ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 34 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 661 - 680 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 661 | ความคืบหน้าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตาม การช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัย | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) โดยที่ประชุม คชอ. ได้มีการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติจากสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ในประเด็นสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ข้อมูล ณ วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ มีข้อมูลจำนวนครัวเรือนที่จังหวัดต่าง ๆ ได้ส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผ่านการตรวจสอบความถูกต้องแล้ว จำนวนประมาณ ๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน คาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยได้ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ๑.๒ ความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังจากเหตุอุทกภัย ดินโคลนถล่ม วาตภัย และคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ ได้ดำเนินการสร้างบ้านให้แก่ผู้ประสบภัยในชุดแรก จำนวนทั้งสิ้น ๒๓๕ หลัง ประกอบด้วย จังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๙ หลัง สุราษฎร์ธานี ๗๐ หลัง กระบี่ ๑๑๙ หลัง ตรัง ๒๒ หลัง และสงขลา ๕ หลัง โดยเป็นการสร้างในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ทุกราย เริ่มก่อสร้างในวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ โดยใช้แบบบ้านของมูลนิธิซิเมนต์ไทย ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างประมาณ ๕๓ ล้านบาท โดยใช้เงินกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ๑.๓ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายจากดินถล่มและการพัฒนาที่ดินสำหรับการเกษตรในระยะต่อไป ที่ประชุม คชอ. มีมติให้ทุกจังหวัดที่ประสบภัย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจพื้นที่ที่ประสบภัยว่ามีจำนวนเท่าใด และจำแนกพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิเท่าใด และเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานเท่าใด และส่งข้อมูลให้ คชอ. ภายในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการสร้างบ้านต่อไป สำหรับพืชหลักในพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัย ได้แก่ ปาล์ม ยางพารา และไม้ผล ให้กรมพัฒนาที่ดินประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการในบางส่วนก่อน ๑.๔ การแก้ไขปัญหาขยะ และสิ่งแวดล้อม ภายหลังอุทกภัยและดินถล่ม เนื่องจากปัญหาระบบบำบัดน้ำเสียและระบบกำจัดขยะต้องรอระดับน้ำลดลงสู่ภาวะปกติ จึงจะสามารถเข้าตรวจสอบความเสียหายและประมาณการค่าเสียหายได้ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้งบประมาณของตนเองในการซ่อมแซมไปก่อน แต่หากงบประมาณไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทย ๑.๕ การขออนุมัติวงเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๗๑๑,๘๒๒,๗๐๐ บาท เพื่อดำเนินการตามแผนงานซ่อมแซมและฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ในส่วนของฝาย อาคารบังคับน้ำ พนังกั้นน้ำ สถานีสูบน้ำ คลองส่งน้ำ และคันคลองที่ชำรุด ที่ประชุม คชอ. มีมติให้กรมชลประทานประสานในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในเรื่องของเงินเหลือจ่ายก่อน รวมทั้งให้กรมชลประทานและฝ่ายเลขานุการ คชอ. ประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเกี่ยวกับโครงการด้านชลประทานที่ได้รับความเสียหายซึ่งได้ถ่ายโอนให้ อปท. และต้องใช้งบประมาณเทคนิคในการซ่อมแซมฟื้นฟูจำนวนมากเกินกำลังความสามารถของ อปท. โดยให้กรมชลประทานเข้าดำเนินการแทน อปท. ได้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ๑.๖ ความคืบหน้าการฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมระยะเร่งด่วน ที่ประชุม คชอ. ได้มีมติให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำรายละเอียดเส้นทางคมนาคมที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูเสนอให้พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๑.๗ การให้ความช่วยเหลือด้วยการให้วงเงินสินเชื่อผู้ประกอบการ การประกันสังคม และการประกันภัย ที่ประชุม คชอ. ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ หอการค้าไทย ได้แก่ การให้รัฐบาลสนับสนุนเงินกู้เฉพาะกิจเพื่อฟื้นฟูสำหรับภาคธุรกิจผ่านธนาคารของรัฐโดยงดเว้นการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน การเร่งรัดให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้ประสบภัยภายใน ๑ เดือน การปล่อยเงินกู้กับผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงานจากกองทุนประกันสังคม การจัดสรรเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรรายย่อยในกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตซืน้ำที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน การงดเว้นการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ภาษีป้าย เป็นต้น รวมทั้งการเก็บกู้และการกำจัดซากขยะอินทรีย์บริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒. ส่วนผู้ประสบภัย จำนวน ๕๙๙ ราย ที่มีปัญหาอุปสรรคในเรื่องที่ดินเดิมของผู้ประสบภัยเป็นพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรืออยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ และยังไม่มีข้อยุติในเรื่องที่ดิน ทำให้การสร้างบ้านให้แก่ผู้ประสบภัยยังไม่สามารถดำเนินการได้ นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ดินดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 662 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 เรื่อง ขออนุมัติจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และอนุมัติเงินทุนจดทะเบียนในการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อให้บริการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และขอรับจัดสรรเงินกู้จำนวน 1,860 ล้านบาท เพื่อมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด | คค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. เห็นชอบการจัดสรรเงินกู้ จำนวน ๑,๘๖๐ ล้านบาท ให้แก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัทฯ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินการโครงการ Airport Rail Link โดยให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นในการกู้เงินแทนบริษัทฯ ทั้งนี้ ให้รัฐบาล (กระทรวงการคลัง) เข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ ตามภาระการชดเชยที่สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการกู้เงินในแต่ละปีทันที ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ส่วนข้อเสนอการแปลงหนี้สินที่มีอยู่กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จำนวน ๗,๐๓๕ ล้านบาท ให้เป็นทุนของบริษัทฯ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ ร.