ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 87 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1721 - 1740 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1721 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานการระบายน้ำสู่ทะเล ได้มีการประสานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมและดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างปฏิบัติงานการระบายน้ำลงสู่ทะเล และกำหนดจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อให้การสูบน้ำเป็นเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพ โดยให้กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำ พร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานการระบายน้ำ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ศูนย์ประสานงานการระบายน้ำ ได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๓๑ จังหวัด จำนวน ๑๖๙ เครื่อง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน ๕ เครื่อง และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒๐ เครื่อง โดยได้นำเครื่องสูบน้ำดังกล่าวไปติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ รวมจำนวน ๑๐ จุด จำนวนเครื่องสูบน้ำ ๑๖๗ เครื่อง ประสิทธิภาพการสูบน้ำจากจำนวนเครื่องสูบน้ำที่ติดตั้งทั้งหมดรวม ๑๓๓ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำรวม ๗๙๕,๓๙๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน และผลการดำเนินงานการสูบน้ำ จากการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สามารถสูบน้ำเพื่อช่วยการระบายน้ำลงสู่ทะเลได้ทั้งสิ้น ๓,๖๒๘,๘๖๔ ลูกบาศก์เมตร ๒. การดำเนินการรื้อถอนประตูระบายน้ำแบบชั่วคราว (Stop Log) ได้มอบให้กรมทรัพยากรน้ำสำรวจและรื้อถอนประตูน้ำแบบชั่วคราวในลำคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำทางตอนเหนือสู่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครในพื้นที่คลอง ๘ คลอง ๙ คลอง ๑๐ คลอง ๑๑ คลอง ๑๒ คลองลำหิน คลองหวังโต คลองแตงโม คลองเขมร และคลองลำเจดีย์บน รวม ๓๐ แผ่น ขนาดของ Stop Log รวมทั้งสิ้น ๑๘ เมตร ๓. การดำเนินการกำจัดวัชพืชและขยะมูลฝอย ได้มอบกรมทรัพยากรน้ำสำรวจและกำจัดวัชพืชและขยะมูลฝอยในลำคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำ โดยดำเนินการพื้นที่คลอง ๑๒ รวมทั้งสิ้น ๓.๖ กิโลเมตร ๔. การบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ประสบอุทกภัยและพื้นที่น้ำท่วมขัง ได้จัดทำโครงการ “ภูมิรักษ์ พิทักษ์น้ำ” รวมพลัง รวมน้ำใจ ไล่น้ำเสีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมแถลงข่าวโครงการดังกล่าวและทำพิธีปล่อยขบวนรถบรรทุกส่งดาสต้าบอล (DASTA BALL) และน้ำหมักชีวภาพ EM ไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัย ๕ จังหวัด คือ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และนครสวรรค์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกับกองทัพบก ซึ่งได้จัดส่งดาสต้าบอล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ลูก และน้ำหมักชีวภาพ EM จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ขวด ไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัยเป้าหมาย ๕. การผลิตและการบริการน้ำสะอาดแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ได้มีการเปิดจุดบริการน้ำบาดาลน้ำดื่มสะอาดช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภายในบริเวณพื้นที่ท้องฟ้าจำลอง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร และอีก ๑๐ จุดบริการ ประกอบด้วย เขตจตุจักร ณ สวนจตุจักร เขตวังทองหลาง ณ วัดสามัคคีธรรม เขตบางกะปิ ณ แฟลต ๑๓ การเคหะคลองจั่น เขตบึงกุ่ม ณ โรงเรียนประภาสวิทยา เขตคลองเตย ณ ท้องฟ้าจำลอง เขตสะพานสูง ณ วัดลาดบัวหลวง เขตบางบอน ณ วิทยาลัยเทคนิคราชสิทธิ์ เขตพระโขนง ณ วัดวชิรธรรมสาธิต อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ณ โรงเรียนพูลเจริญวิทยาลัย อำเภอเมืองสมุทรปราการ ณ วัดตำหรุ นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำได้ติดตั้งเครื่องผลิตน้ำดื่มในพื้นที่คลองทวีวัฒนาและกรมทรัพยากรน้ำ ปัจจุบันได้ผลิตน้ำสะอาดแล้วรวมทั้งสิ้น ๓๙,๔๓๕ ลิตร สามารถช่วยเหลือประชาชนทั้งสิ้นประมาณ ๗,๘๘๗ คน ๖. การป้องกันน้ำไหลบ่า การอพยพประชาชน และการนำอาหาร น้ำดื่มช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ แพไม้ไผ่ และกระสอบบรรจุทรายเพื่อจัดทำคันกั้นน้ำ การช่วยเหลือในการอพยพประชาชน และการนำอาหารแห้ง อาหารสดปรุงสำเร็จ และน้ำดื่มเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยรุนแรง ๗. การกำจัดขยะมูลฝอยและบรรเทาปัญหามลพิษ กรมควบคุมมลพิษได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบรรเทาปัญหามลพิษในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอย สารเคมี และตรวจสอบคุณภาพน้ำ เร่งสำรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะมูลฝอยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงการบรรเทาน้ำเสียและสารเคมีในน้ำ โดยแจกจ่ายน้ำจุลินทรีย์ พด. ๖ ก้อนจุลินทรีย์ และผงจุลินทรีย์ ให้แก่ผู้ประสบภัย
|
||||||||||||||||||||||||
1722 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2553 | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานการพัฒนาระบบราชการไทยฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาพรวม ประกอบด้วย เป้าหมายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๕) สถานภาพของระบบราชการไทย ที่บ่งบอกถึงลักษณะการมีอยู่ของหน่วยงานภาครัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ตลอดจนผลการประเมินภาพรวมของระบบราชการไทยด้านต่าง ๆ ที่สะท้อนสมรรถนะของระบบราชการที่ได้พัฒนาต่อเนื่องมา และในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ส่วนที่ ๒ ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ประกอบด้วย ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด และองค์การมหาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย เพื่อบรรลุเป้าประสงค์หลัก ๔ ประการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๕) ซึ่งทำให้ระบบราชการไทย “เก่ง ดี มีส่วนร่วม และตอบสนองทันต่อการเปลี่ยนแปลง” อาทิเช่น การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม การยกระดับการให้บริการประชาชนในราชการบริหารส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การสร้างความเข้มแข็งในการบริหารพื้นที่ การปรับปรุงระบบการประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง การพัฒนาตนเองของส่วนราชการตามกระบวนการการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ฯลฯ และการดำเนินงานขั้นต่อไป ทั้งงานเดิมที่สานต่อ และงานริเริ่มใหม่ โดยเฉพาะการสร้างระบบรองรับการเข้ามามีบทบาทการทำบริการสาธารณะของภาคส่วนอื่น และการสร้างความพร้อมยอมรับของฝ่ายข้าราชการ และความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ ๓. ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธศาสตร์ของสำนักงาน ก.พ.ร. ทรัพยากรที่สำนักงานใช้ในการบริหารงาน ได้แก่ บุคลากร และงบประมาณ และรายงานกิจการของสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) ในกำกับของสำนักงาน ก.พ.ร.
