ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 81 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1601 - 1620 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1601 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขประกอบเกณฑ์การประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะจัดการอาชีวศึกษายื่นคำขอต่อสำนักงานล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามร้อยวันก่อนวันเริ่มต้นปีการศึกษาที่จะทำการสอน ๓. กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อการประเมินเพื่อทำหน้าที่ประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาและแจ้งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ ๔. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดการอาชีวศึกษาอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้จัดการอาชีวศึกษานั้นต่อไปโดยไม่ต้องประเมินอีก
|
||||||||||||||||||
1602 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนไมตรีจิตและถนนคลองเก้า พ.ศ. .... | นร | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนไมตรีจิตและถนนคลองเก้า พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนไมตรีจิตและถนนคลองเก้า ในท้องที่แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา และแขวงคลองสิบ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
1603 | การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลอง | กค | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (กบภ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง (คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ) พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ พิจารณาเห็นว่า ส่วนราชการที่รับผิดชอบโครงการขุดลอกคูคลอง ควรมีการซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานของโครงการขุดลอกคูคลอง ดังนี้ ๑.๑.๑ ก่อนการขุดลอก ขอให้ดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบสถานที่ดำเนินการ เช่น สภาพภูมิประเทศและความลึกของท้องน้ำ ค่าระดับท้องคลอง เป็นต้น ๑.๑.๒ ประมาณการปริมาณดินก่อนขุดลอก รวมถึงแบบรูปรายการละเอียดของงานในแต่ละงาน โครงการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตรงตามมาตรฐานของงานของแต่ละส่วนราชการ เพื่อประกอบการจัดจ้าง ๑.๑.๓ ตรวจสอบปริมาณดินหลังขุดลอก โดยตรวจสอบปริมาณงานดินที่ขุดได้ และเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่กำหนดไว้ในรายการ หรือสัญญา ตามวิธีการที่เป็นมาตรฐานที่ส่วนราชการกำหนด โดยที่ผู้รับผิดชอบลงนาม ตรวจสอบ ก่อนการดำเนินงานระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในการตรวจรับงานและการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๔ ขอให้มีการถ่ายรูปสถานที่ก่อสร้างการดำเนินงาน ระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและจัดทำรายงานการตรวจรับงานเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งนี้ หากส่วนราชการใดไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวได้ อาจขอความร่วมมือจากส่วนราชการอื่นที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องดังกล่าวได้ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลอง ไปใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินโครงการขุดลอกคูคลอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1604 | การส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ | วท | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) และโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) เป็นกรอบนโยบายสำหรับการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีทิศทางชัดเจน และตอบสนองนโยบายของประเทศที่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อความต้องการของภาคการผลิตและบริการในแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนา ทรัพยากรในพื้นที่ และความต้องการที่แตกต่างกัน โดยมีแนวทางการพัฒนากิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ๗ ประเด็นหลัก ได้แก่ การมุ่งเน้นส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาแบบก้าวกระโดด การส่งเสริมให้ประเทศเป็นฐานการลงทุนวิจัยและพัฒนาของบริษัทข้ามชาติ และบริษัทไทย การส่งเสริมและเปิดกว้างให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนจัดตั้งและพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ การนำทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเชื่อมโยงอุทยานวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ การสร้างให้เกิดการพัฒนาเครือข่ายของอุทยานวิทยาศาสตร์เชิงบูรณาการ และนโยบายการสนับสนุนจากรัฐที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ๑.๒ โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ดำเนินการโดยใช้ศักยภาพของมหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นฐานในการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นแกนหลัก อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นแกนหลัก และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นแกนหลัก โดยทั้งสามมหาวิทยาลัยจะพัฒนาและดำเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ ให้บริการใน ๒ รูปแบบ คือ รูปแบบที่ ๑ เป็นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมวิจัยพัฒนาของภาคเอกชน เช่น อาคารอำนวยการกลาง พื้นที่บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ พื้นที่ให้เช่าเพื่อทำวิจัยและพัฒนา การให้บริการห้องปฏิบัติการและเครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบ และโรงงานต้นแบบ เป็นต้น และรูปแบบที่ ๒ เป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีของภาคเอกชนโดยผ่านกิจกรรมการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี และกิจกรรมการส่งเสริมให้ภาคเอกชนทำวิจัยและพัฒนา เช่น การร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ ๆ สู่เชิงพาณิชย์ การให้คำปรึกษาและบริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการประสานงานอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดมุ่งเน้นของอุทยานวิทยาศาสตร์ในแต่ละพื้นที่ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือมุ้งเน้น “โครงการนวัตกรรมข้าวไทยเพิ่มมูลค่าสู่ตลาดโลก” อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งเน้น “โครงการยุทธศาสตร์สร้างมูลค่าเพิ่มในโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมไก่เนื้อในประเทศไทย” และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้มุ่งเน้น “โครงการยกระดับและการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมยางพารา” ๒. สำหรับงบประมาณรองรับการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับการดำเนินงานตามแผนงาน จำนวน ๒๗๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสมโครงการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ด้วยแล้ว ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ควรเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการให้อุทยานวิทยาศาสตร์มีการบริหารจัดการที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความร่วมมือและการบูรณาการจากประชาชนในท้องถิ่น และควรจัดทำรายละเอียดในส่วนของแนวทางการดำเนินการพัฒนาส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ แนวทางการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนและการลงทุนในลักษณะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ และแนวทางการติดตามประเมินผลในแต่ละระดับพร้อมระยะเวลาดำเนินการ สำหรับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เห็นควรให้บูรณาการการดำเนินงานของกิจกรรมภายใต้โครงการที่มุ่งเน้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ และให้ความสำคัญกับการบูรณาการในระดับพื้นที่ระหว่างส่วนราชการ จังหวัด และกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน สอดคล้องเชื่อมโยงกัน และเป็นการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเพิ่มเติมแนวทางความร่วมมือ/เชื่อมโยงการทำงานกับมหาวิทยาลัยที่เป็นเครือข่าย และแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1605 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 และเรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 มติ 1 ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ | สช | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวม ๔ มติ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ มติ ๒ การจัดการปัญหาการฆ่าตัวตาย (สุขใจ...ไม่คิดสั้น) ๑.๒ มติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ๑.๓ มติ ๔ การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำขนาดเล็กอย่างยั่งยืนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคีทุกภาคส่วน ๑.๕ มติ ๕ การจัดการปัญหาโฆษณาที่ผิดกฎหมายของยา อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพทางวิทยุกระจายเสียง สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ๑.๖ มติ ๖ การเข้าถึงบริการอาชีวอนามัยเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ที่เห็นว่า การจัดตั้งกองทุนระดับชาติเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ควรพิจารณาขยายอำนาจหน้าที่ของกองทุนการประกันภัยพิบัติซึ่งมีอยู่แล้วให้ครอบคลุมการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างรอบด้านโดยไม่จำเป็นต้องให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ และเน้นการใช้กองทุนบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับชาติแทนการจัดตั้งกองทุนในระดับท้องถิ่นเพื่อป้องกันปัญหาความไม่ยั่งยืนในเชิงการคลังของกองทุน โดยส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทในการสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมประเมินและบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติในพื้นที่ และการลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่ผู้ประสบภัย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ มติ ๑ ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดการน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการอาหารทอดมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดการเฝ้าระวังการใช้น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพไปสู่การผลิตไบโอดีเซล เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทน รวมทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเกี่ยวกับความเป็นพิษของการใช้น้ำมันทอดซ้ำ โดยการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ พร้อมทั้งพัฒนาวิธีวิเคราะห์สารประกอบโพลาร์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๒๘๓ พ.ศ. ๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดปริมาณสารโพลาร์ในน้ำมันที่ใช้ทอดหรือประกอบอาหารเพื่อจำหน่าย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1606 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พณ | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๘,๖๔๐,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๒๗๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ ๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๕๗๖,๐๐๐ บาท สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๑,๘๖๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเช่าพื้นที่อาคาร โดยคำนึงถึงขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมกับอัตรากำลังและประโยชน์ในการใช้สอย ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา รวมทั้งศึกษากฎหมายและ/หรือประเพณีของการเช่าอาคารในแต่ละประเทศเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาเช่าและเงื่อนไขหรือข้อตกลงอื่น เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ เปรียบเทียบอัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่ากับผู้ให้เช่ารายอื่น โดยอัตราค่าเช่าครั้งหลังสุดต้องไม่สูงกว่าอัตราตามท้องตลาดและบันทึกเหตุผลที่ต้องเบิกจ่ายในอัตรานั้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1607 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2555 | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๙ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ การพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการพัฒนาโครงการดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนพัฒนาความเชื่อมโยงของไทยกับท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การเร่งรัดการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงภาคตะวันตก ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาท่าเรือทวายและการเปิดด่านบ้านพุน้ำร้อน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของถนนสายทางหลักและสายทางรอง และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ Southern Economic Corridor (SEC) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และจังหวัดกาญจนบุรี ประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาร์ในการเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว และเจรจาเพื่อขอเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรีต่อไป ๒.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาร์ ๒.๑.๔.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินงานของกองกำลังสุรสีห์ กระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับเมียนมาร์ เพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ และเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม เห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร และให้กระทรวงกลาโหมประสานกับกระทรวงมหาดไทยในด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาในเมียนมาร์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง หากเห็นสมควรให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าตะโกบนให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๔.