ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 85 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1681 - 1700 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1681 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การฟื้นฟูการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" | สสป | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การฟื้นฟูการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ น้อมนำพระบรมราชปณิธานในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” มากำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เป็นเป้าหมายในการสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ๑.๒ กำหนดแนวทางการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง โดยการพัฒนาอย่างสมดุลและผสมผสาน ๓ ด้าน คือ การพัฒนาด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นยุทธศาสตร์ในการบริหารและพัฒนาประเทศ โดยยึดหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน รวมทั้งมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ความรอบรู้ และคุณธรรม ๑.๓ กำหนดให้วันที่ ๑ - ๗ พฤษภาคมของทุกปี เป็นสัปดาห์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งชาติ โดยจัดให้มีการประชุมสมัชชาแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และควรแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองระดับชาติและระดับจังหวัด ทำหน้าที่ส่งเสริม ประสานงาน ติดตาม และประเมินผล ตลอดจนจัดทำแผนพัฒนาอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยคณะกรรมการควรประกอบด้วยผู้แทนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางรับผิดชอบขยายผลการดำเนินงานตามแผนอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการประสานงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และควรรณรงค์ให้มีการฝึกอบรมการพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมตามหลักศาสนาทุกหลักสูตร ทุกกลุ่มคน ทั้งในหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนอย่างกว้างขวาง โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นแกนกลางในการดำเนินงานและประสานงาน รวมทั้งควรกำหนดให้การพัฒนาตามแนวอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ต้องร่วมกันทำทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยให้เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และทุกกระทรวงถือเป็นหน้าที่จะต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการพัฒนาชน และชุมชนในเมือง โดยการรวมกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ รวมทั้งพัฒนาประชาธิปไตย โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางในการดำเนินงานและประสานงาน ๑.๕ จัดให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่อุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง โดยใช้สื่อทุกรูปแบบทั้งสื่อของรัฐและสื่อของประชาชน เพื่อให้นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ มีความรู้ความเข้าใจอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองอย่างถูกต้อง น้อมนำอุดมการณ์ดังกล่าวไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นด้วยกับข้อเสนอในการน้อมนำพระบรมราชปณิธานในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” มากำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เป็นเป้าหมายในการสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และได้มีการดำเนินการอยู่แล้วทั้งในทิศทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และนโยบายรัฐบาล ๒.๒ แนวทางการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ซึ่งยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้มีการน้อมนำมาดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในยุทธศาสตร์การพัฒนาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และทุกส่วนราชการ ๒.๓ การกำหนดให้วันที่ ๑ - ๗ พฤษภาคมของทุกปี เป็นสัปดาห์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งชาติ มีความเหมาะสม และควรมอบหมายให้หน่วยงานกลาง เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ระดับชาติ ในส่วนระดับจังหวัดควรพิจารณากลไกที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ๒.๔ การมอบหมายให้หน่วยงานราชการดำเนินการตามแนวทางอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการกำหนดนโยบายบริหารงานจังหวัด หรือ กนจ. กำหนดแนวทางให้จังหวัดบรรจุแผนงาน/โครงการ เรื่อง แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และให้หน่วยงานกลาง เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานในส่วนกลาง สำหรับในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานเพื่อขยายผลการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ ไปสู่หมู่บ้านและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ และองค์กรต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการฝึกอบรม ส่งเสริมให้ความรู้การพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมแก่นักเรียน นักศึกษา พนักงานในองค์กร และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ ๒.๕ เห็นควรประชาสัมพันธ์เผยแพร่อุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองให้กว้างขวางต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1682 | กรอบการเจรจา WIPO IGC ภายใต้อาณัติการทำงาน WIPO IGC ปี 2555 - 2556 | กต | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรอบการเจรจาการประชุม Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (IGC) ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก World Intellectual Property Organization (WIPO) ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านทรัพยากรพันธุกรรม และด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อเป็นพื้นฐานในการเจรจาสำหรับคณะผู้เจรจาของไทย สำหรับการเข้าร่วมการประชุม WIPO IGC ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอาณัติการทำงานของ WIPO IGC ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับร่างกรอบเจรจาด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อ ๒.๑๕ ควรระบุให้ครอบคลุมถึงระดับท้องถิ่น ร่างกรอบเจรจาด้านทรัพยากรพันธุกรรม ข้อ ๒.๘ ควรระบุให้ครอบคลุมถึงระดับท้องถิ่น ส่วนร่างกรอบเจรจาด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ข้อ ๒.๓ ควรเพิ่มเรื่องการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เพื่อเป็นการรักษาให้คงอยู่ด้วย และ ข้อ ๒.