ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 89 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1761 - 1780 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1761 | ผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ 1/2554 วันที่ 17 มกราคม 2554 เรื่อง ผลการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ เรื่อง ผลการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด และอนุมัติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมควบคุมมลพิษและกรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และการสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุม VOCs จากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม รวมทั้งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ จังหวัดระยอง ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ๑.๒ อนุมัติการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง รวมทั้งองค์ประกอบของคณะกรรมการศูนย์อำนวยการฯ อำนาจหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อำนวยการฯ ๑.๓ ให้จังหวัดระยองจัดทำรายละเอียดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารของศูนย์อำนวยการฯ โดยให้รวมถึงค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงานประจำศูนย์อำนวยการฯ ด้วย เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป และให้จังหวัดระยองจัดทำคำของบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ๑.๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการฯ โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่มาปฏิบัติงานประจำศูนย์อำนวยการฯ ดังกล่าว และมอบอำนาจให้หัวหน้าสำนักงานศูนย์อำนวยการฯ เพื่อให้สามารถควบคุมและกำกับให้โรงงาน/กิจการทุกประเภทมีการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมมลพิษ มาตรการ EIA กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๑.๕ ให้ศูนย์อำนวยการฯ พิจารณามาตรการจูงใจสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำศูนย์อำนวยการฯ ตามความเหมาะสม เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรกำหนดนโยบายในการควบคุมที่ชัดเจนโดยการห้ามจัดตั้งหรือไม่ส่งเสริมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมบางประเภทที่ก่อมลพิษสูง กำหนดนโยบายสนับสนุนเฉพาะอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้สารอินทรีย์ระเหยง่ายในการประกอบการและกำหนดมาตรฐานระบบการควบคุมการระบายอากาศภายในอาคารที่มีการเก็บสารอินทรีย์ระเหยง่ายหรือมีกระบวนการผลิตที่มีโอกาสเกิดสารอินทรีย์ระเหยง่าย การกำหนดมาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและระบบบำบัดมลพิษ การจัดสรรงบประมาณคืนกลับไปให้ท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมและเพียงพอ รวมทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการพัฒนาโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1762 | การนำเสนอร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559 ต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน และเป็นกรอบแนวทางในการติดตามประเมินผลการนำแผนไปสู่การปฏิบัติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ โดยร่างแผนพัฒนาฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างภูมิคุ้มกันในการดำรงชีวิตของเด็กและเยาวชน ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การคุ้มครองและพัฒนาเด็กที่ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษและเด็กพิเศษ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมและสนับสนุนความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กและเยาวชน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาระบบบริหารจัดการในการคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรแก้ไขสาระสำคัญของมาตรการย่อยในยุทธศาสตร์ที่ ๑ ความว่า “ทบทวนการเลื่อนชั้นเรียนโดยอัตโนมัติ พร้อมกับให้มีการใช้กระบวนการเยียวยา การสอนซ่อมเสริม (remedial teaching) เด็กที่มีปัญหาการเรียน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้” เป็น “ส่งเสริมให้ใช้กระบวนการเยียวยา เช่น การสอนซ่อมเสริม (remedial teaching) หรือการจัดคลินิกภาษา เป็นต้น ให้กับเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเรียน อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้”ส่วนการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๘๑ บัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. ย่อมมีอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น และย่อมมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างแผนฯ และประกาศบังคับใช้แล้ว สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพัฒนาเด็ก หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดควรประสานและชี้แจงทำความเข้าใจกับ อปท. ให้คำนึงถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนได้รับเป็นหลักต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1763 | ขออนุมัติหลักการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัด | กก | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัดให้ได้มาตรฐานระดับต่าง ๆ รวม ๙ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี ศรีสะเกษ อุดรธานี บึงกาฬ กระบี่ ยะลา แม่ฮ่องสอน ลำปาง และสุโขทัย เพื่อรองรับการฝึกซ้อม การแข่งขันกีฬาและการจัดกิจกรรมกีฬา ตั้งแต่ระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับชาติ ไปจนถึงระดับนานาชาติ รวมทั้งให้บริการแก่ประชาชนได้ใช้สถานที่ในการออกกำลังกายและเล่นกีฬา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความเป็นไปได้ในการพิจารณาใช้สนามกีฬาที่มีอยู่แล้วในจังหวัดมาทดแทน เพื่อจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นในการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัดให้เหมาะสม ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการเลือกสถานที่ก่อสร้างให้เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ทักษะด้านกีฬา