ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 88 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1741 - 1760 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1741 | รายงานการดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย และโรค มือ เท้า ปาก | สธ | 30/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย และโรค มือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย มีดังนี้ ๑.๑.๑ ให้สถานบริการดำเนินการ ๔ แผน คือ แผนป้องกันโรงพยาบาล แผนสำรองทรัพยากร แผนส่งต่อผู้ป่วย และแผนการปรับระบบบริการหากเกิดน้ำท่วม ๑.๑.๒ การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์จากส่วนกลาง ยอดสะสม ยาชุดช่วยผู้ประสบภัย ๓๑๐,๕๐๐ ชุด ยาตำราหลวง ๒๐,๐๐๐ ชุด และยาแก้น้ำกัดเท้า จำนวน ๔๓,๐๐๐ ชุด เซรุ่มแก้พิษงู (งูเห่า ๑๐๐ หลอด งูแมวเซา ๑๐๐ หลอด งูเขียวหางไหม้ ๑๐๐ หลอด) ๑.๑.๓ การติดตามเฝ้าระวังในพื้นที่เห็นว่าควรแจ้งเตือนภัยสถานบริการสาธารณสุข ในระยะนี้โดยการโทรศัพท์ประสานกับสถานบริการสาธารณสุขของจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงโดยตรง และการออกหนังสือแจ้งเวียนให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ระดับน้ำสูงขึ้นและป้องกันสถานบริการ หากมีแผนอยู่แล้วให้ทบทวนแผนป้องกันโรงพยาบาลให้พร้อมนำมาใช้งานและเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด ๑.๑.๔ การเผยแพร่แนวทางการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยของโรงพยาบาลที่เคยประสบปัญหาและได้จัดทำแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ๑.๒ รายงานสถานการณ์โรค มือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) โดยสรุปขณะนี้โรค มือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อในเด็กเล็ก กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย คาดว่าปีนี้จะมีเด็กป่วยและเสียชีวิตมากกว่าปีก่อน ๆ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ประสานสั่งการ เร่งรัด การป้องกันและควบคุมโรคทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือจากหน่วยราชการและหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำลังติดตามสถานการณ์เพื่อประสานสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขขอการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีในการมอบหมายกำชับ ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือและสนับสนุนการป้องกันและควบคุม เพื่อลดการป่วยและเสียชีวิตจากโรค มือ เท้า ปาก ของเด็กในประเทศไทย ให้ได้ผลดีที่สุด ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้ป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งได้ติดตามและเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น น้ำกัดเท้า ไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง และอาการปวดศรีษะ โดยเฉพาะโรค มือ เท้า ปาก ซึ่งได้ติดตามและเฝ้าระวังโรคนี้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมทั้งได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย ๓. เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการติดตามและเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้ป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1742 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) | พม | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) และกระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้แจ้งการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในงวดที่ ๒ โดยให้จังหวัดดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้แก่ผู้สูงอายุที่มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้วให้ครบตามจำนวนของทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป) ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จะมีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งสิ้น ๖,๕๒๑,๗๔๙ คน จำนวนงบประมาณที่จ่าย ๓๗,๘๙๓,๓๙๘,๐๐๐ บาท ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีจำนวนผู้สูงอายุที่มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวม ๗,๐๘๔,๙๖๗ คน ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดทำโครงการปรับปรุงกระบวนการและพัฒนาติดตั้งระบบการจ่ายตรงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุในการรับเบี้ยยังชีพตรงเวลา ครบถ้วน และสามารถตรวจสอบได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. การพัฒนากระบวนการการลงทะเบียนและการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยการเชื่อมโยงข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก จากระบบทะเบียนราษฎรเพื่อการตรวจสอบข้อมูล คุณสมบัติของผู้สูงอายุ การยืนยันบุคคล สถานที่อยู่ สถานภาพการมีชีวิต โดยให้ผู้สูงอายุใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นทะเบียนรับสิทธิเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ๔. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ทำหนังสือขออนุญาตรับบริจาคเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุไปยังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานรัฐ ก่อนที่จะดำเนินการรณรงค์เพื่อขอรับบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ๕. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เทศบาล และเมืองพัทยา รายงานวิธีการตรวจสอบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุว่า ในส่วนของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลได้รายงานผลดำเนินงานการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไปยังจังหวัดทุกรอบ ๓ เดือน ส่วนกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาได้รายงานเสนอผู้บริหารเป็นประจำทุกเดือน |
|||||||||||||||||||||
1743 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1พ.ศ. 2554 เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ และเรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ | นร | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๔ เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ และเรื่อง รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีหน่วยงานให้ความเห็นใน ๔ ประเด็น สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น สำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่า ประเด็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ จึงควรมีการศึกษาผลกระทบจากข้อเสนอนี้ รวมทั้งให้มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นควรให้มีการกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อการบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการยกเลิกแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลทั่วทุกภาค ๓. ประเด็นศิลปวัฒนธรรมกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จะนำเรื่องการกำกับดูแลสื่อให้มีรายการเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคมอย่างน้อยร้อยละ ๒๕ ของการนำเสนอทั้งหมดไปประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลต่อไป ๔.ประเด็นการปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน กระทรวงคมนาคมเสนอให้เพิ่มผู้แทนจากกรมเจ้าท่าร่วมเป็นคณะกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติโฉนดชุมชนด้วย |
|||||||||||||||||||||
1744 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2554 | นร | 20/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (คณะกรรมการ กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการ กพอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม ๔ เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหามาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียงในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา (มกราคม ๒๕๕๒ - พฤษภาคม ๒๕๕๔) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๗ แผนงาน ๗๑ โครงการ การแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (คณะกรรมการ ๔ ฝ่าย) เพื่อดำเนินการจัดทำแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ การแก้ไขปัญหาสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ ปัญหาขาดแคลนน้ำประปา ปัญหาขยะ ปัญหาความไม่มั่นใจเรื่องคุณภาพอากาศ น้ำ และการลดมลพิษ รวมทั้งการเร่งรัดแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งมลพิษ อาทิ การกำหนดประเภทอุตสาหกรรม/กิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ การทบทวนนโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรม/กิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่มาบตาพุด และการพิจารณาปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และการสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุมสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม เป็นต้น และความร่วมมือของภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด ประกอบด้วย การจัดทำแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ของภาคเอกชน การจัดสร้างสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติมรวม ๔ สถานี และการจัดทำแนวป้องกัน (Protection Strip) ระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน ๒. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุด จากการติดตามสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมจากผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจาก ๙ สถานี พบสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ๓ ชนิด มีค่าเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศในบางจุดตรวจวัด ส่วนการตรวจวัดคุณภาพน้ำและการแก้ไขปัญหาปนเปื้อนน้ำใต้ดิน ได้แก่ คลองสาธารณะ จำนวน ๓๘ จุด ครอบคลุมคลองสาธารณะ ๑๖ สาย คุณภาพน้ำยังคงอยู่ในระดับเสื่อมโทรม ๓. สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง - ชลบุรี โดยปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่ รวม ๑๗ แห่ง ณ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๗๓.