ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) | กค. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน)
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
เพื่อสนับสนุนการวิจัย การพัฒนา การผลิต
และการกระจายวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และโรคติดต่ออื่นให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อจูงใจให้มีการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งควรจัดทำรายงาน
เปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินกิจกรรมหรือมาตรการที่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในอนาคตที่มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
และการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริง และรายงานต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับเปลี่ยนการดำเนินกิจกรรมหรือมาตรการให้มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมทางการคลังที่เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
202 | แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข พ.ศ. 2563-2565 | สธ. | 20/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ โดยแผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ เป็นไปตามวิสัยทัศน์
“ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้รับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ
ปลอดภัย และมีความมั่นใจในระบบบริการสาธารณสุขทุกระยะของการเกิดภัยอย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
โดยมีเป้าหมาย พันธกิจ และกรอบยุทธศาสตร์ เป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับการดำเนินงาน
รวมทั้งได้กำหนดตัวชี้วัดและกลไกการประเมินผลและติดตามเพื่อเป็นช่องทางการติดตาม
รายงานความคืบหน้า
ตลอดจนวัดประสิทธิภาพและระดับความสำเร็จของผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวด้วย
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น (๑) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ประกอบการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒) กำหนดความเชื่อมโยงของแผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ ที่ครอบคลุมถึงแผนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข
(ฉบับปรับปรุง) และ (๓)
ให้ความสำคัญกับการจัดการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งการเตรียมความพร้อมในทุกพื้นที่
การคำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่และประชาชนบริเวณอื่นโดยรอบพื้นที่
และการจัดทำแผนรองรับการบริการทางการแพทย์ฯ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานแผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ
ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เพื่อลดความซ้ำซ้อนด้านภารกิจและงบประมาณของหน่วยงานต่าง
ๆ และกำหนดกลไกลำดับขั้นตอนในการรายงานและสื่อสารข้อมูลสถานการณ์ที่ชัดเจน
ตลอดจนมีการซักซ้อมและทดสอบประสิทธิภาพของระบบที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์จริงอย่างเป็นเอกภาพ
รวมทั้งกำหนดกลไกการเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกันของหน่วยงานในแต่ละระดับ
เพื่อให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับปรุงแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
203 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2563 | นร.11 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม
ปี ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสที่และภาพรวม ปี ๒๕๖๓ เช่น
การจ้างงานเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น
หนี้สินครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้น
และสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross
Domestic Product : GDP) ยังคงสูง เป็นต้น (๒)
สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่
การพัฒนาทักษะดิจิทัลที่มีความสำคัญกับการทำงานในอนาคต และหลักประกันรายได้ของผู้สูงอายุ
และ (๓) บทความเรื่อง “พ.ร.ก. เงินกู้ ให้อะไรกับประชาชน”
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
204 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2563 | กค. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๔ ปี ๒๕๖๓ โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (๒) เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย
(๓) เศรษฐกิจไทยภายใต้การระบาดของโควิด-๑๙ ระลอกใหม่ (๔) เสถียรภาพระบบการเงินไทย
และ (๕) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
205 | การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 | นร.10 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เรื่อง
การบรรจุลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งอัตราข้าราชการตั้งใหม่
เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
หรือโรคโควิด-๑๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาบรรจุบุคลากรกลุ่มพนักงานราชการ
พนักงานกระทรวงสาธารณสุข หรือลูกจ้างชั่วคราว
ที่ยังตกค้างหรืออยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาหรือข้อร้องเรียนในตำแหน่งว่างที่เหลือจากการบรรจุทั้ง
๓ ระยะ ให้แล้วเสร็จก่อน โดยดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนดไว้เดิม ๑.๒ หากมีตำแหน่งว่างคงเหลือจากการดำเนินการตามข้อ
๑.๑
คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุขอาจพิจารณาบรรจุบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ได้ตามเหตุผลความจำเป็น โดยคำนึงถึงความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับ
และการป้องกันผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.