นันทนาการ การบริหารจัดการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคำนึงถึงการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ตลอดจนการดูแลรักษาในระยะยาวเพื่อนำมาประกอบการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสนับสนุนการก่อสร้างสนามกีฬาร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีมาตรการสนับสนุน เช่น มาตรการในการสร้างแรงจูงใจทางภาพลักษณ์ขององค์กร หรือมาตรการทางด้านภาษีเป็นการตอบแทน เป็นต้น ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งที่เป็นกิจกรรมเสริมของธุรกิจเอกชนเพื่อตอบแทนสังคม (CSR) เพื่อลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1764 | ขออนุมัติจ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันก่อนที่จะได้รับอนุมัติให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2) รอบที่ 1 โครงการยกระดับการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) | มท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เทศบาลตำบลสระบัว จังหวัดปราจีนบุรี เทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ และองค์การบริหารส่วนตำบลวังพร้าว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จ่ายเงินและก่อหนี้ผูกพันก่อนที่จะได้รับอนุมัติให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างตามโครงการไทยเข้มแข็ง ทั้งนี้ เพื่อให้อาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1765 | โครงการทศวรรษการผลิตและพัฒนากำลังคนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พ.ศ. 2555 - 2564 | สธ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการทศวรรษการผลิตและพัฒนากำลังคนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔ โดยมีเป้าหมายการผลิตบุคลกรจำนวนมาก ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข (ทันตสาธารณสุข) นักวิชาการสาธารณสุข นักการแพทย์แผนไทย และพยาบาลเวชปฏิบัติ เพื่อปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. โดยที่โครงการฯ ตามข้อ ๑ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการถึง ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) รวมทั้งจะใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินงานของโครงการฯ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเกี่ยวกับการจัดระบบสนับสนุนในการทำงานที่เหมาะสมควบคู่กับการผลิตบุคลากรเพิ่มเพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรสามารถคงอยู่ในระบบและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดให้มีตำแหน่งข้าราชการรองรับ มีระบบสวัสดิการ และค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นต้น การวางระบบความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career path) โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรด้านสาธารณสุขทุกประเภทมีโอกาสพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง การประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพและความพร้อมในการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการผลิตและพัฒนาบุคลากรโดยคำนึงถึงคนในพื้นที่เป็นหลัก รวมทั้งการทบทวนบทบาทภารกิจของ รพ.สต. เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับผิดชอบภารกิจด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพ และการรักษาพยาบาลเบื้องต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1766 | ขออนุมัติจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ | มท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้มีการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา แทนการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติม และให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นเจ้าภาพในการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่จังหวัดรวมถึงจำนวนจังหวัดที่เหมาะสมที่จะจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขออนุมัติอัตรากำลังของข้าราชการเพิ่มอำเภอละ ๓ อัตรา จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖) ซึ่งมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐดังกล่าวได้กำหนดมาตรการปกติ โดยไม่ให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ยกเว้นกรณีจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เน้นการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของประชาชนในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติในการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้ท้องถิ่น นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยควรมีบทบาทในการพัฒนาศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ตามกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติระดับอำเภอที่ชัดเจน เพื่อให้การบูรณาการเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดตั้งให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1767 | มติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2554 เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจและเรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ | สปศ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวม ๘ มติ ของสำนักงานปฏิรูปข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ทราบมติสมัชชาปฏิรูปฯ รายงานและข้อเสนอดังกล่าว สำหรับมติสมัชชาปฏิรูปฯ มีดังนี้ ๑.๑ มติ ๑ การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ๑.๒ มติ ๒ การปฏิรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๑.๓ มติ ๓ การคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนกรณีที่ดินและทรัพยากร ๑.๔ มติ ๔ การปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อความเป็นธรรม ๑.๕ มติ ๕ การสร้างระบบหลักประกันในการดำรงชีพและระบบสังคมที่สร้างเสริมสุขภาวะแก่ผู้สูงอายุ ๑.๖ มติ ๖ การสร้างสังคมที่คนไทยอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ๑.๗ มติ ๗ การปฏิรูปการกระจายอำนาจเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ๑.๘ มติ ๘ ศิลปวัฒนธรรมกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคม ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อพิจารณาประเด็นของมติสมัชชาปฏิรูปฯ รายงานและข้อเสนอตามข้อ ๑ ซึ่งบางเรื่องได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น เรื่องโฉนดชุมชน ภาษีที่ดิน บางเรื่องมีข้อเสนอให้ปรับปรุงแนวทางที่ดำเนินการอยู่ และบางเรื่องมีผลกระทบกว้างขวาง เช่น การปรับโครงสร้างทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม การเสนอให้ยุบสภาปกครองส่วนภูมิภาค และหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือพรรคการเมืองมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้แจ้งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๕ สัปดาห์ |
