ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกำหนดให้วิสัยทัศน์ของประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายได้ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ด้วยยุทธศาสตร์ ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความมั่นคง กำหนดให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการักษาความสงบภายในประเทศและมีความพร้อมในการเผชิญภัยคุกคามในอนาคต (๒) ด้านความสามารถในการแข่งขัน กำหนดให้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวและบริการ (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ กำหนดให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทางด้าน ใจ สติปัญญา กาย และสภาพแวดล้อม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพื่อให้เป็นคนคุณภาพของสังคม (๔) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาค กำหนดให้มีกลไกการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (๕) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดให้มีการใช้ รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนบนหลักการของการมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาล และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ กำหนดให้มีการปรับปรุงกลไกภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น และให้พิจารณาแนวทางหรือกำหนดกลไกที่ทำให้ร่างยุทธศาสตร์ชาติสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำร่างยุทธศาสตร์ชาติที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
382 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2561 และแนวโน้มปี 2561 | นร11 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวร้อยละ ๔.๘ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๐ ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ ๒๐ ไตรมาส และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๒.๐ (QoQ_SA) โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๓.๖ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ ๑.๙ การลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๔ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า ๖๑,๗๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๙.๙ การนำเข้าสินค้ามีมูลค่า ๕๕,๑๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๖.๓ การผลิตสาขาอุตสาหกรรม และสาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมแซมขยายตัวเร่งขึ้น สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการขนส่งและการคมนาคมขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมและสาขาก่อสร้างกลับมาขยายตัวและเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ ๑.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖ บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๗.๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (๕๓๙.๗ พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๓ ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ อยู่ที่ ๒๑๕.๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ มีมูลค่าทั้งสิ้น ๖,๔๕๔.๒ พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๒ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๒-๔.๗ (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ ๔.๕) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกและระดับราคาสินค้าในตลาดโลก แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาลและการลงทุนภาครัฐยังอยู่ในเกณฑ์สูง การฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นและการกระจายตัวมากขึ้นของฐานรายได้ประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๘.๙ การบริโภคภาคเอกชน และการสะสมทุนถาวรรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๗ และร้อยละ ๔.๗ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๗-๑.๗ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๘.๔ ของ GDP
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
383 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (Multi-dimensional Country Review : Thailand's MDCR) | นร11 | 15/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (Multi-dimensional Country Review : Thailand’s MDCR) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำรายงานในระยะที่ ๑ การประเมินสถานการณ์ประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ร่วมกับทีม MDCR ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) จัดทำข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์ของประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมืองและการปกครอง รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากที่ประชุม Economic Development and Review Committee (EDRC Meeting) (ซึ่งมีผู้แทนประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นผู้วิจารณ์หลัก) และที่ประชุม Mutual Learning Group for Multidimensional Country Reviews (MLG-MDCRs) (ซึ่งมีผู้แทนประเทศเปรูและคาซัคสถานเป็นผู้วิจารณ์หลัก) โดยมีประเด็นความคิดเห็นที่สำคัญต่าง ๆ เช่น ควรวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก จีน และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนการคาดการณ์และประมาณการเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย ควรวิเคราะห์การเพิ่มผลิตภาพการผลิตของภาคเกษตร และควรวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณและแผนการใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญของการวิเคราะห์ความยั่งยืนทางการคลัง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการจัดทำรายงานฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แถลงข่าวเปิดตัวรายงานฯ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๑ ๒. การจัดทำรายงานในระยะที่ ๒ การวิเคราะห์เชิงลึกในประเด็นเชื่อมโยงหลากหลายมิติพร้อมข้อเสนอนโยบาย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประชุมหารือกับทีม MDCR ของ OECD และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเลือกประเด็นการพัฒนาที่ต้องการศึกษาในเชิงลึกระยะที่ ๒ โดยมี ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) รูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาโครงสร้างนอกระบบในสังคมไทยสูง (๒) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเข้มข้นเป็นความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ และ (๓) การบริหารจัดการและการให้บริการภาครัฐที่ยังขาดการบริหารจัดการให้เกิดความเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทีมงาน MDCR ของ OECD จะเดินทางมาเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานระยะที่ ๒ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ และจะมีการประชุม MLG-MDCRs ณ OECD สำนักงานใหญ่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อพิจารณาร่างรายงานระยะที่ ๒ รวมทั้งการปรับปรุงร่างรายงานฯ ร่วมกับ OECD ในวันที่ ๒๔-๒๖ กันยายน ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
384 | การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง | นร10 | 01/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โดยที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการแต่ละประเภทยังคงมีบทบัญญัติที่กำหนดให้ข้าราชการอาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจได้ โดยกรณีศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และองค์กรอัยการ เมื่อองค์กรดังกล่าวพิจารณากำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวแล้ว จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งในขั้นตอนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จะมีการสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเหตุผลความจำเป็นและความเป็นธรรมในภาพรวม จึงเห็นควรให้คงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวในส่วนของศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และองค์กรอัยการไว้ก่อน ๒. เห็นควรแยกการกำหนดค่าตอบแทนของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มากำหนดเป็นกฎหมายเฉพาะ สำหรับกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมให้มีบทบัญญัติเพื่อให้มีอำนาจพิจารณากำหนดเงินเพิ่มในลักษณะเดียวกันกับศาลยุติธรรมและศาลปกครอง เห็นควรให้พิจารณาทบทวนบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในโอกาสต่อไป ๓. เห็นควรนำการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มากำหนดเพิ่มเติมไว้ในร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๔. เห็นควรรวมร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นฉบับเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
385 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว โดยการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศจะพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดการเงินในแต่ละช่วงเวลา โดยมีกลไกการกำกับติดตาม และประเมินสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงได้มีการกำหนดกระบวนการกำกับดูแลการก่อหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบรัดกุม ทั้งการกำกับดูแลจากหน่วยงานกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ซึ่งผ่านกลไกทางกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน (กฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กฎหมายจัดตั้งท้องถิ่น มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง) รวมทั้งกฎหมายที่จะตราขึ้นในอนาคต (ร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ซึ่งได้กำหนดมาตรการกำกับดูแลการก่อหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้อย่างครบถ้วน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
386 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงิน โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๑ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๓.๗ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีในทุกตลาดส่งออกสำคัญและในเกือบทุกหมวดสินค้า และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูง ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๖ ใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกของปีซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๗ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๑ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๐ ที่อัตราร้อยละ ๓.๙ จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่องตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัวชัดเจน ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ โดยในการตัดสินนโยบายอัตราดอกเบี้ย กนง. ได้คำนึงถึงผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-offs) ทั้งในด้านระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินภายใต้ภาระอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และเห็นว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันมีความเหมาะสม ๓. การติดตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยแม้ว่ามีทิศทางขยายตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง แต่การส่งผ่านผลดีจากการขยายดังกล่าวไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนและมีแนวโน้มใช้ระยะเวลานานกว่าในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยประเด็นที่ กนง. ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคุณภาพสินเชื่อในบางธุรกิจที่ยังด้อยลงแม้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรและธุรกิจ SMEs
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
