ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 86 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1701 - 1720 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1701 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นางวนิดา สักการโกศล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
1702 | การจัดทำสัญญาเช่าบ้านพัก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ | พณ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกทำสัญญาเช่าบ้านพัก ของนายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระยะเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมระยะเวลาเช่า ๔ ปี โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าบ้านพัก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๑๒,๕๕๔,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๑๕,๖๙๒,๕๐๐ รูปี คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ รูปี เท่ากับ ๐.๘๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีมีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๘,๐๑๒,๕๐๐ รูปี หรือเท่ากับ ๕,๖๐๘,๘๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการส่งออกเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1703 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2554) | มท | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ ได้แก่ ประเทศไทยตอนบน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร รวม ๗๔ อำเภอ ๔๗๖ ตำบล ๓,๑๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๕๙๗,๑๐๗ ครัวเรือน ๔,๒๒๒,๖๑๐ คน และสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ และมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ๑.๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (กรณีอุทกภัย) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประสบอุทกภัย ๓๐ เขต กรอบครัวเรือน จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท รวมส่งธนาคารออมสินแล้ว ๘๒,๓๔๔ ครัวเรือน เป็นเงิน ๔๑๑,๗๒๐,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๑๙,๗๓๗ ครัวเรือน สำหรับในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๕๘๙,๐๙๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๙๔๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๒๖๕,๔๒๗ ครัวเรือน ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่ ๑๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ตาก พะเยา อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร เลย สกลนคร และจังหวัดนครพนม รวม ๑๓๑ อำเภอ ๙๘๕ ตำบล ๙,๙๒๘ หมู่บ้าน สำหรับการให้ความช่วยเหลือ จังหวัด พร้อมด้วยอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาด องค์กร มูลนิธิ สมาคม ได้ระดมการช่วยเหลือโดยการจัดหาผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
1704 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... | ศธ | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนของบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินหรืองบประมาณ ควรกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการไว้ให้ชัดเจนด้วย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่สอดคล้องกับการงบประมาณและตามปฏิทินงบประมาณในแต่ละปี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้รวมมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ ตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ ตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มาจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ๑.๒ กำหนดวัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ การแบ่งส่วนราชการ อำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น เงินอุดหนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน ๑.๔ กำหนดองค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัย วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย อำนาจและหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย และให้มีคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ สภาคณาจารย์ และคณะกรรมการนโยบายวิชาการ ๑.๕ กำหนดตำแหน่งทางวิชาการ กำหนดปริญญาและเครื่องหมายวิทยฐานะ ๑.๖ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน งบประมาณและรายได้ องค์ประกอบสภามหาวิทยาลัย การดำรงตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ การโอนบรรดาข้าราชการและพนักงาน การคงฐานะของบรรดาคณะกรรมการ สิทธิการเข้าสู่ตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่ง การยุบเลิกตำแหน่ง ตลอดจนข้อบังคับ ระเบียบ หรือประกาศต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพ เกิดความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อชุมชนและท้องถิ่นอย่างแท้จริง รวมทั้งควรจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ และด้านการการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษา เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาแนวทางและการบริหารจัดการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||
1705 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวน ๑๒๙,๕๒๖ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมา คือ ช่องทางเว็บไซต์ (http://WWW.