|
||||||||||||||||||||||||
1723 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิของบุคคลในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรวิชาชีพในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศธ | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงรวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิของบุคคลในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ศูนย์การเรียนจัดการศึกษาได้เพียงสองระบบ คือ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ๑.๒ กำหนดคุณสมบัติของบุคคลผู้มีสิทธิจัดการศึกษา ๑.๓ กำหนดวิธีการยื่นคำขอจัดตั้ง การพิจารณาคำขออนุญาตจัดตั้ง และข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๑.๔ กำหนดให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นผู้ประกาศกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียนในศูนย์การเรียน ๑.๕ กำหนดให้มีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และการออกหลักฐานการศึกษาแก่ผู้เรียนหรือผู้สำเร็จการศึกษาจากศูนย์การเรียน ๑.๖ กำหนดให้ศูนย์การเรียนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชน ๑.๗ กำหนดให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้คำปรึกษา คำแนะนำ และส่งเสริมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ และมีหน้าที่ในการจัดหาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนเมื่อมีการเลิกศูนย์การเรียน ๑.๘ กำหนดในการเลิกศูนย์การเรียน ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรวิชาชีพในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้องค์กรวิชาชีพมีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานรูปแบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ๒.๒ กำหนดวิธีการยื่นคำขอจัดตั้ง การพิจารณาคำขอจัดตั้ง และข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๒.๓ กำหนดให้มีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และการออกหลักฐานแก่ผู้เรียนหรือผู้สำเร็จการศึกษาจากศูนย์การเรียน ๒.๔ กำหนดให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้คำปรึกษา คำแนะนำ และส่งเสริมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ และมีหน้าที่ในการจัดหาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนเมื่อมีการเลิกศูนย์การเรียน ๒.๕ กำหนดเหตุในการเลิกศูนย์การเรียน
|
||||||||||||||||||||||||
1724 | การเตรียมความพร้อมในการป้องกัน แก้ไขสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเตรียมความพร้อมในการป้องกัน แก้ไขสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีทุกท่านจัดทำแผนรองรับการป้องกันและบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยในภาวะฉุกเฉินตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แล้วส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อรวบรวมจัดทำเป็นแผนแม่บท (master plan) ในการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันเสนอให้รองนายกรัฐมตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) พิจารณา ก่อนแจ้งให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ผู้อำนวยการ ศปภ.) ทราบ เพื่อประโยชน์ในการประสานงานระหว่างกันต่อไป ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานของภาครัฐที่มีการจัดตั้งศูนย์อพยพหรือสถานที่พักพิงให้แก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยแจ้งรายชื่อศูนย์อพยพและสถานที่พักพิงที่ได้จัดตั้งขึ้น โดยมีข้อมูลรายละเอียดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถประสานงานได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งรายชื่อของผู้ประสบอุทกภัยที่พักอาศัยอยู่ในสถานที่ดังกล่าวไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยด่วนเพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งให้ผู้อำนวยการ ศปภ. ทราบ เพื่อจะได้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีภารกิจในการให้ความช่วยเหลือและบริการประชาชนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านสาธารณูปโภค การคมนาคม และอื่น ๆ เตรียมความพร้อมในการดูแล เฝ้าระวังจุดเสี่ยงต่าง ๆ การเคลื่อนย้ายผู้ประสบอุทกภัย และแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งให้สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการได้ทันทีที่เกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้ ให้มีการแจ้งเตือนประชาชนในกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นด้วย เช่น การแจ้งเตือนและการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าและประปา การแจ้งข่าวเตือนภัยเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและสภาวะอากาศที่อาจทำให้เกิดผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ส่วนกรณีประตูระบายน้ำในแต่ละจุด ให้กรมชลประทานและกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ไปยัง ศปภ. เป็นระยะ ๆ รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลความสงบเรียบร้อยด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำนำมาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1725 | รายงานการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | พม | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘ โครงการ ซึ่งได้มีการดำเนินการแล้วเสร็จทุกโครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับงบประมาณจำนวน ๒๔๑.๕๘๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๒๑๒.๙๙๑๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๑๖ โดยให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฯ ตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม ๗,๙๖๘ คน ๑.๒ โครงการเสริมสร้างพลังความรู้สู่สตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับงบประมาณจำนวน ๖.๐๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วร้อยละ ๑๐๐ โดยมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่สตรี และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้/เวทีระดมสมองในเรื่องที่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญ ๑.๓ โครงการศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของครอบครัว) ได้รับงบประมาณ ๔.๗๓๕๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วร้อยละ ๑๐๐ โดยมีการจัดตั้งและสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (๔๑๗ ศูนย์) และการจัดกิจกรรมเสริมสร้างครอบครัวเข้มแข็งตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ๑.๔ โครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตเด็กต่างวัฒนธรรม ได้รับงบประมาณจำนวน ๕.๖๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วร้อยละ ๑๐๐ โดยมีการจัดทำโครงการค่ายเด็กเยาวชนสมานฉันท์สานสัมพันธ์แดนใต้ โดยนำเด็กและเยาวชนที่นับถือศาสนาและมีความเชื่อที่แตกต่างกันมาอยู่รวมกัน ศึกษาวิถีชีวิตของกันและกัน และวัฒนธรรมประเพณีของพื้นที่อื่นเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน ๑.๕ โครงการคาราวานเสริมสร้างเด็ก ได้รับงบประมาณจำนวน ๒.๗๓๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๒.๗๒๘๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๕ โดยมีการจัดคาราวานเสริมสร้างเด็กเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยพัฒนาให้มีความรู้คู่คุณธรรมเริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดและให้ความสำคัญแก่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ครอบครัวอบอุ่น ปลูกฝังความรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ๑.