387 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๔.๑ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนภาครัฐหดตัวเนื่องจากการลงทุนบางส่วนยังเผชิญกับข้อกำจัดด้านประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของบางหน่วยงาน ทำให้ล่าช้าออกไปจากแผน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนด้านเสถียรภาพต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากเห็นว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังเอื้อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายเพียงพอและสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ มีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ๒.๓ ด้านนโยบายระบบชำระเงิน ธปท. ได้ส่งเสริมและพัฒนาบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการระบบพร้อมเพย์ และผลักดันให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการใช้มาตฐาน Quick Response Code (QR Code) เพื่อการชำระเงินและการโอนเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค เพิ่มช่องทางการรับเงินของภาคธุรกิจที่สะดวก และต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมการเชื่อมโยงระบบหรือบริการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยการผลักดันให้มีกฎระเบียบที่รองรับและเอื้อต่อการชำระเงินข้ามพรมแดน และกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
388 | สถานการณ์ด้านแรงงานเดือนมกราคม 2561 และประมาณการไตรมาส 1 ปี 2561 | รง | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์ด้านแรงงานเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การจ้างงาน ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อัตราการจ้างงานขยายตัวร้อยละ ๓.๑๖ (YoY) และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๓.๑๓ (YoY) เนื่องจากภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวลง และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล โดยประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ อัตราการจ้างงานจะขยายตัวร้อยละ ๒.๑๗ (YoY) และแนวโน้มการจ้างงานในภาพรวมปี ๒๕๖๑ อยู่ในภาวะปกติ ๒. สถานการณ์การว่างงาน ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๒๖ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๙๖ เนื่องจากผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและอยู่ระหว่างการรองานมีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึงในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานเพิ่มขึ้น โดยประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ จะมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๐.๘๙ ๓. สถานการณ์การเลิกจ้าง ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา ๓๓ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๒ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๑ เนื่องจากในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานเพิ่มขึ้น ๔. ประเด็นด้านแรงงานที่น่าสนใจ คือ ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาผลิตภาพแรงงานต่ำ เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น แรงงานมีความชำนาญหรือทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลก เป็นต้น โดยกระทรวงแรงงานได้จัดทำแผนแม่บทการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและแผนปฏิบัติการการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) เพื่อใช้เป็นกรอบในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้านผลิตภาพแรงงาน และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย ๔.๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
389 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2560 | นร11 | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ทางสังคม มีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ค่าจ้างแรงงานภาคเกษตรและสาขาบริการ ผลิตภาพแรงงานขยายตัวได้ดี หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว การพัฒนาคุณภาพการศึกษายังต้องเร่งดำเนินการ การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อ การตั้งครรภ์ในกลุ่มวัยรุ่นลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูงและยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เด็กและเยาวชนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไปในทางไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กและเยาวชน คดีอาญาลดลง การเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลลดลง ประชาชนมีการออมเพื่อเกษียณอายุเพิ่มขึ้น การสื่อสารกับผู้บริโภคเป็นช่องทางสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค ๒. ประเด็นเฝ้าระวังและที่ต้องดำเนินการในปี ๒๕๖๑ ได้แก่ การติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ การป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคซึมเศร้าและการลดภาวะทุพพลภาพจากอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย และการขยายหลักประกันทางสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
390 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมกราคม 2561 | พณ | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทย (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เดือนมกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๑๓.๗ สูงขึ้นร้อยละ ๙.๒ (YoY) ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ ๑๑.๙ ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคบริการขยายตัวในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เกิดจากจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนเพิ่มทุนในสาขาบริการมากขึ้น มูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มทุนสูงขึ้น และดัชนีราคาหุ้นภาคบริการในตลาดหลักทรัพย์ขยายตัวเร่งขึ้น ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา ขยายตัวเกือบทุกสาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น คือ การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และการศึกษา ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๒ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายได้ดี ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน สุขภาพ ขายส่งและการขายปลีก และก่อสร้าง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
