ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ พ.ศ. 2562-2565 | ศธ. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ ซี่งเป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
จำนวน ๗ สาขาอาชีพ ประกอบด้วย (๑) โลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน (๒)
โลจิสติกส์และซัพพลายเชน (๓) หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (๔)
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและดิจิทัลคอนเทนต์ (๕) อาหารและเกษตร (๖)
ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงานและพลังงานทดแทน และ (๗) แม่พิมพ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น
ควรกำหนดตัวชี้วัดและกรอบระยะเวลาดำเนินงานให้ชัดเจน
ควรให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิตกำลังคนกับหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนต่าง ๆ
ควรจัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ
และควรวางระบบติดตามและประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต
รวมทั้งติดตามและรายงานผลภาวะการมีงานทำตรงสาขาวิชาของผู้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | โครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2564 ให้แก่ประชาชน | กต. | 29/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. การให้บริการเครื่องรับคำร้องขอทำหนังสือเดินทางด้วยตนเอง
(kiosk) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่เครื่องแรกของประเทศไทยในเดือนมกราคม
๒๕๖๔ โดยให้บริการสำหรับผู้บรรลุนิติภาวะแล้วที่เคยถือหนังสือเดินทางมาก่อน
(มิใช่กรณีการขอทำหนังสือเดินทางครั้งแรก)
ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวปทุมวัน (ศูนย์การค้า MBK)
ในเวลาทำงาน ๑๐.๐๐-๑๘.๐๐ น. ๒. การให้บริการแปลและยกเว้นค่าธรรมเนียม
เป็นระยะเวลา ๒ สัปดาห์ (๑๐ วันทำการ) ณ กรมการกงสุล
และสำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ อีก ๔ แห่งทั่วประเทศ
สำหรับการยื่นขอรับรองเอกสารทะเบียนราษฎรและทะเบียนครอบครัว ๑๙ ประเภท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | ร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเพิ่มอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร
จากเดิมเหมาจ่ายในอัตรา ๖๐๐ บาทต่อเดือนต่อบุตร ๑ คน เป็นเหมาจ่ายในอัตรา ๘๐๐
บาทต่อเดือนต่อบุตร ๑ คน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ
และวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง
และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากเหตุผลและความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินของกองทุนประกันสังคมอย่างรอบคอบและเหมาะสมในทุกมิติ
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม
รวมถึงภาวะการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน พ.ศ. .... | รง. | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะงานหรือประเภทงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้านทำงาน
โดยเป็นงานเกี่ยวกับความร้อนจัดอันอาจเป็นอันตรายและงานอื่นที่อาจเป็นอันตราย
กระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรต้องพิจารณาให้ครอบคลุมถึงลักษณะและประเภทของงานที่ต้องใช้แสงสว่าง
เช่นเดียวกับเรื่องความร้อนและเสียง ตามที่กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ
และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง เสียง พ.ศ. ๒๕๕๙ กำหนด
เพื่อให้การกำหนดลักษณะหรือประเภทของงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างงานผู้รับงานไปทำที่บ้านเป็นไปอย่างครอบคลุม
และควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินสภาวะการทำงานของผู้รับงานไปทำที่บ้าน
เพื่อตรวจสอบสภาพการทำงานของผู้รับงานไปที่บ้านไม่ให้มีการปฏิบัติงานที่เกินกว่าค่ามาตรฐานของสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฉบับนี้
เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านอย่างแท้จริง
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การคุ้มครองแรงงานควรต้องคำนึงถึงกรณีที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านที่เป็นผู้สูงอายุ และสภาพความพิการของผู้รับจ้างที่เป็นคนพิการ ซึ่งควรต้องได้รับการคุ้มครองในด้านสุขภาพและความปลอดภัยในการรับงานไปทำงานที่บ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน 2563) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๓) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ หดตัวสูง
จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว
การส่งออกบริการภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ
การส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบจากรายได้ของประเทศคู่ค้าอ่อนแอลง การบริโภคภาคเอกชนหดตัวสูงตามการจ้างงาน
รายได้ครัวเรือน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
การลงทุนภาคเอกชนหดตัวสูงตามภาวะอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ
และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับลดลงตามผลประกอบการและความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า นอกจากนี้
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศมีความเปราะบางมากขึ้น
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบตามราคาหมวดพลังงาน
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวกแต่ปรับลดลงมากตามอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลง
และอัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้นมาก ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงจากเดือนธันวาคม
๒๕๖๒
เนื่องจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปรับลดลงมากตามรายรับจากนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง
ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ในภูมิภาคและประเทศไทย ๒.
การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นในช่วงร้อยละ ๑-๓
การผลักดันความเชื่อมโยงทางการเงินในภูมิภาค
และการส่งเสริมการเข้าถึงและการใช้บริการชำระเงิน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 | คค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ที่กระทรวงคมนาคมขอแก้ไขจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการขออนุญาตและการอนุญาต
และการขอต่ออายุใบอนุญาต และการอนุญาตประกอบการขนส่งในส่วนของเอกสารและหลักฐาน
เพื่อให้การพิจารณาความเหมาะสมของผู้รับใบอนุญาตหรือขอต่ออายุใบอนุญาตมีข้อมูลที่ครอบคลุมเพียงพอและมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งให้การดำเนินการของนายทะเบียนมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) ควรคำนึงถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขอรับบริการจากหน่วยงานของรัฐ
โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
เพื่อลดการใช้เอกสารซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน (๒)
ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓
ในการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการ
และให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤตที่มุ่งเน้นการนำระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service)
รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงานและให้บริการประชาชน
โดยการพัฒนาการให้บริการยื่นคำขออนุญาตหรือขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่งผ่านระบบ
e-Service
ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งด้วย และ
(๓)
ควรให้กรมการขนส่งทางบกเร่งพิจารณากำหนดมาตรฐานหรือลักษณะของรถที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการประกอบการขนส่งตามข้อ
๙ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ตลอดจนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ | นร.12 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business
Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และเห็นชอบแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ
โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐอย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะวิกฤต
สามารถใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จผ่าน e-Service ภาครัฐ
โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อ ณ สถานที่ราชการด้วยตนเอง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.
เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณามาตรการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนากำลังคนในภาครัฐด้วยการอบรมระยะสั้นทั้งภาคทฤษฎี
ภาคปฏิบัติ และการให้บริการ e-Service แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ควรพิจารณารูปแบบการจัดทำแผน BCP ที่เปิดกว้างให้แต่ละหน่วยงานของรัฐสามารถจัดทำได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันด้วยการนำแผนตัวอย่างของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประยุกต์ให้เหมาะสมตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ควรพิจารณาบูรณาการงานด้าน e-Service
ภาครัฐอย่างเป็นระบบ ควรมีแนวทางการดำเนินงานตามแผน BCP ที่เป็นแนวทางร่วม
และมีมาตรฐานที่ทุกส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติร่วมกันได้กรณีเกิดสภาวะวิกฤตในภาพรวมของประเทศ
และให้ส่วนราชการเร่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะด้านดิจิทัลให้แก่บุคลากรทุกระดับในหน่วยงานภาครัฐ
ควรจัดให้มีการฝึกซ้อมแผน BCP ทุกระดับ
โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และแผนประคองกิจการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ COVID-19 รวมทั้งควรให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
โดยคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณที่มีเพียงพอและสามารถนำมาใช้ได้
รวมถึงพิจารณาการปรับแผนการปฏิบัติงาน
แผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานเพื่อจัดหาทรัพยากรในสภาวะวิกฤติ
และจัดทำแผนดำเนินงานที่แสดงความเชื่อมโยงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการในทุกมิติของทุกภาคส่วน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563 | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ เช่น (๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน กนง. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น โดยให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางเป็นเป้าหมายหลักควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี ๒๕๖๓ (๒) ภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง (ไตรมาสที่ ๑ หดตัวร้อยละ ๒ ส่วนไตรมาสที่ ๒ หดตัวร้อยละ ๑๒.๒ จากระยะเดียวกันของปีก่อน) และประมาณการเศรษฐกิจ ณ เดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวที่ร้อยละ ๘.๑ ในปี ๒๕๖๓ และจะกลับมาขยายตัวได้ที่ร้อยละ ๕.๐ ในปี ๒๕๖๔ และ (๓) การดำเนินนโยบายการเงิน (อัตราดอกเบี้ย) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ๓ ครั้ง จากร้อยละ ๑.๒๕ มาอยู่ที่ร้อยละ ๐.๕๐ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | การออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)
(สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ.
วงเงิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา-บ้านเชียงแมน
(เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จำนวน ๑,๕๔๙.๒๑ ล้านบาท อายุสัญญา ๕ ปี
(ครบกำหนดอายุสัญญา ๒๕ เมษายน ๒๕๖๕ ปัจจุบันอายุสัญญาเงินกู้คงเหลือประมาณ ๒ ปี)
อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๒.๙๐ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้ สพพ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และหาก สพพ. มีเงินสะสมเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการอื่น
เห็นควรให้นำเงินสะสมดังกล่าวมาชำระหนี้เงินกู้ เพื่อลดภาระงบประมาณและดอกเบี้ยเป็นลำดับแรก
และ (๒) ให้ สพพ.
ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา
และคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระหนี้
รวมถึงเสถียรภาพ และความยั่งยืนทางการเงินของ สพพ. เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๓ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๙-๑๒ กันยายน
๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมและร่วมหารือเกี่ยวกับการจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลัง
ค.ศ. ๒๐๒๕ และการทบทวนแผนงานประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสา
การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) โดยย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส
การจัดทำมาตรฐานวิธีปฏิบัติของอาเซียนสำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข
และการใช้ประโยชน์จากกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-๑๙ การหารือเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนในการสนับสนุนการพัฒนาในอนุภูมิภาคต่าง
ๆ ในอาเซียน รวมทั้งการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ
และความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกอาเซียน และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27 | กค. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๗ ซึ่งสหพันธรัฐมาเลเซียในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปค ประจำปี ๒๕๖๓
ได้จัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓
โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมได้หารือถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของโลกอย่างมาก
โดยเฉพาะต่อวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย
รวมทั้งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับแต่ปี ๒๔๗๓ ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี
๒๕๖๔ และกลุ่มธนาคารโลกคาดการณ์ตัวเลขคนยากจนมากที่สุดจะเพิ่มขึ้นอีก ๑๑๐-๑๕๐
ล้านคน ในปี ๒๕๖๔ ๒. ผู้แทนประเทศไทยได้ชี้แจงเกี่ยวกับมาตรการด้านการคลังและการเงินของไทยในการรับมือและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งใช้งบประมาณ ๒.๒ ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๒
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น
การให้เงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และการออกทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสาร
ซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ๓. เอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านสุขภาพ
สาธารณสุข โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาตัวยาและวัคซีนสำหรับโควิด-๑๙
และการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบการเงิน
ซึ่งระบบดิจิทัลได้มีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของภาคส่วนต่าง
ๆ รวมไปถึงการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
รวมทั้งอาจพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไว้ในกรอบการทำงานด้านความเสี่ยงทางการเงินและการประกันภัยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2563 | นร.11 | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม
ปี ๒๕๖๓ ประกอบด้วย ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๓
สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ และบทความเรื่อง “ผลกระทบของ COVID-19 ต่อความยากจน”
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 24 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน
(ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) ครั้งที่
๒๔ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN
Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) ครั้งที่
๖ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม
โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) รับทราบสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนและการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน
วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน การเงินสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล
และการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียน
โดยเน้นถึงการสร้างเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทานให้เป็นเป้าหมายหลักของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียมรับสภาวะความปกติใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสติดเชื้อโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) คลี่คลายลง (๒) รับทราบประเด็นหลักเพื่อเป็นกรอบการดำเนินการ ปี
๒๕๖๓ ในด้านความร่วมมือด้านการเงินการคลัง ได้แก่ การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน
และการส่งเสริมความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในภูมิภาค และ (๓) การจัดทำแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาเซียนที่ชัดเจน
ครอบคลุม และสามารถใช้ได้จริง เช่น การใช้นโยบายทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถดำเนินต่อได้
การป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิตในภาคการเงิน และการสนับสนุนโลจิสติกส์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2563 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ปี ๒๕๖๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่
๑๕-๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้มีการกล่าวถ้อยแถลงในประเด็นต่าง
ๆ เช่น (๑) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจโลก (๒) แนวนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก
COVID-19 (๓) การสนับสนุนความช่วยเหลือทางการเงินของกลุ่มธนาคารโลก
เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ประเทศสมาชิกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และ (๓) การสนับสนุนการขยายระยะเวลาโครงการพักชำระหนี้ (Debt
Service Suspension Initiative : DSSI) ตามข้อเรียกร้องของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(International Monetary Fund : IMF) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
และขีดความสามารถในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศรายได้น้อย เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2563 และแนวโน้ม ปี 2563 - 2564 | นร.11 | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี
๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี
๒๕๖๓ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี
๒๕๖๓ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๖.๔ ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ
๑๒.๑ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๓ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๓ ร้อยละ
๖.๕ รวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๓ เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ ๖.๗ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย
ปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะลดลงร้อยละ ๖.๐ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าปรับตัวลดลงร้อยละ ๗.๕
การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ ๐.๙ และร้อยละ ๓.๒ ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -๐.๙ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๒.๘ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี
๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๕ โดยมีแรงสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก
รวมทั้งแรงขับเคลื่อนจากภาครัฐจากการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณและมาตรการทางเศรษฐกิจ
และฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | ผลการสำรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 | ดศ. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ได้แก่ ความพึงพอใจในชีวิต ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในชีวิตอยู่ในระดับมาก-มากที่สุด
(ร้อยละ ๗๒.๕) โดยเฉพาะด้านชีวิตครอบครัว ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ประชาชนส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลอยู่ในระดับมาก-มากที่สุด (ร้อยละ ๕๓.๐)
โดยเฉพาะประชาชนในภาคใต้ชายแดน ผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
(ร้อยละ ๙๐.๐) โดยมีรายได้ลดลงและรายจ่ายเพิ่มขึ้น ผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่ามีความรุนแรงอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดต่อประเทศ (ร้อยละ
๘๑.๙) และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ประชาชนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุด (ร้อยละ ๗๑.๗) ๒.
สำนักงานสถิติแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
การดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ อย่างต่อเนื่อง และการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือแรงงานในสภาวะวิกฤต
เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | ขอความเห็นชอบการรับรองเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน | รง. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน
จำนวน ๔ ฉบับ ซึ่งเป็นร่างเอกสารผลลัพธ์ที่ได้รับการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน
ครั้งที่ ๒๘ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิและการคืนสู่สังคมของแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ
(๒)
ร่างแผนงานอาเซียนว่าด้วยการขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็กภายในปี
ค.ศ. ๒๐๒๕ (๓) ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการบูรณาการเพศภาวะให้เป็นกระแสหลักในนโยบายด้านแรงงานและการจ้างเพื่อมุ่งสู่งานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน
และ (๔) ร่างแนวทางอาเซียนว่าด้วยการประเมินความเสี่ยงอาชีวอนามัยและความปลอดภัยสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศสมาชิก
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานด้านต่าง ๆ
เกี่ยวกับแรงงานที่ประเทศสมาชิกอาเซียนยังประสบปัญหา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะประธานคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานทั้ง ๔ ฉบับ
ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ ๑.๓ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับทราบ
(for notation) เอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานทั้ง ๔ ฉบับ
ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๗ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านแรงงานภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน
จำนวน ๔ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๓.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) โดยยังคงหลักการการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากรถรับจ้าง
จึงเห็นควรทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้ขยายอายุรถรับจ้างที่อยู่ในระบบปัจจุบัน จาก ๙ ปี
เป็น ๑๒ ปี ตามหลักการของร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีข้อคิดเห็นว่ารถรับจ้างที่มีอายุมากกว่า
๙ ปี จะต้องถูกตรวจสภาพปีละ ๔ ครั้ง ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามหลักการเดิมที่กระทรวงคมนาคมเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | ขออนุมัติกรอบการเจรจาและข้อเสนอของไทยเพื่อจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทย | สธ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่
(ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Disease) ในประเทศไทย และกำหนดกรอบการเจรจาต่อรองในการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนของศูนย์ดังกล่าว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การกำหนดกรอบการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนในกระบวนการเจรจาต่อรอง
ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับและภาระผูกพันด้านงบประมาณที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ
ไป เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
และภาระทางการคลังและงบประมาณเท่าที่จำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | รายงานผลการดำเนินงานมาตรการของรัฐบาลสำหรับผู้ประกอบการและประชาชนรายย่อย | กค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานมาตรการของรัฐบาลสำหรับผู้ประกอบการและประชาชนรายย่อย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
มาตรการรักษาระดับการบริโภคในประเทศ
เพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและก่อให้เกิดการขยายตัวของอุปสงค์การบริโภคในประเทศ
ประกอบด้วย ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑)
โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๒) โครงการคนละครึ่ง และ
(๓) มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ๒.
มาตรการด้านการเงิน
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
รวมไปถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-๑๙
ให้มีสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย ๔
มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติม
พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (๒) โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก (๓) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๘ และ (๔)
โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓
|