๖ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (พัฒนาศักยภาพในการอยู่ร่วมกันของชุมชนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) ได้รับงบประมาณจำนวน ๖.๐๔๑๑ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วร้อยละ ๑๐๐ โดยมีการจัดประชุม/จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ๑.๗ โครงการหน่วยเคลื่อนที่การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ประจำอำเภอเพื่อประชาผาสุก ได้รับงบประมาณจำนวน ๒๕.๑๙๘๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๒๔.๕๗๙๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๕๕ โดยมีการติดตามเยี่ยมเยียนและให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ๑.๘ โครงการแก้ปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินโดยชุมชนท้องถิ่น ได้รับงบประมาณจำนวน ๘๕.๗๙๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วร้อยละ ๑๐๐ โดยให้การสนับสนุนการซ่อมแซมปรับปรุงและก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ และแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน โดยเฉพาะกลุ่มปัญหาที่มีที่ทำกินแต่ไม่มั่นคงในสิทธิในที่ดิน ๒. โครงการ/กิจกรรมที่เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๘ โครงการ ซึ่งได้จัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้ว ประกอบด้วย ๒.๑ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒๓๘.๗๖๘๐ ล้านบาท ๒.๒ โครงการเสริมสร้างพลังความรู้สู่สตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๓.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๓ โครงการศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของครอบครัว) จำนวน ๔.๒๙๕๐ ล้านบาท ๒.๔ โครงการสนับสนุนความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ด้อยโอกาสในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมาตรฐานการส่งเสริมสวัสดิภาพและคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้ด้อยโอกาส จำนวน ๕.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๕ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (พัฒนาศักยภาพในการอยู่ร่วมกันของชุมชนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) จำนวน ๗.๔๒๒๐ ล้านบาท ๒.๖ โครงการหน่วยเคลื่อนที่การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ประจำอำเภอเพื่อประชาผาสุก จำนวน ๔๖.๖๑๔๕ ล้านบาท ๒.๗ โครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินโดยชุมชนท้องถิ่น จำนวน ๑,๙๑๖.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๘ โครงการพัฒนาทักษะชีวิตเด็ก ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ภายใต้โครงการพัฒนาระบบการคุ้มครองเด็ก) จำนวน ๕.๒๐๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
1726 | แผนการดำเนินงาน ประมาณการรายได้ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ดังนี้ ๑.๑.๑ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ดำเนินการตามแผนการดำเนินงานอย่างครบถ้วน โดยมีผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานที่สำคัญ ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการกำกับกิจการพลังงานเพื่อให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ใช้พลังงานเพื่อการพัฒนากิจการพลังงานและการกำกับกิจการพลังงาน รวมทั้งการดำเนินงานจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้า และด้านการพัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพ โดยนำเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพบริหารจัดการภาครัฐ (Public Sector Management Quality Award : PMQA) มาเป็นกรอบการพัฒนาการบริหารจัดการสำนักงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๑.๑.๒ การจัดเก็บรายได้จากค่าธรรมเนียมเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น ๖๕๕.๔๕ ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการรายได้ที่ได้ประมาณไว้จำนวน ๐.๒๐ ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถใช้จ่ายงบประมาณฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้จำนวนทั้งสิ้น ๖๐๙.๒๗ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับอนุมัติฯ ไว้จำนวน ๔๕.๙๒ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงาน และประมาณการรายได้และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ สกพ. ดังนี้ ๑.๒.๑ งานกำกับกิจการพลังงานเชิงรุก ได้แก่ การนำระเบียบ หลักเกณฑ์การกำกับกิจการพลังงานไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม (Regulatory Enforcement) และการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนงานการกำกับที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยการออกใบอนุญาต การกำกับอัตราค่าบริการพลังงาน การกำกับการรับซื้อไฟฟ้า และการกำกับการบริหารจัดการการใช้อสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กกพ. จะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบติดตามตรวจสอบการประกอบกิจการพลังงาน และวิเคราะห์ผลกระทบเชิงการกำกับ (Regulatory Impact Assessment : RIA) เพื่อให้การออกกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์เป็นไปอย่างรอบคอบ รัดกุม และนำไปสู่การปรับตัวของกิจการพลังงานในทิศทางที่เหมาะสม ๑.๒.๒ งานส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ใช้พลังงานเพื่อพัฒนางานกำกับกิจการพลังงาน ได้แก่ การมุ่งเน้นการกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ภูมิภาค การขยายบทบาทหรือเครือข่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประกอบกิจการพลังงาน และการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการพัฒนาท้องถิ่นและติดตามประเมินผลการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ๑.๒.๓ งานพัฒนาองค์กร ได้แก่ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการสำนักงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ การเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรบุคคลในด้านการกำกับกิจการพลังงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของ กกพ. ในการกำกับกิจการพลังงาน ๑.๒.๔ ประมาณการรายได้ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๖๘๐.๐๔ ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานรายปี ๒. ให้ สกพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการเสนอแผนการดำเนินงานฯ สกพ. ควรมีการแสดงผลการดำเนินงานจริงในปีที่ผ่านมาโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ได้ประมาณการไว้ เพื่อให้ทราบว่าได้มีการใช้งบประมาณไปอย่างคุ้มค่ากับผลงานที่ได้รับหรือไม่ อย่างไร และจัดทำแผนการบริหารความเสี่ยงด้านงบประมาณ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการจัดเก็บรายได้ค่าธรรมเนียมจริงได้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1727 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา | ทส | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นปัญหามลพิษทางน้ำ ระบบการจัดการน้ำเสียและระบบการจัดการขยะในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครสงขลา และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองสะเดา การสนับสนุนส่งเสริมรูปแบบและแนวทางในการบำบัดน้ำเสียให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยคลองอู่ตะเภา การตรวจสอบคุณภาพน้ำจากลำน้ำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการพัฒนาระบบข้อมูลคุณภาพน้ำ : หนึ่งท้องถิ่น หนึ่งจุดเก็บตัวอย่างน้ำ และการจัดทำประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง เกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ การออกแบบการก่อสร้างและจัดการสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนโดยการฝังกลบ การเผาในเตาเผา และการหมักทำปุ๋ย เป็นต้น ๒. ปัญหาการประมงจากการใช้เครื่องมือที่มีจำนวนมากเกินศักยภาพและการกีดขวางการสัญจรทางน้ำของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ การจัดตั้งชุมชนเพื่อดูแลและอนุบาลสัตว์น้ำให้แข็งแรงก่อนที่จะใช้ประโยชน์ การจัดตั้งฟาร์มสัตว์น้ำชุมชนและควบคุมไม่ให้มีเครื่องมือประมงประเภทไซนั่งและโพงพางเพิ่มมากขึ้น และการเข้าร่วมในการกำหนดและจัดระเบียบเครื่องมือประมงในบริเวณทะเลสาบสงขลาตอนล่างเพื่อการสัญจรทางน้ำของกรมเจ้าท่า เป็นต้น ๓. ปัญหาความเสื่อมโทรมของป่าต้นน้ำและความตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การผนวกพื้นที่บริเวณป่าผาดำและป่าสงวนแห่งชาติบริเวณใกล้เคียงให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง และดำเนินการปลูกป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และบำรุงป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๑ รวมเนื้อที่ ๑,๒๐๐ ไร่ การดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่นาร้างเพื่อการเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ได้แก่ การตรวจสอบการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดินของรัฐในระบบภูมิสารสนเทศ การตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างหนังสือสิทธิในที่ดินทั้งหมด ๓ จังหวัด ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดสงขลา และการจัดทำโครงการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๕. การขาดการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การสนับสนุนให้เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเสนอยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... การดำเนินการบริหารจัดการเมืองโบราณหัวเขาแดง พร้อมพื้นที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ๒,๔๖๐ ไร่ การจัดทำระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อรองรับการทำงานขององค์กรภาคเอกชน และการตราพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีกลไกรองรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดเขตพื้นที่พัฒนา เป็นต้น ๖. ปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดเอกภาพและความต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณที่ขาดการบูรณาการ ได้แก่ การจัดทำโครงการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองครอบคลุมพื่นที่รอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การจัดทำกรอบแผนงบประมาณประจำปีของลุ่มทะเลสาบสงขลา โดยใช้แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบเป็นหลัก และจัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ๗. ปัญหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การนำยุทธศาสตร์ที่ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแผนนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดทำแผนงบประมาณสนับสนุน ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเพื่อจัดตั้งเขตพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดให้แก่จังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช และการดำเนินโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของชุมชนโบราณในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๘. ปัญหาศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่ การจัดทำโครงการและศึกษาข้อมูลด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และการดำเนินการเตรียมการประกาศพื้นที่ที่มีระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ และพื้นที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเตรียมการเสนอพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1728 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายจากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับหลักการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหาย สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขบทนิยามคำว่า “การบำบัดภยันตราย” ให้หมายความถึง “การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่เพื่อเป็นผลให้สาธารณภัยที่เกิดหรือคาดว่าจะเกิดได้รับการแก้ไขให้บรรเทาลงโดยฉับพลัน” ๒. แก้ไขการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย โดยให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายพิจารณาเฉพาะข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ว่าได้ดำเนินการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยไปตามอำนาจหน้าที่ และได้กระทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือไม่เท่านั้น ๓. แก้ไขความหมายของบทนิยามคำว่า “ผู้เสียหาย” จาก “ผู้ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินจากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยของเจ้าหน้าที่ และมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยนั้น” เป็น “ผู้ซึ่งทรัพย์สินของตนได้รับความเสียหายจากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยของเจ้าหน้าที่...” เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเฉพาะเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นที่จะได้รับการชดเชยความเสียหาย ๔. เพิ่มบทบัญญัติกำหนดให้กรณีที่ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ผู้อำนวยการกลาง ผู้อำนวยการจังหวัดหรือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการหรือมีส่วนร่วมในการดำเนินการบำบัดภยันตราย ให้นายกรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชา หรือผู้กำกับดูแลของบุคคลดังกล่าวมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายแทน ๕. แก้ไขการเริ่มนับระยะเวลาสามสิบวันในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ กรณีที่ผู้เสียหายที่มิได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อยื่นคำร้องขอชดเชยความเสียหายต่อผู้อำนวยการท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร จาก “นับแต่วันที่ได้รับการร้องขอ” เป็น “นับแต่วันที่ได้รับเรื่องที่ส่งมา” เพื่อให้การเริ่มนับระยะเวลาการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสอดคล้องกับความเป็นจริง ๖. เพิ่มบทบัญญัติกำหนดขั้นตอนการรายงานความเห็นของคณะกรรมการ เกี่ยวกับผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยความเสียหายและจำนวนค่าชดเชยความเสียหาย ไปยังผู้แต่งตั้ง โดยผู้แต่งตั้งมีสิทธิขอให้ทบทวนหรือสอบสวนเพิ่มเติมได้ และความเห็นของคณะกรรมการไม่ผูกมัดผู้แต่งตั้งที่จะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น ๗. แก้ไขข้อกำหนดให้ “เมื่อผู้มีอำนาจแต่งตั้งได้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ แล้ว ให้ออกคำสั่งจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหาย...ภายในเจ็ดวัน” เป็น “ให้ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการแจ้งผลการวินิจฉัยเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทราบ...ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการ” ๘. เพิ่มบทบัญญัติให้คณะกรรมการประกาศบัญชีรายชื่อผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับการชดเชยความเสียหาย ณ ศาลากลางจังหวัดหรือศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขตแห่งพื้นที่ที่ทรัพย์สินของผู้เสียหายตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีความเห็นของผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ และกำหนดให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกำหนดแบบคำร้องขอและใบรับคำขอโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและความชัดเจนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ๙. แก้ไขระยะเวลาในการยื่นคำขอให้ชดเชยความเสียหาย จากเดิมที่ “ต้องยื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรจะรู้ถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อ แต่ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่เกิดความเสียหาย” เป็น “ต้องยื่นภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้ประกาศบัญชีรายชื่อผู้เสียหาย”
|
||||||||||||||||||||||||
1729 | ขออนุมัติใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สำหรับโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 4 สายตรัง - พัทลุง ตอนบ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ให้เป็น 4 ช่องจราจรของกรมทางหลวง | คค | 11/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมทางหลวงใช้พื้นที่ในอุทยานแห่งชาติเขาปู่ - เขาย่า ในเขตจังหวัดพัทลุงและจังหวัดตรัง เนื้อที่ ๓๔๓ ไร่ ๔๒ ตารางวา และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเขาบรรทัด แปลงที่ ๑ ตอนที่ ๑ เนื้อที่ ๗๐ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวา และป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขาบรรทัด แปลงที่ ๒ ตอนที่ ๒ เนื้อที่ ๕๗ ไร่ ๓ งาน ๔๘ ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตทางหลวงและเป็นพื้นที่ที่กรมทางหลวงได้รับอนุญาตจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ ให้เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อสร้างทางและแก้ไขเขตทางใหม่ ทางหลวงหมายเลข ๔ สายพัทลุง - ตรัง (เขาพับผ้า) ท้องที่จังหวัดพัทลุงและจังหวัดตรัง ๑.๒ ให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข ๔ สายตรัง - พัทลุง ตอนบ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ให้เป็น ๔ ช่องจราจร โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มเติมใน ๓ มาตรการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ได้แก่ การตัดต้นไม้ในเขตทาง ให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยไม่ให้ตัดต้นไม้นอกเขตพื้นผิวจราจรที่จะก่อสร้าง การกำกับดูแลในระหว่างจัดเตรียมพื้นที่และการก่อสร้างมิให้ขุดตักดินในเขตทางและบริเวณใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้าง และให้คงสภาพตามลักษณะภูมิประเทศเดิม และการกำกับผู้รับจ้างออกแบบก่อสร้าง และ/หรือผู้ดำเนินการก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลโครงการฯ ด้วย ๒. ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และปฏิบัติตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในประเด็นการพิจารณาติดตั้งชุดสัญญาณเตือนภัย ขับขี่ยานพาหนะขณะมีสัตว์ป่าข้ามถนนในช่วงกลางคืน การปรับขนาดของท่อเพื่อให้สัตว์สามารถลอดได้ และการก่อสร้างระบบการระบายน้ำข้างทาง รวมทั้งความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ได้นำเสนอประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว เกี่ยวกับการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ร่วมกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1730 | รายงานผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย" | นร | 11/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นของและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรกำหนดนโยบาย การจัดสรรงบประมาณ และการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะการออกกฎหมายและวางมาตรการเพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำเรื่องของระบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นวาระสำคัญในการกำหนดนโยบายของท้องถิ่นและจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ควรกำหนดนโยบายมาตรฐานเฉพาะสำหรับที่อยู่อาศัยและชุมชนในย่านที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ มีคุณค่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมีความหมายต่อชุมชนเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่เหมาะสมกับสภาพการณ์และบริบทเฉพาะชุมชน และมีความสอดคล้องกับกฎหมายข้อบังคับที่เป็นที่ยอมรับและสามารถปฏิบัติได้ทั้งในระดับท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชนบท ควรมีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างบ้านด้วยบล็อกประสานดินซีเมนต์ แทนบ้านไม้ ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตบล็อกประสานภายในประเทศโดยใช้มาตรฐานการผลิตที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นผู้กำหนด ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของประชาชนในท้องถิ่นเพื่อผลิตบล็อกประสานดินซีเมนต์โดยผ่านกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์บล็อกประสานและรับรองบล็อกประสานเป็นวัสดุก่อสร้างที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับวัสดุก่อสร้างทั่วไป กำหนดนโยบายและส่งเสริมให้ธนาคารของรัฐสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านชนบทหลังละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ผ่อนชำระไม่เกินเดือนละ ๘๐๐ บาท (เพื่อไม่ให้ก่อหนี้มากเกินไป) จัดกรอบงบประมาณเพื่อพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยไปสู่โครงการบ้านมั่นคงเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำกรอบงบประมาณเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ยากไร้ และผู้ไม่มีรายได้เพียงพอ และส่งเสริมการใช้นวัตกรรมอื่น ๆ ในการก่อสร้างบ้าน นอกเหนือจากบล็อก ประสาน เช่น ไม้ไผ่ ไม้ยางพารา ๔. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัด ควรดำเนินมาตรการป้องกันการบุกรุกสร้างบ้านในพื้นที่สาธารณะด้วยการจัดทำผังเมืองและแสดงขอบเขตที่ชัดเจน และจัดทำประชาคมเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะ พัฒนา และจัดสรรที่ดินในบริเวณใกล้เคียงที่เหมาะสในการสร้างที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อย ควรส่งเสริมการลงทุนที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดให้เหมือนบ้านจัดสรร คือไม่เกินหน่วยละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการใช้พลังงานในการเดินทางด้วยรถยนต์จากชานเมืองสู่ใจกลางเมือง และควรส่งเสริมการลงทุนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างน้อยในหัวเมืองภูมิภาคให้เหมือนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล คือ ไม่เกินหลังละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งอาคารชุดและบ้านจัดสรร
|
||||||||||||||||||||||||