391 | ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เสนอ ไปตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาในประเด็น (๑) โครงสร้างขององค์กร ควรพิจารณาจัดกลุ่มงานตามภารกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน (๒) ระบบการทำงาน ควรมีการจำกัดการใช้ดุลพินิจเพื่อป้องกันการเรียกรับสินบน และควรมีบทเพิ่มโทษสำหรับเจ้าพนักงานตำรวจที่กระทำผิด ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบ และถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม (๓) การบริหารงานบุคคล ควรพิจารณาให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้งตามชั้นยศ โดยเทียบเคียงกับการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการทหาร โดยการแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม และให้มีการร้องเรียนได้ และความเห็นของที่ประชุมร่วมระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเด็นด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ตรวจพิจารณาไปพลางก่อน ทั้งนี้ เพื่อรอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับภารกิจ อำนาจหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาและระบบการสอบสวนคดีอาญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงการเพิ่มอัตราเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เงินเพิ่มพิเศษรายเดือน เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่ประจำอยู่ในต่างประเทศหรือตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ และเงินเพิ่มอื่นหรือเงินช่วยเหลือ เป็นประจำทุกห้าปี จะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจ การดำรงชีพที่เปลี่ยนแปลงไป และเทียบเคียงได้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนี่ง พร้อมกับความเห็นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติซึ่งจะได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในส่วนของการบริหารงานบุคคล และร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เกี่ยวกับภารกิจ อำนาจหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาและระบบการสอบสวนคดีอาญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาประกอบการพิจารณาในคราวเดียวกัน ๒. ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เร่งรัดการจัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยด่วนต่อไป ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ พิจารณาการปรับปรุงอัตราค่าครองชีพและเงินเพิ่มต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
392 | ขอความเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. 2562 และเห็นชอบในหลักการต่อร่างขอบเขตการฝึก (Concept Note) สำหรับเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. 2562 | มท | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. ๒๕๖๒ และเห็นชอบในหลักการต่อร่างขอบเขตการฝึก (Concept Note) สำหรับเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. ๒๕๖๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบการตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉินระดับชาติตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ (การสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน) โดยเฉพาะการพัฒนาและทดสอบการประสานการรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความรู้และการฝึกซ้อมการเผชิญเหตุแผ่นดินไหวของประเทศสมาชิกอาเซียนและเอเชีย-แปซิฟิก กำหนดจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) พิจารณาหารือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อขอปรับปรุงขอบเขตและเนื้อหาสาระของการจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ให้ครอบคลุมถึงภัยที่เกิดจากสภาวการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในเขตเมืองด้วย เช่น ไฟป่า ปัญหาฝุ่นละออง น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
393 | การขยายผลธนาคารปูม้า เพื่อ "คืนปูม้าสู่ทะเลไทย" | นร04 | 06/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายผลธนาคารปูม้าเพื่อ “คืนปูม้าสู่ทะเลไทย” ไปสู่ชุมชนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วในชุมชนชายฝั่ง จำนวน ๕๐๐ ชุมชน ในระยะเวลา ๒ ปี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นหน่วยงานบูรณาการหลักและหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมดำเนินการ ประกอบด้วย (๑) กรมประมง (๒) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (๓) ธนาคารออมสิน (๔) บริษัทประชารัฐรักสามัคคี (๕) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ (๖) กระทรวงพาณิชย์ โดยการนำผลงานวิจัยที่มีองค์ความรู้เดิมและมาต่อยอดเพื่อเพิ่มอัตราการรอดของลูกปูม้า ก่อนปล่อยคืนสู่ทะเล และการขยายผลของธนาคารปูม้าที่มีอยู่และประสบความสำเร็จไปสู่ชุมชนอื่น ๆ อย่างเหมาะสมกับบริบทพื้นที่และสภาวะชุมชน โดยการสนับสนุนเงินทุน (สินเชื่อ) ในการจัดตั้งธนาคารปูม้า และสนับสนุนการตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบ e-commerce เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) เสนอ ทั้งนี้ ให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าวในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่กรมประมงได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมให้ความรู้แก่ชุมชน เรื่อง การจัดตั้งธนาคารปูม้าและติดตามผล ๑๕ แห่ง จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท และที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมการจัดการความรู้และเผยแพร่ผลผลิตจากผลการวิจัย และสิ่งประดิษฐ์ไปสู่การใช้ประโยชน์ จำนวน ๑๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายและพื้นที่ดำเนินงาน ควรคำนึงถึงความพร้อมและความต้องการของชุมชนเป็นหลัก โดยประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนรับทราบประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สิน ในกรณีที่ชุมชนไม่สามารถบริหารจัดการสินเชื่อที่ได้รับจากธนาคารออมสินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเสี่ยงจากการขาดความต่อเนื่องในการดำเนินงานร่วมกันของคนในชุมชน รวมทั้งควรจัดให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรค ความสำเร็จ และผลกระทบจากการดำเนินงาน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเกิดความยั่งยืนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