๖ เมื่อถือว่าเป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ย่อมควรได้รับการคุ้มครองแบบไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด และควรเน้นในประเด็นคุณค่าวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมากกว่ามูลค่าที่จะได้รับ รวมทั้งควรเพิ่มเรื่องการให้ความคุ้มครองการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมระดับท้องถิ่น ระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ และค่าตอบแทนจากการนำไปใช้ประโยชน์ และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรกำหนดมาตรการระดับภูมิภาคเพื่อคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพที่มีการคุ้มครองข้ามพรมแดน (Tran boundary) การพัฒนากลไกการดำเนินการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานและแนวทางในการป้องกันการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือใช้โดยผิดกฎหมาย และควรมีการจัดการจัดข้อมูลการดำเนินงานในการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ตามธรรมเนียมประเพณี (customary use) ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกับกรอบการเจรจาฯ ทั้ง ๓ ด้าน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1683 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายให้แก่โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒ รายการ วงเงิน ๑,๑๕๕,๘๕๒ บาท และอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ของสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๖๖,๗๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท (โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็งและเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน) และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๘๒๑.๘๘ ล้านบาท (โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาดำเนินการ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ตอบสนองต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยก่อนเป็นลำดับแรก ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น เหตุผลความจำเป็น ขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ และผลการดำเนินการ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้การใช้เงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีความชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ และเร่งรัดการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดติดตามการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากโครงการไม่แล้วเสร็จและเบิกจ่ายไม่ทันภายในกำหนดก็ควรให้มีการขยายเวลา โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1684 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม | สสป | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. เร่งสำรวจและจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัยให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับทราบข้อมูล ๒. เร่งจัดหาและติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยดินถล่มที่ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงภัย ๓. จัดสรรงบประมาณในการดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์เตือนภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจัดสรรงบประมาณเพื่อการส่งเสริมอาสาสมัครเตือนภัย ๔. ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันภัยพิบัติ อาทิ การฝึกซ้อมอพยพหนีภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย และสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย ๕. งดเว้นการกระทำทุกรูปแบบซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต ๖. ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมแบบจำลอง ๓ มิติ การเตือนภัยดินถล่ม และนำผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ส่งเสริม สนับสนุนและปรับปรุงโครงสร้างของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สามารถเป็นศูนย์กลางในการบริหาร ประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับภารกิจในการเตือนภัยพิบัติครอบคลุมทุกภัยพิบัติทั้งประเทศอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ๘. ส่งเสริมและสนับสนุนปรับโครงสร้างของหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีขีดความสามารถและเอกภาพในการรองรับภารกิจด้านการเข้าช่วยเหลือ การบรรเทาสาธารณภัยอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุม ประสานทุกหน่วยงาน ทุกระดับชั้น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๙. เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติทางธรรมชาติในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับชั้น ๑๐. สนับสนุนงบประมาณแก่มิสเตอร์เตือนภัย องค์กรสาธารณกุศล รวมทั้งอาสาสมัครจากชุมชนที่ให้ความช่วยเหลือราชการ ๑๑. จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในการเขียน/แปลภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จากดาวเทียม/แผนที่เรด้าร์ (Radar) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ๑๒. จัดสรรอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยเพื่อการรองรับการประมวลภาพถ่ายพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับหมู่บ้าน ตำบล พร้อมนักเทคนิคผู้ปฏิบัติการงานประมวลผล ๑๓. ปรับปรุงและ/หรือออกกฎหมายที่มีบทบังคับให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม โดยแยกประเภทภัยพิบัติเกี่ยวกับดินถล่มให้เป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อความชัดเจนในการบังคับ ๑๔. สนับสนุนให้มีการนำหญ้าแฝกปลูกในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม พื้นที่ลาดชันเชิงเขาให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ปฏิบัติตามในทุกพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1685 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง กรณีนโยบายของนิคมอุตสาหกรรมโรงถลุงเหล็ก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | สว | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง กรณีนโยบายของนิคมอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นพ้องกับแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามที่เสนอในรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ ถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ได้มุ่งเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีคุณภาพ มีความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ๒. แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งจัดทำร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ได้กำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๘ รวมถึงการสนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กสมบูรณ์แบบและท่าเรือน้ำลึกบริเวณตอนใต้ของพื้นที่ โดยให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และการลงทุนของภาคเอกชนที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขั้นตอนของการลงทุนของภาคเอกชนจะต้องมีการดำเนินการตามกฎระเบียบ กฎหมายและรัฐธรรมนูญฯ อย่างเคร่งครัด ๓. ประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ได้แก่ การเร่งดำเนินการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ (Eco-Industrial Town) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทางการพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดนโยบายทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น และการกำหนดมาตรการส่งเสริมให้ภาคเอกชนนำแนวคิด Corporate Social Responsibility (CSR) มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ๔. ประเทศไทยมีความต้องการใช้เหล็กมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่เป็นปัจจัยการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ทำให้ต้องมีการนำเข้าเหล็กคุณภาพสูงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อลดการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาแนวทางส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้นเพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูงในประเทศ ๕. การส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการจัดหาพื้นที่รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม การต่อต้านของประชาชนในพื้นที่ และลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐในการลงทุนจัดหาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งถนน ท่าเรือ และแหล่งน้ำ รวมทั้งสามารถใช้ประโชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมเมืองทวายของประเทศพม่า ซึ่งหากจะดำเนินการตามแนวทางนี้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องประสานกับภาคเอกชนในการดำเนินการร่วมกับภาครัฐ และนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1686 | รายงานผลการจัดงาน OTOP ทั่วไทย รวมใจช่วยภัยน้ำท่วม | มท | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดงาน OTOP ทั่วไทย รวมใจช่วยภัยน้ำท่วม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการจัดงาน OTOP ทั่วไทย รวมใจช่วยภัยน้ำท่วม ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานดังกล่าว ได้รับความสำเร็จและตอบรับจากประชาชนผู้เข้าชมงานและผู้ผลิต ผู้ประกอบการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เป็นอย่างดี โดยมีผู้เข้าชมงาน จำนวน ๔๙๘,๕๖๔ คน และมียอดจำหน่ายสินค้า จำนวน ๓๖๖,๔๔๕,๔๑๕ บาท ๒. กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ระดับ ๓ - ๕ ดาว จากภูมิปัญญาของชาวบ้านทุกจังหวัด และผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP จากกรุงเทพมหานคร จำนวน ๘๘๕ บูธ รวม ๑,๓๘๐ กลุ่ม จำแนกเป็น ๕ ประเภทผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก และสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร พร้อมทั้งมีการจำหน่ายสินค้าของสภาคนพิการ การจำหน่ายสินค้าสภาวัฒนธรรม และการจำหน่ายสินค้าศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) การจัดการแสดง เช่น การแสดงดนตรี การแสดงศิลปวัฒนธรรมของภาคต่าง ๆ รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสินค้า OTOP การฟื้นฟูผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP หลังน้ำท่วม การสร้างมาตรฐานสินค้า OTOP และการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการดำเนินงาน OTOP ระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ด้านต่าง ๆ กับกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP แต่ละประเภท เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการได้ตระหนักถึงการพัฒนาสินค้า OTOP ให้มีคุณภาพได้มาตรฐานให้เป็นสินค้าพิเศษโดดเด่น คงความเป็นเอกลักษณ์ และเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ๓. ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าชมงาน OTOP ทั่วไทย รวมใจช่วยภัยน้ำท่วม ร้อยละ ๘๒.๗๓ มีความพอใจต่อการจัดงานดังกล่าว และผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ร้อยละ ๘๓.๙๐ มีความพึงพอใจต่อการจัดงานดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1687 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพของเนื้อสัตว์ที่ผลิตจากโรงฆ่าสัตว์ตามร่างพระราชบัญญัติฯ ไม่ครอบคลุมมาตรฐานการควบคุมโรคระบาด โดยเฉพาะจากสัตว์สู่มนุษย์และความเชื่อมโยงกับมาตรฐานของอาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหารและยาของกระทรวงสาธารณสุข ควรพิจารณากำหนดมาตรการหรือแนวทางเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขอนามัยและไม่เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้
๑. ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “สัตว์” “การจำหน่ายเนื้อสัตว์” และได้กำหนดคำนิยาม เช่น “เนื้อสัตว์” “การประกอบกิจการฆ่าสัตว์” “โรงฆ่าสัตว์” “โรงพักสัตว์” “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” และ “คณะกรรมการประจำจังหวัด” เป็นต้น ๓. กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบกิจการฆ่าสัตว์” มีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำต่อรัฐมนตรีในการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน ๔. กำหนดการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตตั้งโรงฆ่าสัตว์และประกอบกิจการฆ่าสัตว์ ให้คณะกรรมการพิจารณาแผนงานประกอบกิจการฆ่าสัตว์ประจำจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการ และกำหนดให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์สามารถโอนให้แก่บุคคลอื่นได้เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต โดยกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตายให้โอนไปเป็นของทายาท รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์จะเลิกประกอบกิจการฆ่าสัตว์ต้องแจ้งให้นายทะเบียนทราบเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนเลิกประกอบกิจการ ๕. กำหนดให้พนักงานตรวจโรคสัตว์เพื่อตรวจสอบและควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ ต้องแต่งตั้งจากสัตวแพทย์ หรือบุคคลซึ่งผ่านการศึกษาและฝึกอบรมด้านการตรวจโรคในสัตว์หรือการตรวจเนื้อสัตว์จากในประเทศหรือต่างประเทศตามหลักสูตรที่กรมปศุสัตว์กำหนด และได้รับการรับรองจากสัตวแพทยสภาและได้รับการขึ้นทะเบียนไว้กับกรมปศุสัตว์ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับรองให้จำหน่ายเนื้อสัตว์และวิธีการชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ๖. กำหนดให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้เมื่อปรากฏว่าผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่ง และมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้เมื่อปรากฏว่าผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือผู้รับใบอนุญาตเคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตและได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ต้องถูกพักใช้ใบอนุญาต ๗. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ที่มีการฆ่าสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ สถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ มีอำนาจสั่งให้หยุดยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ ๘. กำหนดโทษของการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ใช้เกณฑ์ในการกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา คือ จำคุกหนึ่งปีต่อโทษปรับสองหมื่นบาท โดยกำหนดให้อธิบดีสามารถเปรียบเทียบปรับการกระทำความผิดได้ เว้นแต่กรณีการประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาตและการฆ่าสัตว์นอกโรงฆ่าสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่ได้มีการยกเว้น ๙. กำหนดอัตราอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่าย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1688 | กรอบแนวทางในการจัดหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในภาพรวม | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมมือกับสำนักงาน ก.