|||||||||||||||||||||||||||
1768 | ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณีนายคัมภีร์ แก้วเจริญ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ ป.ป.ท.) ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ได้ขอถอนตัวออกจากการพิจารณาให้ความเห็นชอบของวุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขานุการวุฒิสภาเสนอ และให้แจ้งกระทรวงยุติธรรมทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1769 | แนวทางการควบคุมการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ปี 2554 | กษ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสาเหตุการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการควบคุมการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ปี ๒๕๕๔ โดยสรุป ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้จังหวัดที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลดำเนินการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด และหน่วยงานในจังหวัดที่เกี่ยวข้องรณรงค์ประชาสัมพันธ์พื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงเพื่อลดปริมาณตัวแก่ของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลโดยวิธีกล โดยรัฐสนับสนุนอุปกรณ์ดักแสงไฟใน ๒๐ จังหวัด ๆ ละ ๑๐๐ ชุด รวมเป็น ๒,๐๐๐ ชุด ๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๑๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จำนวน ๑๕,๐๐๐ ตัน ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายร้อยละ ๕๐ ไม่เกินรายละ ๑๐ ไร่ ๆ ละ ๑๐ กิโลกรัม (รายละไม่เกิน ๑๐๐ กิโลกรัม) โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๓๑๕ ล้านบาท ๑.๒.๓ จัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการทำงานเชิงรุกเพื่อเผยแพร่ความรู้ในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จำนวน ๕ หน่วย ๆ ละ ๔ ล้านบาท โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๒๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ รณรงค์ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อถ่ายทอดความรู้ คำแนะนำผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบกระจายสู่พื้นที่ที่มีการระบาด โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๒๕ ล้านบาท ๑.๒.๕ จัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน จำนวน ๓๐๐ ศูนย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางการแก้ไขของชุมชนในการควบคุมการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างทั่วถึง โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๑๕ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๘๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามนัยข้อ ๑.๒ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการควบคุมและป้องกันการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การวางแผนเชิงรุก การเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้ การรณรงค์และประชาสัมพัน์เกี่ยวกับการควบคุมและกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูข้าวอย่างถูกต้อง การสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดเข้าร่วมโครงการจัดระบบการปลูกข้าวอย่างทั่วถึง และเร่งการดำเนินการประกันภัยพืชผลการเกษตรให้สามารถปฏิบัติเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๘๕ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1770 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 รวม 4 ฉบับ | วธ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมอื่น ๆ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมเขต สภาวัฒนธรรมแขวงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ สภาวัฒนธรรมเทศบาล และสภาวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยที่มาของกรรมการและสมาชิกของสภาวัฒนธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กรรมการและสมาชิกสภาของสภาวัฒนธรรมแต่ละระดับมาจากผู้แทนองค์กรเครือข่ายวัฒนธรรม ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการและการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๓.๑ กำหนดคุณสมบัติและวิธีการได้มาของกรรมการและสมาชิกสภาวัฒนธรรมตำบล สมาชิกสภาวัฒนธรรมอำเภอ สมาชิกสภาวัฒนธรรมจังหวัด สมาชิกสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และสมาชิกสภาวัฒนธรรมอื่น ๆ ๑.๓.๒ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการสภาวัฒนธรรม ๑.๓.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ในการประชุมของคณะกรรมการสภาวัฒนธรรม ๑.๓.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการของคณะกรรมการสภาวัฒนธรรม ๑.๓.๕ กำหนดองค์ประกอบของเงินและทรัพย์สินของสภาวัฒนธรรม ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการคัดเลือก และประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๔.๑ กำหนดสาขาของศิลปินแห่งชาติ ๓ สาขา ได้แก่ สาขาทัศนศิลป์ สาขาศิลปะการแสดง และสาขาวรรณศิลป์ ๑.๔.๒ กำหนดคุณสมบัติของศิลปินแห่งชาติ ๑.๔.๓ กำหนดให้ศิลปินแห่งชาติต้องมีผลงานทางด้านศิลปะที่มีคุณค่าและมาตรฐานตามที่กำหนด ๑.๔.๔ กำหนดวิธีการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ ๑.๔.