ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 83 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1641 - 1660 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1641 | สรุปผลการดำเนินการโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ | มท | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย มีการบังคับใช้กฎหมาย ว่ากล่าวตักเตือนและจับปรับ เพิ่มขึ้นมา ๓ เท่า (เพิ่มจาก ๘๕๐,๐๖๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๒,๗๐๗,๔๔๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และผลจากการสำรวจการสวมหมวกนิรภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน ๑,๒๓๐,๑๙๗ คน พบว่า สัดส่วนการสวมหมวกนิรภัยในภาพรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพียง ๒ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยเพิ่มจาก ๔๔ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๔๖ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ แนวทางที่จะดำเนนการในระยะต่อไป ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการต่อไปอีก ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) เพื่อให้มีการเพิ่มสัดส่วนของผู้สวมหมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเร่งรัดให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ในแต่ละปี ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (เสาหลักที่ ๔ ตามแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งมีการติดตามกำกับ การรายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ๑.๒.๓ รัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว ๑.๒.๔ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประสานงานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและตรวจจับหมวกนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐานในสถานประกอบการและในท้องตลาด รวมทั้งเร่งรัดและหามาตรการในการส่งเสริมมาตรฐานหมวกนิรภัยที่จะประกาศใช้ ให้มีกลไกที่เอื้อต่อการผลิตในราคาที่ถูก เช่น การใช้มาตรการด้านภาษี หรือการอุดหนุนผู้ประกอบการที่ผลิตหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหมวกนิรภัยสำหรับเด็ก ๑.๒.๕ ให้คณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามประเมินผลในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตามสถานการณ์การบาดเจ็บศรีษะและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ (ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย) พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลให้กับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเป็นประจำทุก ๒ เดือน ๑.๒.๖ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด โดยเฉพาะในสถานประกอบการ สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งกำหนดให้มีการนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านที่ประชุมจังหวัดทุกเดือน ๑.๒.๗ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนขยายความร่วมมือกับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ หน่วยงาน องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการรณรงค์ประชาสัมภันธ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการรณรงค์ผ่านสื่อศิลปิน เพลง ภาพยนตร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เด็ก/เยาวชนเพิ่มมากขึ้น ๑.๒.๘ ให้กระทรวงคมนาคมวางแนวทางการดำเนินการเพื่อให้สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การออกแบบจุดกลับรถที่ปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ เช่น การทำทางลอดใต้สะพาน การทำสะพานลอยรถจักรยานยนต์ การหาแนวทางการเพิ่มช่องทาง/เลนรถจักรยานยนต์ในถนนที่กำลังออกแบบใหม่ หรือถนนที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์สัญจรเป็นจำนวนมาก โดยควรมีการจัดทำมาตรฐานช่องทางรถจักรยานยนต์และจัดโครงการถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานด้านงานทางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และการสนับสนุนให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเข้าร่วมในการรณรงค์ส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเล็งเห็นถึงความปลอดภัยที่จะได้รับจากการสวมหมวกนิรภัยโดยให้มีการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังด้วย รวมทั้งเห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินผล วิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนะมาตรการที่รัดกุม เพื่อให้ทราบถึงประเด็นปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การรณรงค์ไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ และเพื่อสามารถวางแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบพร้อมทั้งตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอันจะทำให้การณรงค์นั้นมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรณรงค์เรื่องการสวมหมวกนิรภัย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1642 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร 2 กับซอยวิภาวดีรังสิต 17 พ.ศ. .... | มท | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร ๒ กับซอยวิภาวดีรังสิต ๑๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร ๒ กับซอยวิภาวดีรังสิต ๑๗ ในท้องที่แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1643 | การเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | นร | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ จะเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อม โดยการให้ความรู้ความเข้าใจและข้อมูลแก่ประชาชน และให้มีการจัดทำแผนแม่บทในการดำเนินการ โดยบูรณาการแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้สะท้อนถึงทิศทาง จุดแข็ง และความสามารถในการแข่งขันกับประเทศสมาชิกอื่นให้ชัดเจน เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด และระดับชาติ รวมทั้งภาคเอกชนต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดทำร่างแผนแม่บทดังกล่าว พร้อมกรอบระยะเวลาในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ โดยให้นำผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1644 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | สว | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย และผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อคณะรัฐมนตรีประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะมีแนวทางดำเนินการใน ๔ ประเด็นหลัก คือ ๑.