พ. ในการจัดทำหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ก.พ. โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยให้ความร่วมมือในการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคนเข้าอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ก.พ. อย่างต่อเนื่อง โดยทำเป็นตัวชี้วัดส่วนบุคคลด้วย ๑.๒ ให้ทุกกระทรวง กรม จังหวัด และส่วนท้องถิ่น จัดหลักสูตรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือสอดแทรกวิชาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ในหลักสูตรที่จัดอยู่แล้วของแต่ละหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจที่จะเลือกจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ในหลักสูตรที่จัดอยู่แล้ว หรือเลือกที่จะดำเนินการอื่นที่เหมาะสมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ในการเพิ่มองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงบประมาณและแนวทางในการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับการฝึกอบรม ไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำกับดูแลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1689 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณภายใต้ผลผลิตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบดำเนินงาน จำนวน ๒,๘๐๓.๖๒๙๖ ล้านบาท ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้ขออนุมัติงบกลางตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อดำเนินการร่วมกัน ความต่อเนื่องและมีการประเมินผลในการปฏิบัติตามแผนฯ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ประจำจุดสกัดทุกจุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลรับแจ้งเหตุและเบาะแสผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การเพิ่มกิจกรรมการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น การดำเนินการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าในภาพรวม การกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประกอบการปฏิบัติงาน การจัดสรรงบประมาณปกติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและผนึกประสานกำลังและทรัพยากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป่าไม้ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1690 | การลงนามพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม โดยให้นายจักรกฤษณ์ ศรีวลี เอกอัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่นายจักรกฤษณ์ฯ มอบหมาย เป็นผู้ลงนามพิธีสารนาโงยาฯ ทั้งนี้ พิธีสารนาโงยาฯ เป็นเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรองรับหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และจัดให้มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศผู้ให้ และเกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมและยุติธรรมจากผู้ใช้สู่ผู้ให้ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ๒. เห็นชอบแผนการดำเนินงานภายหลังการลงนามพิธีสารนาโงยาฯ ได้แก่ การทบทวนระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๔ และกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล (National Competent Authority) ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ ว่าต้องมีการเพิ่มเติม/ปรับปรุงอย่างไรให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของพิธีสารนาโยงาฯ รวมทั้งเผยแพร่และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีสารนาโงยาฯ ให้กับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการให้สัตยาบันพิธีสารดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1691 | สรุปผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด (ในช่วงระหว่างวันที่ 11 กันยายน 2554 - 30 พฤศจิกายน 2554) | ยธ | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๕ รวม ๗ แผนงาน ตั้งแต่เปิดแผนปฏิบัติการวันที่ ๑๑ กันยายน - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. แผนงานที่ ๑ การสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด ได้แก่ การดำเนินกิจกรรมการดำเนินการในหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้งการทำประชาคม การค้นหาผู้เสพ/ผู้ติด/ผู้ค้า การนำผู้เสพ/ผู้ติดเข้ารับการบำบัดรักษา การดำเนินการกับผู้ค้าตามกฎหมาย การปิดล้อมตรวจค้น ฯลฯ เป้าหมาย ๖๐,๕๘๔ หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการแล้ว ๑๓,๙๐๑ หมู่บ้าน/ชุมชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เป้าหมาย ๑๒,๑๘๙ หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการแล้ว ๒,๗๙๔ หมู่บ้าน/ชุมชน การดำเนินการพัฒนาหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินดีเด่นให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ ๑ อำเภอ ๑ ศูนย์การเรียนรู้ เป้าหมายในการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ๘๕๐ แห่ง ดำเนินการแล้ว ๕๐๘ แห่ง และการสร้างและพัฒนาความรู้ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดแก่ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป้าหมาย ๒๐,๐๐๐ คน ผลการดำเนินการพัฒนาผู้นำและผู้มีรายชื่อ ๔๙๑ คน ๒. แผนงานที่ ๒ การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ได้แก่ การดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด โดยการนำเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาในระบบสมัครใจ การบำบัดรักษาในระบบบังคับบำบัด และการบำบัดรักษาในระบบต้องโทษ รวมถึงการบำบัดรักษาในค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ เป้าหมายการนำผู้เสพ/ผู้ติดเข้ารับการบำบัดรักษา ๔๐๐,๐๐๐ คน มีผลการบำบัดรักษา ๒๙,๕๔๗ คน และการจัดตั้งศูนย์ Demand จังหวัด เพื่อเป็นศูนย์ฟื้นฟูฯ ในการบำบัดรักษา โดยมีเป้าหมายให้มีการจัดตั้ง จำนวน ๑ จังหวัด ๑ ศูนย์ รวม ๗๗ จังหวัด มีผลการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูฯ แล้ว ๕๗ ศูนย์ ใน ๕๗ จังหวัด ๓. แผนงานที่ ๓ การสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด ได้แก่ การสร้างระบบป้องกันสถานศึกษา โดยจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปฏิบัติงานประจำโรงเรียนเพื่อเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดไม่ให้เข้าสู่โรงเรียน จำนวน ๗๓๐ โรงเรียน การดำเนินงานเพื่อขจัดปัจจัยเสี่ยงรอบสถานศึกษา เป้าหมายการดำเนินงานใน ๗๗ จังหวัด ดำเนินการแล้ว ๗๒ จังหวัด โดยจังหวัดที่มีการดำเนินการออกตรวจสูงสุดคือ จังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ อุดรธานี เชียงใหม่ และตราด และการจัดกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการ/โรงงาน เป้าหมาย ๒,๐๐๐ แห่ง ดำเนินการแล้ว ๘๑ แห่ง ๔. แผนงานที่ ๔ การปราบปรามยาเสพติดและบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ การดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติด เป้าหมาย ๙๙,๗๗๐ คน มีผลการจับกุม จำนวน ๒๙,๕๐๕ คดี ๓๔,๗๐๐ คน แบ่งเป็นข้อหาผลิต จับกุมได้ ๘๒๓ คดี ๑,๔๑๘ คน ข้อหานำเข้า จับกุมได้ ๘๓ คดี ๑๐๑ คน ข้อหาส่งออก จับกุมได้ ๔ คดี ๕ คน ข้อหาจำหน่าย จับกุมได้ ๒,๙๑๗ คดี ๔,๑๕๑ คน ข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย จับกุมได้ ๗,๘๙๒ คดี ๙,๖๘๕ คน และข้อหาครอบครอง จับกุมได้ ๑๗,๗๘๖ คดี ๑๙,๓๔๐ คน และการดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์สินนักค้ายาเสพติดทั่วประเทศ เป้าหมาย ๘,๐๐๐ คดี มีผลการดำเนินการทั้งสิ้น ๘๒๓ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๔๐๘.