ฟ.ท. และบริษัทฯ ร่วมกันหารือเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการรับภาระการลงทุนของโครงการ Airport Rail Link ทั้งในส่วนโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเดินรถให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนเฉพาะในส่วนโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ Airport Rail Link และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงคมนาคม ร.ฟ.ท. และบริษัทฯ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการให้บริการและให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของพื้นที่ในบริเวณสถานีและการส่งเสริมการขายบัตรโดยสารในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงให้มีข้อตกลงร่วมระหว่างบริษัทฯ ร.ฟ.ท. และกระทรวงการคลัง ในกรณีที่บริษัทฯ มีฐานะการเงินดีขึ้นและมีเงินสดปลายงวดคงเหลือในกิจการเพียงพอ จะต้องนำเงินสดดังกล่าวมาชำระหนี้สินที่มีอยู่ให้แก่ ร.ฟ.ท. และหนี้ที่จะเกิดขึ้นจากการกู้เงินของกระทรวงการคลังในครั้งนี้เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับแผนการใช้ประโยชน์จากขบวนรถ Express Line ไปเสริมขบวนรถ City Line เพื่อให้การบริหารจัดการเดินรถที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้บริษัทฯ หาพันธมิตรร่วมทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า การดำเนินโครงการเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรถไฟ ภาครัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น ส่วนการบำรุงรักษา (maintenance) โครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวรวมทั้งระบบรางเป็นความรับผิดชอบของ ร.ฟ.ท. และบริษัทที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 663 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย - อิหร่าน ครั้งที่ 8 | กต | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย - อิหร่าน ครั้งที่ ๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ กรุงเทพมหานคร ไปพิจารณาดำเนินการตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามกรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อไป สำหรับผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นพ้องให้หน่วยงานภาครัฐของทั้งสองฝ่ายควรส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุม สัมมนา และการจัดนิทรรศการด้านการค้าการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ รวมทั้งสินค้าประเภทสินค้าก่อสร้าง อัญมณี เครื่องประดับ อะไหล่ยานยนต์ และอาหาร และเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อเป็นพื้นฐานในการเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ ในการนี้ฝ่ายอิหร่านได้แสดงความพร้อมที่จะส่งออกน้ำมันดิบ CNG NGV และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมายังไทย และประสงค์ที่จะริเริ่มความร่วมมือด้านการประกันภัย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าควรเร่งรัดเพื่อให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการไปรษณีย์ โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเร็ว ๒. ที่ประชุมได้เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากทั้งสองประเทศ โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมโรงแรม ส่วนฝ่ายอิหร่านได้ชักชวนให้ไทยไปลงทุนด้านการท่องเที่ยวในอิหร่านเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งตอบรับข้อเสนอของไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอิหร่าน และการจัดโครงการ Road Show และ Familiarization Trip ๓. ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือด้านการศึกษาผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกระทรวงศึกษาธิการของทั้งสองประเทศ โดยฝ่ายไทยได้เสนอให้มีความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและอิหร่านในสาขาศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือเพื่อให้บันทึกความเข้าใจระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและมหาวิทยาลัยอิหร่านที่มีอยู่มีผลเป็นรูปธรรม ๔. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนการเยือนของสื่อมวลชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยฝ่ายอิหร่านเสนอให้มีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชนตามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และ The Islamic Republic of Iran Broadcasting (IRIB) ๕. ที่ประชุมเห็นพ้องให้มีการกระชับความร่วมมือด้านวิชาการโดยเฉพาะการประมง และการพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยฝ่ายไทยได้เสนอประเด็นความร่วมมือใหม่ในสาขาธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี การพัฒนาที่ดิน และการจัดการน้ำ โดยเน้นการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ การฝึกอบรมทางวิชาการ และการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงาน ๖. ที่ประชุมเห็นพ้องให้มีการเร่งรัดการพิจารณาและดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจที่สำคัญ ได้แก่ ความตกลงทางการค้า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการกำหนดมาตรฐานระบบการวัดและชั่งน้ำหนัก การฝึกอบรม การให้บริการห้องทดสอบ และการออกใบรับรองมาตรฐาน ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน บันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านศุลกากร แผนปฏิบัติการโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมไทย - อิหร่าน และความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับอิหร่าน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 664 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2553 | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อ (ร่าง) กรอบแนวคิดและทิศทางของแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำประเด็นยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ภายใต้ (ร่าง) กรอบแนวคิดฯ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ๒. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ ตามที่คณะอนุกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมด้านมลทัศน์เสนอ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดทำแผนปฏิบัติการในการจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแปลงยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๓. เห็นชอบการทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าเพิ่มเติม และกลไกการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. ตรวจสอบการกำหนดประเภทและขนาดโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำนว ๓๔ ประเภท ก่อนนำความเห็นของคณะกรรมการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน เกี่ยวกับการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณรอบรัฐสภาแห่งใหม่ และให้กรุงเทพมหานครประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการออกประกาศกระทรวงหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นในการควบคุมความสูงของอาคารบริเวณโดยรอบรัฐสภาแห่งใหม่เป็นการเร่งด่วน รวมทั้งให้ สผ. ประสานกรุงเทพมหานครและกรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นและมติของคณะกรรมการฯ ๕. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ .. (พ.ศ. ๒๕๕๓) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ สผ. จัดทำร่างประกาศฯ เสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ๖. เห็นชอบต่อมาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหามลพิษในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนเรื่องน้ำมัน Euro 4 ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาส่งเสริมให้มีการนำมาใช้ในพื้นที่มาบตาพุดก่อนกำหนดที่บังคับใช้ตามกฎหมาย (วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕) และให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานและพลังงานจังหวัดระยอง และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มเติมฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบทุก ๖ เดือน รวมทั้งให้ สผ. แจ้งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สผ. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป ๗. เห็นชอบรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยรี จังหวัดอุตรดิตถ์ และให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาทบทวนรายงานการวิเคราะห์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กรมชลประทานรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ๘. เห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๔ สายตรัง - พัทลุง ตอน บ้านนาโยงเหนือ - เขาพับผ้า (บ้านนาวง) ของกรมทางหลวง ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน โดยให้กรมทางหลวงถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามมาตรการฯ เพิ่มเติมใน ๓ มาตรการ ได้แก่ การตัดต้นไม้ในเขตทางให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น โดยไม่ให้ตัดต้นไม้นอกเขตพื้นผิวจราจรที่จะก่อสร้าง กำกับดูแลในระหว่างจัดเตรียมพื้นที่และการก่อสร้างมิให้ขุดตักดินในเขตทางและบริเวณใกล้เคียงมาใช้ในการก่อสร้างและให้คงสภาพตามลักษณะภูมิประเทศเดิม และกำกับผู้รับจ้างออกแบบก่อสร้าง และ/หรือผู้ดำเนินการก่อสร้างให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด และให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลโครงการด้วย ๙. เห็นชอบรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. แจ้งจังหวัดกระบี่และจังหวัดพังงาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูนเพื่อทำปูนขาว และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท สหศิลาเพิ่มพูน จำกัด คำขอประทานบัตรที่ ๑๕/๒๕๕๑ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๙ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ทั้งนี้ ให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ของบริษัทฯ โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 665 | ขอความเห็นชอบกรอบการจัดทำแผนปฏิบัติการบูรณาการเร่งรัดการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ปีงบประมาณ 2555 และภารกิจการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ของหน่วยงาน | สธ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของกรอบการจัดทำแผนปฏิบัติการบูรณาการเร่งรัดการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจัดการปัญหาเอดส์แห่งชาติ (ศบ.จอ.) ได้จัดทำกรอบการจัดทำแผนปฏิบัติการบูรณาการเร่งรัดฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยพิจารณาจากแผนปฏิบัติการเร่งรัดฯ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีมาตรการเร่งรัดบูรณาการการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ รวมทั้งภารกิจการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตามบทบาทและภารกิจของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ควรใช้กลไกในการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการในการติดตามประเมินผล โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการบูรณาการเร่งรัดฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับมาตรการและแนวทางการดำเนินงานในกลุ่มประชากรที่เปราะบางต่อการรับและถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี ควรครอบคลุมกลุ่มแม่บ้านที่ติดเชื้อเอชไอวีจากสามีด้วย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และควรมีมาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยในทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง โดยจัดให้มีงบประมาณและการตลาดเชิงสังคมเพื่อให้มีการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้น รวมทั้งปรับปรุงระบบการกระจายถุงยางอนามัยเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการดำเนินงานด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีควบคู่กับการรักษาพยาบาลและการจัดสวัสดิการให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาจัดทำโครงการนำร่องตามข้อเสนอของสำนักงานโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) โดยให้พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ที่เหมาะสม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาว่า การประกาศนโยบายเกี่ยวกับผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดใช้เข็มและอุปกรณ์การฉีดยาที่สะอาดจะสามารถกระทำได้ตามกฎหมาย หรือไม่ เพียงใด |
|||||||||||||||||||||||||||
| 666 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอเรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำ ตามมติคณะรัฐมนตรี ไว้ก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคายางมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งมีแนวทางจัดสรรเงินกองทุนพัฒนายางพาราจากการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ (cess) เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางทั้งด้านวิชาการ การวิจัย การเงิน การผลิต การแปรรูป การตลาด และการรักษาเสถียรภาพราคายาง รวมถึงกิจการอื่นที่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างครบวงจร โดยมิจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 667 | มาตรการเร่งรัดการดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพิ่มเติม | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพิ่มเติม โดยให้หน่วยงานตามกรณีที่ ๑ “หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่เป็นโครงการปีเดียว