๑ การพัฒนาและขับเคลื่อนการรวมกลุ่มในชนบทให้เป็นฐานรากที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยมีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุน โดยการจัดระเบียบกลุ่มต่าง ๆ ให้มาใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางการดำเนินงาน มีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในระดับตำบลเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการการจัดระบบการผลิตด้านการเกษตร การประกันภัยพืชผลการเกษตร ดูแลปัญหาที่ดินที่ทำกินและดูแลสวัสดิการเบื้องต้น เพื่อให้การบริหารท้องถิ่นในระดับตำบลนำระบบสหกรณ์มาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๒ ผลักดันให้กำหนดหลักสูตรสหกรณ์ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และการศึกษาอบรมผู้นำและผู้บริหารทุกระดับ โดยการจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติ ยกร่างหลักสูตรเกี่ยวกับสหกรณ์สำหรับการเรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบในแต่ละระดับให้เหมาะสม ๑.๓ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเอกภาพและมีส่วนร่วมจากขบวนการสหกรณ์ โดยหน่วยงานภาครัฐควรมุ่งในการพัฒนาและกำกับมาตรฐานสหกรณ์เพื่อก้าวสู่ความเป็นสากล ปฏิรูปสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ให้มีองค์ประกอบทางวิชาการมากขึ้น พร้อมกับขยายภารกิจไปสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมืออย่างทั่วถึงและครอบคลุมทั้งกระบวนการ ๑.๔ รัฐต้องให้การสนับสนุนงบประมาณและการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยการสนับสนุนการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาสหกรณ์ สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านสหกรณ์และผลักดันให้การพัฒนาระบบสหกรณ์อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ๒. ควรสนับสนุนและผลักดันให้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ อย่างเป็นรูปธรรมในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนรู้ถึงประโยชน์ความสำคัญของสหกรณ์ และสมาชิกสหกรณ์มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอย่างแท้จริงและยั่งยืน สำหรับแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเอกภาพและมีส่วนร่วมจากสหกรณ์ ได้จ้างมหาวิทยาลัยบูรพาศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหน่วยงานที่กำกับ ดูแลและพัฒนาสหกรณ์ ผลการศึกษาพบว่า ควรเป็นหน่วยงานภาครัฐในระดับทบวงสหกรณ์ ซึ่งจะได้เสนอรายงานผลการศึกษาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป รวมทั้งจะผลักดันการขับเคลื่อนผ่านแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ กำลังดำเนินการอยู่
|
||||||||||||||||||||||||
1645 | ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยแจ้งให้จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก เร่งดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง โดยให้มีการบูรณาการจากทุกภาคส่วน ดังนี้
๑. ให้มีการบูรณาการแผนการทำงานทั้งระดับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และตามยุทธศาสตร์/มาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง ๒. ให้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันตระหนักในผลกระทบที่มีต่อสภาพแวดล้อม สุขภาพร่างกายของประชาชน รวมถึงบรรยากาศด้านการท่องเที่ยว ๓. มีการกำหนดโซนให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและร่วมกันดูแลป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาป่าอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ๔. ให้ปรับแนวทางปฏิบัติโดยให้อำเภอประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนฉีดพ่นน้ำในพื้นที่บ้านเรือนและพื้นที่ปลูกต้นไม้หน้าบ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ สวนหย่อม บริเวณทางลอด ทางร่วม ทางแยก และแหล่งก่อให้เกิดมลพิษทางด้านอากาศอื่น ๆ ๕. ให้จังหวัดรายงานสถานการณ์หมอกควันต่อนายกรัฐมนตรีทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ๖. สำหรับการรายงานสถานการณ์ไฟไหม้ป่าและหมอกควันในพื้นที่ และการรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของจังหวัด จังหวัดยังคงต้องรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบทุกวันจันทร์ของสัปดาห์เช่นเดิม
|
||||||||||||||||||||||||
1646 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการใหม่ ๔ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕,๙๓๙,๒๐๐ บาท ส่วนงบประมาณในการดำเนินให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่และสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงผิวจราจรถนนราชดำเนิน วงเงิน ๑๔,๒๓๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ โครงการปรับปรุงและซ่อมแซมก่อสร้างสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่และลานกีฬาภายในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ วงเงิน ๘,๑๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ โครงการติดตั้งตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ATC และระบบบันทึกภาพภายในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ วงเงิน ๑๙,๒๘๙,๒๐๐ บาท ๑.๔ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ไฟฟ้าแสงสว่างและพัฒนาภูมิทัศน์คูเมือง วงเงิน ๔,๒๓๐,๐๐๐ บาท ๒. โดยที่โครงการอุทยานการเรียนรู้แห่งใหม่ของเทศบาลนครเชียงใหม่มีความสำคัญในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตของภูมิภาค และมีความจำเป็นต่อการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการดำเนินงานสอดคล้องกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ : สบร. (Office of Knowledge Management and Development : OKMD) ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายพื้นที่ให้บริการความรู้สู่ภูมิภาค รวมถึงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยแล้ว จึงมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ดำเนินโครงการดังกล่าว โดยในเรื่องสถานที่ก่อสร้างให้ประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนเรื่องงบประมาณดำเนินการให้ประสานกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงโครงการอุทยานการเรียนรู้ใหม่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ทั้งการยกระดับเนื้อหาสาระโครงการและขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมระดับภูมิภาค รวมทั้งการจัดหาที่ตั้งโครงการที่เหมาะสม โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ภาคเอกชนและหน่วยราชการในพื้นที่ และผลักดันการดำเนินโครงการให้เกิดประสิทธิผลต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