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘๖,๕๖๒ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องหลักด้านสังคมและสวัสดิการสังคมมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเมือง - การปกครอง และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ สำหรับประเภทเรื่องรองที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สาธารณูปโภค รองลงมาคือ กล่าวโทษหรือร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสังคมเสื่อมโทรม ตามลำดับ ส่วนประเภทเรื่องย่อยที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหาอุทกภัยแบบครบวงจร และการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเดือนร้อนรำคาญจากเสียงดัง กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ การแจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๗,๑๐๘ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ บ่อนการพนัน ยาเสพติด และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงสาธารณสุข (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ และการขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนที่อยู่นอกเหนือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล) และกระทรวงพาณิชย์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้แก้ไขปัญหาสินค้าเพื่อการอุปโภค - บริโภคขาดแคลนและมีราคาสูง และขอให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อข้าวเปลือกและพืชผลทางการเกษตร) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงการให้บริการของพนักงานรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และขอให้เพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง) รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงซ่อมแซมระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ประเด็นที่มีการเสนอเรื่องมาก ได้แก่ ชมเชยการให้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน การปรับปรุงซ่อมแซมโทรศัพท์สาธารณะ และขยายเขตการให้บริการโทรศัพท์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๐,๔๘๑ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากร้านรับซื้อของเก่า และบ้านเรือน การปรับปรุงซ่อมแซมถนน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต และเทศกิจ) รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เรือ กระสอบทราย ฯลฯ โดยเร่งด่วน และให้เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยภายหลังน้ำลด) และจังหวัดสงขลา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัย และการปรับปรุงซ่อมแซมและขยายถนน) ๒. เห็นชอบให้กระทรวงและจังหวัดนำข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์จากฐานข้อมูลในระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของแต่ละหน่วยงานเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการของกระทรวงและจังหวัดตามลำดับความสำคัญ จำเป็น และเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1706 | มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี 2554 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 | กค | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี ๒๕๕๔) กรณีลูกค้าด้านสถาบัน ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นอกภาคเกษตร กลุ่มบุคคล (วิสาหกิจชุมชน) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้ (หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย) เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี รวมทั้งการให้เงินกู้ใหม่เพื่อการฟื้นฟูการผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ คือ MLR - 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ ๔ ต่อปี ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาล จำนวน ๔,๔๔๓.๒๒ ล้านบาท ๒. ให้ ธ.ก.ส. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1707 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 12/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการฟื้นฟู เยียวยา จากสถานการณ์อุทกภัย สำหรับโครงการที่ดำเนินการได้ทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ เป็นเงินรวม ๒๐,๑๑๐.๕๕๗๒ ล้านบาท และรับทราบผลการดำเนินงานของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งได้กำหนดเป้าหมายสำคัญเร่งด่วนในการช่วยเหลือประชาชน สถานประกอบการ และแรงงานภาคเกษตร/อุตสาหกรรมให้สามารถกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยเร็ว การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถตั้งหลักได้โดยเร็ว และการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายให้กลับมาใช้การได้ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาแผนงาน/โครงการ ได้แก่ มีความสอดคล้องกับเป้าหมายสำคัญเร่งด่วน มีความพร้อมในการดำเนินการ และความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนมีข้อเสนอแนะเพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและดำเนินการเกี่ยวกับการจัดส่งข้อมูลตัวเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ของประชาชนที่จะได้รับเงินชดเชยให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อรวบรวมข้อมูลของประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่ต้องการรับความช่วยเหลือจากรัฐ การติดตามสถานประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการของรัฐให้สามารถกลับมาดำเนินการได้เป็นปกติโดยเร็ว การดำเนินการเกี่ยวกับรูปแบบรายการ คุณลักษณะเฉพาะ การกำหนด TOR การจัดทำ EIA/HIA และกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไว้เป็นการล่วงหน้า เป็นต้น และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. หากส่วนราชการใดพิจารณาเห็นว่า ยังมีโครงการใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ต้องดำเนินการโดยทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ เพิ่มเติมด้วย และเป็นโครงการที่อยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบไว้แล้ว เช่น โครงการของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการซ่อมแซมโรงเรียนให้สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามกำหนด เป็นต้น ให้ส่วนราชการนั้นรีบแจ้งสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) พิจารณา หากเห็นชอบด้วย ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ โครงการที่จะเสนอเพิ่มเติมจะต้องเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ ๕ ประการ คือ ๒.๑ เป็นโครงการที่จำเป็นต้องดำเนินการทันที เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขซ่อมแซมของเดิมที่ชำรุดเสียหายอันเนื่องจากเหตุอุทกภัยโดยตรง ๒.๒ เป็นโครงการที่ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นของส่วนราชการนั้น หรือกับส่วนราชการอื่น ๒.๓ เป็นโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกิดรายได้และการจ้างงานแก่ชุมชนและประชาชนโดยตรง และไม่เป็นโครงการในลักษณะการจัดฝึกอบรม/สัมมนาภายในแก่ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ ๒.