๕ กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ตอบแทนแก่ศิลปินแห่งชาติ ๒. เมื่อกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และกรุงเทพมหานคร ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงทั้ง ๔ ฉบับ มายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ส่งความเห็นดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1771 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกและเพิ่มเติมมาตรา ๑๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยกำหนดให้มีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมประชาสงเคราะห์ และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ๑.๒ กำหนดให้โอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ และอัตรากำลัง ให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างของการปรับปรุง ๑.๓ กำหนดให้แก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า กรมกิจการผู้สูงอายุเป็นส่วนราชการที่มีบทบาท ภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย มาตรการ มาตรฐาน รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นในการดำเนินงานตามนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ซึ่งงานลักษณะดังกล่าวตามหลักการกำหนดชื่อส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๕ ควรกำหนดชื่อเป็น “สำนักงาน” และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการเรียกชื่อตำแหน่งระหว่างผู้อำนวยการซึ่งมีฐานะเทียบเท่าอธิบดีกับผู้อำนวยการกอง/ผู้อำนวยการสำนัก ในกรณีของหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อเป็นสำนักงาน จึงเสนอให้ใช้ชื่อว่า “ผู้อำนวยการใหญ่” และให้หน่วยงานดังกล่าวเน้นงานเชิงนโยบาย กำหนดมาตรการ รูปแบบ แนวทาง การส่งเสริมศักยภาพและสวัสดิการของผู้สูงอายุ ในส่วนของสวัสดิการสังคมที่เป็นงานให้บริการ เช่น งานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ เป็นต้น ควรดำเนินการโดยอาจใช้วิธีการโอนถ่ายหรือซื้อบริการจากภาคส่วนอื่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ชุมชน ภาคประชาสังคม สมาคม หรือมูลนิธิที่มีความพร้อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1772 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศดังกล่าวมีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. และในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมหรือพัฒนาใด ๆ ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ ควรเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ รวมทั้งการดำเนินงานที่สอดคล้องตามแผนแม่บทในการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตลอดจนการนำแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ภายในขอบเขตพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์หรือสนับสนุนให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และพันธกรณีและหลักเกณฑ์ตามอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสุขภาพดี บนวิถีไทย (จังหวัดสุโขทัย) ของกระทรวงสาธารณสุข และโครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
1773 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนครอบคลุม ๓ กลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดเลย ซึ่งประกอบด้วยอำเภอเมืองเลย อำเภอเชียงคาน อำเภอท่าลี่ อำเภอภูเรือ อำเภอด่านช้าย อำเภอนาแห้ว อำเภอภูกระดึง อำเภอหนองหิน อำเภอภูหลวง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลยบรรลุตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพการท่องเที่ยวของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศฯ มีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อพท. และให้ อพท. ทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการกลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดเลยกับจังหวัดในกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี และการศึกษาแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษดังกล่าวโดยเชื่อมโยงกับกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขงให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
1774 | แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง พร้อมขยายเขตพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมองค์การบริหารส่วนตำบลนาจอมเทียน อีก ๑ แห่ง พื้นที่จำนวน ๒๑ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๓,๑๒๕ ไร่ ซึ่งจะทำให้พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีพื้นที่รวม ๙๔๙.๔๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕๙๓,๔๑๘.๗๕ ไร่ โดยมีแผนงาน/โครงการและมูลค่าการลงทุนรวม ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง จำนวนเงิน ๑๓,๕๐๗.๓๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๑๐ ปี โดยให้องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เป็นหน่วยงานประสานงานและขอรับจัดสรรงบประมาณ แล้วโอนงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโครงการนำไปปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ต่อไป ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี การกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการถ่ายโอนหลังจากโครงการฯ สิ้นสุดลงแล้วเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับศักยภาพในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ทั้งเฉพาะแหล่ง และในภาพรวมของพื้นที่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและส่งเสริมแนวเชื่อมโยงระบบเส้นทางคมนาคมให้เกิดความร่มรื่น โดยปลูกต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เพื่อความสวยงามและเป็นแนวเส้นทางสีเขียว (Green Corridors) การป้องกันการบุกรุกและการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของแหล่งธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั้งภายในและโดยรอบพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทฯ ควรจะต้องบูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น โดยในส่วนของกรอบวงเงินลงทุนตามแผนแม่บทฯ จำนวน ๑๓๒ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ให้เมืองพัทยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณและให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรเป็นรายได้ให้แก่ อปท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