394 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 | ทส | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๔ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครราชสีมา ระยะที่ ๒ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง) ครั้งที่ ๒ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่อำเภอสูงเนิน อำเภอปักธงชัย อำเภอโชคชัย และอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ๒. โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) (ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ๓. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๔. การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๔๐ (กรณีจัดซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย เทศบาลเมืองเลย จังหวัดเลย) เนื่องจากเทศบาลเมืองเลยยังไม่ได้ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ประกอบกับสภาพพื้นที่ตามแนวเขตท่อ และจุดพักน้ำเสียจากการศึกษาออกแบบ ได้เปลี่ยนแปลงไปสำหรับการจัดการน้ำเสียในเขตเทศบาลเมืองเลย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
395 | ขออนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท ออกไปอีก 1 ปี | คค | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินงานและให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ให้ รฟท. ขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งควบคุมและลดรายจ่ายเพื่อบรรเทาสภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ รฟท. ควรใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวตามช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อเป็นการสร้างวินัยทางการเงินการคลังและลดภาระต้นทุนทางการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ รฟท.ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑) อย่างเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
396 | สรุปภาพรวมดัชนีราคาปี 2560 และแนวโน้มปี 2561 | พณ | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมดัชนีราคาปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาสำคัญ ปี ๒๕๖๐ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๖ ดัชนีราคาผู้ผลิต สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗ และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง สูงขึ้นร้อยละ ๑.๙ ๒. ภาวะเศรษฐกิจจากดัชนีราคา ปี ๒๕๖๐ ราคาสินค้าอุปโภคโดยเฉลี่ยสูงขึ้นจากปี ๒๕๕๙ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง และราคาเกี่ยวกับการตรวจรักษา การศึกษา และยานพาหนะ ราคาอาหารสดผันผวนตลอดปี โดยเฉพาะช่วงก่อนและหลังอุทกภัย โดยเฉลี่ยราคาลดลงทั่วประเทศ เนื่องจากอุปทานที่ออกมาจำนวนมาก สะท้อนจากราคาที่ผู้ผลิตขายหน้าฟาร์มลดลง เช่น ปาล์ม ผัก ไก่ และสุกร ราคาอาหารสำเร็จรูป อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้านสูงขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร และเมืองท่องเที่ยว เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และราคาส่วนประกอบและเครื่องปรุงอาหารที่สูงขึ้น ๓. ดัชนีราคาระดับภูมิภาค และรายจังหวัด เดือนมกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๐ พบว่าภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ราคาสินค้าทุกประเภทเพิ่มสูงขึ้นมากว่าภาคอื่น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากอยู่ในภูมิภาคที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามด้วยภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคอื่น ๆ ในขณะที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีราคาอาหารสดที่ลดลงมากกว่าภาคอื่น ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญ ๔. สัดส่วนการใช้จ่ายของประชาชน ปี ๒๕๖๐ พบว่าค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ยทั้งประเทศ คิดเป็น ๒๐,๓๔๗ บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คิดเป็น ๑๑,๕๐๗ บาทต่อเดือน และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในชนบท คิดเป็น ๑๔,๙๓๖ บาทต่อเดือน ๕. แนวโน้มเงินเฟ้อ ปี ๒๕๖๑ กระทรวงพาณิชย์ประมาณการไว้ที่ร้อยละ ๐.๗-๑.๗ ต่อปี ภายใต้สมมุติฐาน GDP ของไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๖-๔.๖ ราคาน้ำมันดิบดูไบ ๕๕-๖๕ ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน ๓๒-๓๔ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งได้ปรับตามค่าแรงขั้นต่ำที่จะมีผลในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เพิ่มขึ้น ๑๐.๕ บาททั่วประเทศ ซึ่งส่งผลทำให้ต้นทุนราคาสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๐.๕ อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสแรก ๖. จากดัชนีราคาสำคัญในปี ๒๕๖๐ มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐในด้านต่าง ๆ ทั้งการดูแลราคาสินค้าและการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการประชารัฐ รวมถึงการส่งเสริมสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคของร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้อีกทางหนึ่ง และสามารถขยายการดำเนินการ โดยเพิ่มประเภทสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารและเร่งกระจายร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่ (Mobile unit) สำหรับประชาชนทั่วไป อาจต้องหามาตรการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทาง ค่าพาหนะ และเคหสถานต่อไปในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