กำหนดไว้เดิม และให้รายงานคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเพื่อทราบ
นับแต่วันที่คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงสาธารณสุขมีมติและบรรจุบุคลากรแล้วเสร็จภายใน
๓๐ วัน ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขที่จะได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ อย่างถูกต้อง ตามข้อสังเกตของผู้แทนกรมบัญชีกลาง
และเมื่อได้ดำเนินการบรรจุบุคลากรครบถ้วนตามที่ได้รับจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่
จำนวน ๓๘,๑๐๕ อัตรา แล้ว ให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินการ ตลอดจนแจ้งการยุบเลิกตำแหน่งที่จ้างงานด้วยรูปแบบอื่นให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐทราบเมื่อสิ้นไตรมาสที่
๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (เดือนมีนาคม ๒๕๖๔) ด้วย
๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
ควรพิจารณาบรรจุบุคลากรประเภทต่าง ๆ
ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ (๒) ควรพิจารณาบริหารอัตราว่างในภาพรวมที่มีอยู่เดิม
เพื่อบรรจุผู้สอบแข่งขันได้หรือผู้ได้รับคัดเลือกจากบัญชีผู้สอบที่ส่วนราชการได้ขึ้นบัญชีไว้แล้ว
(๓)
ควรเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการพิจารณาเปลี่ยนสถานะการจ้าง
การให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้ชัดเจน และ (๔)
การพิจารณาบรรจุลูกจ้างประจำควรกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
206 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2564 | นร.04 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
(๒) รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๖๓ และแนวโน้มเศรฐกิจไทยปี ๒๕๖๔ (๓) แผนการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (๔) ประเด็นติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
(๕) การมอบหมายหน่วยประสานงานหลักตามนโยบายรัฐบาล และ (๖) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
207 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2564 | นร.11 | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับกระทรวง
และระดับเขตสุขภาพเป็น SmartEOC
เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑)
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่ทบทวนตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
และครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๓ จำนวน ๒๐ โครงการ
โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑) ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓ จำนวน ๓ โครงการ
และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดำเนินการ รวมทั้งอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ปรับปรุงรายละเอียดโครงการ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการ ควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
ตามความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซี่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
208 | ผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง - สหรัฐฯ ครั้งที่ 1 | กต. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๑
ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๓ โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญ
ประกอบด้วย (๑) การรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
ซึ่งมีการเพิ่มประเด็นต่าง ๆ เช่น
การขยายสาขาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
และการบริจาคเงินของสหรัฐฯ จำนวนเงิน ๑๕๓.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เพื่อดำเนินกิจกรรมและโครงการเพื่อประโยชน์ร่วมกันในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (๒)
สาระสำคัญของถ้อยแถลงของผู้แทนประเทศต่าง ๆ และ (๓) ประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ
เช่น การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การสนับสนุนการดำเนินการภายใต้หุ้นส่วนพลังงานลุ่มน้ำโขง
ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
และการเร่งพัฒนาให้อนุภูมิภาคสามารถปรับตัวสู่ภาวะปกติใหม่และปกติต่อไป และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจเกิดขึ้นต่อหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
รวมทั้งผลกระทบต่อไทยในมิติต่าง ๆ เช่น การค้าชายแดน
การลงทุนของผู้ประกอบการไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติที่อาจเพิ่มขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
209 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล พ.ศ. .... | คค. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง
เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือ และเขตควบคุมการเดินเรือ จังหวัดสตูล พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตท่าเรือตำมะลัง เขตท่าเรือเจ๊ะบิลัง เขตท่าเรือปากบารา เขตจอดเรือและเขตควบคุมการเดินเรือ
จังหวัดสตูล
เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการคมนาคมขนส่งทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพื่อควบคุมดูแลความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรทางน้ำ การขนส่งทางน้ำ
และวางระบบการขนส่งทางน้ำให้มีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการควบคุมมลภาวะทางน้ำ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ให้กระทรวงคมนาคมและกรมเจ้าท่าปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
และควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทราบถึงข้อพึงปฏิบัติเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเตรียมการก่อนที่จะมีผลใช้บังคับต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
