ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
361 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2559 | สปสช. | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ โดยมีข้อสังเกตหมายเหตุประกอบการเงินข้อ ๑๑ เจ้าหนี้ค่าบริการทางการแพทย์มีจำนวนสูงขึ้น เนื่องจากมีการปรับประสิทธิภาพการประมวลผลการเรียกเก็บหนี้และการบันทึกรายการความต้องการใช้ยาเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยการไปยืมยาและเวชภัณฑ์จากองค์การเภสัชกรรม และข้อสังเกตหมายเหตุประกอบการเงินข้อ ๑๙ ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีการเบิกค่าใช้จ่ายให้กับผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง เช่น อายุต่ำกว่า ๖๐ ปี มีเลขที่บัตรประชาชนไม่ครบ ๑๓ หลัก รายชื่อไม่ครบถ้วน มีสิทธิข้าราชการ มีสิทธิประกันสังคม และมีสิทธิข้าราชการท้องถิ่นที่ไม่เข้าเงื่อนไข เป็นต้น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
362 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2560 | สช | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ ซึ่งประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น (๒) การพัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษา (๓) ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และ (๔) การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน โดยมติฯ ทั้ง ๔ เรื่องดังกล่าวได้ขอให้ทุกภาคส่วนในสังคม ได้แก่ รัฐบาล หน่วยราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กรภาคีต่าง ๆ ทั้งธุรกิจเอกชน องค์กรเอกชน ประชาสังคม องค์กรวิชาชีพ สถาบันวิชาการ และสมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการติดตามผลการดำเนินการมาเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในคราวต่อ ๆ ไป และเสนอต่อสาธารณะต่อไปด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้หน่วยงานทุกภาคส่วนสนับสนุนมติดังกล่าวเพื่อสานพลังให้เกิดการขับเคลื่อนสู่รูปธรรมและประชาชนมีสุขภาพดีถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน และเห็นควรให้สร้างความรู้ความเข้าใจถึงความหมายของกิจกรรมทางกายและพื้นที่เล่นแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
363 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 22 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 4 | กค | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ (ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ ๔ (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุม AFMM ครั้งที่ ๒๒ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจ และความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิก เช่น ด้านศุลกากร ด้านการประกันภัยในอาเซียน ด้านการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและการต่อต้านการฟอกเงิน เป็นต้น ๑.๒ การประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) การสนับสนุนให้ใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งในการรับมือกับภัยพิบัติ และการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็นประโยชน์มากขึ้น รวมทั้งการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการด้านการเงินการคลังอาเซียนภายใต้แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ เช่น การเปิดเสรีบัญชีทุนเคลื่อนย้ายที่ปัจจุบันไทยได้ร่วมจัดตั้งกลไกการชำระเงินสกุลท้องถิ่นแบบทวิภาคีกับมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้ว และการเร่งเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในระบบดิจิทัลของประเทศสมาชิก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันจัดทำแถลงการณ์ร่วมของการประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมการประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันไทยด้านนโยบาย ดังนั้น หากเป็นไปได้ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องควรเสนอร่างถ้อยแถลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนตามนัยมาตรา ๔(๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ก่อนเข้าร่วมการประชุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
364 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2560 | สสส. | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๔๔ ประจำปี ๒๕๖๐ ตามที่กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงหลักต่อสุขภาพและผลงานเด่นในปี ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) เดินหน้าสร้างสังคมไทยปลอดควันบุหรี่ (๒) ปกป้องเยาวชนไทยไม่ตกเป็นเหยื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (๓) ร่วมสร้างกลไกป้องกันอุบัติเหตุระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน (๔) ร่วมวางฐานรากพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิตเด็กไทยทุกช่วงวัย (๕) สร้างภูมิคุ้มกันลดปัจจัยเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) (๖) พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ “สูงวัยอย่างมีคุณค่า” (๗) Balloon Model สร้างเสริมสุขภาวะคนไร้บ้าน และ (๘) พัฒนา Model ส่งต่อ “การให้” สร้างสรรค์สังคมเพื่อทุกคน ๒. ผลการดำเนินงานสำคัญตามเป้าประสงค์ ๖ เป้าประสงค์ ในปี ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) ลดปัจจัยเสี่ยงหลัก โดยการสานและเสริมพลังการดำเนินงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้บรรลุผลในการลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ ด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบ การควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด การลดอุบัติเหตุจราจรและอุบัติภัย สร้างสุขนิสัยในการออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารสุขภาพ (๒) พัฒนากระบวนการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอื่น