1647 | กรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน | คค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน เพื่อใช้เป็นกรอบการเจรจาในการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ระหว่างไทย - ลาว - จีน ที่จุดผ่านแดนเชียงของ - ห้วยทราย (ไทย - ลาว) และจุดผ่านแดนบ่อเต็น - โมฮาน (ลาว - จีน) ในระหว่างที่แต่ละประเทศยังไม่สามารถให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงฯ ที่ได้ลงนามไปแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างกัน และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรอบการเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สิทธิการจราจร การอนุญาตให้มีการประกอบการขนส่งทางถนนของสินค้าและบุคคลระหว่างไทย - ลาว - จีน ตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ และให้มีการยอมรับผู้ประกอบการขนส่งซึ่งได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละภาคี ๑.๒ การอำนวยความสะดวกพิธีการข้ามแดน การยอมรับการตรวจพร้อมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตั้งเป้าหมายให้มีการตรวจสอบสินค้าเพียงครั้งเดียวต่อไปในอนาคต ๑.๓ การขนส่งบุคคลข้ามแดน การนำหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมาใช้สำหรับการขนส่งบุคคลข้ามแดน ๑.๔ การขนส่งสินค้าข้ามแดน การยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า หรือคอนเทนเนอร์ที่ติดตราประทับศุลกากรที่ใช้ในการขนส่งผ่านแดน สำหรับการขนส่งสินค้าอันตรายจะอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป และการให้สิทธิพิเศษในการตรวจปล่อยสินค้าเน่าเสียง่ายข้ามแดน ๑.๕ การยอมรับรถ การยอมรับใบอนุญาตขับรถในประเทศซึ่งกันและกัน ๑.๖ บทเบ็ดเตล็ด การกำหนดอัตราค่าบริการการขนส่งให้เป็นไปตามกลไกตลาด การจัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย - ลาว - จีน เพื่อควบคุมและติดตามการปฏิบัติตามความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงฯ ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน ณ ด่านพรมแดน พนักงานขับรถ ภาคเอกชน รวมถึงชุมชนที่อยู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศให้มีความเข้าใจในระเบียบปฏิบัติตามความตกลงฯ รวมถึงภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ และเห็นควรให้คณะกรรมการขนส่งผ่านแดนและการขนส่งข้ามแดนแห่งชาติ ของกระทรวงคมนาคม ในฐานะ National Transport Facilitation Committee ของไทย มีบทบาทในการประสานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าอันตราย นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาและติดตามประเมินผลทั้งกรอบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือ การเจรจาตามข้อตกลง ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการและปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางในการเจรจาความตกลงในรายละเอียดหรือปรับปรุงข้อตกลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดรูปแบบการเจรจาและการทำความตกลงฯ ในเส้นทางอื่น ๆ ตามแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1648 | ข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย | พม | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย และให้คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) นำไปดำเนินการโดยประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการเป็นอาสาสมัคร โดยการเสริมสร้างให้เกิดจิตสำนึกในการเป็นอาสาสมัครในทุกระดับ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในสถาบันการศึกษา บุคลากรในหน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจและภาคเอกชน ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างองค์การอาสาสมัครกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว การเพิ่มจำนวนอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสาธารณภัย และในงานเฉพาะทาง เช่น การดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ การให้สวัสดิการ ส่งเสริมขวัญกำลังใจ และยกย่องให้เกียรติอาสาสมัครอย่างเท่าเทียมกัน เป็นระบบและครบวงจร ๑.๒ พัฒนาความรู้ความสามารถของอาสาสมัคร โดยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดทำจริยธรรมในงานอาสาสมัคร การถอดบทเรียนค้นหาต้นแบบที่ดีในการทำงานอาสาสมัคร การจัดทำหลักสูตรอบรมอาสาสมัครและการบริหารจัดการงานอาสาสมัคร การจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม การส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร การส่งเสริมงานวิจัยงานอาสาสมัคร รวมทั้งให้มีการจัดทำรายงานการประเมินมูลค่างานอาสาสมัครที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ๑.๓ พัฒนาองค์กรและบุคลากร โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานอาสาสมัครและกับทุกภาคส่วน การส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาส่งเสริมงานอาสาสมัคร และให้มีแหล่งทุนที่เพียงพอ หรือจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ๑.๔ สร้างเครือข่าย โดยการส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันของอาสาสมัครในทุกประเภทและทุกระดับ จัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด โดยให้มีกลไกการบริหารจัดการอาสาสมัครและมีรูปแบบคณะกรรมการในการบริหารจัดการที่ชัดเจน และให้มีผู้แทนอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกและเวทีการพัฒนาด้านต่าง ๆ ๑.๕ ส่งเสริมการสื่อสารและรณรงค์สาธารณะ โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอาสาสมัคร เพิ่มช่องทางการเผยแพร่และการสื่อสารข้อมูลกิจกรรมงานอาสาสมัครและระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเอง และการส่งเสริมให้มีการสื่อสารเผยแพร่งานอาสาสมัครในสื่อกระแสหลัก ๑.๖ ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาสาสมัครไทยกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในประเทศไทย การส่งเสริมให้คนไทยไปเป็นอาสาสมัครในต่างประเทศ สร้างกลไกความร่วมมือด้านอาสาสมัครระหว่างประเทศทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีอาเซียน ๒. สำหรับการจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด และการจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านอาสาสมัคร ควรเป็นการทำงานในภาพกว้าง โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว และเป็นการเสริมงานในภาพกว้างที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1649 | แผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ และให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือและเป็นเจ้าภาพร่วมในการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยแผนงานส่งเสริมการปกครองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักเกิดแรงบันดาลใจ จิตสำนึก และร่วมกันในการธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ และเกิดความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างสังคมแห่งความสงบสุข ปรองดองและสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