210 | การใช้ประโยชน์จากส่วนเกินหรือสิ่งเหลือใช้จากผลิตผลทางการเกษตรและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร | นร. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
โดยที่รัฐบาลได้กำหนดให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน
และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green
Economy : BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ
ประกอบกับปัญหาสภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่นานาชาติให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ดังกล่าว รวมทั้งเป็นการจูงใจเกษตรกรให้งดการจุดไฟเผาในพื้นที่การเกษตร
เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) และลดปัญหาสภาวะโลกร้อน
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการป้องกันการกีดกันทางการค้าอันอาจอ้างเหตุมาจากการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนด้วย
จึงมีมติ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่/ประสานงานกันในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำส่วนเกินหรือสิ่งเหลือใช้จากผลิตผลทางการเกษตรชนิดต่าง
ๆ เช่น ใบอ้อย ชานอ้อย กากน้ำตาล ฟางข้าว และซังข้าวโพดมาใช้ในด้านต่าง ๆ
ให้เกิดประโยชน์หรือเกิดมูลค่าสูงสุด เพื่อมิให้สิ่งของเกินหรือเหลือใช้เหล่านั้นต้องกลายเป็นขยะหรือของสูญเปล่าที่ต้องเผาทำลายไปโดยเปล่าประโยชน์
และก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น
การนำใบอ้อยไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวมวล
การนำชานอ้อยไปผลิตเป็นวัสดุ/บรรจุภัณฑ์
๒. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม
และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่/ประสานงานกันในการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปรับปรุง
พัฒนา และยกระดับสินค้าส่งออกของประเทศในปัจจุบันในส่วนที่เป็นพืชผลทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปขั้นพื้นฐานชนิดต่าง
ๆ โดยนำองค์ความรู้จากการวิจัย เทคโนโลยี
และนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ให้สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม
หรือเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ
รวมทั้งลดภาระการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
211 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน
และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐที่จะต้องรับเข้าทำงาน
และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในกรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการเข้าทำงานหรือดำเนินการอย่างอื่นแทนการรับคนพิการเข้าทำงานปฏิบัติไม่ครบตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
ให้ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามจำนวนวันที่ไม่ได้ปฏิบัติให้ครบตามเงื่อนไขดังกล่าว
เว้นแต่จะได้มีการดำเนินการให้ครบถ้วนภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ไม่ได้ปฏิบัติให้ครบถ้วน
โดยขอขยายระยะเวลาดังกล่าวจากภายในสี่สิบห้าวัน เป็นภายในเก้าสิบวัน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างหรือสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามที่กะทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้รับการพัฒนาทักษะ
ความรู้ ความสามารถให้สอดคล้องกับศักยภาพ และมีความพร้อมในการทำงาน
อันเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนพิการเข้าสู่ระบบการทำงานเพิ่มมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
212 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 | นร.11 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๓ ทั้งปี ๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๔
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๓ ลดลงร้อยละ ๔.๒ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ ๖.๔ ในไตรมาสที่สาม (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๓
ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๑.๓ (QoQ_SA) ๒. ด้านการใช้จ่าย
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนกลับมาขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าลดลงในอัตราที่ชะลอลง
ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัว การส่งออกบริการลดลงต่อเนื่อง
ด้านการผลิต สาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว ส่วนการผลิตสาขาอุตสาหกรรม
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
และสาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ลดลงในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่สาขาไฟฟ้า
ก๊าซ และระบบปรับอากาศ ลดลงต่อเนื่อง ๓.
เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๖๓ ลดลงร้อยละ ๖.๑ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๓ ในปี
๒๕๖๒ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมลดลงร้อยละ
๖.๖ ร้อยละ ๑.๐ และร้อยละ ๔.๘ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
-๐.๘ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๓.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๔. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี
๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๕-๓.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (๑)
แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ
(๓) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ และ (๔)
การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี ๒๕๖๓ ทั้งนี้
คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัวร้อยละ ๕.๘ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๐ และร้อยละ ๕.๗ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ
๑.๐-๒.๐ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๒.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
๕.