๔ เป็นโครงการที่ไม่กระทบเกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยส่งโครงการให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาก่อน ๒.๕ ไม่เป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้โดยใช้งบประมาณปกติของส่วนราชการ หรืองบประมาณจากแหล่งอื่น ๆ เช่น เงินกองทุน เงินของชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ๓. มอบหมายดำเนินการในระดับจังหวัด ดังนี้ ๓.๑ ให้แต่ละจังหวัดที่เกี่ยวข้องเร่งรัดตรวจสอบความเสียหายของประชาชนทั้งในด้านที่อยู่อาศัย พืชผลการเกษตรและปศุสัตว์ และเร่งรัดติดตามการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือให้ตกถึงมือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยผ่านระบบบัญชีธนาคารให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบการดำเนินการในระดับพื้นที่ให้ถูกต้อง โดยมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาคมในพื้นที่ด้วย ๓.๒ ในกรณีที่จังหวัดใดมีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนแผนงาน/โครงการ ตามคำขอของจังหวัดให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ให้เสนอโครงการให้คณะกรรมการระดับจังหวัดและรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดพิจารณา แล้วส่งไปยังสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กฟย. พิจารณา หากเห็นชอบด้วย ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการดำเนินการตรวจราชการร่วมกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น โดยให้จัดทำแผนการตรวจติดตามการดำเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และรายงานผลการตรวจติดตามผ่านรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัด แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๆ ๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||
1708 | การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 | มท | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงคมนาคม โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ สรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวม ๗ วัน ๒. เป้าหมายการดำเนินการ เพื่อให้สามารถลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ (Admit) ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ให้ลดลงร้อยละ ๕ ๓. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (เน้นหนัก) ให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก ๕ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการกู้ชีพ ๔. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน ประกอบด้วย ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑ - ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ให้จังหวัดเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณเพื่อการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ตามมาตรการเน้นหนัก และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ระดับจังหวัด อำเภอ และศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดจุดตรวจ/ด่านตรวจร่วมแบบบูรณาการ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน และการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนและบริการประชาชน เป็นต้น ๕. แผนการดำเนินงาน ให้ทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยใช้งบประมาณปกติของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้ ๕.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ระดับจังหวัด อำเภอ ๕.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วม บนเส้นทางสายหลัก (เส้นทางหลวงแผ่นดิน) สายรอง (เส้นทางหลวงชนบท และเส้นทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ๕.๓ แผนงานที่ ๓ การจัดตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน โดยให้เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหัวหน้าชุมชน หมู่บ้าน ภาคประชาชนทำการตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเบื้องต้นในระดับพื้นที่ ๕.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชนระดับพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||
1709 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำพร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยปัจจุบันได้ติดตั้งและเดินเครื่องสูบน้ำในพื้นที่โรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา โครงการชลประทานภาษีเจริญ และดอนเมือง รวมจำนวน ๑๐๖ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำ จำนวน ๒๗๘,๒๖๒ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน เพื่อรวบรวมเครื่องสูบน้ำในพื้นที่และมอบบุคลากรดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างสูบระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัยในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๑๙ เครื่อง โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๑๓๙ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๘๒๖,๐๒๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด โดยมีผลการปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้แก่ การฟื้นฟูเก็บขยะและทำความสะอาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร บางเขน บางพลัด นนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา การจัดเตรียมอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การซ่อมแนวกระสอบทราย และสร้างแนวกระสอบทราย รวมทั้งการขนย้ายสิ่งของที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เป็นต้น ๓. แผนการเตรียมการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยภายหลังน้ำลด ประกอบด้วย ภารกิจหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย การระบายน้ำ ภารกิจสนับสนุน ได้แก่ การดำเนินโครงการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและจัดหาน้ำดื่มสะอาด การเตรียมการในการฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยนำเสนอโครงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมาตรการอื่นในการช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ การนำไม้ของกลางมาช่วยบูรณะซ่อมแซมบ้านพัก และการเว้นค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1710 | ร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับสาระสำคัญของร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐฯ มีดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยหลักการไม่ควรมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐใหม่ แต่ควรใช้วิธีการยุบรวม หลอมรวม ยกฐานะสถาบันอุดมศึกษาในการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ โดยรัฐควรสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยใหม่ และวิทยาเขตต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการทั้งการบริหารทั่วไปและการบริหารวิชาการโดยมีแผนการดำเนินงาน ทิศทางและงบประมาณในการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและใช้การจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ๑.