๙๓ ของความจุอ่างเก็บน้ำทั้งหมด ส่วนความก้าวหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานรวมทั้งสิ้น ๖ โครงการ รวมปริมาณน้ำต้นทุนที่จะสามารถเพิ่มเข้ามาในระบบได้สูงสุดประมาณ ๒๓๕ - ๒๕๕ ล้าน ลบ.ม./ปี ๔. ความก้าวหน้าการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ๖ แนวทาง ได้แก่ พัฒนากิจการที่เป็นมิตรต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการยกระดับคุณภาพการศึกษาเฉพาะทาง การบริการสาธารณสุขเฉพาะโรค และคุณภาพชีวิต การพัฒนาสู่อุตสาหกรรมนิเวศ การพัฒนาขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานและจัดสรรการใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร การวางผังเมืองอย่างมีหลักการและเหตุผลที่ชัดเจน และการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมคณะกรรมการ กพอ. ที่เห็นควรมีแผนงานและงบประมาณที่ชัดเจนในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหา การผลักดันการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการพัฒนาสู่เมืองอุตสาหกรรมนิเวศอย่างสมบูรณ์แบบ การจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจังหวัดระยอง การปรับปรุงแนวทางการจัดสรรรายได้ให้ท้องถิ่น การพิจารณามาตรการชดเชยเพื่อเยียวยาเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดโรงงาน การกำหนดพื้นที่ชุมชนในอนาคตที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดี และการคุ้มครองพื้นที่ชายฝั่งทะเล เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงตามความเหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1745 | รายงานประจำปี 2553 (คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | นร | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๓ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) โดยสาระสำคัญของรายงานฯ มีดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ประกอบด้วย ๑.๑ การกระจายอำนาจด้านภารกิจ และอำนาจหน้าที่ ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีภารกิจที่ถ่ายโอนแล้วจำนวน ๕๗ งาน/กิจกรรม/โครงการ การดำเนินการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่ อปท. โดยในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๓ มีการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษา รวม ๔๗๕ แห่ง การกระจายอำนาจหน้าที่ด้านสาธารณสุขไปสู่ อปท. การทบทวนและจัดทำแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการขยายระยะเวลาการบังคับใช้แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) ๑.๒ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจสำหรับการดำเนินงานตามแผนชุมชนและแผนพัฒนา การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปตามโครงการเงินอุดหนุนสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ อปท. ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และการประมาณการรายได้ให้แก่ อปท. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๓ การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่ อปท. ได้แก่ การพิจารณาอัตรากำลังถ่ายโอนให้แก่ อปท. ตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการที่ดีของสถานสงเคราะห์คนชรา การถ่ายโอนบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขให้แก่ อปท. เป็นต้น ๑.๔ การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่ การจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. รวม ๔ ฉบับ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) จำนวน ๓ ฉบับ การจัดทำประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒ ฉบับ และการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๕ การติดตามประเมินผล ได้แก่ การตรวจติดตามสถานศึกษาที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. การติดตามผลการดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับหลังผ่านเกณฑ์ประเมินความพร้อม และถ่ายโอนสถานศึกษาของ อปท. รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการกระจายอำนาจ ๒. ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ การพัฒนาและฝึกอบรมด้านต่าง ๆ และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
|
|||||||||||||||||||||