ๆ โดยพัฒนากลไกที่จำเป็นสำหรับการลดปัจจัยเสี่ยงนอกเหนือจากเป้าประสงค์ที่ ๑ และสร้างขีดความสามารถของบุคคลที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (๓) พัฒนาต้นแบบสุขภาวะ โดยเพิ่มขีดความสามารถเชิงสถาบันและส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรในการพัฒนาสุขภาวะองค์รวมหรือแก้ไขปัญหาสำคัญของตน โดยพัฒนากระบวนการต้นแบบและกลไกขยายผลเพื่อมุ่งพัฒนาสังคมสุขภาวะในระยะยาวอย่างยั่งยืน (๔) สร้างความตื่นตัวและค่านิยมใหม่ในสังคม โดยสร้างค่านิยมและโอกาสการเรียนรู้ในการสร้างเสริมสุขภาวะผ่านระบบสื่อและวิถีทางปัญญาให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เพื่อสร้างการเรียนรู้ผ่านกระบวนการสื่อสร้างสรรค์ให้สังคมไทยให้ความร่วมมือกับการรณรงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนบรรลุเป้าประสงค์อื่น ๆ (๕) ขยายโอกาสในการสร้างนวัตกรรม โดยขยายโอกาสและพัฒนาศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาวะ ทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึง การสร้างผู้นำและประชาชนได้รับผลประโยชน์จริง และ (๖) ส่งเสริมสมรรถนะของระบบสุขภาพและบริการสุขภาพ โดยเพิ่มสมรรถนะระบบบริการ และระบบสนับสนุนในการสร้างเสริมสุขภาวะ และเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการบริหารจัดการทั้งในประเทศและนานาชาติ ๓. การตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการทำงานในปี ๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) รายงานของคณะกรรมการประเมินผล (๒) รายงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน และ (๓) รายงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
365 | โครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 4 (ปี 2561-2565) | กษ | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการทุนศึกษาต่อในประเทศของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ ๔ (ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๕๐ ทุน แบ่งเป็นทุนระดับปริญญาโท จำนวน ๒๕ ทุน และทุนระดับปริญญาเอก จำนวน ๒๕ ทุน งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น ๖๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายเพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ภายใต้แผนงานพื้นฐานด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลผลิตอำนวยการและบริหารจัดการด้านการเกษตร งบเงินอุดหนุน รายการค่าใช้จ่ายทุนการศึกษาของบุคลากรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓,๓๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การส่งเสริมให้ผู้สำเร็จการศึกษาได้ทำวิจัยอย่างจริงจังหลังจากสำเร็จการศึกษา การแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดสรรทุนกับแหล่งทุนอื่น ๆ การประเมินผลในเรื่องการนำความรู้หรือผลงานทางวิชาการไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานจริงที่เป็นรูปธรรม และการต่อยอดเพื่อพัฒนาสู่การเป็นนักวิจัยที่พร้อมปฏิบัติงาน รองรับกิจกรรมวิจัยและนวัตกรรมของภาคการผลิต บริการ สังคม ชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนอัตรากำลังคนภาครัฐและแผนการพัฒนาบุคลากรภาครัฐภาพรวมในระยะยาว (การจัดสรรทุนรัฐบาลให้กับหน่วยงานต่าง ๆ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยแผนดังกล่าวต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งให้พิจารณากำหนดกลไกและหลักเกณฑ์กลางที่เป็นมาตรฐานในการพิจารณาจัดสรรทุนรัฐบาลให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ โดยให้คำนึงถึงสาขาวิชาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาประเทศ และการทดแทนอัตรากำลังคนในสาขาที่ขาดแคลนของบุคลากรภาครัฐเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณากำหนดให้มีกลไกในการทบทวนแผนอัตรากำลังคนภาครัฐฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมในการพัฒนาประเทศที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ๓. ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่มีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรทุนการศึกษาจากรัฐบาลจัดส่งเรื่องพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดสัดส่วนของสาขาวิชาเพื่อให้สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนและความต้องการในการเตรียมและพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน การวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและแผนอัตรากำลังคนเพื่อทดแทนบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น ให้กับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาก่อนดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
366 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... | กค | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคม ผ่านหน่วยงาน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบากทุกประเภท ตลอดจนการจัดประชารัฐสวัสดิการ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพิ่มศักยภาพ และพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมอย่างครบวงจรสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นควรกำหนดลักษณะของรายจ่ายสวัสดิการและหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนให้ชัดเจน และควรมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมพิจารณารายจ่ายเงินของกองทุนมิให้มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานภาครัฐอื่น รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจและฐานรากอย่างเคร่งครัดด้วย นอกจากนี้ ควรเพิ่มปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