๑ ล้านบาท ๕. แผนงานที่ ๕ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้แก่ ๕.๑ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านยาเสพติด ครั้งที่ ๓๒ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการประชุมตามพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านยาเสพติด ๕.๒ การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (AMMTC) ครั้งที่ ๘ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่มีบทบาทนำ (Lead Shephard) ในสาขายาเสพติด ซึ่งเป็น ๑ ใน ๘ สาขาภายใต้กรอบความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ๕.๓ การจัดสัมมนาระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืน ณ จังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการแก้ปัญหาการปลูกพืชเสพติด สำหรับเป็นแบบอย่าง และนำไปประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศ ๕.๔ การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ที่ประชุมได้มีการรับรองและลงนามในเอกสาร “ASEAN - JAPAN PLAN OF ACTION 2011 - 2015” ในประเด็นด้านยาเสพติดจะเสริมสร้างความเข้มแข็งในความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างประเทศอาเซียน อาทิ การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ เป็นต้น ผ่านเวทีการประชุมด้านอาชญากรรมข้ามชาติกับญี่ปุ่น จีน และสาธารณรัฐเกาหลี ๕.๕ การประชุมหัวหน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติดสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ณ ประเทศอินเดีย เป็นการประชุม Subsidiary Body ของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ภายใต้กรอบสหประชาชาติ ๖. แผนงานที่ ๖ การสกัดกั้นยาเสพติด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้จัดตั้งชุดพัฒนาสัมพันธ์มวลชน (ชพส.) จำนวน ๑๐๗ ชุด เพื่อเข้าปฏิบัติการมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที่เป้าหมาย ๑๐๗ ตำบล ๑,๐๗๐ หมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนและมีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและความมั่นคง ขั้นตอนแรกของการดำเนินการคือ การสืบสภาพ และค้นหาปัญหายาเสพติดของหมู่บ้านชายแดนเป้าหมาย ๗. แผนงานที่ ๗ การบริหารจัดการแบบบูรณาการ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัดในแต่ละระดับได้จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมและบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1692 | ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมภาษีประจำปีที่ค้างชำระของหน่วยงานราชการ) และร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) จำนวน 2 ฉบับ | คค | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมิให้นำมาตรา ๒๓ เกี่ยวกับการห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการขนส่งประจำทาง การขนส่งไม่ประจำทาง การขนส่งโดยรถขนาดเล็ก หรือการขนส่งส่วนบุคคล เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน มาใช้บังคับแก่การขนส่งส่วนบุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล เป็นผู้ประกอบการขนส่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้เสมือนดังเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลทุกประการ ๑.๒ กำหนดให้รถที่ใช้ในการขนส่งส่วนบุคคลของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ และสภากาชาดไทย ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ๑.๓ กำหนดให้บรรดาภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันระงับไป ๒. ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีให้แก่รถของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เฉพาะรถที่มิได้ใช้ในทางการค้าหรือหากำไร ๒.๒ กำหนดให้บรรดาค่าธรรมเนียมและภาษีประจำของรถของหน่วยงานตามมาตรา ๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นอันระงับไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1693 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2555 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้มีการตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และทำการศึกษาความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ของโครงการโดยละเอียด ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ศึกษาและสำรวจเส้นทางของการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาเพิ่มเส้นทาง เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ของประเทศไทย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ๑.๒ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑ ให้สำนักงานสภาความความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเรื่องการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความพร้อมของประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดนเตรียมความพร้อมรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวกเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย โดยรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการรับไปพิจารณาเตรียมความพร้อมในการประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น Year of MICE (Meeting, Incentive, Convention, and Exhibition) หรือธุรกิจการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้าและนิทรรศการตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับใหญ่อย่างระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความพร้อมก่อนการเปิดตัวใช้งานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดทำแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำผลการศึกษาจากโครงการจัดทำแผนแม่บทและออกแบบเพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนา ๑.๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ร่วมกันดำเนินโครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ๑.๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวภูมิภาคและสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นที่ ๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กกร. เกี่ยวกับโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕ การพัฒนาตลาดทุนไทย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ย ให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ (Offshore Holding Company and Funds) ในอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๕.