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาผลกระทบจากการเปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย ๒.๑.๕ โครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมนำโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิตไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพลังงานดำเนินการในรายละเอียดของการดำเนินโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานชีวมวล ๒.๑.๖. การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๖.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพคลองตาหลวงจากสำนักงบประมาณ ภายใต้กรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอโครงการปรับปรุงระบบนิเวศคลองดำเนินสะดวกและคลองสาขา จังหวัดราชบุรี - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของแม่น้ำท่าจีนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ไปพิจารณาในรายละเอียดแล้วเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนในการดำเนินการต่อไป ๒.๑.๖.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาโครงการนำร่องสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ และให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายและการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น ๒.๑.๗ โครงการถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จังหวัดสมุทรสาคร - สมุทรสงคราม (Royal Coast Road) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปศึกษารายละเอียดของโครงการดังกล่าว เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๘ การประกาศเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำและปราณบุรี) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการประกาศเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำ - ปราณบุรี) ภายในกลุ่มท่องเที่ยว The Royal Coast ให้เป็นเขตพื้นที่พิเศษตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๙ การปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงกลาโหมขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต โดยหารือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศในรายละเอียดของการจัดแสดงนิทรรศการด้วย ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ Financial Action Task Force : FATF) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้นำความเห็นที่ประชุมที่เห็นว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงในการป้องกันและปราบปรามในการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่เข้มงวดในการติดตามธุรกรรมทางการเงิน การอายัดทรัพย์ หรือการดำเนินทางกฎหมายผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งการออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของภาคเอกชนไทย และความเป็นไปได้ในการบังคับใช้ ไปประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๒.๒.๒ การปรับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการด้าน Climate Change ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยสมัครใจ และจัดทำแผนแม่บทการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||
1608 | แผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | สช | 20/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นตามที่คณะกรรมการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเสนอ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติประสานงานเพื่อขับเคลื่อน ผลักดันการดำเนินงาน ติดตาม กำกับ ประเมินผล แผนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น รายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนโดยร่วมกันจัดทำแผนงาน/โครงการ แผนเงิน และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ มีแนวทางการส่งเสริมและการสร้างหลักฐานที่น่าเชื่อถือในด้านความปลอดภัย ศักยภาพ คุณประโยชน์ และการรักษาจากการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก มีการพัฒนากำลังคนด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกให้มีสมรรถนะที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเรื่องการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยในเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน การเร่งรัดจัดทำระบบข้อมูลภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แผนไทยในระดับประเทศ และการสนับสนุนทางด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนักวิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1609 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งได้นำกรอบและทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ หลีกเลี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ส่งเสริมการประกอบกิจการและอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม เน้นมาตรการเชิงรุกและหลักการป้องกันไว้ก่อน รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมและภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนให้สามารถจัดการสภาพแวดล้อมให้ปลอดมลพิษเพื่อการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมทั้งภาครัฐทุกระดับและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบท ปัญหาและสถานการณ์ พัฒนาบุคลากรด้านงานอนามัยสิ่งแวดล้อม จัดทำระบบและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พัฒนากลไกทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและพื้นที่ ตลอดจนข้อตกลงตามนัยแห่งบทบัญญัติของกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยระดมศักยภาพและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบูรณาการและเสริมพลังระหว่างภาคีเครือข่าย และขับเคลื่อนผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมบทบาทของ อปท. ภายใต้หลักคิดการกระจายอำนาจ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับส่วนภูมิภาคและส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างฐานการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง พัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรมองค์ความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการทางวิชาการเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการรณรงค์ปลอดการเผา (Zero burn) ในพื้นที่เกษตรกรรมทุกประเภท การส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสารเคมีในการดูแลผลิตภัณฑ์ทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะและเชื้อเพลิงที่มีมลพิษต่ำโดยการส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตเมือง การพิจารณาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายความเข้มงวดในการปฏิบัติตามและบทลงโทษให้มีความเหมาะสมต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม การส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วยดังกล่าว การให้คำจำกัดความที่ชัดเจนระหว่าง “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม” และปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม” การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีการวิจัยที่ครอบคลุมทุกด้านทั้งอนามัยสิ่งแวดล้อมในน้ำ ดิน และอากาศ รวมทั้งเทคโนโลยีการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention Technology) การสร้างความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตบัณฑิตและนักวิจัยในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการสารเคมี และศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการกำหนดรายละเอียดกลไกการขับเคลื่อนและแนวทางการติดตามประเมินผลอย่างชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทของ อปท. ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงสาธารณสุขถ่ายโอนสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) รวมทั้งบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ อปท. เพื่อให้ อปท. มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||
1610 | การให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) | พณ | 14/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) เต็มจำนวน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งเดียว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๑,๕๕๐,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑ บาท หรือตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริมให้นักวิจัยของไทยทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาได้มีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยกับ ERIA เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และความเข้าใจในการรวมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและนำมาใช้ในการเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิจัยเหล่านั้นให้สาธารณชนรับทราบอย่างแพร่หลาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1611 | รายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. 2554 | พม | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์และการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยยังคงมี ๓ สถานะในกระบวนการค้ามนุษย์ (สถานะประเทศต้นทาง สถานะประเทศปลายทาง และสถานะทางผ่าน) ซึ่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นประเทศปลายทางมากกว่าต้นทาง โดยมีผู้เสียหายต่างชาติในประเทศไทย จำนวน ๒๗๙ คน ส่วนใหญ่เป็นชาวลาว และมีผู้เสียหายคนไทยในต่างประเทศ จำนวน ๔๖ คน ส่วนใหญ่ถูกแสวงประโยชน์ในประเทศญี่ปุ่น สำหรับรูปแบบการค้ามนุษย์ยังเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีมากที่สุด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ ๑๕๕ คน การส่งกลับผู้เสียหายจะต้องรอจากประเทศต้นทาง ๑๐๘ คน และรอเป็นพยานในการดำเนินคดี ๗๔ คน ๒. ผลการดำเนินการ แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ บ่งชี้ให้เห็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ตั้งแต่การป้องกัน ซึ่งให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยงทั้งกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กลุ่มแรงงานต่างด้าวในภาคประมง กลุ่มเด็ก กลุ่มภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ๓. ด้านการดำเนินคดี ได้เพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรในการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การช่วยเหลือ การสืบสวนสอบสวน การดำเนินคดี การคุ้มครองสิทธิ และการตัดสิน ส่วนการคุ้มครองให้ความสำคัญกับกระบวนการฟื้นฟูและมาตรการทางกฎหมายเพื่อสร้างความร่วมมือกับผู้เสียหายในการดำเนินคดี พร้อมกับความร่วมมือในการจัดการรายกรณี (case management) เพื่อแลกเปลี่ยนสถานการณ์การช่วยเหลือผู้เสียหาย และลดข้อจำกัดในการส่งกลับภูมิลำเนา ๔. ด้านนโยบาย ได้ให้ความสำคัญในมาตรการพิสูจน์สัญชาติ การออกข้อบังคับรองรับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และความร่วมมือระหว่างประเทศในลักษณะทวิภาคีต่อต้านการค้ามนุษย์ ๕. แนวทางการดำเนินงานต่อไป ได้แก่ ๕.๑ เพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ๕.๒ พัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งกระบวนการ ๕.๓ สร้างผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินคดี พิจารณา และพิพากษาคดีค้ามนุษย์ และผลักดันให้มีการจัดตั้งสำนักงานคดีอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ในสำนักงานอัยการสูงสุด และแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา เพื่อให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๕.๔ สร้างระบบการจัดเก็บ และระบบข้อมูลการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุง พัฒนาการทำงานในเชิงรุก ๕.๕ ผลักดันให้ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และพิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๓
|
||||||||||||||||||
1612 | (ร่าง) แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | กก | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และให้กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางพัฒนานันทนาการของชาติให้ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางพัฒนานันทนาการของชาติให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และเป็นแผนแม่บทระดับชาติที่มียุทธศาสตร์สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งมุ่งหวังให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอภาคเป็นธรรมและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงยั่งยืน โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ “นันทนาการสร้างคุณภาพชีวิต สังคมเป็นสุข สิ่งแวดล้อมงดงาม โดยมุ่งสู่มาตรฐานสากล” ๑.๒ วัตถุประสงค์ ๑.๒.๑ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของนันทนาการและการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๑.๒.๒ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส ได้แก่ ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิตเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและพัฒนาสังคม ๑.๒.๓ เพื่อพัฒนาบุคลากรนันทนาการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มีความรู้ความสามารถสู่ระดับมาตรฐานสากล ๑.๒.๔ เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกทางนันทนาการและสิ่งแวดล้อมให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ๑.