และลงนามในสัญญาได้ภายในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สำหรับโครงการที่มีสัญญาเกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาและให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโดยเร็วตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา” ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินได้ทันภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้หน่วยงานสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินได้ต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของโครงการ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโดยเร็ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 668 | ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2553 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในอนาคต สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๑ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ การดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน มีความก้าวหน้าของงานคิดเป็นร้อยละ ๙๗.๔๒ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑ (การก่อสร้างโครงสร้างยกระดับส่วนตะวันออก) สัญญาที่ ๒ (การก่อสร้างโครงสร้างยกระดับส่วนตะวันตก) และสัญญาที่ ๓ (การก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอาคารจอดแล้วจร) มีความก้าวหน้ารวม ร้อยละ ๗.๓๑ ส่วนสัญญาที่ ๖ งานระบบราง อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อการประกวดราคา สำหรับการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ให้สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในช่วงบางใหญ่ - เตาปูน ๑ ราย ส่วนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน ช่วงเตาปูน - บางซื่อ เห็นชอบให้ รฟม. ดำเนินการศึกษาให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ ๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ การดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน มีความก้าวหน้าของงานคิดเป็นร้อยละ ๑๔.๖๒ และได้คัดเลือกผู้รับเหมางานโยธา (สัญญาที่ ๑ - ๕) แล้วเสร็จ ๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิด - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ การสำรวจและประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๑.๒๖ ส่วนช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ อยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อว่าจ้างสำรวจและประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ ๑.๒ ด้านการเงินและการลงทุน ได้มีการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการจ่ายค่าจ้างผู้รับเหมาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ ด้วยวิธีการทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้า โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และได้ศึกษาแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของการคืนเงินกู้ (เงินเยน) สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ในลักษณะของการนำเงินกู้ (เงินเยน) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ มาจ่ายคืนเงินกู้ และหาเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารความเสี่ยงอื่นๆ ๑.๓ ด้านการให้บริการ ได้ปรับปรุงการให้บริการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การจัดให้มีพื้นที่จอดแล้วจรเพิ่มในเขตทางพิเศษศรีรัช (ด่านอโศก ๑) การพัฒนาและจัดให้มีระบบขนส่งต่อเนื่อง (Feeder Systems) และการประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อปรับปรุงพื้นที่ทางเดินเชื่อมต่อระหว่างสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมต่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของ รฟท. กับสถานีรถไฟฟ้าเพชรบุรี โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ๑.๔ ด้านการบริหารจัดการองค์กรและพัฒนาทรัพยากรบุคคล อาทิ การจัดทำฐานข้อมูลรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การพัฒนาระบบสารสนเทศตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีจากที่ปรึกษา ผู้รับเหมา และผู้รับจ้างต่าง ๆ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ เป็นต้น ๒. นโยบายของคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย อาทิ ๒.๑ เร่งดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นไปตามแผน ๒.๒ ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยคำนึงถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๓ สร้างมูลค่าเพิ่มจากระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนโดยบริหารสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจต่อเนื่องอื่น ๒.๔ บริหารจัดการองค์กรและธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มผลิตภาพขององค์กร ๒.๕ สนับสนุนการประสานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกับระบบขนส่งอื่น ๆ เพื่อให้มีการขนส่งต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดให้มีระบบตั๋วร่วม ๓. โครงการและแผนงานในอนาคต รฟม. มีโครงการหลักสำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๖ โครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 669 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2553 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กนร. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธาน กนร. เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. รับทราบงบประมาณการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณามูลค่าการลงทุนที่รัฐวิสาหกิจสามารถประหยัดงบประมาณลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และศึกษาผลประโยชน์ที่ประชาชนและภาคการผลิตจะได้รับการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และให้รัฐวิสาหกิจปรับลดงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงโครงการลงทุนที่มีรายการ Import Content แฝงอยู่เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และรายงาน กนร. พิจารณาในคราวประชุมครั้งต่อไป ๒. รับทราบการติดตามความคืบหน้าโครงการให้เอกชนเข้าร่วมงานในกิจการท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณาความเหมาะสมของอัตรา Discount Rate ที่นำมาคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) และตรวจสอบความสอดคล้องของการขอขยายระยะเวลาก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (ท่าเทียบเรือ D1 D2 และ D3) กับปริมาณ Excess Capacity ที่เหลืออยู่ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พิจารณาแนวทางกำหนดราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรมต่อการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเอกชนในท่าเรือแหลมฉบัง และศึกษาการขยายท่าเรือแหลมฉบังให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพเพื่อนำไปสู่การสร้างศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ของท่าเรือกรุงเทพในอนาคต ตลอดจนนำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนาท่าเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ให้ กนร. พิจารณาต่อไป ๓. รับทราบการติดตามความคืบหน้าการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกพื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑ ให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. จัดประเภทของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับวิธีการดำเนินธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนมีแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งติดตามและตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของหน่วยงานทั้ง ๒ แห่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการเคหะแห่งชาติพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาทางการเงิน แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณา โดยกรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ให้ศึกษาเปรียบเทียบมูลค่าความเสียหายระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จกับการยกเลิกสัญญาที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทันที โดยคำนึงถึงทำเลที่ตั้งและความต้องการของตลาดประกอบการพิจารณา ส่วนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบทางการเงินที่เกิดขึ้นระหว่างการจำหน่ายให้เอกชนทั้งโครงการภายใน ๑ ปี กับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง สำหรับโครงการที่เป็นสินทรัพย์ระงับการพัฒนา ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลประกอบการทางการเงินในการให้เอกชนเป็นผู้พัฒนาโครงการทั้งหมดกับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง และให้พิจารณาแนวทางการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเฉพาะเช่นเดียวกับกรณีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company) เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเอื้ออาทร ๔. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๕๑.๑๕๙ ล้านบาท และข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่ให้มีการปรับปรุงวงเงินอุดหนุนในขั้นตอนของการจัดทำบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับเงินอุดหนุนของภาครัฐในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (โครงการรถเมล์ฟรี) ๕. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๓๘๒.๕๓๑ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เร่งดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของ รฟท. และแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รวมทั้งพิจารณาเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการติดตามการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม และให้คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ รฟท. ดำเนินการกำกับดูแลการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้ กนร. ทราบเป็นระยะ ๆ ๗. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูป ขสมก. เพื่อทำหน้าที่พิจารณาปฏิรูป ขสมก. และความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพในภาพรวมในอนาคต ตลอดจนรูปแบบการดำเนินการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิง จำนวน ๔,๐๐๐ คัน ของ ขสมก. ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 670 | การจัดทำรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ | กต | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำและนำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council-HRC) ภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) ในการประชุมคณะทำงาน UPR (Working Group on UPR) สมัยที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๓ - ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา รวมทั้งประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนของไทยที่อยู่ในความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศ และอาจถูกซักถามโดยสมาชิก HRC รวม ๑๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าในการสอบสวนกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงในไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ (๒) กรณีการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ โดยเฉพาะคดีของนายสมชาย นีละไพจิตร (๓) กรณีการซ้อมทรมาน โดยเฉพาะคดีของนายยะผา กาเซ็ง (๔) กรณีปัญหาความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดต่อครูและเด็กนักเรียน (๕) กรณีการเสียชีวิตของชาวมุสลิมในเหตุการณ์ยิงมัสยิดอัลฟูรกัน และกรณีกรือเซะ/ตากใบ (๖) โทษประหารชีวิต (๗) การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยบังคับ (๘) การศึกษาความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานและครอบครัว (๙) การถอนข้อสงวนต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนฉบับต่าง ๆ (๑๐) การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘ (๑๑) การปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าว (๑๒) กรณีฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด (๑๓) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการชุมนุม (๑๔) การประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๑๕) การปฏิบัติต่อผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าและผู้ลักลอบเข้าเมือง ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการจัดทำข้อมูลและแต่งตั้งผู้แทนระดับสูงร่วมในคณะผู้แทนไทยเดินทางไปนครเจนีวา โดยใช้งบประมาณของต้นสังกัดเพื่อสนับสนุนการนำเสนอรายงานดังกล่าวอย่างเต็มที่ ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานสถานะล่าสุด รวมทั้งประเด็นปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ๑๕ ประเด็น โดยเฉพาะการเร่งรัดคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดลอยนวลรอดพ้นจากกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีทราบและพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๔ รวมทั้งให้จัดส่งข้อมูลให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการจัดทำรายงานฯ อีกทางหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขภาพลักษณ์เชิงลบด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของไทย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นควรสนับสนุนประเทศไทยในการแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์และผลักดันประเด็นสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีระหว่างประเทศต่อไป และในการจัดทำรายงานในส่วนของภาครัฐควรประสานข้อมูลกับภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้เนื้อหามีความแตกต่างกันมากเกินไป เนื่องจากองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรพัฒนาเอกชนจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาครัฐในการนำข้อเสนอแนะจากกระบวนการภายใต้กลไก UPR ไปปฏิบัติควบคู่กับข้อเสนอแนะจากกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 671 | สถานการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2553 และคาดการณ์แนวโน้ม ปี 2553 - 2554 | นร | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติราย
งานสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส ๓/๒๕๕๓ และคาดการณ์แนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๓ ขยายตัวร้อยละ ๖.๗ โดยมีแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลกและความมั่นใจของนักลงทุน ส่งผลให้ทั้งการส่งออก การลงทุน และการบริโภคของภาคเอกชนยัง คงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หากปรับปัจจัยฤดูกาลแล้ว เศรษฐกิจไทยหดตัวจากไตรมาสสองของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ร้อยละ ๐.๒ (% QoQ SA) เป็นการหดตัวเป็นสองไตรมาสติดต่อกัน และรวม ๙ เดือนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เศรษฐกิจไทยขยายตัวสูงถึงร้อยละ ๙.๓ ๒. แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ที่ ร้อยละ ๗.๙ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๓.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๔.๓ ของ GDP สำหรับแนว โน้มภาวะเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๕ ชะลอตัวจากร้อยละ ๗.๙ ใน ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๓.๓ ของ G DP ทั้งนี้ แนวทางการบริหารเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ การเร่งฟื้นฟูผลกระทบจากอุทกภัยในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ทั้งด้านการชดเชยรายได้เกษตรกร และระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านราคาสินค้าที่มี แนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากความเสียหายจากอุทกภัย และต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น การส่งเสริม และจูงใจให้ภาคธุรกิจส่งออกใช้เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ การเร่ง แก้ปัญหาและบริหารจัดการแรงงานทั้งในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม และแรงงานที่ขาดแคลนในภาค อุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการตามแผนการปรองดองอย่างเป็นรูปธรรม การรักษาภาพ ลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 672 | โครงการเร่งรัดขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ | มท | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเร่งรัดขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยให้การไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (กฟภ. ) ดำเนินการโครงการฯ สำหรับครัวเรือนที่มีค่าใช้จ่ายในการปักเสาพาดสายไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน ซึ่งมีจำนวน ๙๑,๕๒๗ ครัวเรือน ในพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. (๗๓ จังหวัด) ทั่วประเทศ ระยะ เวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๔๕ ล้านบาท (โดยมีที่มาจากเงินกู้ในประเทศ ๑,๕๓๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. ๕๑๕ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวง มหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรม การกำกับกิจการพลังงาน และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนเพื่อให้ประชาชนสามารถ บำรุงรักษาอุปกรณ์ด้วยตนเองและช่วยเหลืออายุการใช้งานของอุปกรณ์ดังกล่าว และดำเนินการประเมินผลการ ดำเนินงานโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ ๓ โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ ๓ เพิ่มเติม และโครงการเร่งรัดขยายเขตไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ภายหลังจากดำเนินโครงการแล้ว เสร็จ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการดำเนินโครงการลงทุนขยายเขตระบบไฟฟ้าให้กับครัวเรือนในชนบทใน อนาคต นอกจากนี้ เห็นควรไม่ต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ตาม มาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ เนื่องจากโครงการฯ จะดำเนินการ ขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าไปตามแนวเขตถนนของกรมทางหลวงชนบทที่มีอยู่เดิม และจะไม่ดำเนินการในเขต พื้นที่หวงห้าม พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ พื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือเขตพื้นที่ป่าอื่น ๆ และโดยที่ กฟภ. มีโครงการจำนวนมาก ที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กฟภ. จึงควรวางแผนทางการเงินให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อไม่ก่อให้ เกิดภาระงบประมาณ ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมและกระทรวงพลังงานเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้และมีต้น ทุนขยายเขตด้วยวิธีการปักเสาพาดสายเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน จำนวน ๓๙,๐๒๙ ครัวเรือน ต่อไป ด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปตรวจสอบและประเมินผลการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เหมาะ สมในแต่ละพื้นที่ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 673 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 8/2553) | นร | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๘/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบเรื่องต่าง ๆ อาทิ รายงานสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัย ผลการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุอุทกภัย “ฟื้นไทยด้วยใจ ไทยทั้งชาติ” จังหวัดสระบุรี และลพบุรี แผนปฏิบัติการฟื้นฟูผู้ประสบภัยหลังน้ำลดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แนวทางการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะเร่งด่วน และโครงการบูรณาการการเรียนการสอนทักษะอาชีพและเสริมสร้างจิตอาสาร่วมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านกิจกรรมอาชีวะร่วมด้วยช่วยประชาชนและศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เป็นต้น และได้มีมติดังนี้