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของที่ประชุมไปเร่งรัดการพัฒนาตลาดพันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร อปท. ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำระบบบัญชีที่ดี โดยคำนึงถึงความพร้อมของ อปท. ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ไปประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์สนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เช่น กกร. สทท. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะยาว โดยให้มีการบูรณาการทุก ๆ มิติ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตลอดจนวางแผนงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) โดยการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น รวมทั้งการเร่งรัดประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1694 | การจัดทำแผนงาน/โครงการของจังหวัดต่าง ๆ การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติกรอบวงเงินด้านโครงสร้างพื้นฐาน จำนวนประมาณ ๔๑,๙๕๐ ล้านบาท เพื่อฟื้นฟู เยียวยา และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทั้งในด้านชลประทาน ด้านเส้นทางคมนาคม ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา รวมทั้งในส่วนของกระทรวงมหาดไทยที่ได้จัดสรรงบประมาณให้กับท้องถิ่นและกรุงเทพมหานครโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการซ่อมแซมสาธารณูปโภคให้สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น จัดทำแผนการดำเนินงานที่ระบุรายละเอียด ระยะเวลาการดำเนินการ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง การทำสัญญา และการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ โดยแยกเป็นแบบรายโครงการและแบบพื้นที่ดำเนินการเป็นรายจังหวัด โดยระบุวงเงินโครงการแล้วจัดส่งแผนการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ เพื่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้รวบรวมและจัดทำแผนติดตามการปฏิบัติงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณามอบหมายรัฐมนตรีที่ดูแลรายจังหวัด ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงต่าง ๆ ในการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน และรายงานนายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานผลการดำเนินงานไปยังรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย ๒. การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ๒.๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ) ซึ่งได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ดำเนินการเจรจากับเกษตรกรชาวสวนยางพาราเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกรณีปัญหาราคายางตกต่ำ โดยให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาให้สามารถบรรเทาและคลี่คลายความเดือดร้อนของเกษตรกรดังกล่าวโดยเร็ว และรายงานนายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนและปัญหาความเดือดร้อนในเรื่องต่าง ๆ ของประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างทันการณ์ และช่วยลดปัญหาการชุมนุมเรียกร้องหรือประท้วงของประชาชนได้ ๓. การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงบประมาณเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเตรียมความพร้อมในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีได้อย่างเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1695 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2011) | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2011) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักงานนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญของผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ๕ ประเด็น ได้แก่ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การดำเนินการตามสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร โดยผลการตรวจติดตามของผู้ตรวจราชการกระทรวง พบว่า หน่วยรับผิดชอบในระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงโครงการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สำหรับผลการตรวจติดตามของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พบว่า หน่วยงานในระดับพื้นที่สามารถประสานการดำเนินงานร่วมกัน และเกิดความคุ้มค่าหรือเกิดมูลค่าเพิ่มในเรื่องของการประหยัดงบประมาณ ประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ และเกิดประโยชน์กับประชาชนในวงกว้าง ๒. ผลการตรวจราชการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการกรณีปัญหาเฉพาะพื้นที่ของผู้ตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ๒.๑ การแก้ไขปัญหาเรื่องโฉนดชุมชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เป็นการตรวจติดตามเพื่อเปรียบเทียบการดำเนินการโฉนดชุมชนในพื้นที่ที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว พื้นที่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการใกล้สำเร็จ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ที่ดำเนินการยังไม่สำเร็จ ผลการตรวจติดตามปรากฏว่า ยังมีบางประเด็นปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขโดยส่วนกลาง โดยผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี/ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ตรวจพบได้รับไปประสานแก้ไขปัญหาภายในกระทรวง/กรมที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว ๒.๒ การจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ผลการตรวจติดตามพบว่า สภาพปัญหายาเสพติดของจังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบันเป็นทั้งพื้นที่ค้า พื้นที่พักยาเสพติด และพื้นที่แพร่ระบาด ซึ่งผู้ตรวจราชการได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นแล้ว ส่วนปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจากส่วนกลางเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมรับไปประสานดำเนินการแก้ไขต่อไปแล้ว ๒.๓ การจัดการปัญหาภัยพิบัติ (น้ำท่วม ดินถล่ม) ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการตรวจติดตามพบว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้การสนับสนุน ซึ่งผู้ตรวจราชการได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม และการบูรณาการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่มจะประสบผลสำเร็จถ้าได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ต้องรวดเร็ว แม่นยำ และเชื่อถือได้ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ คือ ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ประสบภัยได้ทัน มูลค่าทรัพย์สินเสียหายลดลง ๓. แนวทางการตรวจราชการแบบบูรณาการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีควรจะต้องสามารถกระตุ้นให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัดกำหนดโครงการภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในลักษณะที่มีการบูรณาการภายใต้หลักการห่วงโซ่แห่งคุณค่า ทั้งในระดับจังหวัดด้วยกันเอง และบูรณาการกับระดับกระทรวง/กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์ของจังหวัด