๒ นโยบาย และวิธีการในการหลอมรวม ยุบรวม ๑.๒.๑ สถานภาพของมหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวม ยุบรวม ควรเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง (Specialized University) ที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น มุ่งสนองการผลิตบัณฑิตในสาขาที่เป็นความต้องการของท้องถิ่น และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นและทุกภาคส่วน ในรูปของการสนับสนุนด้านทรัพยากร เช่น งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม (ร้อยละ ๕๐ - ๗๐) ของบุคลากร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นต้น สำหรับกรณีเป็นมหาวิทยาลัยของกลุ่มจังหวัด จะต้องได้รับความเห็นร่วมจากกลุ่มจังหวัด เกี่ยวกับสถานที่จัดตั้งและสาขาวิชาที่จะเปิดสอนเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มจังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๒.๒ การดำเนินงานประกอบด้วย (๑) ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ในการหลอมรวม ยุบรวม เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะได้มหาวิทยาลัยใหม่ที่มีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (๒) ต้องมีการวางแผนแม่บท (Master Plan) อย่างเป็นระบบทั้งด้านบริหาร ด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงินและด้านบุคลากร (๓) ระบบบริหารตามแผนแม่บทต้องเป็นระบบที่มีธรรมาภิบาล สามารถสรรหาผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำสูงที่จะนำมหาวิทยาลัยให้มีความก้าวหน้าในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่และต่อประเทศในภาพรวม (๔) ต้องมีระบบในการบริหารเป้าหมายในการรับนักศึกษาเพื่อให้จำนวนรับ สอดคล้องกับนโยบายของท้องถิ่นและของประเทศ และ (๕) อาจใช้การสร้างเป็นวิทยาเขตที่สามารถพัฒนาให้เกิดคุณภาพขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้และความต้องการจากทุกภาคส่วนในสังคมและในพื้นที่เพื่อให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคน ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การประสานและส่งเสริม อปท. ให้สามารถจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา การเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนในการจัดการศึกษาของ อปท. การมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษา ศักยภาพ ประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งด้านบุคลากรและการลงทุนในระยะยาว การกำหนดแนวทางเพื่อไม่ให้สถาบันการศึกษาของรัฐไปจัดตั้งหรือขยายวิทยาเขตในพื้นที่ที่มีการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา การกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านความต้องการของตลาดแรงงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา แนวทางในการดำเนินการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และเห็นควรคำนึงถึงสถานที่ตั้งและการจัดการเรียนการสอนทางไกลของสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และต่างประเทศในพื้นที่ประกอบด้วย นอกจากนี้ ในการหลอมรวมหรือยุบรวมต้องไม่ทำให้เกิดมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอีก ๑ แห่ง รวมทั้งจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวมหรือยุบรวมจะมีความเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างไร และกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แผนบูรณาการทรัพยากร และแผนการติดตามประเมินผล ก่อนการดำเนินการทุกครั้ง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ ให้ใช้แนวทางการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
1711 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... | คค | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑.๒ กำหนดคำนิยาม “สนามบินสาธารณะ” “สนามบินส่วนบุคคล” ๑.๓ หมวด ๑ สนามบินสาธารณะ ๑.๓.๑ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะผู้ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ ได้แก่ เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมายไทย และมีสำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในราชอาณาจักร มีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ขออนุญาต ฯลฯ เป็นต้น ๑.๓.๒ กำหนดให้การจัดตั้งสนามบินสาธารณะให้ยื่นคำขอตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สำเนาหนังสือรับรองหรือหลักฐานการเป็นนิติบุคคล สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่นายทะเบียนรับรอง ฯลฯ เป็นต้น ๑.๓.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอจัดตั้งสนามบินสาธารณะและเงื่อนไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ ๑.๓.๔ กำหนดให้ใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑.๔ หมวด ๒ สนามบินส่วนบุคคล ๑.๔.๑ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะผู้ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ได้แก่ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ฯลฯ เป็นต้น ๑.๔.๒ กำหนดให้การจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคลให้ยื่นคำขอตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน ได้แก่ กรณีผู้ขออนุญาตเป็นบุคคลธรรมดาให้แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารประจำตัวอย่างอื่นที่ทางราชการออกให้ใช้แทนบัตรประชาชน เอกสารหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ฯลฯ เป็นต้น ๑.