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศ
(๒) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ (๓)
การดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว (๔)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๕)
การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ (๖)
การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๗)
การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (๘)
การเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและการดูแลรายได้เกษตรกร และ
(๙) การติดตามและเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
213 | ขอปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน | ศธ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการของการปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน
เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่าย
และค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารที่มีราคาสูงขึ้น
โดยให้ปรับอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนทุกคน
ตั้งแต่เด็กเล็ก-ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากอัตรา ๒๐ บาท/คน/วัน เป็นอัตรา ๒๑
บาท/คน/วัน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้นไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวัน
ปรับมาใช้ในอัตราดังกล่าวด้วยเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยแต่ละหน่วยงานสามารถบริหารจัดการได้ตามความเหมาะสม
สอดคล้องกับขนาดโรงเรียนและจำนวนนักเรียนในขั้นตอนการบริหารงบประมาณ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เช่น
การกำหนดแนวทางให้ชัดเจนในทุกขั้นตอนสำหรับการบริหารโครงการอาหารกลางวันให้มีคุณภาพ
การให้ความสำคัญกับการควบคุม กำกับ ดูแลโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
การพิจารณาการใช้จ่ายให้ครอบคลุมจากทุกแหล่งเงิน การกำหนดมาตรการและกลไกในการบริหารจัดการให้มีความชัดเจนและทันการณ์
โปร่งใส และตรวจสอบได้ การพิจารณาแนวทางการจัดสรรอาหารกลางวันตามสถานการณ์ที่เหมาะสม
การทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแนวทางและมาตรการในการดำเนินการเพื่อส่งเสริม สนับสนุน
หรือขอความร่วมมือจากภาคเอกชนและผู้ปกครองของนักเรียนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดหาอาหารกลางวันแก่นักเรียน
เพื่อให้นักเรียนได้รับอาหารกลางวันที่เหมาะสม เพียงพอ
และถูกหลักโภชนาการมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
214 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... | นร.09 | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันหรือมีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่ตราขึ้นในภายหลัง
รวม ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) พระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก พุทธศักราช ๒๔๗๙
(๒) พระราชกำหนดควบคุมและดำเนินงานภารธุระการทำเหมืองแร่ทองคำ พุทธศักราช ๒๔๘๓ (๓)
พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการไฟฟ้า พุทธศักราช ๒๔๘๔ (๔)
พระราชบัญญัติกำหนดวิธีปฏิบัติแก่บุคคลซึ่งเผยแพร่ข่าวอันเป็นการทำให้เสียสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทย
ในภาวะสงคราม พุทธศักราช ๒๔๘๘ (๕)
พระราชบัญญัติกำหนดวิธีการระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ พ.ศ. ๒๔๙๑ (๖)
พระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๑ และ (๗)
พระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
รวมทั้งลดอุปสรรคในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และยังเป็นการลดภาระต่อรัฐในเรื่องงบประมาณในการบังคับใช้กฎหมายและลดภาระต่อประชาชนผู้อยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย
ตลอดจนเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับบทบัญญัติในมาตรา ๗๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงมหาดไทยรับข้อเสนอของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนที่ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า
พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ และพระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓
ไปประกอบการพิจารณาในคราวเดียวกันด้วย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
215 | รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2562 | ทส. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑)
ปัจจัยขับเคลื่อน (Driver) ประกอบด้วย การขับเคลื่อนจากทิศทางการพัฒนานโยบาย
และแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศและต่างประเทศ
และทิศทางการพัฒนาประเทศที่ส่งผลต่อทรัพยากรทางทะเล (๒) ภาวะกดดัน (Pressure) ประกอบด้วย สถานการณ์การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่ง
และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
และสถานการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในระดับโลกและระดับภูมิภาคที่ส่งผลต่อสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
และการกัดเซาะชายฝั่ง (๓) สถานภาพทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่ง (States) (๔) สถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่ง ๒๔
จังหวัด และ (๕) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
216 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน พ.ศ. .... | ศธ. | 26/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน
โดยปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ.