เกิดคุณค่าและความคุ้มค่าของโครงการภาครัฐให้ได้ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะส่งแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ให้กับทุกจังหวัด เพื่อรับทราบเป็นข้อมูล และเป็นประโยชน์ในการที่จะบูรณาการโครงการของกระทรวง/กรมกับโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้อีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากพบว่ามีโครงการที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงเสนอไว้ในแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ บางส่วนที่น่าจะบูรณาการหรือประสานการดำเนินการร่วมกันของหน่วยปฏิบัติในพื้นที่กับโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1696 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการเก็บสถิติและข้อมูล การจัดทำบันทึกรายละเอียด และรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. .... | ทส | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการเก็บสถิติและข้อมูล การจัดทำบันทึกรายละเอียด และรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคำนิยาม “ระบบบำบัดน้ำเสีย” และ “น้ำทิ้ง” ๒. กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือผู้ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย ต้องเก็บสถิติและข้อมูลซึ่งแสดงผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียในแต่ละวัน และจัดทำบันทึกรายละเอียดดังกล่าวตามแบบ ทส. ๑ เก็บไว้ ณ สถานที่ตั้งของแหล่งกำเนิดมลพิษ เป็นระยะเวลา ๒ ปี และจัดทำรายงานสรุปผลการทำงานดังกล่าวในแต่ละเดือนตามแบบ ทส. ๒ และเสนอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายในวันที่สิบห้าของเดือนถัดไป ๓. กำหนดให้กรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษหรือผู้ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย มีหน้าที่ต้องเก็บสถิติและข้อมูล จัดทำบันทึกรายละเอียด หรือจัดทำรายงานสรุปผลการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียอยู่แล้วตามกฎหมายอื่น ให้ถือว่าการเก็บสถิติและข้อมูลการจัดทำบันทึกรายละเอียด หรือการจัดทำรายงานตามกฎหมายดังกล่าว เป็นการเก็บสถิติและข้อมูลการจัดทำบันทึกรายละเอียด หรือการจัดทำรายงานตามกฎกระทรวงฉบับนี้โดยอนุโลม ๔. กำหนดให้นำหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ ๒ และ ๓ มาใช้บังคับแก่ผู้รับจ้างให้บริการบำบัดน้ำเสียโดยอนุโลม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1697 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง | สสป | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็น ตามที่เลขาธิการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกัน และแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง ดังนี้ ประเด็นที่ ๑ ชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและมลภาวะในจังหวัดระยอง จนกว่าจะแก้ไขปัญหามลพิษไม่ให้เกินมาตรฐานที่กำหนด ประเด็นที่ ๒ เร่งฟื้นฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอย่างจริงจัง โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกระดับ ประเด็นที่ ๓ จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณโดยรอบ เพื่อให้มีเอกภาพในการบริหารจัดการ ประเด็นที่ ๔ ให้ปรับปรุงผังเมืองรวมจังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๕ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา การแก้ไขและป้องกันปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ประเด็นที่ ๖ เพิ่มบริการสาธารณสุขและสถานศึกษาในจังหวัดระยองเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ ประเด็นที่ ๗ เร่งฟื้นฟูและบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกให้สามารถรองรับการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรม ประเด็นที่ ๘ ให้มีองค์กรติดตามการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ๒. ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภูมิภาคในพื้นที่และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มประเด็น : นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๑ ควรชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อมลภาวะในจังหวัดระยอง ยกเว้นโรงงานที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง ประเด็นที่ ๔ ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการจัดทำผังเมืองระยองให้แล้วเสร็จและประกาศใช้บังคับอย่างต่อเนื่อง และให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องซึ่งรับการถ่ายโอนภารกิจปรังปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชน จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๗ มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ๒.๒ กลุ่มประเด็น : การแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ประเด็นที่ ๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูบูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกอย่างจริงจัง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและรัดกุม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับ ประเด็นที่ ๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้นและใช้กลไกที่มีอยู่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงรุกและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการศูนย์เฝ้าระวัง และตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมที่จะเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ ประเด็นที่ ๖ เห็นควรให้จังหวัดระยองดำเนินการสำรวจประชากรแฝงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อจะได้ทำแผนในการดูแลคุณภาพชีวิตในทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ กลุ่มประเด็น : การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ประเด็นที่ ๓ ให้กระทรวงมหาดไทยทำการศึกษารูปแบบในการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา ประเด็นที่ ๘ ในระดับชาติควรมอบให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รับไปดำเนินการ และในระดับพื้นที่ควรมอบหมายจังหวัดระยองรับไปดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1698 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี วุฒิสภา | สว | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี วุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นแนวทางการพัฒนาโครงการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ฯ ๑.๑ ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดยมี ศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นเจ้าภาพหลัก พร้อมทั้งกำหนดแผนโลจิสติกส์และสิทธิประโยชน์พิเศษ ๑.๒ พิจารณาเร่งรัดการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนเชื่อมเส้นทางหลักหมายเลข ๔๒ ๑.