1746 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 2/2554 และครั้งที่ 3/2554 | นร | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทและภารกิจของกระทรวงมหาดไทย การบูรณาการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ (Area Intergrated Development) การสนับสนุนการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ การเตรียมการรับภัยพิบัติ ความคืบหน้าและพิจารณาข้อดี ข้อเสียของกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจกฎหมายรายได้ท้องถิ่น กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาทุจริตกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และเรื่องคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ๒. รับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทและภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ ความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน การดำเนินการเรื่องการปักปันเขตแดน และภารกิจการคุ้มครองช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ เช่น กรณีประเทศอียิปต์ ประเทศลิเบีย และประเทศญี่ปุ่น
|
|||||||||||||||||||||
1747 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ | สสป | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงสถานการณ์ปกติ ๑.๑ จัดทำฐานข้อมูลที่เป็นระบบ และพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข เพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ๑.๒ ควรมีโครงสร้างการบริหารจัดการแบบไตรภาคี (ภาครัฐ เอกชน และประชาชน) ในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกภาคส่วนสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์การระบาดของโรคได้อย่างทั่วถึง และมีการเตรียมพร้อม ป้องกันแก้ไข หากมีการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ๑.๓ มีระบบการประชาสัมพันธ์อย่างทันท่วงทีเมื่อมีโรคติดต่ออุบัติใหม่ พร้อมทั้งให้มีข้อกำหนดแก่สาธารณะด้านสุขอนามัยที่จะเป็นพื้นฐานด้านสุขอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง ๒. ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ๒.๑ มาตรการด้านสื่อและการประชาสัมพันธ์เพื่อดูแลภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวและงานบริการทั้งภายในและภายนอกประเทศ ๒.๑.๑ ควรมี “ศูนย์แถลงข่าวแห่งชาติ” ซึ่งมีโครงสร้างที่บูรณาการกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาวิกฤต ที่ควบคุมการสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะต้องเป็นการสื่อในเชิงสร้างสรรค์ภายใต้ข้อมูลที่เป็นจริง และมีการจัดระบบการนำเสนอข่าวที่ชัดเจน ๒.๑.๒ จัดตั้งศูนย์สายด่วน (Hot line) ใน “ศูนย์แถลงข่าวแห่งชาติ” เพื่อรับเรื่องตลอด ๒๔ ชั่วโมง และรองรับภาษาต่างชาติที่เป็นภาษาหลัก เช่น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สเปน ฝรั่งเศส อาหรับ เป็นต้น ๒.๑.๓ จัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคระบาดและโรคติดต่อที่กำลังระบาดและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มบทบาท เช่น กลุ่มผู้มีบทบาทในสังคม ได้แก่ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) นักข่าว ครู นักเรียน เป็นต้น ๒.๑.๔ จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินที่สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยเฉพาะการรับเรื่องแจ้งเหตุ เรื่องการป้องกันควบคุมเบื้องต้น โดยใช้ระบบสาธารณสุขและการประชาสัมพันธ์อย่างครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและทุกพื้นที่ และเน้นระบบการติดตามผลการดำเนินนโยบาย มีการรายงานต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ๒.๓ มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านอื่น ๆ ๒.๓.๑ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมให้ภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่น และประชาสังคมมีส่วนร่วมในการดูแล เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และรายงานสถานการณ์อย่างชัดเจน เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจแบบไตรภาคี มีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละชุมชน ได้แก่ การตั้งข้อกำหนดการปฏิบัติตนให้พ้นจากโรคระบาดอุบัติใหม่ หรือการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) โดยการสนับสนุนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ๒.๓.๒ การควบคุมรักษามาตรฐานความสะอาดในแหล่งบริการทางสาธารณะ เช่น ห้องน้ำสาธารณะ สวนสาธารณะ บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ที่ดื่มน้ำสะอาด เป็นต้น ๒.๓.