ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 84 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1661 - 1680 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1661 | ขอความเห็นชอบโครงการความร่วมมือในการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี | สธ | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการความร่วมมือในการผลิตวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี ในประเทศไทย ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ซึ่งเป็นการพัฒนาการผลิตวัคซีนจากเดิมที่ผลิตเฉพาะระดับปลายน้ำ (downstream production) มาเป็นการผลิตตั้งแต่ระดับต้นน้ำ (upstream production) สำหรับวัคซีนบางตัว ซึ่งเป็นวัคซีนรวม (Combination vaccine) กล่าวคือ วัคซีนหนึ่งเข็มสามารถป้องกันโรคได้ ๔ โรค คือ โรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และตับอักเสบบี ๑.๒ ให้หน่วยราชการที่จำเป็นต้องใช้วัคซีนในคน จัดซื้อวัคซีนในคนซึ่งผลิตโดยบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด โดยวิธีกรณีพิเศษตามข้อตกลงของกระทรวงสาธารณสุข เป็นเวลา ๑๐ ปี ๑.๓ เงื่อนไขพิเศษต่อโครงการฯ ในการผลิตวัคซีนใด ๆ ในประเทศไทย โดยบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าหรือไม่ก็ตาม บริษัทต้องนำวัคซีนส่วนประกอบหรือวัคซีนเดี่ยวตัวอื่นที่หน่วยงานภายในประเทศผลิตขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไปผสมสูตรวัคซีนรวม หรือเพื่อการผลิตวัคซีนชนิดอื่นที่บริษัททำการผลิต แทนการนำเข้าวัคซีนชนิดเข้มข้นจากต่างประเทศ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไอกรน บาดทะยัก พิษสุนัขบ้า ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยให้มีการพิจารณาความเป็นไปได้ทางเทคนิค และการลงทุน ๑.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขทำสัญญาความร่วมมือในโครงการฯ กับบริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ๒. ให้บริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด ได้รับสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับตามแนวทางและหลักเกณฑ์การให้สิทธิพิเศษ กล่าวคือ ให้ส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะซื้อวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี ให้สามารถติดต่อซื้อได้โดยตรง โดยวิธีกรณีพิเศษ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกันตามระเบียบว่าด้วยพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ทั้งนี้ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๔ โดยมีเงื่อนไขว่า ภายในสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หากบริษัทยังไม่สามารถผลิตวัคซีนระดับต้นน้ำแทนการนำเข้าวัคซีนชนิดเข้มข้นจากต่างประเทศ ให้ทบทวนการให้สิทธิพิเศษดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งให้บริษัทส่งรายงานผลการดำเนินการเป็นรายปีให้คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจทราบด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่บริษัทองค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด เห็นควรให้สิทธิพิเศษเฉพาะวัคซีนที่จะดำเนินการวิจัยในประเทศตั้งแต่ต้นน้ำ หรือเท่าที่จำเป็นต่อความคุ้มทุนเท่านั้น ไม่ควรให้ทั้ง ๗ รายการตามที่บริษัทเสนอขอ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด - คางทูม - หัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน รายการที่ ๕ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ - ไอกรน - บาดทะยัก - ตับอักเสบบี และวัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี และให้บริษัทแสดงแผนการในการรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นรูปธรรม และกำหนดเป้าหมายเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ โดยบริษัทจะต้องใช้วัคซีนที่ผลิตจากต้นน้ำในประเทศครบทั้ง ๔ โรค คือ โรคคอตีบ - บาดทะยัก - ไอกรน - ตับอักเสบบี โดยมีแผนการลงทุนในการผลิตวัคซีนจากต้นน้ำทั้ง ๔ โรคที่ชัดเจน และให้มีการขยายการผลิตวัคซีนที่มีความจำเป็นตัวอื่น ๆ ที่ประเทศมีความจำเป็นต้องใช้ รวมทั้งพิจารณาขยายตลาดวัคซีนของบริษัทโดยการส่งออก เพื่อลดต้นทุนและคุ้มค่าการลงทุนเร็วขึ้น นอกจากนี้ เห็นควรจัดตั้งคณะกรรมการอิสระ ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วน เพื่อพิจารณา ต่อรอง และเจรจาระยะเวลา และประเภทของวัคซีนที่ควรให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่บริษัทร่วมทุน กำหนดราคาที่โปร่งใส เป็นธรรม และสะท้อนราคาวัคซีนในตลาด ตลอดจนประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1662 | หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่กรมบัญชีกลาง โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง คณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง คณะทำงานจัดทำและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และหน่วยงานหลักด้านการก่อสร้าง (กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน) ได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขึ้นใหม่ทั้งระบบ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างอาคาร หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน รวมทั้งแนวทาง วิธีปฏิบัติ และรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ๑.๒ ในวันที่หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ยกเลิกหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานก่อสร้าง) รวมทั้งหลักเกณฑ์ รายละเอียดประกอบ แนวทาง และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามประกาศและหนังสือเวียนอื่นใด แล้วใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่แทน ๑.๒.๒ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ก็ให้ดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ๑.๒.