๓ พิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการไก่สดแช่แข็ง โดยขอให้ บริษัท สหฟาร์ม จำกัด จัดทำข้อเสนอโครงการไก่สดแช่แข็ง ๒. ประเด็นมาตรการในการรักษาความปลอดภัยความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ได้กำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ได้แก่มาตรการก่อนเหตุ และมาตรการขณะเกิดเหตุ ๓. ประเด็นการจัดกิจกรรมส่งเสริม กระทรวงพาณิชย์มีแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าฮาลาลอยู่เป็นประจำทุกปี โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการจัดนิทรรศการฮาลาลในงาน THAIFEX-World of Food Asia 2012 การจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าอาหารไปเยือนตะวันออกกลาง การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ๔. ประเด็นระดับความรับผิดชอบของหน่วยงาน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในระดับนโยบาย ที่ปัจจุบันดำเนินการภายใต้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๖/๒๕๔๙ เรื่อง นโยบายเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้ระบุการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ของท้องถิ่น ส่วนรายละเอียดการดำเนินการจะเป็นเรื่องของส่วนราชการที่รับผิดชอบโดยตรง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1699 | รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐได้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิการเข้าใช้งานระบบจัดซื้อจัดจ้าง (e - Government Procurement : e - GP) จำนวนทั้งสิ้น ๔๘,๗๑๑ แห่ง ลงทะเบียนแล้ว ๓๔,๓๙๔ แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๐.๖๑ ของหน่วยงานทั้งหมด ๒. หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง จำนวนทั้งสิ้น ๗๗,๖๓๖ โครงการ วงเงินงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง ๒๐๙,๒๕๙.๒๘ ล้านบาท มูลค่าที่จัดหาได้ ๑๙๘,๔๕๖.๗๙ ล้านบาท สามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ถึง ๑๐,๘๐๒.๔๙ ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ ๕.๑๖ ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด โดยจำแนกตามประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๒.๑ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามประเภทหน่วยงาน พบว่า ส่วนราชการมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ตามลำดับ ๒.๒ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง พบว่า หน่วยงานภาครัฐมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction ในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมาคือ วิธีสอบราคา และวิธีประกวดราคา ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาตามแต่ละประเภทหน่วยงาน พบว่าหน่วยงานทุกประเภทประกาศจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction มากที่สุดเช่นเดียวกัน แต่สัดส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละวิธีเทียบกับวงเงินงบประมาณทั้งหมดจะแตกต่างกันไป โดยรัฐวิสาหกิจจะมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction สูงสุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ในขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีสอบราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ๒.๓ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหา ได้แก่ การซื้อวัสดุครุภัณฑ์ การจ้างก่อสร้าง การจ้างเหมาบริการ และการเช่า พบว่า วิธีสอบราคาและวิธีประกวดราคาส่วนใหญ่เป็นงานซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ในขณะที่วิธี e - Auction ส่วนใหญ่เป็นงานจ้างก่อสร้าง และเมื่อจำแนกการจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหาของแต่ละหน่วยงาน ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ มีการก่อสร้างมากที่สุด รองลงมาคือ การจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ส่วนรัฐวิสาหกิจมีการจ้างก่อสร้างมากที่สุดเช่นเดียวกัน รองลงมาคือ การจ้างเหมาบริการ ๒.๔ การจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทสินค้าและบริการ ได้แก่ วัสดุครุภัณฑ์ งานจ้างก่อสร้าง งานจ้างเหมา และงานเช่า ซึ่งมีทั้งหมด ๔๗ ประเภท พบว่า ประเภทสินค้าและบริการที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูงสุด คือ งานจ้างก่อสร้างและปรับปรุง รองลงมา ได้แก่ งานจ้างเหมาบริการ วัสดุครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์และการแพทย์ วัสดุครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง วัสดุครุภัณฑ์การศึกษา วัสดุครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และวัสดุครุภัณฑ์ก่อสร้าง ตามลำดับ ๒.๕ การจัดซื้อจัดจ้างตามหน่วยงานที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุด แบ่งตามประเภทหน่วยงาน ได้แก่ ส่วนราชการระดับกรม สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดของส่วนราชการระดับกรมมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ ๗๕.๖๖ เมื่อเทียบกับมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของกรมทั้งหมด ในขณะที่สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสัดส่วนมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดเพียงร้อยละ ๒๗.๘๓ ๓๑.๘๔ และ ๑๙.๖๓ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
1700 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย | กษ | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๐๕.๕๐ ล้านบาท โดยโอนงบประมาณดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดซื้อนมพาสเจอร์ไรส์ ให้เด็กนักเรียนชั้นก่อนวัยเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด อปท. ของกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวนนักเรียนประมาณ ๕๓๒,๕๒๑ คน ได้ดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๒ ถุง/วัน จากเดิมที่ได้ดื่มวันละ ๑ ถุง ตามงบประมาณปกติ ในระยะเวลาเฉพาะวันเรียนจำนวน ๖๐ วันของภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ โดยให้ อปท. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำนมโคของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ประมาณวันละ ๘๐ ตัน จนถึงกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือกับ อปท. และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ที่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ จากงบปกติที่ได้รับไปแล้ว จัดซื้ออาหารเสริม (นม) ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๓๐ วัน ของภาคเรียนนี้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่เลื่อนการเปิดภาคเรียนเนื่องจากปัญหาภาวะภัยน้ำท่วม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการนมทั้งระบบในภาพรวม เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้มีข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ หรือ MOU กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อจัดจำหน่ายตามสิทธิที่ได้รับในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนไปแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้จำหน่ายตามที่ได้รับจัดสรรอาจส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดขึ้นอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายอาหารเสริมนมโรงเรียนให้แก่นักเรียนให้เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม) ที่ให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย |
.....