367 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 51 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 21 | กค | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่ ๕๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๓-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB ครั้งที่ ๕๑ ภายใต้หัวข้อ “Linking People and Economies for Inclusive Development” โดยประธาน ADB ได้กล่าวถึง ADB Strategy 2030 ซึ่งจะใช้เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวในการดำเนินงานของ ADB โดย ADB ยังคงเป้าหมายสูงสุดในการขจัดความยากจน และขยายเป้าหมายให้ครอบคลุมการดำเนินงานเพื่อบรรลุความมั่งคั่ง การพัฒนาอย่างทั่วถึง และยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะมีการประกาศใช้ ADB Strategy 2030 อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงความท้าทายที่มีต่ออัตราการจ้างงานเมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงาน และการส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งได้ยกตัวอย่างการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เข้ากับการพัฒนาเทคโนโลยี ได้แก่ การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ๒. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกับประธาน ADB เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือระหว่างไทยและ ADB ในการพิจารณาแหล่งเงินกู้ในแต่ละโครงการของไทย และการหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินชั้นนำของต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลก และแนวทางการพัฒนาระบบสถาบันการเงินในภูมิภาค (๒) การหารือโต๊ะกลม (Governor’s Roundtable) ภายใต้หัวข้อ “The Role of Government in Harnessing New Technologies for Inclusive Growth” ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตของการผลิต และผลกระทบจากเทคโนโลยีต่อการจ้างงาน และการดำเนินนโยบายของประเทศต่าง ๆ ในการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคม และ (๓) การประชุม Governor’s Plenary ในหัวข้อ “New ADB Strategy 2030” ซึ่งมีการนำเสนอยุทธศาสตร์ของ ADB โดยมีเป้าหมายขจัดความยากจน รวมถึงการดำเนินการเพื่อให้เกิดความมั่งคั่ง การพัฒนาอย่างทั่วถึง และยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ๓. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องภาวะและแนวโน้นเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+๓ และรับทราบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) (๒) การจัดทำยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานในระยะปานกลางของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) และ (๓) ความคืบหน้าการดำเนินงานภายใต้มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative : ABMI) ๔. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ ADB ครั้งที่ ๕๒ และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๒ กำหนดจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองนาดี สาธารณรัฐฟิจิ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
368 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2561 | นร11 | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๑ เทียบกับไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๖๐ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๐.๒ โดยภาคนอกเกษตรลดลงร้อยละ ๒.๘ ภาคการเกษตรขยายตัวร้อยละ ๖.๐ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๑.๒ และรายได้แรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๓ รายได้และผลิตภาพแรงงานขยายตัวได้ดี ด้านหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๑ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงร้อยละ ๒.๓ แต่ต้องเฝ้าระวังโรคที่แพร่ระบาดในช่วงฤดูร้อน เช่น โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ด้านคดีอาญารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๖ โดยเฉพาะคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๒ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๑ แต่มีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๕.๙ มูลค่าความเสียหายลดลงร้อยละ ๒ และด้านค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ลดลงร้อยละ ๓.๑ และ ๒.๑ ตามลำดับ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชน ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมาย ในปี ๒๕๖๐ ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่ ๒ บัญชีรายชื่อที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน และคณะกรรมาธิการยุโรปด้านประมงและทะเลสหภาพยุโรปให้ “ใบเหลือง” เพื่อแจ้งเตือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เรื่อง การขาดมาตรการที่เพียงพอในการต่อสู้กับการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) และ (๒) เด็กและเยาวชนไทยกับการเล่นพนันทายผลฟุตบอล ซึ่งต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเด็กและเยาวชนช่วงอายุ ๑๕-๒๕ ปี โดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายเด็กและเยาวชนได้ร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกัน ปราบปราม และช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นระบบเพื่อลดผลกระทบจากการพนันฟุตบอล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