๔.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคำขอจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคลและเงื่อนไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ ๑.๔.๔ กำหนดให้ใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินส่วนบุคคล ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด และให้มีอายุไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลกระทบจากสนามบินสาธารณะ เช่น ผลกระทบด้านเสียง กลิ่นและละอองน้ำมันฟุ้งกระจายเปื้อนอาคารและเสื้อผ้าที่ตากไว้ จากการลงจอดของเครื่องบิน เนื่องจากการขยายระยะทางขึ้นลงของเครื่องบิน โดยประชาชนไม่ได้รับค่าชดเชยหรือการเยียวยาอย่างใด ดังนั้น ในชั้นการพิจารณาอนุญาตจัดตั้งสนามบินหรือการแก้ไขเกี่ยวกับระยะทางขึ้นลงของเครื่องบิน ควรกำหนดให้ต้องจัดทำประชาพิจารณ์ และดำเนินการศึกษาผลกระทบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสอบถามความเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ตั้งหรืออยู่ใกล้เคียงสนามบินสาธารณะเพื่อประกอบการพิจารณา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
1712 | ปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ศธ | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่มีมติอนุมัติให้ปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เท่ากับการจัดการศึกษาในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยระดับประถมศึกษา ๑,๙๐๐ บาท/คน/ปีการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๒,๓๐๐ บาท/คน/ปีการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๒,๓๐๐ บาท/คน/ปีการศึกษา และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ๔,๙๐๐ - ๕,๕๐๐ บาท/คน/ปีการศึกษา [ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ใช้เกณฑ์เดียวกับค่าใช้จ่ายระดับ ปวช. ในระบบ โดยให้แยกตามสาขาวิชา] โดยงบประมาณในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการเจียดจ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่จะได้รับจัดสรรดำเนินการไปก่อน ส่วนงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจะจัดสรรให้กระทรวงศึกษาธิการตามอัตราดังกล่าวต่อไป ตามความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขอปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัว ควรนำผลการดำเนินงานจากการปรับเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนที่ผ่านมา มาสะท้อนให้เห็นคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษานอกระบบ และนำผลการวัดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลการใช้งบประมาณ มาประกอบการพิจารณาถึงความเหมาะสมและความจำเป็นอย่างรอบคอบและไม่ลักลั่น รวมทั้งควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายในการบริหารและจัดการทรัพยากรเพื่อการศึกษา เพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพ มาตรฐานการจัดการศึกษานอกระบบได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีกรณีเมื่อมีการปรับอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เท่ากับการจัดการศึกษาในระบบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ แล้ว จะปรับลดอัตราค่าตอบแทนบุคลากรดำเนินการจำนวน ๔๐๐ บาทออกไป ซึ่งเป็นส่วนที่จะนำไปพัฒนาศักยภาพครู โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. โดยควรกำหนดค่าตอบแทนเป็นแบบมุ่งเน้นผลงานและมีตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงการพัฒนาศักยภาพของครู คุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษานอกระบบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1713 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำ โดยศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๑๖ เครื่อง จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๔๖ จังหวัด จำนวน ๑๙๑ เครื่อง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน ๕ เครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒๐ เครื่อง และได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำจากการประสานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และกรุงเทพมหานคร โดยติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน ๑๓ จุด จำนวนเครื่องสูบน้ำ ๑๕๖ เครื่อง ซึ่งผลการดำเนินงานสูบน้ำ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อช่วยระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๑๗,๕๔๖,๖๘๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำ โดยศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๒๕๓ เครื่อง ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำจากภาคเหนือ จำนวน ๔๔ เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๖๑ เครื่อง ภาคกลาง จำนวน ๑๑๘ เครื่อง ภาคตะวันออก จำนวน ๑๒ เครื่อง และภาคตะวันตก จำนวน ๑๘ เครื่อง โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัย โดยประสานจังหวัดพื้นที่เป้าหมายที่ยังมีน้ำท่วมขัง รวมจำนวน ๑๓ จุด มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสร็จแล้ว จำนวน ๑๒๒ เครื่อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นประธานเปิดงาน “ชาวปากน้ำร่วมใจ คืนคลองสวยน้ำใส ป้องกันภัยน้ำท่วม” เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ สถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองทัพเรือ และประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการ ได้ร่วมมือในการกำจัดผักตบชวา จัดเก็บขยะมูลฝอย และขุดลอกคลองเลียบชายทะเลริมถนนสุขุมวิท ให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น เพื่อช่วยการระบายน้ำในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพความพร้อมเครื่องสูบน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดและเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำได้นำเครื่องสูบน้ำไปติดตั้งในพื้นที่น้ำท่วมขังและเร่งระบายน้ำตามภารกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