๒๕๓๕
และให้โอนบรรดากิจการของกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาที่สังกัดกระทรวงการคลัง
เป็น จัดตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อให้การบริหารงานเกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และกำหนดวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนให้ครอบคลุมอาหารนักเรียนนอกเหนือจากอาหารกลางวันและให้รวมถึงโรงเรียนที่จัดการศึกษาภาคบังคับด้วย
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
เช่น เมื่อได้ตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียนแล้ว
ก็สมควรยกเลิกพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ.
๒๕๓๕ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน และสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติเป็นหลักการด้วยว่า
การจัดตั้งทุนหมุนเวียนให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียนเท่านั้น
เพื่อประโยชน์ในการรักษาวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ เป็นต้น
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๓.
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
การดำเนินกิจกรรมในภาพรวมเพื่อสนับสนุนโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียน
กระทรวงศึกษาธิการจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่าย
ความเหมาะสมของกลุ่มเป้าหมาย อัตราค่าใช้จ่ายต่อหัว
ความซ้ำซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับการจัดหาอาหารให้นักเรียนโดยหน่วยงานอื่น
และจัดหาอาหารให้กับนักเรียนสังกัดต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง และควรมีการบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนระหว่างโรงเรียน
ส่วนภาคราชการ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และชุมชนในพื้นที่นั้น ๆ
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์วางแผนและพัฒนาโรงเรียนเพื่อพัฒนาทักษะความรู้และส่งเสริมภาวะโภชนาการให้แก่นักเรียน
รวมถึงโรงเรียนสามารถเป็นต้นแบบในการพัฒนาภาวะโภชนาการของชุมชนในพื้นที่นั้น ๆ
ได้อีกทางหนึ่ง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดเกี่ยวกับการจัดตั้งทุนหมุนเวียน
โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน
เพื่อประโยชน์ในการรักษาวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
217 | รายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ของกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๓ ของกระทรวงพาณิชย์
รวมทั้งเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาของจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ
เช่น การแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การสร้างถนนเชื่อมเส้นทางการค้าชายแดน
และการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และความเห็นของกระทรวงมหาดไทยที่เห็นควรส่งเสริมด้านการตลาด
โดยจัดหาแหล่งจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น
เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและผลกระทบในสภาวะวิกฤตอื่น
ๆ ได้มากขึ้น
รวมทั้งพิจารณาทบทวนการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับประเด็นไปพิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมทุกมิติและภารกิจ
ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด โดยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนครอบคลุมทุกมิติ เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
และรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
218 | การพิจารณกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ | นร. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือ
ซี่งได้รับผลกระทบการประกอบกิจการในช่วงภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เช่น การอนุญาตให้เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่กว่าที่กำหนดไว้เดิมสามารถเข้าเทียบท่าได้เพื่อขนส่งสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น
การผ่อนปรนการเรียกเก็บค่าบริการท่าเทียบเรือ เป็นต้น ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
219 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2563 | กค. | 05/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๓ ปี ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจ ได้แก่ เศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจไทยและเงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบการเงินไทย และ (๒) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาส
๓ ปี ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
220 | การเตรียมความพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) | นร.04 | 29/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐
เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของบุคลากรและแรงงานไทยเพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(Eastern Economic Corridor : EEC)
โดยให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จัดทำฐานข้อมูลแรงงานและประมาณการความต้องการแรงงานในสาขาต่าง ๆ
ของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC เพื่อนำไปใช้กำหนดเป้าหมายในการผลิตบุคลากรแต่ละประเภทและระดับให้ตรงตามความต้องการ
รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่าง ๆ
เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC ด้วยนั้น เพื่อให้การเตรียมความพร้อมบุคลากรดังกล่าวข้างต้นมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการแรงงาน
ตลอดจนสภาวะการทำงานของแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยให้นำปัจจัยเกี่ยวกับผลกระทบด้านแรงงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) มาประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
และให้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วน
|