๑. ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดแนวทางเพื่อป้องกันความเสียหายจากการทุจริตกับมาตรการที่รัฐบาลจัดไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีโจทย์ว่า จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐในรูปแบบต่าง ๆ มีช่องทางหรือรูปแบบในการทุจริตอย่างไรบ้าง ควรจะมีแนวทางป้องกันอย่างไร หากมีเหตุร้องเรียนจะมอบหมายให้หน่วยงานใดรับผิดชอบเป็นการเฉพาะหรือไม่ โดยให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป เพื่อทุกส่วนราชการถือปฏิบัติ ๒. ให้คณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยที่จะมีการพิจารณาแต่งตั้งขึ้น แบ่งพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการประสานข้อมูลระหว่างอำเภอ/จังหวัด กับผู้บริจาค เพื่อที่จะได้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์ลงไปในพื้นที่โดยตรง ๓. ให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย จำนวน ๓ คณะ ประกอบด้วย คณะที่ ๑ นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ ๒ นายปราโมช รัฐวินิจ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง และคณะที่ ๓ พลตำรวจโท อุดม ชัยมงคลรัตน์ ผู้บัญชาการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานอนุกรรมการ รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ ยกเว้นจังหวัดสงขลา และ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ได้รับไปดำเนินการ ๔. เห็นชอบให้หน่วยงานต่าง ๆ รับความเห็นของประธาน คชอ. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๔.๑ ให้ธนาคารออมสินเร่งระดมเจ้าหน้าที่เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๔.๒ ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ ๔.๓ ให้กรมประชาสัมพันธ์สั่งการให้สำนักประชาสัมพันธ์เขตพื้นที่และประชาสัมพันธ์จังหวัดดำเนินการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากสื่อท้องถิ่นช่วยประชาสัมพันธ์กำหนดการจ่ายเงินให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลด้วย ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเป้าหมายดำเนินการจัดทำข้าวสารบรรจุถุงเพื่อแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัยให้สอดคล้องกับข้อมูลจำนวนผู้ประสบภัยที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สำรวจจริง รวมทั้งข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการบรรจุและขนส่ง แล้วจึงเสนอให้ คชอ. พิจารณาอีกครั้ง ๖. รับทราบข้อเสนอของกองทัพบกเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อนำไปประกอบพิจารณาในการจัดทำข้อเสนอแผนระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานอื่น ๆ เห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้ออุปกรณ์ใด ๆ เพิ่มเติม ขอให้เสนอเรื่องให้ คชอ. พิจารณาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำข้อเสนอแผนระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคตต่อไป ๗. การกำหนดนโยบายและแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยหนาว คชอ. พิจารณาเห็นว่า ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวมีประเด็นหลักอยู่ที่การบูรณาการการแจกจ่ายความช่วยเหลือให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานคล่องตัว จึงควรจะเป็นการประชุมหารือกลุ่มเล็กเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจรวมถึงภาคเอกชนด้วย และจะได้นัดหมายการประชุมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 674 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบ ประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัย วงเงิน ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท ของคณะกรรมการกลั่น กรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (คณะกรรมการฯ) ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาทรัพยากรน้ำและ การเกษตร สาขาสวัสดิภาพประชาชน จำนวน ๘ โครงการ วงเงินรวม ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรร วงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐ กิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้หน่วยงานทบทวนรายละเอียดโครงการตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ๑.๔ เห็นชอบหลักเกณฑ์การใช้เงินเหลือจ่ายวงเงิน ๒,๓๘๓.๘๒ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ แล้ว มาใช้สนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยโดยให้แจ้งยืนยัน ผลการทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมี มติ ๑.๕ อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อน มีการผูกพันสัญญาโครงการสำหรับโครงการมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย โดย กระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๑.๖ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการให้แก่หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้น ฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามมาตรการเร่งรัดการ ดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็น ควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับ โครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และอาคารเรียน) ให้ขยายเวลาลงนาม ในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด โดยหากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครง การได้ทัน เห็นควรยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ๑.๗ รับทราบและอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติ งานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วยังคงยืนยันความจำเป็นในการดำเนินโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนและปรับแผนการดำเนินงานของโครงการใด ๆ ที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาเพื่อใช้ในการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นการทดแทน โดยให้แจ้ง ข้อมูลการพิจารณาทบทวนฯ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วัน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 675 | ร่างปฏิญญาฮานอยว่าด้วยการเสริมสร้างสวัสดิการและการพัฒนาของสตรีและเด็กอาเซียน | พม | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาฮานอยว่าด้วยการเสริมสร้างสวัสดิการและการพัฒนาของสตรีและเด็กอาเซียน (Draft Hanoi Declaration on the Enhancement of Welfare and Development of ASEAN Women and Children) เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ ที่กำหนดประชุมในช่วงปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้การรับรองต่อไป โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อคุ้มครองเด็กและสตรี รวมทั้งการเร่งรัดให้มีการจัดตั้งกลไกต่าง ๆ อาทิ ระบบการจัดการความรู้ในระดับภูมิภาคสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลและการปฏิบัติที่ดี เครือข่ายอาเซียนเพื่อการพัฒนาครอบครัวของเด็กในการสร้างประชาคมอาเซียน รวมถึง ASEAN Network Consortium เพื่อให้เป็นเครือข่ายสำหรับผู้ทำงานด้านการบริหารทางสังคมต่อสตรีและเด็ก ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 676 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไข
ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง มาตรการเร่งด่วนและมาตรการเสริมเพื่อ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ พิจารณาความเหมาะสมของข้อเสนอ มาตรการเร่งด่วน และมาตรการเสริมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม พลาสติกชีวภาพในประเทศไทยของ กกร. และนำผลการพิจารณากลับมาเสนอคณะกรรมการ กรอ. ภายใน ๒ เดือน ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและ สถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศ ตามที่ กกร. โดยสภาวิศวกรและสมาคมวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตย กรรม ๔ สมาคม (สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชู ปถัมภ์) เสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบ การอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่างประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรม การรับไปพิจารณามาตรการส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศทั้งระยะ สั้นและระยะยาว และรายงานที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป ๓. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรม กรอ. เรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบ ธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการ ค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่าง ประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรมการ รับไปพิจารณามาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุน การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยคำนึงถึงกฎระเบียบขององค์การการค้า โลกที่อาจจะเป็นข้อจำกัดของการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบภายใน ๓๐ วัน และรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ทราบต่อไป ๔. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การเร่งรัดออกกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ วรรคห้า ตามที่ กกร. เสนอ ๕. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าไทยเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดให้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อสรุปทาง นโยบาย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๖. รับทราบผลการเดินทางเยือนนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ของผู้แทนการค้าไทย (นาย วัชระ พรรณเชษฐ์) และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดการดำเนินมาตรการ Pre-clearance ตามข้อเสนอของประธานผู้แทนการค้าไทย ๗. รับทราบความคืบหน้าการความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง พาราของสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ ๘. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตาม ที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ๙. รับทราบผลการสัมมนาเรื่อง “Thailand’s Investment Environment : Looking Forward” ตามที่ กกร. ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศ เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 677 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 ตามที่รอง นายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ 2. ให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรนำเป้าหมายเชิงคุณภาพมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา ร่วมด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และเกิดประสิทธิผล อย่างแท้จริง รวมทั้งควรมีแนวทางเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการ ใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในท้องถิ่น ตามเป้าหมายที่กำหนด ไปพิจารณา ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 678 | การประชุมคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอำนวย การกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 รอบที่ 2 (ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2553) ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และรายงานสถานการณ์ และผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ณ วันที่ 16 กันยายน 2553 รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการแก้ไข ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2553 พิจารณาแล้วเห็นควรยึดหลักเกณฑ์ที่ กำหนดไว้เดิม โดยเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะเวลาดำเนินการโครงการ/กิจกรรมให้ดำเนินการแล้วเสร็จ ภายใน 6 เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเป็นการเร่งรัดการดำเนิน การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์ และวิธีการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบด้านการเกษตร โดยให้ ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย 1.2 อนุมัติงบประมาณที่หน่วยงานต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง จำนวน 1,439.4835 ล้านบาท จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และให้สำนักงบประมาณขอทำความตกลงกันเงินกับกรมบัญชีกลางไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีตามจำนวนดัง กล่าว เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งได้ต่อไป 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อ พิจารณาปรับปรุงประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวในทาง ปฏิบัติมากยิ่งขึ้น โดยระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ประกาศกำหนดไว้ว่า “ต้องไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันที่เกิดภัย” ควรขยายเป็น “ต้องไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันที่เกิดภัย”
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 679 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ในท้องที่จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำอ้อม อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำอ้อม อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 1.2 ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลกลัดหลวง และตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลกลัดหลวง และตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 1.3 ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านชวน อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบ้านชวน อำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 2. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติงานเพื่อเป็นการเร่งรัดขั้นตอนในการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจะจัดซื้อตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2552 ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาไปได้ก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 680 | การเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย | นร | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้รัฐมนตรีออกเยี่ยมเยียนและเร่งรัดการให้ความช่วย
เหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยให้ประสานการดำเนินการ กับกระทรวงมหาดไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