1731 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ และทำเนียบเอกอัครราชทูต | กต | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐ ตามนัยมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ และทำเนียบเอกอัครราชทูต จำนวน ๑๐ แห่ง ประกอบด้วย ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง ที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา ที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก ทำเนียบเอกอัครราชทูตคณะผู้แทนถาวร ณ กรุงจาการ์ตา ที่ทำการฝ่ายกงสุลสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ และที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา เป็นเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๑๗,๐๐๓,๖๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1732 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องการร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๓๐,๓๑๘ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือช่องทางเว็บไซต์ www.1111.go.th ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภทเรื่องรวมทั้งสิ้น ๑๙,๙๕๓ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดัง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ และขอความช่วยเหลือเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] รวมทั้งสิ้น ๖,๓๘๐ เรื่อง โดยหน่วยงานที่มีเรื่องร้องทุกข์ในความรับผิดชอบมากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการคลัง สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๕,๒๘๙ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครมีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา ๑.๕ ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งผ่านทางศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ ขอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งล่วงหน้าให้ชัดเจนและทั่วถึง การติดตั้งป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครบดบังทัศนวิสัยของผู้ใช้รถใช้ถนน การใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ผู้มีสิทธิควรต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเป็นรายครั้ง และไม่เห็นด้วยกับกรณีมีการติดตั้งป้ายรูปสัตว์ที่มีข้อความว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” รวมทั้งการเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกากบาทที่ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (VOTE NO) เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
1733 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม 5 คณะ | นร | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗๑/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นเลขานุการ ๑.๒ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นเลขานุการ ๑.๓ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) เป็นประธานกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นเลขานุการ ๑.๔ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขานุการ ๑.๕ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตร และการท่องเที่ยว) รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) เป็นประธานกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขานุการ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ ในกรณีที่คณะกรรมการฯ มีมติประการใด ให้ประธานกรรมการหรือผู้ที่ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมคราวนั้นเป็นผู้ลงนามในบันทึกเสนอมติคณะกรรมการฯ ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติและเสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ทราบ หากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ หรือเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ หรือ ๒.๒ ทราบ หรือ ๒.๓ พิจารณา แล้วแต่กรณี เว้นแต่นายกรัฐมนตรีจะเห็นควรดำเนินการประการอื่น ๓. เห็นชอบการมอบหมายให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะต่าง ๆ ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ดังนี้ ๓.๑ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ติดตามเร่งรัดการดำเนินการนโยบายเร่งด่วนในข้อ "๑.๑ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย ๑.๓ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง ๑.๕ เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๖ เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ" ๓.๒ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ติดตามเร่งรัดการดำเนินการนโยบายเร่งด่วนในข้อ "๑.๒ กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น "วาระแห่งชาติ" ๑.๑๖ เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง" ๓.๓ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) ติดตามเร่งรัดการดำเนินการนโยบายเร่งด่วนในข้อ "๑.๑๓ สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น ๑.๑๔ พัฒนาระบบประกันสุขภาพ ๑.๑๕ จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน" ๓.๔ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ติดตามเร่งรัดการดำเนินการนโยบายเร่งด่วนในข้อ "๑.๗ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๘ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ๑.๙ ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ๑.๑๐ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ๑.๑๑ ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน" ๓.๕ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตร และการท่องเที่ยว) ติดตามเร่งรัดการดำเนินการนโยบายเร่งด่วนในข้อ "๑.๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน ๑.๑๒ เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ"
|
||||||||||||||||||||||||
1734 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินดำเนินการ ๑,๒๘๗,๐๐๔.๖๐ ล้านบาท แบ่งเป็น แผนการก่อหนี้ใหม่ ๔๖๙,๑๖๖.๗๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ ๖๔๐,๘๓๗.๘๔ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง ๑๗๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรบรรจุแผนการบริหารหนี้สาธารณะในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีวงเงินการก่อหนี้ค่อนข้างสูง เช่น กรุงเทพมหานคร และพัทยา ไว้ภายใต้กรอบวงเงินนี้ด้วย และควรพิจารณาทางเลือกในการกู้เงินสำหรับโครงการตามแผนการก่อหนี้ใหม่และความคุ้มค่าในการลงทุน รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ของหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ หากมีการปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะในระหว่างปี ควรนำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้แล้ว และผลการกู้เงินจริงเพื่อประกอบการพิจารณาปรับแผนฯ เพื่อให้การปรับแผนเป็นไปตามข้อเท็จจริงจากการดำเนินการและไม่กำหนดวงเงินกู้ที่เกินความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1735 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๗๗,๖๓๐,๙๐๐ บาท และไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการส่งออกพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1736 | การรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ | พม | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน - ๒๒ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๙ อำเภอ ๙๒ ตำบล ๘๔๒ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๔๐,๘๕๙ ครัวเรือน ๑๒๒,๕๗๗ ราย มีผู้เสียชีวิต ๗ ราย พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๖๘๘,๘๓๗.