่มแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan-BCP) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะแผนการให้บริการอย่างต่อเนื่องในพื้นที่สำคัญ เช่น สถานพยาบาล และแผนการหมุนเวียนหรือทดแทนบุคลากรในระยะสั้น ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที เพื่อให้หน่วยงานมีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน รอบคอบ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
280 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 | กค | 24/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๒ ของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ มาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) เห็นชอบในหลักการมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังกำหนดประเภท กลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม เป็นธรรม รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบข้อมูลกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน ถูกต้อง ครบถ้วน ครอบคลุมในระดับพื้นที่ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๒ มาตรการเสริมสร้างความรู้ ให้ชะลอมาตรการเสริมความรู้ไว้ก่อน โดยหากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเข้าสู่ภาวะปกติ ให้กระทรวงการคลังบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามภารกิจ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการจ้างงาน ให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน และหากมีความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายงบประมาณก็ให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] เป็นลำดับแรกก่อน สำหรับกรณีการช่วยเหลือ เยียวยา และบรรเทาผู้ได้รับผลกระทบต่อการจ้างงานภายในประเทศ ให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] ซึ่งได้อนุมัติหลักการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของการจ่ายเงิน และมอบหมายเรื่องการฝึกอบรมให้ทุกหน่วยงานหารือร่วมกันเพื่อแบ่งเบาภาระงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๓ มาตรการด้านภาษี ๑.๓.๑ รับทราบและเห็นชอบในหลักการมาตรการด้านภาษี จำนวน ๙ มาตรการ ประกอบด้วย (๑) มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (๒) มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี (๓) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (๔) มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ (๕) มาตรกรเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล (๖) มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (๗) มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) (๘) มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษีของสถานบริการที่ประกอบกิจการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ และ (๙) มาตรการขยายเวลาการชำระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชำระภาษีของสถานบริการที่ประกอบกิจการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐ และมาตรการขยายเวลาการชำระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ควรพิจารณาดำเนินการเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ควรดำเนินมาตรการในระยะสั้นเพื่อการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เท่านั้น โดยให้เร่งประเมินเพื่อปรับมาตรการภาษีในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๓.๒ เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และมาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ) ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) จำนวน ๑ ฉบับ [มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)] ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๑ ฉบับ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ จำนวน ๑ ฉบับ และการปรับปรุงร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้มารวมพิจารณากับร่างกฎหมายที่มีหลักการเช่นเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๓ (มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย) และยังอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๑.๔ มาตรการด้านการเงิน เห็นชอบในหลักการมาตรการด้านการเงิน จำนวน ๔ มาตรการ ประกอบด้วย (๑) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) (๒) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) (๓) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และ (๔) โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินมาตรการรวมทั้งสิ้น ๒๙,๓๔๖ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจร่วมรับภาระต้นทุนในการดำเนินงาน การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขเพื่อคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการให้เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง การพิจารณากำหนดเงื่อนไขให้เข้าร่วมโครงการได้ครัวเรือนละ ๑ โครงการ และการขยายการดำเนินมาตรการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงกองทุนหมู่บ้าน และสหกรณ์ต่าง ๆ เพื่อจะได้กระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๕ การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในระยะต่อไป มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงสาธารณสุข ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทาง พร้อมทั้งแหล่งเงินที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในระยะต่อไป เพื่อเป็นอีกกลไกหนึ่งในการรับมือกับวิกฤติการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงการคลังเสนอดังกล่าว เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังสมควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดเวลาดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....