๒.๕ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนันทนาการเพื่อการพาณิชย์ ๑.๒.๖ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนประกอบกิจกรรมนันทนาการเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอย่างยั่งยืน ๑.๓ เป้าหมาย ๑.๓.๑ ประชาชนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนกลุ่มเสี่ยง ผู้พิการและผู้สูงอายุ มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยนันทนาการและประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิต โดยมีเป้าหมาย ร้อยละ ๘๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๓.๒ เด็กและเยาวชน ร้อยละ ๘๐ มีความรู้ ความเข้าใจ และมีเจตคติที่ดีต่อนันทนาการ รวมทั้งประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๑.๓.๓ สถานศึกษา ร้อยละ ๘๐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร้อยละ ๘๐ จัดให้มีการจัดการเรียนรู้เรื่องการใช้เวลาว่างและนันทนาการ รวมทั้งจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการในชีวิตประจำวันแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ๑.๓.๔ บุคลากรนันทนาการ ได้แก่ ผู้นำนันทนาการและนักนันทนาการอาชีพได้รับการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง และมีการผลิตบัณฑิตสาขานันทนาการเพิ่มขึ้น ๑.๓.๕ มีการดำเนินกิจกรรมนันทนาการเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง ๑.๓.๖ มีมาตรฐานและตัวชี้วัดด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับนันทนาการและมีการตรวจสอบรับรองมาตรฐานอย่างเป็นระบบ ๑.๓.๗ มีการบริหารจัดการนันทนาการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้มีองค์กรตรวจสอบติดตาม ๑.๔ ยุทธศาสตร์ ๑.๔.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การส่งเสริมเด็ก เยาวชน และประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิต ๑.๔.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การผลิตและพัฒนาบุคลากรในการเป็นผู้นำและการจัดบริการนันทนาการ ๑.๔.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการ ๑.๔.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาสภาวะแวดล้อมและการส่งเสริม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนด้วยนันทนาการ ๒. ยกเว้นในส่วนของการบริหารจัดการนันทนาการโดยการจัดตั้งกองทุนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทบทวนความเหมาะสมและความจำเป็น เนื่องจากอาจมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของกรมพลศึกษา ซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมนันทนาการอยู่แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า (ร่าง) แผนพัฒนาฯ มีขอบเขตของกิจกรรมนันทนาการที่กว้างและเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หากสามารถระบุความเชื่อมโยงของกิจกรรมที่หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมสนับสนุนแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์จะช่วยให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติยิ่งขึ้น ส่วนสาระสำคัญในเป้าหมายของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ควรแสดงให้เห็นว่า กิจกรรมนันทนาการได้ช่วยพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพทางจิตใจของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย รวมทั้งความรู้และทักษะที่จะพัฒนาบุคลากรนันทนาการ ควรครอบคลุมถึงความรู้และทักษะในเรื่องสุขภาพจิตด้วย และควรเพิ่มเติมการให้ความรู้ ความเข้าใจในการประกอบการอุตสาหกรรม ประโยชน์ของภาคอุตสาหกรรมที่มีต่อชุมชน และตระหนักถึงการป้องกันดูแลสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากการประกอบอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ในงานนันทนาการ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร ต่อยอดองค์ความรู้และสนับสนุนเครือข่ายที่มีอยู่ให้เข้ามาร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้นันทนาการเป็นสื่ออย่างเหมาะสม การสร้างระบบการบริหารจัดการที่ดี การบูรณาการและประสานแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในระดับประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1613 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน) | มท | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขหลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยให้ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับสามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ ผ่านกระบวนการพิจารณาและมีผลใช้บังคับแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรจะมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจถึงสิทธิและทางเลือกการดำเนินการตามกฎหมายที่ได้แก้ไขใหม่ในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีประชาชนต้องการออกโฉนดและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและใช้สิทธิตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างเหมาะสมต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1614 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติมีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพให้ได้รับบำนาญพิเศษเพิ่มสูงขึ้น ๒. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายบำเหน็จตกทอดให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับให้สามารถนำเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบำนาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ช.ค.บ.) มารวมคำนวณได้ ๓. ยกเลิกบทบัญญัติเรื่องการหมดสิทธิรับบำนาญของผู้รับบำนาญ |
||||||||||||||||||
1615 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กพต. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กพต. เสนอ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๓ สาย อำเภอนาทวี - บ้านประกอบ ตอน ๒ และการเชื่อมโยงการขนส่งจากด่านประกอบไปอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา แผนพัฒนามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา)/ โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ จังหวัดสงขลา ร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ รวมทั้งโครงการทำดี มีอาชีพ โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกในครัวเรือนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงแพะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และโครงการพัฒนาศักยภาพการเลี้ยงแพะเนื้อเพื่อรองรับอุตสาหกรรมฮาลาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเรื่องดังต่อไปนี้ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒ โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๙๓.๓๙๗๓ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕.๙๗๘ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการเชื่อมโยงโครงข่ายกับภาคเอกชน ชุมชน และท้องถิ่น เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ข้อมูลร่วมกัน โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์กลางควบคุมกล้องวงจรปิด CCTV ๒.๓ โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา)/โครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒.๔ โครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๓ สาย อำเภอนาทวี - บ้านประกอบ ตอน ๒ ให้กรมทางหลวงปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๕ การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการศึกษา เยียวยาและฟื้นฟูผู้พิการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการขอจัดตั้งสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พิจารณาถึงภาพรวมของอัตรากำลังคนภาครัฐและภาระงบประมาณในอนาคต และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป รวมทั้งควรกำหนดเฉพาะพื้นที่พิเศษใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๖ การสนับสนุนเงินอุดหนุนพิเศษพระภิกษุสงฆ์ใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๔.๘๓ ล้านบาท และปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
1616 | ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ แนวทาง และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการร่วมกันปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหน่วยงานของตนเองให้มีความโปร่งใส สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แบ่งออกเป็น ๖ แนวทางหลักและอื่น ๆ ดังนี้ ๑.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ (Awareness Building Approach) มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกและทัศนคติเชิงบวกในการสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย ครอบคลุมทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการปลูกฝัง สร้างค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง โดยอาศัยกลไกของสังคมเป็นการลงโทษผู้กระทำผิดหรือทุจริตคอร์รัปชั่น ๑.๒ การพัฒนาองค์การ (Organization Development Approach) มุ่งเน้นการพัฒนาองค์การทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นองค์การสีขาว มีการดำเนินการป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจนวางระบบคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในระบบราชการที่คำนึงถึงความมีเหตุผลทางคุณธรรม (Moral Reasoning) หรือความสามารถทางด้านจริยธรรม (Ethicability) ๑.๓ การเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม (Participatory Approach) มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการเปิดเผยและมีส่วนร่วม อันจะทำให้ภาคส่วนอื่นในสังคมได้เข้ามามีส่วนรับรู้ ตรวจสอบหรือร่วมในกระบวนการใด ๆ เพื่อให้กลไกการดำเนินการมีความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ๑.๔ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย (Legal Approach) มุ่งเน้นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นเครื่องมือป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานกฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) รวมถึงการแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เอื้อไปสู่พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ ๑.๕ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก (Surveillance Approach) มุ่งเน้นการวางกลไกการตรวจสอบและเฝ้าระวังในเชิงรุก ทั้งกลไกการเฝ้าระวังของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลไกการตรวจสอบตามกฎหมาย ตลอดจนการเชื่อมโยงและบูรณาการการรับแจ้งเบาะแสและเรื่องร้องเรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงการวางระบบข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ๑.๖ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด (Suppression Approach) มุ่งเน้นการดำเนินการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง รวมถึงการกำหนดมาตรการในการลงโทษที่เข้มงวดและรุนแรงขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนเกิดความตื่นตัว และเกรงกลัวต่อการประพฤติที่มิชอบ ๑.๗ อื่น ๆ เช่น การร่วมมือทางวิชาการกับรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศ และอื่น ๆ เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นต้น ๒. แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการดำเนินการในระยะแรกที่คาดว่าจะก่อให้เกิดผลสำเร็จเร็วและก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในระยะต่อไป โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้ ๔ แนวทาง ดังนี้ ๒.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การสร้างข้าราชการไทยหัวใจสีขาว การมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติและกำหนดบัญชีรายชื่อข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือมีผลงานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และการติดเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงการอาสาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๒ การพัฒนาองค์การ ได้แก่ การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (Clean Initiative Program) และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๓ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก โดยการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti - Corruption War Room) ๒.๔ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด โดยการประกาศลงโทษผู้กระทำผิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ๓. กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น” ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
1617 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน และการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง | นร | 01/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ “น่าน เมืองเก่ามีชีวิต” ๑.๑.๒ เป้าหมายการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ภายในช่วงเวลา ๓ ปี ได้แก่ ประกาศเมืองเก่าน่านให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และปรับปรุงการจัดบริการให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล (ระยะที่ ๑) เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) รวมทั้งเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในพื้นที่เมืองเก่าน่าน ภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก ๙๙๓ ล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยว ๑.๓๕ แสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นเป็น ๑,๒๐๐ ล้านบาท และ ๑.๕๓ แสนคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลำดับ ๑.๑.