1714 | รายงานผลการดำเนินการป้องกันและการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และความต้องการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย | อก | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการป้องกันและการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และความต้องการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการป้องกันนิคมอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการประสานหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกันนิคมทั้งด้านการเสริมคันกั้นน้ำให้มั่นคงแข็งแรง จัดหาเครื่องสูบน้ำและเครื่องจักรกลหนักไว้อย่างเพียงพอในทุกพื้นที่ ขอรับการสนับสนุนกำลังพลจากกระทรวงกลาโหมตรวจสอบเฝ้าระวังคันกั้นน้ำตลอด ๒๔ ชั่วโมง ในกรณีที่คันกั้นน้ำชำรุด มีการรั่วซึม จะเร่งซ่อมโดยทันที และตรวจสอบระดับน้ำในคลองต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อนิคม โดยประสานและได้รับความร่วมมือจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการควบคุมการระบายน้ำผ่านพื้นที่นิคม มิให้เกิดความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรม ๒. สรุปผลการฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ และผู้ประกอบการเข้าทำความสะอาด ซ่อมแซมเครื่องอุปกรณ์ รวมทั้งมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในการฟื้นฟูโรงงานแล้ว จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) และเขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูพื้นที่มีข้อจำกัดที่ระดับน้ำภายนอกนิคมต้องลดต่ำกว่าคันกั้นน้ำเดิม เพื่อให้คันกั้นน้ำมีความแข็งแรง ดังนั้น สวนอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี จึงเริ่มสูบน้ำออกจากพื้นที่ล่าช้ากว่าพื้นที่อื่น ส่วนนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครมีข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ ทำให้ระดับน้ำลดลงช้า จึงยังไม่สามารถสูบน้ำออกจากนิคมได้ ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อการฟื้นฟูพื้นที่ทุกแห่งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยประมาณการว่าภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมทุกแห่ง ผู้ประกอบการจะเข้าฟื้นฟูโรงงาน ซ่อมแซมเครื่องจักรอุปกรณ์ได้ และจะมีผู้ประกอบการบางรายเริ่มประกอบการได้ ทั้งนี้ ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ คาดว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะสามารถเริ่มประกอบการได้ ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ Japan Export and Import Band (JICA) และ Japan External Trade Organization (JETRO) ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ได้รับทราบประเด็นปัญหา ข้อวิตกกังวลและความประสงค์ที่จะขอรับความช่วยเหลือ โดยต้องการทราบความชัดเจนของภาครัฐในการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม ต้องการให้นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม มีระบบการป้องกันปัญหาอุทกภัยของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การช่วยเหลือในด้านเงินทุน เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ เพื่อซ่อมแซมบูรณะโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและเครื่องจักรกลต่าง ๆ และการอำนวยความสะดวกในการจัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ กระบวนการหรือพิธีการทางกฎหมายในการนำเข้าส่งออกสารเคมีและวัตถุดิบที่จำเป็นในการฟื้นฟูกิจการ ๔. JICA เสนอความช่วยเหลือและการสนับสนุนต่อภาคอุตสาหกรรมทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยระยะเร่งด่วน เป็นการสนับสนุนเครื่องจักรอุปกรณ์ รถสูบน้ำ เพื่อช่วยเหลือสำหรับการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ชุมชนโดยรอบ ระยะสั้น เป็นการสนับสนุนทางวิชาการในการออกแบบและก่อสร้างคันกั้นน้ำรอบนิคมอุตสาหกรรม และการให้ความช่วยเหลือด้านการป้องกันและการฟื้นฟูการประกอบการอย่างเร่งด่วนทั้งด้านวิชาการและการเงิน สำหรับระยะกลางและระยะยาว เป็นการสนับสนุนการศึกษาการป้องกันอุทกภัยในภาพรวมของประเทศ และสนับสนุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับป้องกันอุทกภัย และความช่วยเหลือทางเทคนิคอื่น
|
||||||||||||||||||||||||
1715 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง คุณภาพชีวิตประชาชนไทยด้านสาธารณสุข ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง | สว | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เรื่อง คุณภาพชีวิตประชาชนไทยด้านสาธารณสุข ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข มีดังนี้
๑. เสริมสร้างกระบวนการบริหารจัดการภาคประชาชนที่จะทำให้ชุมชนเข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน พร้อมที่จะพัฒนาในทุกด้าน โดยการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสาธารณสุขของประชาชนที่ให้ความสำคัญ การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาและการสร้างสุขภาพแทนการซ่อมสุขภาพ ๒. สร้างเครือข่ายแนวราบ โดยมีการศึกษาวิจัยทดสอบรูปแบบการป้องกัน ควบคุมโรคโดยภาคส่วนประชาชนมีส่วนร่วม เช่น การพัฒนารูปแบบการป้องกัน แก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่ในชุมชน การพัฒนารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์เพื่อสุขภาวะชุมชน ๓. ภาครัฐผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุข โดยกระทรวงสาธารณสุขมีบทบาทกำหนดนโยบายระบบกำลังคน และวางยุทธศาสตร์ในการวางแผนกำลังคนด้านสาธารณสุขทั่วประเทศ สนับสนุน ติดตาม กำกับดูแลให้เป็นไปตามนโยบาย เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคม เศรษฐกิจของประเทศ และประชาคมอาเซียน โดยกำหนดทิศทางการผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขร่วมกับสภาวิชาชีพ และสถาบันการศึกษา ๔. ส่งเสริมการวิจัยสาธารณสุขชุมชน โดยนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับภูมิปัญญาชาวบ้าน และเทคโนโลยีที่เหมาะสม พัฒนา ต่อยอด เชื่อมโยงสู่ระบบสุขภาพภาคประชาชน ด้วยการพัฒนาวิชาการ รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค วินิจฉัย รักษาโรค และภัยสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ๕. ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและวิทยาการแก่ชุมชนที่ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต เช่น การจัดสรรนมผงให้แก่ทารกแรกเกิด ที่แม่มีการติดเชื้อเอดส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก และการออกกำลังกายแบบวิถีไทย ๖. มีรถพยาบาลเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ในโรงพยาบาลทุกแห่ง ออกให้บริการประชาชนในชุมชนกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งมีระบบส่งต่อไปรับการรักษาโรงพยาบาลต่าง ๆ และสนับสนุนด้านวิชาการการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรถพยาบาลเคลื่อนที่ (Mobile Unit)