๑. เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกหวงแหนความเป็นชาติในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ๑.๑ จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจไปสู่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ๑.๒ ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ สอดแทรกเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรการฝึกอบรมประชุมสัมมนาในทุกระดับที่ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐจัดขึ้น ๒. การสร้างความตระหนักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริในด้านต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในชาติมีความตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย โดยจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัด ๒.๑ ร่วมเผยแพร่และสร้างความตระหนักให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชนและประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ได้รับรู้และตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัด ๒.๒ ส่งเสริมและขยายผลการดำเนินการตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ๒.๓ ให้มีศูนย์เรียนรู้พระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกอำเภอเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเกิดความตระหนักในคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในทุกพื้นที่ |
||||||||||||||||||||||||
1650 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก | พณ | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๘,๖๘๙,๙๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๒๘๐,๓๒๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๕,๐๔๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๑,๐๘๖,๒๔๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการส่งออกเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1651 | การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) | ทส | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงโครงการ PD 577/10 Rev.1 (F) Management of the Emerald Triangle Protected Forests Complex to Promote Cooperation for Transboundary Biodiversity Conservation between Thailand, Cambodia and Laos (Phase III) [การจัดการผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกตเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพข้ามเขตแดนระหว่างประเทศไทย (ระยะที่ ๓)] กับองค์การไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ (International Tropical Timber Organization : ITTO) โดยร่างความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการฯ ระยะที่ ๓ จะนำบทเรียนจากการดำเนินงานโครงการฯ ระยะที่ ๑ และ ๒ มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและกิจกรรมในการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนในโครงการ ๑.๑.๒ เป้าประสงค์ของโครงการฯ ระยะที่ ๓ คือ ส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทย กัมพูชา และลาว โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะของโครงการเพื่อเสริมสร้างการป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในบริเวณผืนป่าสามเหลี่ยมมรกต โดยมีการดำเนินงานและการพัฒนาในด้านความร่วมมือตามแผนการจัดการระยะยาว และการบูรณาการงานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนาซึ่งเป็นกรอบงานเพื่อดูแลรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ถาวรระหว่างประเทศทั้งสามประเทศ ๑.๑.๓ ผลผลิตของโครงการฯ ระยะที่ ๓ ประกอบด้วย (๑) แผนการจัดการและดำเนินการในการพัฒนาด้านความร่วมมือและการบูรณาการ งานด้านการอนุรักษ์กับการพัฒนา ซึ่งรวมถึงผลจากการวิจัยถึงชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ต่าง ๆ และกระบวนการทางนิเวศวิทยาที่สอดคล้องกันระหว่างประเทศที่ร่วมโครงการ (๒) การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ (๓) ชุมชนท้องถิ่นจะได้รับการส่งเสริมความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น จากการดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการลดการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติจากพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ๑.๑.๔ เมื่อโครงการฯ ระยะที่ ๓ สิ้นสุด คาดว่าจะทำให้พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณชายแดนมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการเคลื่อนย้ายถิ่นและการอยู่รอดในระยะยาวของสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในบริเวณผืนป่าอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ๑.๒ ให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้แทนลงนามในความตกลงโครงการฯ ระยะที่ ๓ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดทำความตกลงโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ซึ่งยังคงมีปัญหาการปักปันเขตแดนในบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตที่ยังไม่ได้ข้อยุติ การดำเนินการใด ๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรนำข้อมูลจากระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่มีอยู่แล้วของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการวิจัย การอนุรักษ์ และการจัดการ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรข้อมูลที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานตามหลักกฎหมายนานาชาติ โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก รวมทั้งสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และควรมีการศึกษาวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและกระบวนการทางนิเวศวิทยาในพื้นที่ของโครงการ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน ทั้งนี้ ข้อมูลสารสนเทศ GIS และผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากโครงการฯ ควรขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลก่อนนำไปเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและพันธุ์พืชในเขตอนุรักษ์สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1652 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีจำนวน ๑๗,๓๕๙ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ รวมทั้งสิ้น ๑๓,๒๙๙ เรื่อง โดยมีประเด็นเรื่องที่ร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอความช่วยเหลือกรณีประสบอุทกภัย รองลงมาคือ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า กับการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๔,๖๑๙ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ยาเสพติดและบ่อนการพนัน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ กรณีขอความอนุเคราะห์นำเข้าเส้นไหม และลดภาษีการนำเข้าเส้นไหม กับแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ การแก้ไขปัญหาและแนวทางป้องกันปัญหาอุทกภัย) และกระทรวงการคลัง (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ กรณีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กับขอให้แก้ปัญหาหนี้สินในระบบและนอกระบบ) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ขยายเขตการให้บริการไฟฟ้า และติดตั้งระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้า กับขอให้ตรวจสอบการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง) รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้พิจารณาเพิ่มจำนวนและขยายเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทาง กับการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงาน) และการประปาส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาน้ำประปาไม่ไหล และคุณภาพน้ำประปา กับขอให้ตรวจสอบการเรียกเก็บค่าน้ำประปาสูงเกินจริง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๒๕๕ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การแจ้งเหตุเดือดร้อนรำคาญ กับขอให้แก้ไขปัญหาการวางจำหน่ายสินค้าบนบาทวิถี จัดเก็บขยะ กำจัดผักตบชวา และขอให้ขุดลอกท่อระบายน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง) รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เพื่อการยังชีพ ขอให้เร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ประสบอุทกภัย กับขอให้พิจารณาเร่งการจ่ายเงินช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย) ๒. รับทราบปัญหาความเดือดร้อนและข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาอุทกภัย ซึ่งมีประชาชนแสดงความคิดเห็นมายังศูนย์บริการประชาชน จำนวน ๑,๘๙๒ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ ขอให้พิจารณาเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ประสบอุทกภัยให้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และขอให้ขยายระยะเวลาการยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือ ๒.๒ ขอให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานภาคครัวเรือนในพื้นที่ประสบอุทกภัย (โครงการสินค้าเบอร์ ๕ ช่วยเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย) โดยเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพิ่มปริมาณสินค้า และขยายระยะเวลาการใช้คูปองมูลค่า ๒,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปใช้แทนเงินสดเป็นส่วนลดในการซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ที่ได้รับฉลากประสิทธิภาพสูง ๒.๓ ขอให้ผ่อนผันการชำระหนี้และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับประชาชนและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และขอให้ลดค่าไฟฟ้า น้ำประปา ๒.๔ ขอให้พิจารณาเร่งจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกรที่พืชผลทางการเกษตร พื้นที่ทำการเกษตรได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย กับให้มีมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ๒.๕ ขอให้สร้างคันกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ประสบอุทกภัย
|
||||||||||||||||||||||||
1653 | แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2555 - 2559 | ทส | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นกรอบและแนวทางในการจัดการมลพิษของประเทศไทยในอีก ๕ ปีข้างหน้า และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ลดและควบคุมการระบายมลพิษอันเนื่องมาจากชุมชนเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ยานพาหนะ และการคมนาคมขนส่ง โดยให้มีการจัดการมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง จนถึงปลายทาง และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การกำกับ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนให้แหล่งกำเนิดมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งดำเนินการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลแหล่งกำเนิดมลพิษและผลกระทบที่เกิดขึ้น ๑.๒ จัดการมลพิษในระบบพื้นที่ตามลำดับความสำคัญของปัญหา เช่น พื้นที่ลุ่มน้ำในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤต กลุ่มจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควันและไฟป่าเขตควบคุมมลพิษ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ พื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นต้น ๑.๓ สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงานจัดการน้ำเสีย ขยะมูลฝอย มูลฝอยติดเชื้อและของเสียอันตรายชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการจัดการขยะอันตรายและสารอันตรายอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจัดให้มีระบบป้องกันและเตรียมความพร้อมรองรับกรณีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติภัย และการคมนาคมขนส่งที่ก่อให้เกิดการรั่วไหลของสารเคมีหรือสารอันตรายต่าง ๆ ๑.๔ ประยุกต์ใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (Polluter Pays Principle, PPP) การวางหลักประกันและการชดเชยค่าเสียหายจากการแพร่กระจายมลพิษ การนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และสังคมเป็นแรงจูงใจทางบวกเพื่อส่งเสริมการลดมลพิษหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ปราศจากมลพิษ การสนับสนุนการผลิตและการบริการ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๑.๕ พัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษให้เกิดเป็นเอกภาพทั้งทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ แผน และแนวทางปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน โดยประสานความร่วมมือในการจัดการมลพิษทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ๑.๖ ส่งเสริมให้ภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และเข้ามาร่วมดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการจัดการมลพิษภายใต้แผนจัดการมลพิษบางแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนงานฯ อาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผนงานที่ได้ตั้งไว้ และเห็นควรเพิ่มประเด็นสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศทั้งในภาพรวมและรายภาคผลิตที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญและมีการติดตามสถานการณ์กันมากขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเชื่อมโยงกับการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันและมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นและแนวทางการจัดการมลพิษทางทัศนียภาพ หรือปัญหามลทัศน์ (Visual Pollution) ซึ่งมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาความเป็นเมืองซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ภูมิทัศน์เมืองขาดความสวยงามและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจนถึงระบบนิเวศน์ของพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเริ่มเก็บภาษีมลพิษหรือภาษีสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ก่อให้เกิดมลพิษ และใช้เป็นมาตรการในการเพิ่มรายรับของประเทศเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนในรูปของเงินช่วยเหลือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า แผนจัดการมลพิษควรดำเนินการจัดทำให้ครอบคลุมถึงการเตรียมการป้องกันก่อนเกิดเหตุ รวมทั้งการจัดการมลพิษบางประเภท เช่น หมอกควันและขยะมีพิษ เป็นต้น ควรต้องมีการประสานงานและขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหากับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า นอกเหนือจากแผนจัดการมลพิษดังกล่าวแล้ว ควรมีแผนจัดการมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติมด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาให้ครอบคลุมถึงมาตรการทางกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1654 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การมุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย" | สสป | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมุ่งเน้นอัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การค้นหา กำหนดอัตลักษณ์ การทำให้เป็นที่ประจักษ์ และการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้คงอยู่สืบไป ได้แก่ ๑.๑ กำหนดองค์ประกอบการในการค้นหาอัตลักษณ์พื้นถิ่นและกระบวนการที่ต้องดำเนินการให้มีความชัดเจน โดยร่วมค้นหาโดยเน้นบทบาทความร่วมมืออย่างมีส่วนร่วมจากในพื้นที่เป็นหลัก ร่วมกันกำหนดประเด็นหลักของอัตลักษณ์พื้นถิ่นนั้น ๆ ทั้งพื้นที่ เพื่อให้เป็นเป้าหมายหลักเดียวกัน ร่วมกันกำหนดแผน กิจกรรม งบประมาณ และผู้รับผิดชอบ โดยใช้ความร่วมมือจาก ๕ ภาคีในพื้นที่ และร่วมกันชำระอัตลักษณ์ และขึ้นทะเบียน ๑.๒ ระบุอัตลักษณ์ในด้านต่าง ๆ ของแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน โดยอัตลักษณ์พื้นฐานที่ต้องระบุและกำหนดให้เป็นอัตลักษณ์ประจำท้องถิ่นตน อาจจะถูกค้นหามาจาก ๕ หมวดย่อย เช่น อัตลักษณด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สถานภาพทางธรรมชาติ อัตลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ตำนาน การละเล่น ดนตรี อัตลักษณ์ด้านโบราณสถาน โบราณวัตถุ และสถาปัตยกรรม อัตลักษณ์ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและสิ่งประดิษฐ์ และอัตลักษณ์ด้านวิถีความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต การแต่งกาย การใช้ภาษา วิธีคิด การตกแต่งบ้านและลักษณะรูปแบบที่พักอาศัย เป็นต้น ๑.๓ การรักษา สืบทอดอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่นให้คงอยู่สืบไป โดยการแบ่งกลุ่มระดับในการพัฒนาอัตลักษณ์ให้ชัดเจนเพื่อกำหนดแผน รูปแบบในการพัฒนา ผู้รับผิดชอบ และงบประมาณ การให้บทบาทผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง ๕ ภาคีร่วมมือกันสืบทอดอัตลักษณ์พื้นที่ถิ่น การสร้างจิตสำนึก ความภูมิใจ โดยปลูกฝังความรู้ ความน่าชื่นชม น่าประทับใจ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์พื้นถิ่นในชุมชนทุกกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยในพื้นที่ การกำหนดเนื้อหาและความสำคัญของอัตลักษณ์พื้นถิ่นของพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ลงในหลักสูตรการศึกษา การสร้างบทบาทผู้สืบทอดอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้แก่กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ในชุมชน การจัดระดับผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาอัตลักษณ์พื้นถิ่น การสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักและจดจำ (Branding) รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และแผนที่อัตลักษณ์ไทยในพื้นถิ่นต่าง ๆ ๒. การใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้แก่ การส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์สินค้า ของที่ระลึกเกี่ยวกับอัตลักษณ์พื้นที่ที่มีลักษณะต่อยอด มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) การจัดแบ่งกลุ่มพื้นที่ (Zoning) เพื่อแสดงหรือสื่อถึงอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้ชัดเจน การสร้างความต่อเนื่องของกิจกรรมส่งเสริมอัตลักษณ์ให้สม่ำเสมอทุกปี โดยภาครัฐให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นในการสร้างกิจกรรมอันเป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนรับรองแล้ว การสร้างคุณค่ามาตรฐานอัตลักษณ์พื้นถิ่นสู่คุณค่าอัตลักษณ์ระดับมาตรฐานสากล การสร้างพันธมิตรและเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมือระหว่างทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทั้งในด้านธุรกิจ การค้าการลงทุน และสาธารณประโยชน์แก่สังคมหรือชุมชน รวมทั้งการมุ่งเน้นใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเวทีนานาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
1655 | มาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ | พน | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดเป้าหมายของมาตรการลดใช้พลังงานลงให้ได้อย่างน้อย ๑๐% ๑.๒ มาตรการระยะสั้น ๑.๒.๑ ให้ตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) “ระดับความสำเร็จของการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน” เป็นหนึ่งในกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการต่อไป โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๑ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้ผลการประหยัดพลังงานเป็นตัววัดประสิทธิภาพของปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงาน รวมถึงรัฐวิสาหกิจ องค์การปกครองท้องถิ่น หน่วยงานตุลาการ หน่วยงานรัฐสภา และโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมินผล ๑.๒.๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๒.๒ ลดการใช้พลังงานลงอย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ๑.๒.๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ ๑๐ โดยเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๒.๒ ถ้าหน่วยงานใดมีผลการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้น จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยไม่มีเหตุผลสมควร หน่วยงานนั้นต้องลดการใช้พลังงานลง ๑๕% จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒.๒.๓ ดำเนินการตามแนวทางประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ๑.๒.๒.