1775 | ขออนุมัติโครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ | สธ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการ กพฉ. เสนอ โดย กพฉ. ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ และให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมติต่อไป ทั้งนี้ โครงสร้าง กลไกการจัดการฯ แบ่งได้เป็น ๓ ระดับ คือ ๑.๑ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินส่วนกลางหรือระดับชาติ มี กพฉ. ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ ๑.๒ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินภูมิภาคหรือระดับจังหวัด มีคณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพฉ. ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแผนในการดำเนินงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในระดับจังหวัด ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจาก กพฉ. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สำหรับกรุงเทพมหานครซึ่งมีรูปแบบการปกครองพิเศษจึงกำหนดโครงสร้าง กลไกการจัดการฯ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบโดยมีคณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานครเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพฉ. ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแผนในการดำเนินงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจาก กพฉ. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นประธานอนุกรรมการ ๑.๓ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินส่วนท้องถิ่น เป็นการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึงครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฉุกเฉินที่ถูกต้องไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีที่เกี่ยวข้องโดยตรง และควรพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ให้เอื้อต่อการดำเนินงานภายใต้โครงการ กลไกการจัดการฯ ทุกระดับ ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบที่สนับสนุนต่อการพัฒนาระบบ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการตัดสินใจที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยปฏิบัติการ และการประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1776 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดรายละเอียดและกระบวนการที่ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา ๒๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้ประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1777 | หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลจะได้รับ เช่น ที่ทำกิน การศึกษา การรักษาพยาบาล เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ๒. ผลการพิจารณาเกี่ยวกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล โดยสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็น สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องเป็นบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวและไม่ถือสัญชาติของประเทศต้นทาง รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ๒.๒ การจะได้รับการกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายจะต้องยื่นคำร้องขอมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนบุตรที่เกิดในประเทศไทยต้องยื่นขอสัญชาติไทย มิใช่เป็นการได้สัญชาติไทยโดยทันที ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งจะมีเงื่อนไขและกระบวนการคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างหรือเป็นสาเหตุจูงใจให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองใช้เป็นแบบอย่างในการขอสัญชาติ และป้องกันปัญหาสองสัญชาติ ทั้งนี้ หากบุคคลเป้าหมายมีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงก็สามารถเพิกถอนสถานะได้ ๒.๓ ประเด็นสิทธิพิเศษ ในทางกฎหมายมิได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงที่จะให้สิทธิดังกล่าวแต่มุ่งหมายคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชนกลุ่มน้อยเป็นการทั่วไปไม่ว่าจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ตาม หากบุคคลเหล่านี้ผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจนได้รับสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือได้รับสัญชาติไทยแล้ว ในหลักการย่อมมีความชอบธรรมที่จะได้รับสิทธิในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๔ ประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต้นทาง รวมถึงการเสนอเรื่องไปยังองค์การสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมือง ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญและพยายามดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องในระดับหนึ่ง แต่ด้วยข้อจำกัดเนื่องจากสถานการณ์และปัญหาภายในของประเทศต้นทางไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งเป็นประเด็นที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ปัญหาจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