|
||||||||||||||||||||||||
1716 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554) | มท | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๑๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก สมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวม ๑๒๔ อำเภอ ๘๖๗ ตำบล ๕,๗๕๒ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๘๘๖,๐๖๒ ครัวเรือน ๕,๐๕๑,๒๓๕ คน โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยและมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งสิ้น ๖๔ จังหวัด มีผู้เสียชีวิต ๖๐๖ ราย สูญหาย ๓ คน ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู จำนวน ๔๗ จังหวัด ๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) ใน ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๑๔,๐๓๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๐,๑๙๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๖๑ (ณ วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ๓. การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งที่ ๕๔๗/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้อำนวยการศูนย์ มีหน้าที่อำนวยการ ประสานแผน และบูรณาการการปฏิบัติงาน รวมทั้งกำกับ ดูแลการปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามนโยบายของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ นอกจากนี้ ได้สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาวของจังหวัด โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ของจังหวัด โดยให้มีการเตรียมการทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และภายหลังเกิดเหตุ รวมทั้งให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ทั้งในระดับอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1717 | รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ ภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เนื่องจากมีการพบว่ามีปริมาณสารปรอทสูง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ พบว่าตัวอย่างน้ำที่เก็บจากบริเวณห้วยเหล็ก ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีปริมาณสารไซยาไนด์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด แต่มีปริมาณสารหนูเกินมาตรฐานน้ำผิวดิน และไม่พบว่ามีสารปรอทในตัวอย่างน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด ๒. กรมทรัพยากรธรณีได้ตรวจสอบการปนเปื้อนของมลสาร ระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๔ โดยเก็บตัวอย่างดินและตะกอนท้องน้ำ จำนวน ๔๑ ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ปริมาณธาตุ As, Cd, Co, Cr, Cu, Fe, Mn, Ni, Pb และ Zn ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดินและตะกอนท้องน้ำ จำนวน ๒๐ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุ As อยู่ระหว่าง ๓๐ - ๓๘๕ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม และตัวอย่างดิน จำนวน ๑ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุแคดเมียม ๑๐.๙๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม ทั้งนี้ ตัวอย่างดินทั้งหมด จำนวน ๔๑ ตัวอย่าง มีปริมาณธาตุปรอทไม่เกินมาตรฐานคุณภาพดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยและเกษตรกรรม ๓. กรมทรัพยากรน้ำบาดาลรายงานว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแร่สูง จึงอาจพบการปนเปื้อนของสารหนูหรือไซยาไนด์ในธรรมชาติอยู่แล้ว และไซยาไนด์สามารถย่อยสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสแสงแดด ดังนั้น โอกาสที่ปนเปื้อนในน้ำบาดาลจึงเป็นไปได้น้อยมาก ๔. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้พิจารณารายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่โครงการจัดส่งเป็นระยะ ๆ และแจ้งผลให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ทราบ ทั้งนี้ ในส่วนการตรวจสอบกำกับการทำเหมืองของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เป็นหน้าที่ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่สามารถกำหนดให้เพิ่มความถี่และจุดเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อเฝ้าระวังคุณภาพน้ำให้มากขึ้นได้ แต่ไม่ควรเปลี่ยนจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำอยู่เสมอ เนื่องจากจะไม่สามารถเปรียบเทียบผลได้ ๕. กรณีที่ราษฎรในพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นว่าควรระงับการขอขยายพื้นที่ใหม่หรือการขอประทานบัตรของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด แปลงประทานบัตรที่ ๑๐๔/๒๕๓๘ นั้น เป็นอำนาจของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานอนุญาตตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งมีอำนาจโดยตรง และยังมีอำนาจในการกำกับดูแลให้โครงการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการที่เห็นว่าสำคัญให้แก่โครงการในการนำไปปฏิบัติ
|
||||||||||||||||||||||||