๔ มาตรการลดใช้ไฟฟ้า ได้แก่ การจัดซื้ออุปกรณ์/เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดต้องเป็นอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การกำหนดเวลาเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ เช่น ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. และปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ ๒๕ - ๒๖ องศาเซลเซียส รวมถึงตั้งงบประมาณล้างเครื่องปรับอากาศเป็นประจำทุก ๖ เดือน โดยห้ามปรับเปลี่ยนงบประมาณไปใช้ในเรื่องอื่น และการกำหนดการใช้ลิฟต์ให้หยุดเฉพาะชั้น เช่น การหยุดเฉพาะชั้นคู่หรืออาจจะสลับให้มีการหยุดเฉพาะชั้นคี่ และปิดลิฟต์บางตัวในช่วงเวลาที่มีการใช้งานน้อย และรณรงค์ขึ้น - ลงชั้นเดียวไม่ใช้ลิฟต์ ๑.๒.๒.๕ มาตรการลดใช้น้ำมัน ได้แก่ ให้มีระบบ Car Pool : หน่วยราชการระดับกรมที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันให้จัดระบบการใช้รถแบบรวมศูนย์เพื่อให้มีการใช้รถอย่างประหยัดและประสิทธิภาพสูง กำชับพนักงานขับรถยนต์ให้ขับรถในอัตราความเร็วยานพาหนะที่พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนด รวมทั้งรถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทุกคันในจังหวัดที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่าย ต้องใช้ก๊าซโซฮอล์ และหากมี NGV จำหน่ายให้ติดตั้ง NGV ควบคู่ไปด้วย โดยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี NGV ให้เติม NGV และอยู่นอกพื้นที่ให้เติมก๊าซโซฮอล์ ๑.๓ มาตรการระยะยาว ๑.๓.๑ กำหนดให้ “อาคารของรัฐที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม” ก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประมาณ ๘๐๐ แห่ง เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไม่ให้เกิน “ค่ามาตรฐานการจัดการใช้พลังงาน” ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นตัวอย่างในการจัดการอาคารของเอกชนที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม ๑.๓.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดทำข้อกำหนดและเงื่อนไขเพื่อหน่วยงานราชการสามารถจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะใหม่มาใช้ทดแทนของเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ และสิ้นเปลืองพลังงาน รวมถึงการจัดการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะเดิม เพื่อมิให้มีการนำไปใช้ในที่อื่น โดยการจัดการนั้นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นถือปฏิบัติและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือภาคเอกชนในการประหยัดการใช้พลังงานด้วย ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ การลดการใช้พลังงานมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดความประหยัดเท่าที่จำเป็น โดยมิได้มุ่งที่จะตัดทอนรายการค่าใช้จ่ายโดยตรง ๒.๒ การใช้วิธีการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอายุใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ หรือชำรุดแทนวิธีการซ่อมบำรุงของเดิมอาจช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ๒.๓ กรณีหน่วยงานใดพบว่ามีอัตราการใช้พลังงาน (เช่น ค่าน้ำและค่าไฟฟ้า) เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นลำดับ ควรเร่งตรวจสอบอุปกรณ์และระบบสาธารณูปโภคของหน่วยงาน แล้วดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ โดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1656 | สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยาฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจาก กฟย. | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาทบทวนแผนงาน/โครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกเลิกไม่ดำเนินการโครงการที่มีความซ้ำซ้อน ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นภารกิจปกติของหน่วยงานในงานทางที่มีวงเงินสูงและเป็นลักษณะปรับปรุงขนาดใหญ่ จำนวน ๓,๘๘๖.๐๘๓๒ ล้านบาท ๒. โครงการที่เห็นควรนำไปเสนอเพื่อใช้เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๗,๘๔๔.๒๒๖๙ ล้านบาท ได้แก่ โครงการลักษณะก่อสร้างใหม่ หรือปรับปรุงให้มีสถานะดีขึ้น และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาลักษณะยั่งยืน ๓. โครงการที่เห็นควรใช้จากโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และสาธารณภัย วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ตั้งงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน ๑,๕๗๑.๔๗๕๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการที่ดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. โครงการที่ขอให้จังหวัดพิจารณาทบทวน วงเงิน ๕,๐๒๐.๐๔๒๒ ล้านบาท ได้แก่ งานด้านน้ำที่มีลักษณะดำเนินการเป็นจุด ๆ ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบายน้ำในภาพรวมของลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำย่อย และโครงการที่มีลักษณะดำเนินการในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
1657 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1658 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ๑.๑.๑ เห็นชอบโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการขุดลอกขุมน้ำเฉลิมพระเกียรติ และขุมน้ำราชภัฏพร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักการโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียบริเวณพื้นที่สามกอง เทศบาลนครภูเก็ต วงเงิน ๖๐ ล้านบาท โดยให้เทศบาลนครภูเก็ตบรรจุโครงการไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๑.๑.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียระยะที่ ๔ วงเงิน ๙๕ ล้านบาท โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมเร่งรัดพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ และโครงการก่อสร้างอาคารกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ วงเงิน ๖๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบโครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๕ ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ ๔๙.๖๘ ล้านบาท งบประมาณที่เหลือ จำนวน ๒๔.๖๘ ล้านบาท ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมทบงบประมาณดำเนินการ ๑.๑.๕ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และให้มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการแบบ One Stop Service ๑.๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต โดยจัดลำดับความสำคัญของจุดติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วรถยนต์ในพื้นที่ถนนหลัก จากเดิม ๖ จุด ลดเหลือ ๓ จุดที่สำคัญ และปรับลดวงเงินเหลือ ๑๗ ล้านบาท ๑.๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจร วงเงิน ๕,๕๕๖.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม และให้เทศบาลเมืองป่าตองหารือกับท้องถิ่นใกล้เคียงในการพิจารณากำหนดสัดส่วนเงินสมทบของท้องถิ่นในการลงทุนก่อสร้างอุโมงค์ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และการกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม ๑.๑.