1778 | ขอความเห็นชอบในการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานและอุทยานแห่งชาติปางสีดาเพื่อก่อสร้างโครงการห้วยโสมง (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี | กษ | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเพิกถอนพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จำนวนเนื้อที่ ๑,๑๖๔.๓๖ ไร่ และอุทยานแห่งชาติปางสีดา จำนวนเนื้อที่ ๔๗๙.๕๖ ไร่ เพื่อการก่อสร้างโครงการห้วยโสมง (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ท้องที่ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นมรดกโลก และเห็นควรบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำในโครงการร่วมกับการจัดการระดับลุ่มน้ำ ซึ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่การจัดการพื้นที่ต้นน้ำ ระบบชลประทานหลัก ระบบชลประทานรอง การจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ การให้บริการน้ำ และระบบสำรองน้ำ รวมถึงการวางแผนการใช้ที่ดิน เพื่อให้การจัดการน้ำส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน รวมทั้งการจัดหาและบริหารแหล่งน้ำขนาดเล็กในระดับชุมชน ในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการห้วยโสมง โดยเฉพาะพื้นที่ชั้นนอก เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรอง กรณีสภาพอากาศแปรปรวน นอกจากนี้ เห็นควรปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการลดระดับเก็บกักน้ำสูงสุด จากระดับ +๔๙.๔๐๐ ม.รทก. มาอยู่ที่ระดับ +๔๘.๐๐๐ ม.รทก. การดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๒ อย่างเคร่งครัด และการจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่โดยคำนึงถึงระบบนิเวศและคงความเป็นพื้นที่อุทยานให้มากที่สุดเพื่อให้เป็นโครงการพัฒนาตัวอย่างที่สามารถรักษาความเป็นธรรมชาติ ความเป็นมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1779 | รายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบด้วย ๙ ด้าน ได้แก่ ด้านการสอดส่องดูแลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลฯ ด้านการดำเนินการเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานของรัฐ ด้านการตอบข้อหารือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ด้านการดำเนินการเรื่องอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ด้านกฎหมาย ด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ด้านการพัฒนาระบบสารสนเทศข้อมูลข่าวสารปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ด้านการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ และด้านความร่วมมือทางวิชาการกับต่างประเทศ นอกจากนี้ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ได้กำหนดเป้าหมายการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๑.๑ พัฒนาการให้บริการของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ ด้านการเยียวยารักษาสิทธิให้กับประชาชนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ๑.๑.๒ โครงการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาลด้านความโปร่งใสและโครงการจ้างพนักงานราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ๑.๑.๓ พัฒนาการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ แบบเชิงรุก ๑.๑.๔ พัฒนาหน่วยงานต้นแบบในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการที่ถูกต้องครบถ้วนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับหน่วยงานรัฐในระดับภูมิภาค ๑.๑.๕ การเพิ่มมาตรการในการออกตรวจแนะนำเครือข่ายการปฏิบัติงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ๑.๑.๖ การดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาระบบสารสนเทศ ๑.๑.๗ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สิทธิรับรู้ของประชาชนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ๑.๑.๘ การติดตามเร่งรัดการตรากฎหมายคุ้มครองข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในเรื่องการนำข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการและหน่วยงานของรัฐรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๗ และมาตรา ๙ เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานควรจัดทำเป็นหัวข้อที่เด่นชัด และมีข้อความว่า “ข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐” เพื่อให้ประชาชนค้นหาได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น และเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้หน่วยงานราชการที่มีหน่วยงานประจำอยู่ในส่วนภูมิภาคจัดให้มีศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารประจำอยู่ ณ หน่วยงานนั้น ๆ นอกจากนี้ การรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีจำนวนเรื่องอุทธรณ์สูงสุดในรอบ ๑๓ ปี ควรจำแนกประเภทของเรื่องอุทธรณ์ว่ามีประเด็นการอุทธรณ์ในเรื่องใด โดยเฉพาะประเด็นที่มีการอุทธรณ์ลักษณะเดียวกับปีที่ผ่านมา เพื่อจะได้สามารถใช้เป็นข้อมูลในการไปเสริมสร้างความเข้าใจให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1780 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 8 การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม | สช | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ มติ ๘ การแก้ปัญหาวัยรุ่นไทยกับการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติร่วมกับคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาจัดตั้งกลไกร่วมในการดำเนินการแปลงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ และยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อมสู่แผนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ครอบคลุมทุกระดับ รวมทั้งจัดทำมาตรการเร่งด่วนในการจัดการปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นแบบบูรณาการภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัดร่วมกับองค์กรภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ดำเนินงานพัฒนาการเรียนการสอนเพศศึกษา (sexuality education) จริยธรรมและศีลธรรม และจัดให้มีระบบรองรับการแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ในระหว่างการศึกษา โดยจัดให้มีกระบวนการเรียนการสอนเพศศึกษารอบด้านที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ โดยเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย และให้สถานศึกษาปรับกระบวนการเรียนการสอนสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้มีความยืดหยุ่น เพื่อให้โอกาสนักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์ได้รับการศึกษาจนจบหลักสูตรโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ รวมทั้งให้สถานศึกษาร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบที่หลากหลายโดยคำนึงถึงสิทธิประโยชน์และการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ
|
.....