๓ ขอบเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ครอบคลุมพื้นที่ ๕ ตำบล ประกอบด้วย ตำบลในเวียง (เขตเทศบาลเมืองน่านทั้งตำบล) ตำบลดู่ใต้ (เขตเทศบาลตำบลดู่ใต้ทั้งตำบล) ตำบลนาซาว ตำบลบ่อสวก อำเภอเมืองน่าน และตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เนื้อที่ ๑๓๙.๓๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๘๗,๑๐๖.๒๕ ไร่ ๑.๒ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ วิสัยทัศน์ “อู่ทองเมืองโบราณ ต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ อารยธรรมสุวรรณภูมิ” ๑.๒.๒ เป้าหมายการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ภายในช่วงเวลา ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ได้แก่ ประกาศเมืองโบราณอู่ทองให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และปรับปรุงการบริการให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล (ระยะที่ ๑) เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) รวมทั้งเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ร้อยละ ๕๐ ของปัจจุบันภายใน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) ๑.๒.๓ ขอบเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ ๓๘.๑๖ ตารางกิโลเมตร หรือ ๒๓,๘๕๐ ไร่ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่านาน และพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทอง เพื่อให้การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย อย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับชุมชน ท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และเห็นควรมีการสืบค้นและศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าน่านและเมืองโบราณอู่ทองอย่างถูกต้อง โดยให้มีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจนเพื่อประกอบการถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า (Story to tell) ให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว และอนุชนรุ่นหลังสืบไป รวมทั้งเร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่พิเศษแล้วกำหนดกลไกการบริหารจัดการให้ชัดเจน และดำเนินการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้งประเภทแหล่งท่องเที่ยงทางธรรมชาติ โบราณสถาน ศิลปวัฒนธรรม และที่มนุษย์สร้างขึ้น พร้อมทั้งใช้เป็นแนวทางการปรับบทบาทของ อพท. ในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
1618 | รายงานการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี 2551 - 2552 | สม | 01/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรายงานการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ พร้องทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลต้องปฏิรูประบบความยุติธรรมให้เป็นที่เชื่อมั่นของปวงชน ทั้งต้องผลักดันให้เกิดองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมถึงส่งเสริมการยุติธรรมสมานฉันท์ (Restorative Justice) และพัฒนาระบบยุติธรรมชุมชนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ๒. รัฐบาลควรประกาศยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากยังมีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสาธารณะ รวมถึงมีกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ ๓. รัฐควรดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมหากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดต้องมีการลงโทษเพื่อมิให้เกิดวัฒนธรรมการไม่ต้องรับโทษ จัดให้มีการเยียวยาโดยไม่เลือกปฏิบัติ รวดเร็ว และพอเพียง เร่งแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการสูญหายโดยถูกบังคับ ๔. รัฐบาลต้องให้ข้อมูลและให้ความร่วมมือแก่กลไกต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ในการพิสูจน์และสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ๕. รัฐบาลต้องทบทวนร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๖. รัฐบาลต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ให้การคุ้มครองและให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนและประชาชน และต้องดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปสื่อตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างไม่ชักช้าโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ๗. รัฐบาลต้องทำให้สิทธิชุมชน ตามมาตรา ๖๖ และ ๖๗ ของรัฐธรรมนูญเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง เร่งแก้ไขปัญหาและเยียวยาแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทบทวนการกำหนดเขตที่ดินและการขยายเขตการอนุรักษ์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตามมาตรา ๘๗ ของรัฐธรรมนูญ ๘. ในการกำหนดนโยบายการพัฒนา รัฐต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับวัฒนธรรมชุมชนบนพื้นฐานการเข้าถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นกับเศรษฐกิจการลงทุนและอุตสาหกรรม และควรทบทวนโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนในชุมชน ๙. รัฐบาลควรบังคับใช้กฎหมายปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง สำหรับแรงงานข้ามชาติ รัฐบาลควรดูแลแรงงานที่ขึ้นทะเบียนและเข้าสู่ระบบแล้วให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย เร่งรัดการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘ (เสรีภาพในการรวมตัวเป็นสมาคม/สิทธิในการต่อรอง) ๑๐. รัฐบาลควรเร่งรัดการให้สัญชาติแก่บุคคลที่ไร้สถานะกลุ่มต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมทั้งคืนสัญชาติให้แก่คนไทยพลัดถิ่นและให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ๑๑. ในการส่งตัวผู้หนีภัยการสู้รบกลับประเทศ รัฐบาลต้องเคารพหลักสิทธิมนุษยชนสากลเกี่ยวกับการไม่ส่งกลับ หากมีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้หนีภัย ๑๒. รัฐบาลจะต้องสนับสนุนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะที่ดินทำกิน การปฏิรูประบบภาษี การปฏิรูประบบความยุติธรรม ระบบการศึกษา ระบบสังคมสวัสดิการ และการปฏิรูปสื่อ ตลอดจนสนับสนุนการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||