๒๕ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ได้ดำเนินการจัดหาที่พักพิงชั่วคราว จำนวน ๑๙๗ ครัวเรือน มอบถุงยังชีพ จำนวน ๑๒๓,๗๐๙ ราย และเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๒,๐๑๖ ราย เป็นเงิน ๑๐,๐๘๐,๐๐๐ บาท อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วยเหลือ ๗,๒๒๑ ราย จ่ายค่าชดเชยพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ๖๕,๓๓๐.๗๕ ไร่ เป็นเงิน ๑๑๙.๖๙ ล้านบาท รวมทั้งการจัดทำบางระกำโมเดล เพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างเป็นระบบทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยดำเนินการปรับปรุงระบบผันน้ำยม - น่าน (Water way) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ คลองผันน้ำสวรรคโลก - พิชัย พร้อมอาคาร งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ขุดลอกคลองระบายน้ำ DR 2.8 และ DR 15.8 พร้อมปรับปรุงอาคาร งบประมาณ ๓๐ ล้านบาท และปรับปรุงประตูระบายน้ำบางแก้ว งบประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท ก่อสร้างแก้มลิง บึงตะเคร็ง งบประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท และปรับปรุงแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็ก ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด ๒. จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๑๑ อำเภอ ๑๑๗ ตำบล ๑,๑๗๑ หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๐,๖๖๔ ครัวเรือน ๑๙๒,๐๓๕ ราย มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย บ้านเรือนเสียหายบางส่วน จำนวน ๒ หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ ๗๘,๔๘๓ ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทางจังหวัดร่วมกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายการเมือง ได้จัดทีมสำรวจเยี่ยมครอบครัวผู้ประสบภัย ให้คำปรึกษาแนะนำและฟื้นฟูสภาพจิตใจ และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒๕,๘๓๐ ราย และเงินสงเคราะห์ครอบครัว จำนวน ๕,๓๐๐ ราย ในพื้นที่ ๓๒ ตำบล นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ๔ แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำก่อ ห้วยน้ำชุนใหญ่ ห้วยนา และคลองลำถง รวมทั้งขออนุมัติโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๗ แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยเล็ง ห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุนน้อย บ้านเสลี่ยงแห้ง ๓ ห้วยยาง บ้านนางั่ว ห้วยน้ำเฮี้ย และซับมะนาว รวมถึงจัดทำแผนการระบายน้ำและกำจัดสิ่งกีดขวางอย่างเป็นระบบ
|
||||||||||||||||||||||||
1737 | การตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน | กห | 27/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจเยี่ยมเพื่อติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดน่าน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปผลการตรวจเยี่ยมได้ ดังนี้
๑. การตรวจติดตามสถานการณ์ทั่วไป ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดน่านคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูสภาพความเสียหาย โดยจังหวัดน่านได้กำหนดยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาอุทกภัยโดยแบ่งพื้นที่เป็น ๓ ตอน ได้แก่ ตอนเหนือ ๗ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสองแคว อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอปัว และอำเภอท่าวังผา ใช้ยุทธศาสตร์การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ การวางระบบชะลอน้ำและการกักเก็บน้ำบางตอนไว้ ตอนกลาง ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอแม่จริม อำเภอสันติสุข อำเภอบ้านหลวง และอำเภอภูเพียง ใช้ยุทธศาสตร์การระบายน้ำในพื้นที่เทศบาล การขุดสระ หนองน้ำ การยกขอบแนวกั้นน้ำ เหมืองฝาย และการจัดระบบน้ำสาขา และตอนใต้ ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย และอำเภอนาหมื่น ใช้ยุทธศาสตร์การระบายน้ำในแม่น้ำน่านให้ไหลไปยังเขื่อนสิริกิติ์โดยเร็ว ๒. การช่วยเหลือประชาชนของหน่วยทหาร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นต้นมา ได้มีการช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่เกิดอุทกภัยในระลอกแรก โดยจัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ตามที่ได้แบ่งมอบพื้นที่รับผิดชอบในการขนย้ายสิ่งของหนีน้ำ โดยกองทัพภาคที่ ๓ สนับสนุนรถน้ำจัดทำน้ำดื่ม และกองบัญชาการช่วยรบที่ ๓ สนับสนุนรถครัวสนามจัดทำอาหารร้อนบรรจุกล่องแจกจ่ายในพื้นที่อำเภอเวียงสา และอำเภอท่าวังผา เมื่อน้ำลดลงได้ช่วยเหลือในการฟื้นฟู เก็บกวาดขยะ และสิ่งปฏิกูล โดยให้ความเร่งด่วนกับพระตำหนักธงน้อยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับกองพลพัฒนาที่ ๓ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๓๑ สนับสนุนการฟื้นฟูด้วยการซ่อมแซมถนนและตลิ่งที่พังทลายในพื้นที่อำเภอเวียงสา จนถึงปัจจุบัน ๓. ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สมควรได้รับการพิจารณาแก้ไขด้วยการบูรณาการทุกส่วนราชการ เพื่อให้สามารถป้องกันปัญหาอุทกภัยของจังหวัดน่านในระยะยาว ๓ ประการ มีดังนี้ ๓.๑ การใช้เงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดจะสามารถใช้ได้เมื่อเกิดภัยแล้ว และต้องประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ จึงทำให้การเตรียมการที่จะเผชิญกับอุทกภัยทำได้ไม่เต็มที่และไม่ทันเวลา ประกอบกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีหน่วยงานราชการที่สามารถคาดการณ์การเกิดอุทกภัยได้อย่างแม่นยำ จึงสมควรที่จะปรับปรุงระเบียบ และหลักเกณฑ์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถใช้งบประมาณจากเงินทดรองราชการในขั้นการป้องกัน เพื่อเตรียมการให้พร้อมก่อนเกิดภัย เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนได้ทันท่วงที ๓.๒ ปัจจุบันจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการประสานแผนงานและโครงการในการบรรเทาอุทกภัยเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณของตนเพื่อร่วมบูรณาการและลดข้อจำกัดด้านงบประมาณของทางจังหวัดในภาพรวม เพื่อให้ช่วยเหลือประชาชนได้ทันเวลา จึงสมควรให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดแนวทางปฏิบัติระดับนโยบายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ในการบรรเทาภัยเยียวยาและชดเชยตามขีดความสามารถ ๓.๓ ปัญหาของเขื่อนธงน้อย ปัจจุบันเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำไหลมากกว่าการใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยทางจังหวัดดำเนินการรวบรวมรายละเอียดเพื่อหาข้อสรุปและเสนอกระทรวงพลังงานทราบปัญหาต่อไป ส่วนการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ภูเขาควรได้รับการพัฒนาการอยู่รวมกันของคนกับป่า สำหรับการเพิ่มเติมฝายชะลอน้ำ การสร้างระบบเตือนภัยในพื้นที่ห่างไกล และการสร้างเส้นทางอพยพของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งทางจังหวัดน่านจะเสนอความต้องการงบประมาณจากรัฐบาลและขอรับการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์จากจังหวัดทหารบกน่าน และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๓๑ สำนักงานพัฒนาภาค ๓ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1738 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2552 | ปช | 20/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ โดยสาระสำคัญของรายงานดังกล่าว ประกอบด้วยผลการปฏิบัติงานด้านปราบปรามการทุจริต