๔ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเจ้าของโครงการ/งานก่อสร้างนั้น ที่จะพิจารณาให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่หรือไม่ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ประกอบการพิจารณาจัดสรรหรือตั้งงบประมาณสำหรับโครงการ/งานก่อสร้างของทางราชการด้วย ๒. การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่จะใช้ในการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างนั้น ให้คำนวณราคาตามความเป็นจริง โดยไม่นำวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดร้อยละ ๕ มารวมคำนวณเป็นราคากลางด้วย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงบประมาณติดตามผลการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ และโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1663 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | คค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากปัจจุบันการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓)ฯ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่มีผลใช้บังคับโดยปริยาย ๒. ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากปัจจุบันการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น กฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๓)ฯ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินภาษีประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่มีผลใช้บังคับโดยปริยาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1664 | การลงนามข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามในข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) กับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerageworks ซึ่งเป็นหน่วยงานระบายน้ำของจังหวัด Saitama ประเทศญี่ปุ่น และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาเทคนิคการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย และการพัฒนาบุคลากรร่วมกันทั้งด้านการฝึกอบรมและการใช้อุปกรณ์และวัสดุบำบัดน้ำเสีย ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงร่วมฯ ไม่ควรก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อรัฐบาล หรือ อจน. รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะยาวในการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียของประเทศ นอกจากนี้ อจน. ซี่งเป็นผู้ได้รับฝึกอบรมและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียจากประเทศญี่ปุ่นควรพิจารณาถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อไปให้กับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกำลังคนที่มีความรู้และความสามารถในการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียในประเทศให้มีจำนวนมากเพียงพอ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการน้ำเสียของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1665 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๑๕ (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน) และเขตตรวจราชการที่ ๑๖ (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ได้จัดประชุมติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ลดลงโดยเร็วในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ระหว่างวันที่ ๖ - ๗, ๑๐ และ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ โดยได้จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาหมอกควัน “หยุดเผาเพื่อลมหายใจ” (NO BURN) ในทั้ง ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน และกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควัน ซึ่งหลังจากการดำเนินกิจกรรมและมาตรการเร่งด่วนแล้ว พบว่าปริมาณการเผาและหมอกควันสามารถควบคุมได้และเริ่มทรงตัว ยกเว้นจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณหมอกควันเพิ่มขึ้นสูงถึง ๔๓๗ ไมโครกรัม จึงได้จัดให้มีการประชุมแผนปฏิบัติการกับจังหวัดเชียงรายเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และสามารถลดปริมาณการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายได้ทั้งหมดจนกระทั่งลดปริมาณหมอกควันเหลือ ๓๒๙ ไมโครกรัม สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีปริมาณหมอกควันลดลงจาก ๓๕๙ ไมโครกรัม เหลืออยู่ที่ ๒๓๔ ไมโครกรัม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นพื้นที่กว้างยากต่อการติดต่อสื่อสาร ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าทำให้มีปริมาณหมอกควันถูกพัดพาเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปริมาณหมอกควันยังอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) จะได้ติดตามและแก้ไขปัญหาต่อไป ๒. ภาพรวมทุกจังหวัดจะมีมาตรการ ดังนี้ ๒.๑ ห้ามมิให้มีการเผาวัชพืช ขยะมูลฝอยทุกชนิด ฝ่าฝืนปรับ ๒,๐๐๐ บาท ๒.๒ ห้ามมิให้มีการเผาป่า ฝ่าฝืนปรับสูงสุดไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และจำคุกสูงสุด ๑๕ ปี ๒.๓ ให้ศูนย์เฉพาะกิจควบคุมและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าจังหวัด ประชาสัมพันธ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) และคุณภาพอากาศ (AQI) ทุกวัน ค่าที่เกินมาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนดำเนินการฉีดพ่นน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ๒.๔ ให้ส่วนราชการทุกส่วนทั้งราชการบริหารส่วนกลางที่มีที่ทำงานตั้งอยู่ในจังหวัด ราชการส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การสนับสนุนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือในการดับไฟ ๒.๕ ให้สถานีวิทยุและวิทยุชุมชนทุกสถานีออกข่าวประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่ฤดูฝน โดยออกอากาศทั้งภาษาไทยและภาษาท้องถิ่น รวมทั้งขอความร่วมมือสถานศึกษาให้จัดทำประกาศจังหวัดเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ทุกภาษา เพื่อครอบคลุมการประชาสัมพันธ์มาตรการของจังหวัดดังกล่าว ๒.๖ ให้สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลจัดเตรียมแพทย์และเวชภัณฑ์ให้เพียงพอในการให้บริการแก่ประชาชนกรณีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะหมอกควันและไฟป่า ตลอดจนให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตหมอกควันและไฟป่า ๒.๗ จัดชุดประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่รณรงค์และแจ้งเตือนประชาชนขอความร่วมมือในการงดเผาทุกชนิด ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมและในเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ๒.๘ จัดให้มีหน่วยงานและผู้บริหารราชการรับผิดชอบเป็นรายพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน รวมถึงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ๒.