397 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนธันวาคม 2560 | พณ | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ อยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๖ สูงขึ้นร้อยละ ๕.๘ (YoY) เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๑ ติดต่อกัน และรวมทั้งปี ๒๕๖๐ ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการ (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๔ (YoY) ซี่งสะท้อนถึงสถานการณ์การค้าภาคบริการที่ยังอยู่ในระดับดี ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขาเกือบทุกสาขาปรับตัวดีขึ้นในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะสาขาอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ ๒๔.๑ สาขาการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ ๑๓.๗ สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ ๑๐.๑ และสาขาการขายส่งและขายปลีกขยายตัวร้อยละ ๙.๓ ที่มีอัตราการขยายตัวดีกว่าดัชนีรวม ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพ และแนวโน้มการขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาอสังหาริมทรัพย์ สาขาบริการทางการเงิน สาขาสุขภาพ และสาขาขายส่งและการขายปลีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
398 | สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมกราคม 2561 | พณ | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๐.๖๖ และหากเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ จากการปรับขึ้นราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงตามราคาตลาดโลก การปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มและยาสูบ อาหารสำเร็จรูป การขนส่ง และเคหสถาน ในขณะที่เครื่องนุ่งห่ม ผลไม้และสินค้าเกษตรบางรายการลดลงตามการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาก๊าซหุงต้มที่ลดลงจากการลอยตัวราคาตามกลไกตลาด ๒. ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๑ จากการลดลงของราคาหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและหมวดเกษตรกรรม โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร ไม้ ยางและพลาสติก เครื่องไฟฟ้า ยานพาหนะ ขณะที่หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองสูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มแร่โลหะ ทั้งนี้ หากเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนนี้สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔ ในทุกหมวด ๓. ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๘ และเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗ จากการปรับขึ้นราคาของหมวดต่าง ๆ เช่น เหล็ก ซีเมนต์ ไม้ และคอนกรีต รวมทั้งหมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ อาทิ ยางมะตอย ๔. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๐.๖๖ รวมทั้งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นเดือนที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดของปี ๒๕๖๐ สะท้อนว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในปี ๒๕๖๑ เริ่มมีทิศทางเข้าสู่เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ มากขึ้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี ๒๕๖๑ ให้อยู่ระหว่างร้อยละ ๐.๗-๑.๗ ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ทั้งนี้ จากดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลง ชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของดัชนีราคาผู้บริโภคน่าจะเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์และกำลังซื้อในภาคการผลิตและบริการ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ ๘๕ ของ GDP และมีอิทธิพลมากกว่าการลดลงของราคาและกำลังซื้อในภาคเกษตร คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ ๑๕ ของ GDP สะท้อนว่าภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวในทิศทางที่สนับสนุนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
399 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2560 ทั้งปี 2560 และแนวโน้มปี 2561 | นร11 | 20/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ทั้งปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ ๔.๐ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๓ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๐.๕ (QoQ_SA) รวมทั้งปี ๒๕๖๐ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๙ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ในปี ๒๕๕๙ สำหรับเศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๓.๙ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ในปี ๒๕๕๙ ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖-๔.๖ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเร่งขึ้นและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากขึ้น แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาลที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น รวมทั้งการขยายตัวในเกณฑ์ดีของสาขาเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๐ และการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงานและฐานรายได้ของประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลจากรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ทั้งปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณากำหนดนโยบาย/แผนงาน/โครงการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินการของรัฐบาลให้ประชาชนทราบเป็นระยะอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยให้พิจารณาช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและสามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่มด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
400 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2560 และคาดการณ์เดือนธันวาคม 2560 | อก | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ และคาดการณ์เดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๒๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๕๓๙.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๙.๓ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๘๖๓.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๑.๔ (YoY) ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๐-๒.๕ (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัว อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตน้ำมันจากพืช
|
.....