๘ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังใหม่ โดยให้คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนแม่บทตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๑.๙ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรถนนวิชิตสงคราม (ระยะที่ ๔) กม. ๑๑+๙๕๐ - กม. ๑๓+๓๐๐ และ กม. ๑๓+๗๔๕ - กม. ๑๔+๕๔๖ วงเงิน ๗๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการแก้ปัญหาจราจรในเมืองภูเก็ต โดยบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๑๐ เห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม โดยสนับสนุงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙.๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๑๑ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดภูเก็ตหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการการทำงานและจัดทำแผนแม่บท โดยมีรายละเอียดกิจกรรม งบประมาณและแผนบริหารจัดการโครงการที่ระบุหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานที่ชัดเจน ๑.๒ จังหวัดพังงา ๑.๒.๑ สนับสนุนงบประมาณโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา วงเงิน ๓๕ ล้านบาท โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และจัดทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงอันดามัน (Hub & Double Main Corridors) รวม ๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๑๐๗.๘๒ ล้านบาท โดยให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บรรจุโครงการไว้ในแผนแม่บทระยะ ๕ ปี และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางเพื่อเสนอขอรับการจัสรรงบประมาณประจำปี ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โดยเร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒.๔ เห็นชอบโครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ เห็นชอบโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ๑.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจและออกแบบเพื่อการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองกระบี่ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๑.๓.๒ เห็นชอบการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการสัญจรไปยังเกาะลันตา ส่วนการแก้ปัญหาโดยการขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตา เห็นควรให้เปลี่ยนจากการขุดลอกร่องน้ำ เป็นการขยายการก่อสร้างสะพานเพื่อให้แพขนานยนต์สามารถเข้าเทียบท่าได้ตลอดเวลา ๑.๓.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙๙.๓๔ ล้านบาท ๑.๓.๔ รับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับจังหวัดกระบี่ศึกษาโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ จังหวัดตรัง ๑.๔.๑ เห็นชอบโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖๔ ล้านบาท โดยทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังจัดทำแผนการบริหารท่าเรือและบำรุงรักษาในระยะยาว โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อไป ๑.๔.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมที่มีระบบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพิจารณาอุดหนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนการดำเนินการต่อไป ๑.๔.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดามัน โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ดังนี้ ๓.๑ จังหวัดภูเก็ต ๓.๑.๑ ให้แขวงการทางภูเก็ต สำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) จัดทำโครงการปรับปรุงเรขาคณิตของทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ (บริเวณโค้งคอเอน) เพิ่มเติม เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉลอง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกบำบัดรักษาโรงพยาบาลฉลอง วงเงิน ๑๐๒ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างอาคารบ้านพักแพทย์/พยาบาล เจ้าหน้าที่ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น รพ.สต.ฉลอง วงเงิน ๘๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการต่อไป ๓.๑.๓ เห็นชอบหลักการโครงการของโรงพยาบาลถลาง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และโครงการก่อสร้างแฟลตพยาบาล ๗ ชั้น ๘๐ ยูนิต วเงิน ๖๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
1659 | การเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาการเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และเห็นว่า หากมีร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยทั่วไป ให้ส่วนราชการผู้รับผิดชอบหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้พิจารณาถึงความสอดคล้องกับแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1660 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2555 | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่มีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ กพต. ตามที่ประธาน กพต. เสนอ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนงาน โครงการต่าง ๆ ควรมีระบบประสานการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน ศาสนา และวัฒนธรรมของท้องถิ่น ตลอดจนประหยัดงบประมาณภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ และประกาศคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าด้วยอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องจาก กพต. ได้ออกระเบียบและประกาศดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว จึงรับทราบผลการประชุม กพต. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ในเรื่องดังกล่าว ๓. ให้ กพต. รับข้อสังเกตของผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรนำเนื้อหาของประกาศฯ ที่กำหนดอัตราค่าช่วยเหลือเยียวยาฯ มากำหนดไว้ในระเบียบฯ ส่วนการกำหนดคำนิยามคำว่า “ผู้ได้รับความเสียหาย” ที่กำหนดให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจาก “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” เท่ากับเป็นการยอมรับว่าในการบังคับใช้กฎหมาย รัฐยอมรับว่ามีการบังคับใช้กฎหมายที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายจริง ซึ่งในทางปฏิบัติอาจมีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจริงก็ได้ แต่ในการเขียนกฎหมายอาจไม่จำเป็นต้องระบุกรณีนี้ไว้ให้ชัดเจน เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจอยู่แล้ว รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และวันใช้บังคับของระเบียบฯ ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับรูปแบบและแนวทางที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ๔. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบฯ และประกาศฯ ให้ กพต. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
.....