ด้านป้องกันการทุจริต ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง “คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง” คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๔ บัญญัติให้ดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยในส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเภทที่ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ได้จัดทำประมวลจริยธรรมของตนแล้วเสร็จ และได้ออกประกาศใช้บังคับแล้ว สำหรับของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทที่ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น ได้แก่ ผู้บริหารและสมาชิกสภาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทต่าง ๆ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และท้องถิ่นที่มีลักษณะการปกครองแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมิได้จัดทำประมวลจริยธรรมของหน่วยงาน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลและรัฐสภาในฐานะผู้กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐจะเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่ายบริหารและฝ่ายสภาหรือประมวลจริยธรรมของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเร็ว ๑.๒ เรื่อง “ปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ” คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาด้านกฎหมายและระเบียบด้านนโยบาย ด้านการบริหารราชการ ด้านผู้มีอิทธิพลและอำนาจแฝง และด้านการบูรณาการกลไกภาคประชาสังคมในการป้องกันการทุจริตที่ดินของรัฐ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อเสนอแนะเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองและเรื่องปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1739 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 13/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดไว้ ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕ ล้านบาท จำนวน ๑๖๐,๐๓๒.๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๔ โดยสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท มีดังนี้ ๑.๑.๑ โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๓๙,๖๕๓.๑ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๕๔,๐๐๘.๑ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๘๔,๔๕๐ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๕๑,๘๘๘.๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ รายได้สุทธิ จำนวน ๑,๙๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ งบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เทียบกับสัดส่วนร้อยละ ๓.๗ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ การกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๘ ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๓ การกำหนดแนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การให้ความสำคัญในการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ การจัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณและกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด การให้กระทรวง/หน่วยงานพิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน การให้ความสำคัญกับการบูรณาการในการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ทั้งในระดับกระทรวง/หน่วยงานและระหว่างกระทรวงเพื่อลดความซ้ำซ้อน การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับภารกิจของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความพร้อม ๑.๔ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๒๒๓,๒๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรร จำนวน ๑๗๙,๙๐๗.๔ ล้านบาท เป็น จำนวน ๔๓,๒๙๒.๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๔.๑ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ งบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ได้รวมวงเงินที่ต้องจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลเดิม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาทไว้ด้วย จึงควรระบุข้อมูลให้ชัดเจน ๒.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการกำหนดให้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ นั้น ให้สำนักงบประมาณประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการกำกับ ดูแล และติดตามการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ๒.๓ ให้กระทรวงการคลังรับเรื่องการชำระดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1740 | รายงานความก้าวหน้าในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและรายงานสภาวะอากาศ ของกรมอุตุนิยมวิทยา | ทก | 13/09/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และรายงานสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยฯ ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๖ - ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ มีดังนี้ ๑.๑ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เตรียมระบบสื่อสารสำรองร่วมกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้แก่ ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม (รถถ่ายทอดสัญญาณเคลื่อนที่) ระบบ Internet และโทรศัพท์ทางสาย และระบบ E - Conference รวมทั้งได้เตรียมเครือข่ายการสื่อสารทางเสียง และ E - Radio ระหว่างนักวิทยุสมัครเล่นและผู้มีจิตอาสากับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติเอาไว้อีกทางหนึ่งด้วย สำหรับประชาชนทั่วไปได้เปิดให้ติดต่อทางโทรศัพท์ฉุกเฉิน หมายเลข ๑๙๒ ตลอดเวลา มีประชาชนบางรายได้ใช้บริการนี้เพื่อแจ้งขอความช่วยเหลือ ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้แจ้งต่อให้หน่วยงานในพื้นที่ทราบดำเนินการต่อไป ๑.๒ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้แจ้งอนุญาตให้ท้องถิ่นหรือท้องที่ผู้ดูแลหอกระจายข่าวได้ใช้หอกระจายข่าวเตือนภัยประชาชนในชุมชน เมื่อภัยปรากฏแน่ชัดแล้ว จึงแจ้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติทราบ ๒. กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสภาวะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๕ - ๑๑ กันยายน ๒๕๕๔) และการคาดหมายลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๙ กันยายน ๒๕๕๔) ดังนี้ ๒.๑ สภาวะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๕ - ๑๑ กันยายน ๒๕๕๔) ร่องมรสุมพาดผ่านกำลังปานกลางผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ จากนั้นได้มีกำลังแรงขึ้นและเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงตลอดสัปดาห์ ลักษณะดังกล่าวทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนาแน่นตลอดสัปดาห์ ส่วนภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นในระยะปลายสัปดาห์ ๒.๒ การคาดหมายลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๙ กันยายน ๒๕๕๔) โดยในช่วงวันที่ ๑๒ - ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ทั่วทุกภาคของประเทศเริ่มมีปริมาณฝนลดลง ส่วนช่วงวันที่ ๑๔ - ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ร่องมรสุมมีกำลังอ่อนและเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลงอยู่ในเกณฑ์กระจาย ต่อจากนั้นช่วงวันที่ ๑๗ - ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔ ร่องมรสุมจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น
|
.....