๓ เน้นการส่งเสริมให้เกิดวินัยและจิตสาธารณะรับผิดชอบต่อสังคม ในการสร้างความร่วมมือสกัดกั้นการระบาดของโรคอุบัติใหม่ โดยจัดทำข้อกำหนดหรือบทบัญญัติด้านสุขลักษณะของแต่ละกลุ่มบุคคล เช่น สุขบัญญัติในการประกอบอาหารของสถานประกอบการร้านอาหารและบริการ การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน เป็นต้น การส่งเสริมในเชิงบวกกับผู้ให้บริการสาธารณะ (ที่เกี่ยวกับอาหารและยา รถสาธารณะ) เช่น การออกใบรับรอง หรือเครื่องหมายแสดงถึงการให้บริการที่มีมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือบทบัญญัติด้านสุขลักษณะ และส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยของบุคคลในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ (สุขวิทยาส่วนบุคคล) พฤติกรรมการใช้ห้องสุขา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1748 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญบัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1749 | รายงานการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย | นร | 18/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พัฒนากลไกการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเพิ่มบทบาทของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้เป็นกลไกระดับชาติเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการและสั่งการ และกำหนดให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลภัยพิบัติที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน โดยให้ส่วนราชการและภาคเอกชนจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ รวมทั้งมีการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเร่งรัดดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระยะเร่งด่วน และแผนระยะยาวด้านการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ๑.๒ ส่งเสริมระบบงานอาสาสมัครของประเทศอย่างจริงจัง โดยวางระบบเพื่อพัฒนางานอาสาสมัครให้มีศักยภาพอย่างเต็มที่ และมีมาตรฐานตามหลักสากล ๑.๓ จัดระบบการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่น โดยวางระบบการฝึกอบรมเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติต่าง ๆ โดยมีชุมชนเป็นฐานการพัฒนาที่สำคัญ ๑.๔ ผนึกกำลังของภาคส่วนต่าง ๆ โดยการสนับสนุนและช่วยเหลือประสานเชื่อมโยงพลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน กองทัพ ภาคประชาสังคม และอาสาสมัครต่าง ๆ เพื่อทำงานร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๑.๕ การผนวกมาตรการด้านการจัดการสาธารณภัยไว้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบการสื่อสาร ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบอย่างดีคำนึงถึงความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ และงานศึกษาวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติและการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะมีการประมวลประเด็นต่าง ๆ เพื่อนำเสนอไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ การบริหารจัดการภัยพิบัติ ควรเน้นเรื่องการเตือนภัยล่วงหน้าและการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติแล้วควรประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานจัดการภัยพิบัติระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู บรรเทาผลกระทบของผู้ประสบภัยเป็นไปอ่ยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๒.๒ การแก้ไขปัญหาและให้การช่วยเหลือฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัยพิบัติควรประสานงานกับกระทรวงกลาโหมอย่างใกล้ชิดเพื่อเหล่าทัพต่าง ๆ จะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น ๒.๓ การใช้ประโยชน์สนามบินอู่ตะเภา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินการเพื่อพัฒนาปรับปรุงการใช้ประโยชน์สนามบินดังกล่าวในการเป็นฐานการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสมและเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจพัฒนาเป็นศูนย์ฝึกอบรมการบินหรือศูนย์ฝึกอบรมการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคที่ประสบภัยพิบัติได้ด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากรเพื่อรองรับการจัดตั้งกลไกและระบบการจัดการภัยพิบัติในกรอบความร่วมมือความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและรับมือฉุกเฉิน
|
|||||||||||||||||||||
1750 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้พื้นที่ในส่วนของเทศบาลนครแม่สอด และเทศบาลตำบลท่าสายลวด จังหวัดตาก ซึ่งมีศักยภาพในการเป็นประตูเศรษฐกิจที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และสามารถพัฒนาให้เป็นฐานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ได้จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เพื่อให้สามารถจัดบริการสาธารณะที่มีคุณภาพแก่ประชาชนและรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1751 | ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 - 2556 ค่าเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ | มท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เช่ารถยนต์ตรวจการณ์มาใช้ในราชการ จำนวน ๑๘ คัน อัตราค่าเช่าคันละ ๓๓,๒๐๐ บาทต่อเดือน (ไม่รวมพนักงานขับรถยนต์และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) ระยะเวลาการเช่า ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖) ตั้งแต่กรกฎาคม ๒๕๕๔ - กันยายน ๒๕๕๖ รวมงบประมาณทั้งสิ้น ๑๖,๑๓๕,๒๐๐ บาท แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๗๙๒,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๔,๓๔๒,๔๐๐ บาท สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบลงทุน รายการจัดซื้อรถยนต์ตรวจการณ์ ขับเคลื่อน ๔ ล้อ จำนวน ๑๖,๑๓๕,๒๐๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