๙ จัดให้มีอาสาสมัครรณรงค์และช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดับไฟป่าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1666 | มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม - ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติที่ประชุม กวพ. ดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษโดยอนุโลม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและปฏิบัติต่อคู่สัญญาภาครัฐทั้งหมดให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1667 | มาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน | สธ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจัดทำหนังสือสั่งการ สธ ๐๔๒๒.๑/ว ๘๖ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เรื่อง มาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน ได้แก่ การดำเนินการเฝ้าระวังผู้ป่วยจากโรงพยาบาล และการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลในการรองรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังและกลุ่มเสี่ยงโดยเตรียมบุคลากร สถานที่ เวชภัณฑ์ ให้มีความพร้อม ๒. ให้กรมควบคุมโรคดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับประชาชนในสถานการณ์ปัญหาหมอกควันตามระดับความรุนแรงของค่า PM 10 [ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (๐.๐๑ มิลลิเมตร)] ที่เกินค่าเกินมาตรฐาน ๑๒๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ๒.๒ ให้คำแนะนำหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือปัญหาหมอกควันตามระดับความรุนแรงของค่า PM 10 ๒.๓ เร่งรัดให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๑๐ เชียงใหม่ ประสานกับจังหวัดในการเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพประชาชนอย่างใกล้ชิด ๒.๔ ดำเนินการสนับสนุนหน้ากาก จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ชิ้น โดยเน้นให้กับกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง พร้อมทั้งกระตุ้นให้หน่วยงานในพื้นที่ (อปท.) ดำเนินการจัดหาเพิ่มให้กับประชาชน รวมทั้งให้ประชาชนทำหน้ากากใช้เอง ๒.๕ ทำหนังสือสั่งการเลขที่ สธ ๐๔๒๒.๑/ว ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง มาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากปัญหาหมอกควัน แจ้งไปยังสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๑ - ๑๒ ๒.๖ ดำเนินการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ และสื่อมวลชนท้องถิ่น ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ๒.๗ กรณีที่พื้นที่มีค่า PM 10 ในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานมาก ให้มีการจัดเตรียมที่พักที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ที่พักฟื้นหลังออกจากโรงพยาบาล เพื่อลดการรับสัมผัสกับฝุ่นละออง เช่น จัดให้มีระบบปรับอากาศ และมีการจัดวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยลดฝุ่นละอองภายนอกอาคาร เช่น ระบบฝอยละอองน้ำ เป็นต้น ๓. ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ได้แก่ การเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังในชุมชน และประสานดูแลรักษากับโรงพยาบาล การเฝ้าระวังอย่าให้มีการเผาวัสดุหรือสิ่งของต่าง ๆ ในชุมชนของตนเองที่ดูแล ๑๐ - ๑๕ หลังคาเรือน การแนะนำการทำหน้ากากอนามัยผ้าใช้เองในชุมชน และการสนับสนุนการพ่นน้ำ ละอองฝอย เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้นและลดฝุ่นละอองในอากาศในกรณีที่สภาพอากาศมีหมอกควันวิกฤตรุนแรง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1668 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย | นร | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามดูแลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนืออย่างใกล้ชิด โดยให้บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น เพื่อตรวจสอบติดตามปัญหาและประสานงานการเข้าแก้ไขและระงับปัญหาไฟป่าหรือพื้นที่ที่มีการเผาทำลายวัชพืชและสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้จังหวัดประสานงานและให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วย และให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดโดยเจตนาอย่างเคร่งครัดทั้งในส่วนของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนจังหวัดใดจะประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ให้พิจารณาดำเนินการได้ในกรณีปัญหามีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่แต่ละจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม แล้วประสานงานกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการเร่งรัดติดตามและดำเนินการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานและจังหวัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานข้อมูลความเสียหายและการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือดำเนินการตรวจติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบอีกทางหนึ่ง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร) เร่งรัดการจัดทำฝนหลวง เพื่อลดความรุนแรงของปัญหามลพิษหมอกควันด้วย ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งสำรวจและให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากปัญหาหมอกควัน และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ๖. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่าและการเผาพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนติดกับประเทศไทย อันเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดตาก เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1669 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงาน ๑.๒ การเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของส่วนราชการ รวมทั้งงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๑.๔ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายลงทุนทั้งในส่วนของโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณ ๑.๕ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๖ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ๒.๑.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงบประมาณ แผนงบประมาณในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่าย และรายการในงบรายจ่ายที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ยกเว้นงบบุคลากรประเภทเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาคนั้น ๆ อย่างช้าไม่เกิน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๒.๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้ ประมาณ ๑๕ วัน ๒.๑.๓ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินโครงการ/รายการ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงาน ๒.๑.๔ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการ กรณีรายการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑.๕ การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานในจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ๒.๒ หน่วยงานกลาง ๒.๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผลการใช้จ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๓ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการงบประมาณ เร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งนำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเทียบกับแผนการใช้จ่ายเงินให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1670 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือพหุภาคีระดับภูมิภาค Asian Food and Agriculture Cooperation Initiative (AFACI) | กษ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือพหุภาคีระดับภูมิภาค Asian Food and Agriculture Cooperation Initiative (AFACI) เพื่อให้กรมวิชาการเกษตรสามารถตอบรับการเข้าร่วมโครงการที่จะดำเนินการร่วมกันในกลุ่มประเทศสมาชิก โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ จุดประสงค์ของบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของการเกษตรสีเขียวที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียเพื่อขจัดความยากจน และความหิวโหย และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกผ่านความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร ๑.๑.๒ ความร่วมมือนี้มีกิจกรรมหลัก ๆ แบ่งเป็น ๓ กิจกรรม ได้แก่ ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร ผลิตภัณฑ์การเกษตรและอาหาร เพื่อความมั่นคงทางอาหาร ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมสมรรถนะและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ๑.๑.๓ ประเทศสมาชิกที่สนับสนุนความร่วมมือนี้ ให้ดำเนินการสอดคล้องหรือเป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบหรือข้อบังคับของแต่ละประเทศ ๑.๑.๔ การปกป้องลิขสิทธิ์ทางปัญญาของแต่ละประเทศสมาชิกให้ดำเนินการภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ หรือให้เป็นไปตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศนั้น ๆ ให้สัตยาบันแล้ว ๑.๒ มอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกและดำเนินการใด ๆ ตามที่กำหนดในเรื่องนี้ ควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันของภาคการเกษตรที่ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน อาทิ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นฐานการผลิตภาคเกษตร ความรุนแรงและความถี่ของธรรมชาติที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างการปลูกพืชอาหารกับพืชพลังงาน รวมทั้งต้องคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรเพื่อมิให้เกิดความได้เปรียบ - เสียเปรียบระหว่างเกษตรกรรายใหญ่และเกษตรกรรายย่อย รวมถึงการเข้าถึงด้านการเงินและการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีที่จะพัฒนาและถ่ายทอด และบันทึกความเข้าใจฯ ต้องไม่มีข้อจำกัดในการดำเนินงานเพื่อควบคุม ป้องกันการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพภายใต้ระเบียบ ข้อกฎหมายของประเทศที่มีอยู่หรืออยู่ในระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การส่งเสริมการสร้างตลาดเพื่อการรองรับผลผลิตทางการเกษตรจากประเทศเครือข่าย การเปิดเผยข้อมูลในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรและการยอมรับของประชาชนในกลุ่มประเทศสมาชิก โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกลุ่มนักวิชาการ ตลอดจนการจัดตั้งกลไกเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาทั้งในระดับโลก ภูมิภาค อนุภูมิภาค ประเทศ และท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1671 | การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการตามความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการขอจัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ของกระทรวงยุติธรรม (สถาบันนิติวิทยาศาสตร์) และการขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ของสำนักนายกรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีกระทรวงยุติธรรม (สถาบันนิติวิทยาศาสตร์) คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกตว่าการดำเนินการไม่เป็นไปตามกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ โดยขาดความชัดเจนในสาระสำคัญด้านการบริหารงานในรูปแบบทุนหมุนเวียน เช่น การกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ไม่ชัดเจน รวมทั้งมีลักษณะพึ่งพิงจากเงินงบประมาณเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะและการบริหารงานของกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ในอนาคต และการกำหนดโครงสร้างผู้รับผิดชอบในการบริหารกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ และกลุ่มเป้าหมายของผู้รับบริการกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ยังขาดความชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงไม่เห็นควรให้จัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ ควรทบทวนรูปแบบในการบริหารจัดการกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ เนื่องจากแนวทางการจัดตั้งเป็นทุนหมุนเวียนจะไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการตามเจตนารมณ์แห่งร่างพระราชบัญญัติการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ๑.๒ กรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินงานตามสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ สามารถถือปฏิบัติตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ ซึ่งจะมีความเหมาะสมและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๑.๓ ทบทวนและปรับปรุงสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับต่อไป ๒. กรณีสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไม่มีประเด็นพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ โดยบรรจุในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาก่อนมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารงานกองทุนพัฒนาฯ เกิดประโยชน์ต่อทางราชการได้อย่างแท้จริงและสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาตรา ๓๒ (๓) บัญญัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนในชื่อ “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” วงเงินจำนวน ๑,๗๒๐ ล้านบาท ดังนั้น การพิจารณายกร่างระเบียบที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องกำหนดชื่อกองทุนให้มีความสอดคล้องกับสาระสำคัญในร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินกองทุนพัฒนาฯ ในอนาคต ๒.๒ ในร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการบริหารกองทุนพัฒนาฯ ควรต้องถือปฏิบัติตามกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ เช่น การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ และทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นแล้วต้องเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เป็นต้น ๒.๓ เพื่อให้การดำเนินการของกองทุนพัฒนาฯ เป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการสนับสนุนการดำเนินงานเชิงสังคมของรัฐ ควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกองทุนพัฒนาฯ ในประเด็นของเจตนารมณ์ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่การบริหารกองทุนพัฒนาฯ เป็นต้น ๒.๔ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล จึงมีข้อจำกัดในการทำนิติกรรม สัญญา หรือดำเนินการเกี่ยวกับภาระผูกพันของกองทุนพัฒนาฯ ดังนั้น การกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการโดยเฉพาะในระดับภูมิภาค จึงควรต้องกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาฯ ๒.๕ โครงสร้างการบริหารกองทุนพัฒนาฯ มีรูปแบบบริหารจัดการในลักษณะคณะกรรมการที่มีความซับซ้อน อีกทั้งจำเป็นต้องมีการรองรับการดำเนินงานในระดับท้องถิ่น จังหวัด และภูมิภาคครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ดังนั้น จึงควรที่จะต้องมีการกำหนดอำนาจหน้าที่การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจนสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ ๒.๖ โดยที่กองทุนพัฒนาฯ เป็นทุนหมุนเวียนตามนัยกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ฉะนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายและการเก็บรักษาเงินกองทุน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดไว้ในกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องสำหรับจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ เนื่องจากสามารถถือปฏิบัติตามนัยมาตรา ๑๓ แห่งกฎหมายเงินคงคลัง ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้องในการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงิน เป็นต้น ๒.๗ เนื่องจากกองทุนพัฒนาฯ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพสตรี เพิ่มบทบาท สร้างสวัสดิภาพและสวัสดิการสตรี รวมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และพัฒนาอาชีพให้แก่กลุ่มสตรีในทุกระดับ อันเป็นภารกิจที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงควรกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาฯ เบื้องต้นในช่วงระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๙) ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการติดตามประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาฯ และเพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถประเมินภาระทางการคลังเพื่อการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้กองทุนพัฒนาฯ ตลอดจนการทบทวนสถานภาพของกองทุนพัฒนาฯ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1672 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ จำนวน ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. การปรับแก้ไขขอบเขตพื้นที่ที่ให้ใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับแก้ไขมาตรการข้อ ๓ (๒) ของประกาศกระทรวงฯ เป็น “๓ (๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคารที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ๑.๒ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ เห็นชอบการยกเลิกข้อ ๑.๒ ของประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และดำเนินการออกประกาศกระทรวงฯ ต่อไป ๒.๒ เห็นชอบการยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในประกาศกระทรวงฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ โดยให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้ สผ. เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. ร่างแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้ สผ. ภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อประสานให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขร่างแผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๕. กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขประเด็นหลักภายใต้กรอบการเจรจาฯ ข้อ ๓ เป็น “การคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities)” และตัดคำว่า “หลักการอื่นที่สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำกรอบการเจรจาฯ ที่ปรับแก้ไขแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๖. การกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี เทศบาลตำบลบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ประชุมมีมติ ๖.๑ เห็นชอบอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา เป็นอัตราค่าบริการแบบขั้นต่ำ - ขั้นสูง รวมทั้งอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียว ๖.๒ ให้เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอย ๗. โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของสำนักงาน นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวเส้นทางรถไฟทางเลือกที่ ๑/๓ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน และให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบทางหนีภัยภายในอุโมงค์และการกู้ภัยในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การออกแบบปล่องระบายอากาศให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้านบนของอุโมงค์ และการออกแบบสะพานรถไฟให้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นการบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การจัดให้มีทางข้ามทางรถไฟบริเวณที่มีชุมชนอยู่หนาแน่น และการกำหนดความกว้างของขนาดรางรถไฟให้เกิดความชัดเจนโดยคำนึงถึงโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคต่อไปด้วย ๘. โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม - ชุมทางหนองปลาดุก - หัวหิน ของ สนข. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแนวเส้นทางรถไฟในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบสถานีหัวหินที่เป็นสถานีใหม่ให้มีสถาปัตยกรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และไม่บดบังหรือลดความสวยงามและความสง่างามของสถานีรถไฟหัวหินเดิม และให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวเส้นทางรถไฟเพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1673 | การนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ | กต | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมี ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ กระบวนการจัดทำรายงาน UPR เป็นไปอย่างเปิดกว้างและโปร่งใส ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย ความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ทั้งการที่ไทยเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก การมีกรอบกฎหมายและกลไกด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อคุ้มครองสิทธิของกลุ่มเปราะบางและกลุ่มชายขอบ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และประเด็นท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนและการแก้ไขปัญหาในบริบทของไทย ได้แก่ สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการโยกย้ายถิ่นฐานและการค้ามนุษย์ โดยประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะจากประเทศต่าง ๆ จำนวน ๑๗๒ ข้อ และสามารถยอมรับข้อเสนอแนะได้เลย จำนวน ๑๐๐ ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับท่าทีและการดำเนินการของไทยอยู่แล้ว สำหรับข้อเสนอแนะอีก ๗๒ ข้อ ไทยขอนำกลับมาพิจารณาโดยมีกำหนดที่จะต้องแจ้งท่าทีต่อข้อเสนอแนะดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๑๙ ทราบในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ๑.๒ เห็นชอบท่าทีไทยต่อข้อเสนอแนะ จำนวน ๗๒ ข้อ และเหตุผลประกอบข้อเสนอแนะ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำเอกสารสรุปท่าทีไทยเพื่อส่งให้สหประชาชาติภายในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่สหประชาชาติกำหนดโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการจัดทำรายงานประเทศภายใต้กลไก UPR เป็น “คณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR” โดยมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการติดตามความคืบหน้าในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยให้การรับรอง รวบรวมและประมวลข้อมูลดังกล่าวเพื่อเตรียมการจัดทำรายงานในช่วงครึ่งเทอมแรก (ในอีกประมาณ ๒ ปีข้างหน้า) และการจัดทำและนำเสนอรายงาน UPR ของไทยในรอบที่สองในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป ๑.๔ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ในคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR จัดทำแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะและคำมั่นที่เกี่ยวข้อง โดยหารือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะได้นำมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการตามข้อเสนอแนะและคำมั่น UPR ในภาพรวม โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้เกิดผลดีต่อประชาชนภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการตอบรับข้อเสนอแนะในการเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย เนื่องจากประเทศไทยกำลังรื้อฟื้นกระบวนการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ในขั้นตอนการดำเนินการในระยะต่อไปจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงประเด็นเรื่องสิทธิของรัฐในการกำหนดเงื่อนไขให้คนต่างด้าวลี้ภัยในดินแดนของตน และความเสี่ยงของประเทศไทยที่อาจต้องยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้เป็นการล่วงหน้า ตามที่ได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ เพราะอาจจะมีผลเชื่อมโยงไปถึงการเรียกร้องให้ถอนข้อสงวน ข้อ ๒๒ ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กด้วย และในการจัดทำแผนปฏิบัติการและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะและคำมั่น UPR ในภาพรวม ซึ่งจะต้องดำเนินการผ่านคณะกรรมการกำกับดูแลการจัดทำรายงานประเทศและติดตามการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะภายใต้กลไก UPR เห็นควรให้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในคณะกรรมการฯ โดยใกล้ชิดบนพื้นฐานของการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทยในภาพรวมทั้งในด้านความมั่นคง ด้านสิทธิมนุษยชน และด้านภาพลักษณ์ของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1674 | ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๑.๑ อนุมัติการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศใช้รายละเอียดครุภัณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เป็นหลักในการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีการเปลี่ยนแปลง ให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงร่วมกันเพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสมกับการเรียนการสอน และสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วย ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จัดวางระบบเครือข่าย Wi-Fi และจัดทำระบบบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน การพัฒนาบุคลากร และสร้างความเข้าใจ เพื่อการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ๑.