369 | ร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา | วท | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างตราสารต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างตราสารฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม (ร่างตราสารฯ มีกำหนดการลงนามในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ สหรัฐอเมริกา) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีกิจกรรมที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพย์สินทางปัญญา ควรดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๔๓ และควรให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในสาขาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งควรเพิ่มเติมประเด็นการนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์/การเงินมาใช้ดำเนินงานด้วย นอกจากนี้ ควรนำองค์ความรู้และผลการวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือมาใช้ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น และควรจัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอต่อการสนับสนุนโครงการที่จะเกิดขึ้นตามความร่วมมือดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาคมโลกเข้าใจถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของไทยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
370 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2561 | อก | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๔.๐ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลจากการส่งออกที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย รถยนต์ เม็ดพลาสติก ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๔๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๗,๔๕๔.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๕.๓ (YoY) ด้านสถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๓๑๑ โรงงาน ลดลงร้อยละ ๑๐.๑ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๔,๘๖๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๙ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๖๘ ราย ลดลงร้อยละ ๔๕.๖ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๒,๒๒๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
371 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Finance Ministers’ Meeting : ASEM FinMM) ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงโซเฟีย สาธารณรัฐบัลแกเรีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม ASEM FinMM ครั้งที่ ๑๓ มีผลการหารือใน ๓ ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การเตรียมการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ที่ประชุมได้สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปในการดำเนินนโยบายภาคการเงิน การคลัง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้าง พร้อมทั้งมาตรการดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคและสถาบันการเงิน (๒) การรับมือกับความท้าทายด้านภาษีระหว่างประเทศ โดยผู้แทนจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) ได้สนับสนุนให้สมาชิก ASEM เข้าร่วมภายใต้กรอบความร่วมมือ (Inclusive Framework) ของ OECD เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพของความร่วมมือระหว่างประเทศในการขจัดภาระภาษีซ้ำซ้อน และ (๓) การรับมือกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ในระบบการเงินโดยเฉพาะการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ที่ประชุมมุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการสร้างความไว้วางใจ เพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ของการประชุม ASEM FinMM ครั้งที่ ๑๓ ๒. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การประชุมหารือทวิภาคีกับรองผู้อำนวยการอันดับที่หนึ่งของ IMF ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย และ (๒) การประชุมหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยฝ่ายฟินแลนด์แสดงความสนใจต่อการดำเนินโครงการ National E-Payment ของไทย และเชิญชวนให้ไทยศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลและระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่ประสบความสำเร็จของฟินแลนด์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
372 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ติดตามการดำเนินโครงการติดตั้งเครื่องตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แล้วเสร็จและใช้ปฏิบัติงานได้โดยเร็ว เพื่อให้การตรวจสอบบุคคลที่ผ่านเข้า-ออกประเทศไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒. ด้านสังคม ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคติดต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลที่สำคัญ เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น โดยให้ข่าวสารทั้งในด้านสถานการณ์ ภาวะการระบาดของโรค และความรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรค รวมทั้งเฝ้าระวังและกำจัดพาหะนำโรคด้วย นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แก่นักเรียนให้ทั่วถึงอีกทางหนึ่งเพื่อสื่อสารไปยังผู้ปกครองและครอบครัวของนักเรียนต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาใช้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินการด้วย เช่น ใช้ระบบ QR code เป็นต้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เร่งรัดและติดตามการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาการนำเข้าขยะที่เป็นพิษและก่อให้เกิดมลภาวาะภายในประเทศสูง เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะปนเปื้อนกัมมันตรังสี เป็นต้น และให้พิจารณากำหนดมาตรการควบคุม ดูแล ตรวจสอบการนำเข้าขยะเหล่านี้ รวมทั้งการขนส่งขยะดังกล่าวไปยังโรงงานกำจัดขยะ และการกำจัดขยะให้ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น พิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ เช่น คลองที่เชื่อมโยงกับสถานที่สำคัญหรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม เช่น ตลาดน้ำ เป็นต้น และให้เร่งรัดการพัฒนาคูคลองและพื้นที่บริเวณริมคลองดังกล่าวให้มีภูมิทัศน์ที่สะอาดและสวยงาม โดยการปลูกไม้ดอกและ/หรือไม้ประดับที่มีสีสันสวยงามตามสภาพพื้นที่ รวมทั้งให้มีการจัดกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นให้ยึดหลักการที่ให้ประชาชนและชุมชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการให้มากที่สุดด้วย ๓.๓ ให้ทุกส่วนราชการนำหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” มาเป็นแนวทางในการดำเนินการเผยแพร่องค์ความรู้และใช้เป็นแหล่งกระจายข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีความสำคัญ เช่น โครงการไทยนิยม ยั่งยืน กลไกประชารัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ การเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวให้มุ่งเน้นความถูกต้องและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและติดตามการดำเนินงานของกรุงเทพมหานครในการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของการเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเชิงป้องกันและเยียวยาแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