1752 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติรวม ๗ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (โอนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชไปรวมกับกรมป่าไม้) ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ ปีที่ ๔ ครั้งที่ ๒๘ (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||
1753 | แผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2555 - 2559) | อก | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่จัดทำเพื่อมุ่งสู่ความเป็นสากลของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แก้ไขปัญหาทั้งภายในและภายนอกวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังคงมีอยู่จากการพัฒนาที่ผ่านมา รวมทั้งขยายผลการดำเนินการในประเด็นที่มีความสำคัญต่อเนื่องจากแผนการส่งเสริมฯ ฉบับที่ ๑ และ ๒ ตลอดจนกำหนดแนวทางฟื้นฟูบรรเทาผลกระทบของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อรองรับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมียุทธศาสตร์เพื่อรองรับการส่งเสริม ๔ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การสนับสนุนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยให้เติบโตอย่างสมดุลตามศักยภาพของพื้นที่ และยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ให้ใช้แผนดังกล่าวเป็นกรอบการดำเนินงานหลักที่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และองค์การเอกชนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการแปลงแผนลงสู่การปฏิบัติควรมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและสร้างความเชื่อมโยงในทุกระดับของการปฏิบัติทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น โดยมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเกิดการบูรณาการและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนฯ หากมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นในแต่ละปีและสอดคล้องกับภารกิจ โดยการกำหนดเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ควรมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมทุกหน่วยงาน และการกำหนดกลยุทธ์ควรเน้นความสำคัญของการสนับสนุนจากระดับนโยบายให้ชัดเจน รวมทั้งควรกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติให้ตรงตามภารกิจ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1754 | การสนับสนุนสวัสดิการชุมชน (การดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนสวัสดิการชุมชน) | พม | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานโครงการสนับสนุนการจัดสวัสดิการชุมชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. สนับสนุนงบประมาณดำเนินงานแก่คณะกรรมการสนับสนุนการขับเคลื่อนสวัสดิการชุมชนจังหวัด และเบิกจ่ายแล้วจำนวน ๗๕ จังหวัด งบประมาณ ๕๐,๖๒๗,๙๒๕ บาท อยู่ระหว่างดำเนินการ ๑ จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ๒. อนุมัติงบประมาณสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนที่จัดตั้งแล้ว จำนวน ๒,๒๔๔ กองทุน วงเงินงบประมาณที่อนุมัติสมทบจำนวนทั้งสิ้น ๓๒๙,๘๘๖,๖๔๑ บาท ดำเนินการเบิกจ่ายแล้วจำนวน ๑,๖๑๙ กองทุน วงเงินงบประมาณที่เบิกจ่าย ๒๕๔,๗๒๔,๓๙๘ บาท ๓. อนุมัติงบประมาณสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนที่จัดตั้งใหม่จำนวน ๔๗๓ กองทุน วงเงินงบประมาณที่อนุมัติสมทบจำนวนทั้งสิ้น ๔๗,๒๘๑,๐๐๐ บาท อยู่ระหว่างการดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ ๔. การจัดงาน “รัฐร่วมราษฎร์ปฏิรูปคนมุก...สู่สวัสดิการก้าวหน้า ๒๕๕๕” เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับงานสวัสดิการชุมชนสู่การบูรณาการขับเคลื่อนร่วมกันของภาคราชการ ท้องถิ่น และประชาชน ๕. การจัดงาน “สมัชชาสวัสดิการชุมชนคนโคราช” เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการสนับสนุนการพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชน และการพัฒนายกระดับกองทุนสวัสดิการชุมชนสู่การปฏิรูปประเทศไทย และมอบทุนสวัสดิการชุมชนในเขตอีสานใต้ จำนวน ๑๔๗ กองทุน |
|||||||||||||||||||||