๔ อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของส่วนราชการต่าง ๆ จำนวนเงิน ๑,๗๙๔,๘๓๒,๘๐๐ บาท ยกเว้นงบประมาณของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะ ทั้งนี้ ในส่วนของเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณาก่อน สำหรับงบประมาณที่ยังขาดอยู่เพื่อการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา และการวางระบบสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรสื่อการเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรของส่วนราชการดำเนินงานโครงการ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการตามผลการเจรจาและข้อตกลงในการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐที่จะจัดทำขึ้น ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการทำสัญญาที่จัดหาในรูปแบบรัฐต่อรัฐ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารควรส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน และในการเจรจาควรแต่งตั้งผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานอัยการสูงสุด เข้าร่วมในคณะเจรจาด้วย ส่วนการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนการดำเนินงานแก่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในทุกขั้นตอนของโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณและการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเนื้อหาสาระที่จะบรรจุในคอมพิวเตอร์พกพา เพื่อให้การใช้คอมพิวเตอร์พกพาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความรู้และการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเร่งเตรียมความพร้อมในการสร้างความรู้ ความเข้าใจการใช้คอมพิวเตอร์พกพาให้กับบุคลากรทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับผู้ปกครองควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาทั้งหมด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1675 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการการประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ - ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามคำเชิญของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะดำเนินการโอนงบประมาณสำหรับการจัดประชุมให้ประเทศไทยเมื่อได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมิน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเรียบร้อยแล้ว ๑.๒ เห็นชอบในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วยประเด็นหลัก ดังนี้ ๑.๒.๑ รูปแบบการประชุมและการเตรียมการจัดประชุม ได้แก่ การกำหนดรูปแบบการจัดห้องประชุม อุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุม เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสำหรับการจัดประชุม ๑.๒.๒ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการอำนวยความสะดวก ได้แก่ การให้รัฐบาลไทยให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ผู้แทนของทบวงการชำนัญพิเศษและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และพนักงานขององค์การสหประชาชาติ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการเข้าพำนักและเข้าร่วมการประชุมของผู้แทนในประเทศไทย ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป ๒. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการภายใต้กฎเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) สำหรับการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจฯ (ร่างข้อ ๙.๒) ซึ่งหากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1676 | รายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรจะจัดหาพัสดุให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาว่าแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ.) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วัน แล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งานเพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ได้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัดการบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1677 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่กำหนดไว้ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๘๔,๓๖๐.๖ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๖๗,๐๐๐ ล้านบาท รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๔๘,๖๓๙.๔ ล้านบาท และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ไม่มีรายการที่ต้องเสนอตั้งงบประมาณ) รายได้สุทธิ จำนวน ๒,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และงบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้ความสำคัญกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และนโยบายของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักปฏิบัติ โดยกำหนดนโยบายการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม และวางพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ โครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๓ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓.๑ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ จุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัว และประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ตลอดจนการดำเนินการตามแผนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และเตรียมความพร้อมในการใช้จ่ายงบประมาณโดยจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในลักษณะ Project-based ๑.๓.๒ ให้กระทรวง/หน่วยงานบูรณาการการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ทั้งในระดับกระทรวง/หน่วยงาน และระหว่างกระทรวงให้สอดคล้องเชื่อมโยง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบูรณาการในระดับพื้นที่ ระหว่างส่วนราชการ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ๑.๓.๓ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณ และกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณของปีงบประมาณปัจจุบันและปีงบประมาณที่ผ่านมา ๑.๓.๔ ให้กระทรวง/หน่วยงาน พิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวไปดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับสูง ๑.๓.๕ การดำเนินงาน/โครงการ ควรพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๔ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพและเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สูงขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำทางการคลัง โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ มีรายได้ที่เหมาะสมกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังของท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรวมภารกิจตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับเบี้ยยังชีพคนชรา เบี้ยยังชีพคนพิการ เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ และภารกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๓๖,๕๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับการจัดสรร ๒๒๑,๐๙๑.๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๑๕,๔๐๘.๒ ล้านบาท ๒. รับทราบประมาณการข้อเสนอความต้องการงบประมาณเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ มีวงเงินความต้องการรวมทั้งสิ้น ๕๕๘,๓๔๖.๔ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1678 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดอุดรธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) รวม ๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - หนองคาย โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการปรับปรุงขยายช่องทางการจราจรเพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และเส้นทางหมายเลข ๒๑๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของ กกร. ไปพิจารณา ดังนี้ ๑.๑.๑ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ ระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป ๑.๑.๒ ศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ศึกษาไว้ และเร่งเสนอโครงการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ ศึกษารายละเอียดถึงความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๑.๑.๔ ศึกษาความเหมาะสมปรับปรุงโครงข่ายทางถนนบริเวณชายแดนไทย เส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และ ๒๑๒ เชื่อมโยงหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร เพื่อรองรับการลงทุนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industrial Estate) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และการขยายเวลาเปิดด่านสากลจังหวัดนครพนม (ชายแดนไทย - ลาว) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง และเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น ๑.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของการขยายเวลาเปิดทำการของจุดผ่านแดนถาวรจังหวัดนครพนมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำ โขง - เลย - ชี - มูล โดยแรงโน้มถ่วงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมและความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๑.๔ ข้อเสนอของ กกร. และ สทท. เกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย การพัฒนาระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้มีความคล่องตัว และการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้พิพิธภัณฑ์สิรินธรสามารถเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าทางวิชาการ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณารูปแบบที่คล่องตัวในการบริหารที่เหมาะสม ๑.๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่พิจารณาจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในประเทศสมาชิกอาเซียนให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ๑.๕ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... และนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาจัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินและการบริหารจัดการทั้งบุคลากร และการเงิน รวมทั้งการเตรียมการด้านวิชาการ ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในการลงทุนและการใช้ประโยชน์ โดยให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1679 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 วุฒิสภา เรื่อง การบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | สว | 13/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ วุฒิสภา เรื่อง การบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายเพื่อการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะรัฐมนตรีได้ประชุมเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ ลงมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และในส่วนของกฎหมายว่าด้วยข้อมูลส่วนบุคคล ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ... ต่อสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ๒. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1680 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐชุดใหม่ | ยธ | 13/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ชุดใหม่ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลให้องค์กรในภาครัฐจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนแผนงาน โครงการ ตามแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ อำนวยการและประสานการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมทั้งติดตามประเมินผลและแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ๑.๒ ให้ส่วนราชการหน่วยงานภาครัฐจัดสรร/เจียดจ่ายเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในโครงการต่าง ๆ แบ่งไปใช้จ่ายดำเนินการสนับสนุนในโครงการ/กิจกรรมตามแผนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินการตามแผนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐพิจารณาปรับแผนการดำเนินงานและแผนใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของหน่วยงานมาดำเนินการ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และรายงานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ทราบ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ควรเน้นส่งเสริมให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาเป็นพลังร่วมในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการป้องปรามการทุจริตคอรัปชั่น และการสร้างภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมต่าง ๆ การเร่งพัฒนาช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานภาครัฐ การดำเนินโครงการขนาดใหญ่ การจัดสรรทรัพยากร และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบค่าใช้จ่ายภาครัฐในทุกระดับ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวชี้วัดใหม่ ๆ ที่มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคมและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ไปดำเนินการด้วย
|
.....