373 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมีนาคม 2561 | พณ | 19/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๕ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๘.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๖ (YoY) ชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร้อยละ ๔.๓ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ การขายปลีก การเงิน การขนส่ง และที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สำหรับดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในไตรมาสที่ ๑ ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ เทียบกับร้อยละ ๑๐.๐ ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๐ โดยสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวสูงสุด ส่วนสาขาสำคัญอื่น ๆ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ทั้งการขายปลีก การขนส่ง การเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา ขยายตัว ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ประกอบด้วย ๔ สาขา ได้แก่ กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย การศึกษา บริการสุขภาพ และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้ามี ๔ สาขา ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขณะที่สาขาที่หดตัวมี ๕ สาขา ประกอบด้วย การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน และศิลปะ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาขายส่งและการขายปลีก ที่พักแรม บริการด้านอาหาร สาขาขนส่ง บริการทางการเงิน สาขาสุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
374 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง โครงการอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาวะและการเจริญเติบโตของนักเรียน ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง โครงการอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาวะและการเจริญเติบโตของนักเรียน โดยกระทรวงศึกษาธิการได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมาธิการฯ โดยมีข้อเสนอแนะให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อความเล็กน้อย เช่น เพิ่มเติมหน่วยงานในการตรวจวัดและประเมินนักเรียนเป็นระยะ ๆ เพิ่มเติมให้หน่วยงานจากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึงเข้าสู่วัยเรียน เพิ่มเติมหน่วยงาน องค์กร ที่จะสนับสนุนหลักโภชนาการในโรงเรียน รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำ “นมโรงเรียน” เป็น “อาหารเสริม (นม) โรงเรียน” เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
375 | ผลการประชุมสมัชชาเอฟ เอ โอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 34 | กษ | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสมัชชาเอฟ เอ โอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๓๔ ณ เมืองนาดี สาธารณรัฐฟิจิ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งผลการประชุมฯ มีประเด็นเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาคุณภาพชีวิตในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เช่น (๑) ประเทศสมาชิกเอฟ เอ โอ ควรร่วมกันขจัดความหิวโหยและการขาดแคลนสารอาหาร และแก้ไขปัญหาภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม ผ่านการจัดการดิน น้ำ และสภาพอากาศอย่างเหมาะสมต่อการผลิตสินค้าเกษตร การส่งเสริมการทำการเกษตรแบบผสมผสาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลาย ซึ่งเป็นพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (๒) ไทยได้ดำเนินการผลักดันประเด็นที่สำคัญ โดยให้ประเทศสมาชิกเอฟ เอ โอ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกได้รับรู้และดำเนินการเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ความมั่นคงทางอาหารและความยากจน ผ่านหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน และการจัดการทรัพยากรดินและน้ำผ่านโครงการไทยนิยม ยั่งยืน รวมทั้งการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) (๓) รับทราบประเด็นที่ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกให้ความสำคัญในการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การทำเกษตรอย่างยั่งยืน การสร้างความรู้และเข้มแข็งให้เกษตรกรรายย่อย และการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ เป็นต้น และ (๔) การหารือทวิภาคีระหว่างไทยและเกาหลีในประเด็นการเร่งรัดการเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกัน และการหารือระหว่างไทยกับฟิจิในประเด็นการเร่งรัดให้เปิดตลาดสินค้าเกษตรและถ่ายทอดองค์ความรู้ของไทยให้แก่ฟิจิ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปฏิบัติตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการขจัดความหิวโหยเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