1718 | ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ประสงค์จะสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมหรือยกเลิกการเป็นสมาชิกของสมาคม จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๒ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสมัครเป็นสมาชิกสมาคมจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้รับและเป็นผลดีต่อการปฏิบัติราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งต้องพิจารณาถึงรายจ่ายตามข้อผูกพันที่จะต้องชำระเงินค่าบำรุงให้แก่สมาคมตามข้อบังคับของสมาคม และฐานะทางการคลังเป็นสำคัญ ๑.๓ การจ่ายเงินค่าบำรุงให้แก่สมาคมที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นสมาชิก ให้เบิกจ่ายได้ตั้งแต่ปีงบประมาณที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมัครเป็นสมาชิกตามจำนวนเงินค่าบำรุงที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสมาคม โดยให้ตั้งจ่ายไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ๑.๔ การจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังมิได้มีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้เบิกจ่ายได้ตามระเบียบนี้ ๑.๕ การจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้ดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้ว โดยไม่ขัดหรือแย้งกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ถือเป็นการเบิกจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมตามระเบียบนี้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) ของเทศบาล หรือการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบอื่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล) ไม่ใช่กิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่หรือมีกฎหมายกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ ประกอบกับการออกระเบียบกำหนดให้การจ่ายเงินค่าบำรุงสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเป็นรายจ่ายอื่น ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๖๗ (๙) พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๗๔ (๙) พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๘๕ (๑๐) อาจเป็นการเกินอำนาจที่กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ไว้ อย่างไรก็ตาม การที่จะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์การบริหารส่วนตำบลเข้าเป็นสมาชิกสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ ต้องดำเนินการปรับปรุงกฎหมายจัดตั้งของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว หรือกำหนดให้มีสันนิบาตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเทียบเคียงได้กับพระราชบัญญัติสหกรณ์ จากนั้นกระทรวงมหาดไทยจึงสามารถออกระเบียบเพื่อรองรับการเบิกจ่ายได้ต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1719 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4 | วท | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการจัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ ๔ โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการต่างประเทศ จัดงานดังกล่าวขึ้นภายใต้หัวข้อ From Nature to Technology ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ สรุปผลการจัดงานได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าร่วมงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ ๔ มีจำนวน ๖๓๔ คน ประกอบด้วย นักเรียนไทยและต่างประเทศ ครูและเจ้าหน้าที่ไทยและชาวต่างประเทศ ส่วนกิจกรรมภายในงานได้มีการบรรยายพิเศษ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก กิจกรรมสำหรับนักเรียน ได้แก่ ค่ายมหัศจรรย์พลังงานนิวเคลียร์ ค่ายความหลากหลายทางชีวภาพ ค่ายท่องโลกดาราศาสตร์ ค่ายจรวดขวดน้ำ ค่ายหุ่นยนต์ปลา ค่ายนักสืบสิ่งมีชีวิตเปล่งแสง ค่ายโอริงามิ ค่ายภูมิปัญญาท้องถิ่น (บัว) และค่ายภูมิปัญญาท้องถิ่น (กล้วย) กิจกรรมสำหรับครู ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบิน และการสาธิตการทำอาหารและขนมไทย รวมทั้งกิจกรรมสันทนาการ อาทิ การแสดงดนตรี และวัฒนธรรม การสาธิตโชว์วิทยาศาสตร์ เป็นต้น ๒. ผลที่ได้รับจากการจัดงานในครั้งนี้ ทำให้เกิดเครือข่ายนักเรียนที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ และเครือข่ายครูวิทยาศาสตร์ในกลุ่มเอเปค มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ การคิดเชิงวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการทำงานเป็นทีม รวมทั้งประเทศไทยได้รับการยอมรับศักยภาพการจัดงานเทศกาลเยาวชนระดับนานาชาติ สร้างโอกาสในการดึงพันธมิตรต่างประเทศเข้ามาทำกิจกรรมที่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ “บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร” ได้รับการยอมรับมากขึ้นและก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับนานาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
1720 | รายงานสถานการณ์ภาวะการค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย | พณ | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ภาวะการค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดที่ประสบภัย สินค้ามีการจำหน่ายเฉพาะบางพื้นที่และมีปริมาณน้อย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าที่มีการปรับราคาสูงขึ้น เช่น เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก อิฐบล็อค ทราย และถุงบรรจุทราย หมวดอาหารสดมีปริมาณจำกัด โดยเฉพาะเนื้อสัตว์มีปริมาณน้อยและราคามีการปรับตัวสูงขึ้น สำหรับจังหวัดที่มีน้ำท่วมขังบางพื้นที่และมีความเสี่ยง ราคาสินค้ายังทรงตัว ปริมาณสินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิดไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร และน้ำดื่ม เป็นต้น ๒. กระทรวงพาณิชย์ได้มอบข้าวสารที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) รวม ๒,๕๓๙,๗๐๐ ถุง ๆ ละ ๔ กิโลกรัม ให้แก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย รวม ๔๘ จังหวัด จำนวน ๑,๗๕๑,๐๐๐ ถุง และมอบให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา จำนวน ๗๖๓,๗๐๐ ถุง รวมทั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) จำนวน ๒๕,๐๐๐ ถุง เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย ๓. กรมการค้าภายในได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการกระจายสินค้าเพื่อผู้บริโภค เพื่อแก้ไขปัญหาด้านปริมาณและราคาสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และไม่ให้มีการปรับราคาสินค้า เพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค โดยกำหนดให้จังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค บริเวณหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัด และบางส่วนร่วมกับห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นจัดมุมสินค้าราคาประหยัด โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔
|
.....