1619 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 189 | ศธ | 01/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๘๙ ระหว่างวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ - ๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๘๙ เน้นเรื่องการหามาตรการต่าง ๆ เพื่อจัดการกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินขององค์การ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่สหรัฐอเมริกาลดงบประมาณที่สนับสนุนองค์การ ด้วยสาเหตุที่ยูเนสโกได้รับปาเลสไตน์เข้าเป็นสมาชิกล่าสุด ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมฯ เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในภารกิจงานของยูเนสโก โดยเฉพาะกิจกรรมหลักตามสาขาความรับผิดชอบของยูเนสโก ซึ่งประเทศไทยได้เร่งรัดการจัดส่งเงินอุดหนุนให้กับองค์การเร็วขึ้นกว่าปกติ และยินดีที่จะช่วยซ่อมแซมอาคารสำนักงานยูเนสโกที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมบทบาทของสตรี โดยจัดตั้งกองทุนพัฒนาสตรีเพื่อสร้างโอกาสให้กับสตรีได้เข้าถึงการศึกษา สาธารณสุขและการมีงานทำ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศชายหญิง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้พบปะเจรจาหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสาธารณรัฐประชาชนจีน (Mr. Hao Ping) โดยกล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยเป็นอย่างดีตลอดมา พร้อมทั้งสนับสนุนครูอาสาสมัครจีนให้มาสอนภาษาจีนในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในประเทศไทยมีการขยายตัวในเรื่องการเรียนการสอนภาษาจีนมากขึ้น ทำให้จำนวนครูอาสาสมัครไม่เพียงพอ ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจีนแจ้งว่ารัฐบาลจีนประสงค์จะจัดตั้งศูนย์ศึกษาของประเทศต่าง ๆ ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ประมาณ ๒๐๐ แห่ง รวมทั้งศูนย์ไทยศึกษา โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน ๕ ปี จะมีนักเรียน/นักศึกษาจากประเทศอาเซียนเข้ามาศึกษาในสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งจะมีทุนสนับสนุนให้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งจะส่งเสริมให้นักเรียนต่างชาติเข้าไปศึกษาในสาขาต่าง ๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ โดยขอให้รัฐบาลไทยส่งเสริมให้นักเรียน/นักศึกษาไทยเข้าไปศึกษาในสาธารณรัฐประชาชนจีนมากขึ้นด้วย ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้พบปะกับนักศึกษาไทยที่ได้รับทุนการศึกษาโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ที่ศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส พร้อมทั้งกล่าวสนับสนุนให้นักศึกษาโครงการฯ กลับมาทำงานในชุมชนท้องถิ่นของตนในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อจะได้ร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกและคณะกรรมการบริหารของยูเนสโกสำหรับการสนับสนุนให้ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของยูเนสโก ซึ่งผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก (Mrs. Irina BOKOVA) ได้กล่าวขอบคุณที่ประเทศไทยเห็นความสำคัญและสนับสนุนบทบาทสตรีและได้จัดตั้งกองทุนพัฒนาสตรี รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือในการซ่อมแซมอาคารสำนักงานยูเนสโกที่กรุงเทพฯ ด้วย
|
||||||||||||||||||
1620 | ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการและการเข้าประชุมร่วมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 (วันที่ 17 - 22 เมษายน 2555) | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมประชุมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ ในระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีผลการเยือนและผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ เมษายน ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีได้เข้าพบและหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้ร่วมกันประกาศถ้อยแถลงว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทย ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนา ซึ่งทั้งสองประเทศจะเพิ่มปริมาณการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันภายใน ๕ ปี โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงระหว่างกัน และให้ความสำคัญกับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย รวมทั้งจะจัดให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำเพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาให้แพนด้ายักษ์ (หลินปิง) อยู่ในประเทศไทยต่อไปอีก ๓ ปี จากเดิมครบกำหนดส่งคืนในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ได้มีการลงพื้นที่เพื่อศึกษาดูงานเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรางของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนถือเป็นประเทศที่มีเส้นทางรถไฟยาวที่สุดในโลกและมีการบูรณาการเส้นทางรถไฟสายเดิมและเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยในส่วนของเส้นทางเดินรถไฟสายเดิมจะใช้สำหรับการเดินทางภายในเมืองเป็นหลัก ส่วนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจะใช้สำหรับการเดินทางและขนส่งระหว่างเมืองต่าง ๆ นอกจากนี้ ได้ศึกษาดูงานด้านการวางผังเมืองที่จังหวัดเทียนจิน ซึ่งได้มีการวางผังเมืองใหม่ โดยมีการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและระบบการบริหารจัดการน้ำเข้าไว้ด้วยกัน ๒. ผลการประชุมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๕ ทั้งสองประเทศได้ให้คำมั่นว่า “จะพัฒนาไปด้วยกัน” (developing together) โดยประเทศญี่ปุ่นต้องการยกระดับการเชื่อมโยงในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงทั้งทางบก ทางเรือ และทางรถไฟ และจะให้ความช่วยเหลือในส่วนที่ยังขาดการเชื่อมโยง (missing link) โดยจะส่งเสริมให้มีการค้าและการลงทุน ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงเท่านั้น หากแต่ยังสนับสนุนให้มีการเข้าไปร่วมกับกลุ่มเศรษฐกิจระดับโลก อีกทั้งยังให้การส่งเสริมการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) และให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การดูแลผู้หญิงและเด็กให้ปลอดภัยจากโรคเอดส์ และการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ด้วย และในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมฯ ณ ประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ ยังได้ไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรางของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพบว่าการวางระบบขนส่งทางรางของประเทศญี่ปุ่นมีความคล้ายคลึงกับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงไปดูงานด้านสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ณ เมืองคุมาโมโตะ ซึ่งขบวนรถไฟในเมืองต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นจะมีการออกแบบและตกแต่งให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และใช้วัสดุและผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประดับตกแต่งด้วย โดยเป็นการเชื่อมโยงกับการส่งเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของเมืองนั้น ๆ ซึ่งสินค้า OTOP ของแต่ละเมืองจะมีการออกแบบตัวการ์ตูนให้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำแต่ละเมืองทำให้สินค้า OTOP มีประวัติศาสตร์และมีที่มาว่าผลิตจากเมืองใด นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP โดยมีการจำหน่ายสินค้าบนรถไฟ ใช้พื้นที่สถานีรถไฟและสวนสาธารณะเป็นสถานที่จัดจำหน่าย รวมทั้งมีการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP ตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ด้วย
|
.....