376 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้พิจารณาและแก้ไขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ แล้ว โดยได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างยุทธศาสตร์ชาติตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้คำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุมและอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขตัวชี้วัด ประเด็นยุทธศาสตร์ และการใช้คำศัพท์ให้ถูกต้อง เหมาะสม และสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติปรับแก้ไขถ้อยคำตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้อง ชัดเจน แล้วให้นำเสนอประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ชาติฉบับภาษาอังกฤษสำหรับใช้ในการเผยแพร่และสร้างการรับรู้แก่ประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
377 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม 2561 และแนวโน้มปี 2561 | อก | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๒.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ น้ำตาลทราย การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และน้ำมันพืช ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๘๐.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๒.๙ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๗,๔๙๖.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๕.๙ (YoY) ด้านสถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๓๔๖ โรงงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๕ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๑,๙๐๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๑๓.๖ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๑๒๗ ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๒.๓ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๑,๙๔๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑๕.๒ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย ปี ๒๕๖๑ จะขยายตัวเป็นบวกในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๐ (ปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๒.๕) โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ สำหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
378 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2561 เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ | สลธ.คสช. | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๖๑ เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งไม่อาจชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยขยายระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ เพื่อให้สามารถประกอบกิจการและชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ในที่สุดบนพื้นฐานความเป็นจริงในสังคม ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
379 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทย (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๔.๙ (YoY) โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวสูงขึ้น ได้แก่ การขายส่งและขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร โดยปัจจัยที่ทำให้ภาคบริการขยายตัว มาจากการขยายตัวสูงของจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนเพิ่มทุน มูลค่าส่งออกบริการ และดัชนีราคาหุ้นภาคบริการในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของมูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มทุน จำนวนนิติบุคคลและมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สุทธิ เงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SMEs ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา มีสาขาภาคบริการที่ขยายตัว จำนวน ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และศิลปะ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ และการศึกษา ขณะที่สาขาที่หดตัว ได้แก่ การก่อสร้าง ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร กิจกรรมด้านสุขภาพ กิจกรรมการบริหาร และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเห็นการปรับรูปแบบการบริการที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อรองรับยุคดิจิทัล สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาการขายส่งและขายปลีก สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาสุขภาพ และสาขาอสังหาริมทรัพย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
380 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และแนวโน้มไตรมาสที่ 2 ปี 2561 | อก | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และแนวโน้มไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๔.๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันพืช และ Hard Disk Drive ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๙๕.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๙๐๒.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) สำหรับสถานสภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๒๗๘ โรงงาน ลดลงร้อยละ ๑๘.๒๔ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๓,๗๘๓ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๙.๙๑ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๙๖ ราย ลดลงร้อยละ ๓๐.๔๓ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๙๐๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๗๕.๔๔ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย ไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวเป็นบวกในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๐ (YoY) ขยายตัวมากกว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๐ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แรงขับเคลื่อนในการลงทุนภาครัฐ และการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
|
.....