1755 | แนวทางการปรับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น | มท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล โดยให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาปรับเงินเดือนและค่าตอบแทนดังกล่าวไม่เกินร้อยละ ๒๐ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนดังกล่าวไม่เกินร้อยละ ๒๐ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนของประธานสภากรุงเทพมหานคร รองประธานสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ประธานสภาเขต และสมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และแก้ไขการลดเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนของประธานสภากรุงเทพมหานคร รองประธานสภากรุงเทพมหานคร หรือสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณีขาดการประชุมเกินหนึ่งในสี่ของจำนวนวันที่มีการประชุมในสมัยประชุมนั้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนดังกล่าว เห็นควรให้ใช้จ่ายเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนควรกำหนดเงื่อนไขให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งพิจารณารักษาสัดส่วนของงบลงทุนต่องบประมาณตามข้อบัญญัติหรือเทศบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และดำเนินการปรับลดรายจ่ายประจำที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานและพัฒนาการจัดเก็บรายได้ให้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1756 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 งบกลาง สำหรับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ส่วนราชการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่เทศบาลนครอุดรธานีในการปรับปรุงอาคาร จัดหาครุภัณฑ์ และควบคุมงานก่อสร้าง ของเทศบาลนครอุดรธานี ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ในวงเงิน ๒๑๒,๖๕๕,๙๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1757 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกา | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการเดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกา ของประธานผู้แทนการค้าไทย และผู้แทนจากหน่วยงานด้านการค้าและการลงทุน สถาบันการเงิน ๓ องค์กรเอกชน และสมาคมเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมก่อสร้าง ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลจากการเยือนศรีลังกาครั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยได้ทราบข้อมูลเศรษฐกิจและโครงการโครงสร้างพื้นฐานโดยตรงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้เห็นสภาพบ้านเมืองหลังสงครามภายในประเทศเพื่อประเมินโอกาสในการเข้าไปประกอบธุรกิจและโอกาสการลงทุนในโครงการต่าง ๆ และจากการเข้าพบและหารือกับบุคคลสำคัญภาครัฐของศรีลังกา ทำให้ศรีลังกาตระหนักถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและผู้ประกอบการไทยที่จะไปมีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างในศรีลังกา นอกจากนี้ ยังได้สร้างกลไกการขยายความร่วมมือและเครือข่ายด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศและเอกชนกับสถาบันการเงิน ซึ่งจะเป็นช่องทางประสานความร่วมมือกันต่อไปในอนาคต ๒. สำนักงานผู้แทนการค้าไทยได้ทราบจากภาคเอกชนที่ร่วมคณะไปเยือนศรีลังกาว่า บริษัท Team Consulting ร่วมมือกับบริษัท Amerasian ของศรีลังกาเพื่อประมูลโครงการโรงงานไฟฟ้าบาลาโกล่า ขนาด ๒๐ เมกะวัตต์ มูลค่า ๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนโดย ADB บริษัท พิโด้ อินเตอร์เนชั่นแนล จะร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นในศรีลังกาทำโครงการผลิตท่อดำ (PE) มูลค่าประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมรายอื่นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐของศรีลังกาโดยตรงและ/หรือผ่านบริษัทคู่ค้าศรีลังกาเพื่อยื่นข้อเสนอในโครงการต่าง ๆ บางโครงการจำเป็นต้องมีการสนับสนุนด้านการเงินจากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจ กับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยก่อน ๓. ศรีลังกาเพิ่งฟื้นตัวจากสงครามภายในประเทศ ต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก แต่ยังขาดการสนับสนุนด้านการเงิน หากรัฐบาลไทยมีมาตรการสนับสนุนด้านการเงินที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติในตลาดดังกล่าวได้ และเป็นการสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ซึ่งรวมถึงสถาปนิก วิศวกร ช่างเทคนิค และแรงงานไทยควบคู่กับการสร้างตลาดใหม่ให้สินค้า วัสดุ อุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ จากประเทศไทยอีกด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1758 | แหล่งเงินสนับสนุนแผนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศด้านการศึกษาของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน | กค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นำเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ภายใต้กรอบวงเงินคงเหลือตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ จำนวน ๗๑๐ ล้านบาท มาใช้เพื่อสนับสนุนภารกิจตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทยในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน ในลักษณะเป็นเงินให้ยืมแก่สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ทั้งนี้ เมื่อพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับตามกฎหมายและมีรายได้เกิดขึ้น ให้ สสค. นำรายได้มาชดใช้คืนให้แก่กระทรวงการคลังในโอกาสแรกต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังจัดสรรเงินผ่านสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยการใช้จ่ายให้เป็นไปตามข้อบังคับ ระเบียบและหลักเกณฑ์ของ สสส. ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้ในลักษณะเป็นเงินให้ยืมอย่างเคร่งครัด ส่วนแผนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ ควรเน้นกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กด้อยโอกาสนอกระบบการศึกษาและเด็กกลุ่มเสี่ยงในระบบการศึกษาในทุกจังหวัดให้เชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนาท้องถิ่น รวมทั้งการส่งเสริมการพัฒนาประชากรวัยแรงงานในการเรียนต่อและเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับการค้นหากลุ่มเป้าหมายและการจัดทำฐานข้อมูลในระดับจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1759 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน | พณ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชนระยะเวลา ๓ เดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยคัดเลือกผู้ผลิตสินค้า เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน (OTOP) ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (SEMs) นำสินค้าที่มีคุณภาพมาจำหน่ายโดยตรงให้แก่ผู้บริโภคในราคาลดพิเศษ โดยกำหนดกลุ่มสินค้าเป้าหมาย ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าคนจน เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย เนื้อสัตว์ น้ำปลา เป็นต้น กลุ่มสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก แชมพู เป็นต้น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น อาหารสำเร็จรูป เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น และกลุ่มสินค้าเกษตรและสินค้าท้องถิ่น เช่น ผัก ผลไม้ สินค้า OTOP เป็นต้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตัดรายการค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดงานจำหน่ายสินค้าออก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่ดำเนินการควรพิจารณาให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน เช่น พื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ และควรคำนึงถึงความสะดวกในการเดินทางของกลุ่มเป้าหมายเพื่อมิให้เป็นภาระต่อผู้มีรายได้น้อย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดงานดังกล่าวอนุมัติให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑๖๙,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
1760 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการบำบัดน้ำเสียปริมณฑลส่วนเหนือ ขั้นที่ 1 (คูคต-ประชาธิปัตย์) และโครงการบำบัดน้ำเสียอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ | ทส | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๓ เรื่อง ขออนุมัติแผนงานโครงการบำบัดน้ำเสียปริมณฑลส่วนเหนือ ขั้นที่ ๑ (คูคต - ประชาธิปัตย์) และโครงการบำบัดน้ำเสียอ้อมน้อย - อ้อมใหญ่ ตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การจัดการน้ำเสีย) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาทบทวนและจัดทำรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนผลการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ของโครงการให้เป็นปัจจุบัน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการบำบัดน้ำเสียกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทั้งในระหว่างการก่อสร้างและระยะดำเนินการ การวางแผนการจัดเก็บค่าบริการให้ชัดเจนโดยอาจพิจารณาร่วมกับการประปาผู้จ่ายน้ำ เพื่อให้การดำเนินการในระยะยาวไม่เป็นภาระกับรัฐ การพิจารณานำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับไปใช้ประโยชน์โดยอาจขายเป็นน้ำสำหรับหล่อเย็นให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมบริเวณใกล้เคียง การวางแผนศึกษาการใช้ประโยชน์จากกากตะกอน (sludge) ที่เกิดจากการบำบัดน้ำเสียเพื่อให้เกิดการยอมรับจากชุมชนใกล้เคียงและลดปัญหาเรื่องกลิ่นจากการตกค้างของตะกอนไปพร้อมกัน การทบทวนผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจและด้านการเงินของโครงการให้เป็นปัจจุบัน นอกจากนี้ เห็นควรให้องค์การจัดการน้ำเสียจัดทำรายละเอียดภาพรวมการลงทุนและวงเงินลงทุนของทั้งสองโครงการ ปริมาณน้ำเสีย ปริมาณกากตะกอน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและผลตอบแทนโครงการด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และเร่งสร้างขีดความสามารถและความพร้อมของท้องถิ่นในการรับโอนระบบบำบัดน้ำเสียทั้งด้านเทคนิค การเดินระบบ การบำรุงรักษาระบบ รวมทั้งการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการให้บริการสาธารณะของตนเองได้มากขึ้นและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
.....