ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 741 | การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (WORKSHOP) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลสู่ระดับรากหญ้า | นร | 21/10/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนด้าน
เศรษฐกิจของรัฐบาลสู่ระดับรากหญ้า ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายโอฬาร ไชยประวัติ) เสนอ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มผลผลิตภายใน และ ทำให้ประชาชนได้รับทราบว่ารัฐบาลได้คำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกระดับ 2. การประชุม ฯ มีการนำเสนอแผนการดำเนินงานเร่งด่วนของรัฐบาล 3 โครงการ ได้แก่ การเพิ่มศักย ภาพของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้มีการบริหารจัดการที่ดี การจัดสรรงบประมาณตามขนาดประชากรให้ทั่ว ถึงทุกหมู่บ้านและชุมชนอย่างมีความต่อเนื่อง และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ จากรัฐสภา เพื่อให้เกิดผลผลิตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคท้องถิ่น 3. ในการประชุม ฯ กราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม เพื่อมอบแนวทางการดำเนิน งานและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ทั้ง 3 โครงการเข้าร่วมประชุม 4. กำหนดให้มีการถ่ายทอดผ่านระบบ Video Conference ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทุก ท้องที่ และถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ NBT ให้ประชาชนและข้าราชการได้รับทราบแนวทางการขับเคลื่อนโครง การของรัฐบาล เพื่อเตรียมการรองรับการดำเนินงาน
|
||||||||||||||||||
| 742 | ผลการประชุมเรื่องมาตรการรองรับวิกฤตการเงินโลก | นร | 14/10/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่กี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายโอฬาร ไชยประวัติ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการป้องกันวิกฤตการเงินโลก ประกอบด้วย ๑) มาตรการตลาดทุน ๒) มาตรการดูแลสภาพคล่องทางการเงิน ๓) มาตรการเร่งรัดการส่งออกและการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ๔) มาตรการสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้ประชาชน โดยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด ๕) มาตรการเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และ ๖) มาตรการสร้างประชาชนการเงินเอเชีย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำรายละเอียดของแผนตามมาตรา ๖ ข้อ โดยให้รับความเห็นและข้อเสนอแนะของที่ประชุมเกี่ยวกับผลกระทบทางตรงจากการที่สถาบันการเงินไทยไปลงทุนในสถาบันการเงินต่างประเทศ สภาพคล่องทางการเงิน การเร่งรัดการส่งออก การเร่งรัดรายได้จากการท่องเที่ยว การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพ รวมทั้งการเร่งรัดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการจัดทำรายละเอียดของแผน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นเกี่ยวกับปัญหาการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินให้กับผู้ประกอบการและการเข้าถึงสินเชื่อของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยพิจารณาผ่อนปรนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการและผู้ประกอบการรายย่อย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายโอฬาร ไชยประวัติ) เป็นประธานคณะทำงานติดตามความกาวหน้าการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันวิกฤตการเงินโลก โดยมีรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
|
||||||||||||||||||
| 743 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 48 | กห | 16/09/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 48 (Minutes of the 48th General Border Committee Thailand-Malaysia) ระหว่างวันที่ 12-16 กรกฎาคม 2551 ณ กรุงเทพ ฯ สรุปได้ดังนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 48 รับทราบผลการปฏิบัติ ของคณะกรรมการระดับสูง (กรส.) ไทย-มาเลเซีย ตามงานมอบของที่ประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 47 ได้แก่ การดำเนินงานตามงานมอบจากการประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 46 การกำกับดูแลการดำเนินงานเพื่อความ มั่นคงตามแนวชายแดน สนับสนุน และส่งเสริมการทำงานของคณะทำงานต่าง ๆ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ และการส่งเสริมการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้รับความเห็นชอบ จากนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่ง ขึ้น และรับทราบผลการดำเนินงานที่คณะกรรมการระดับสูง ทั้ง 2 ฝ่ายเสนอ ได้แก่ ปัญหาค่าใช้จ่ายในการจัดทำ WORK PERMIT ของแรงงานไทยในมาเลเซีย การทำประกันภัยร่วมสำหรับรถยนต์ที่ผ่านเข้าออก ไทย-มาเลเซีย เรื่องบุคคลสองสัญชาติ เรื่อง ข้อตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนระหว่าง ไทย-มาเลเซีย และการอนุญาตใช้จด หมายอำนวยความสะดวก (FACILITY LETTER : FL) สำหรับการเดินทางเป็นคณะของข้าราชการไทยในการข้าม แดนไปประเทศมาเลเซีย รวมทั้งรับทราบงานที่มอบให้คณะกรรมการระดับสูงรับไปดำเนินการ ได้แก่ การดำเนิน การตามงานมอบจากการประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งก่อน ๆ การเร่งรัดการลงนามความตกลงเรื่องการผ่านแดน เพื่ออำนวยความสะดวกในการผ่านแดน และสอดคล้องกับความต้องการด้านความมั่นคง การอำนวยความสะดวก และเร่งรัดโครงการก่อสร้างตามแนวชายแดนเพื่อพัฒนาจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน รวมทั้งการส่งเสริมการใช้ ความร่วมมือชายแดนไทย-มาเลเซีย ในการแก้ปัญหาร่วมตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ให้ส่วนราช การที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 744 | การเร่งรัดติดตามการใช้เงินยืมของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 | กก | 26/08/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ส่งใช้เงินยืมโครงการสนับสนุนจาก การออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อการพัฒนากีฬาของชาติ จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อจะได้นำเงินดังกล่าวไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งโครงการ ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่น ดิน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ 2. ให้คณะกรรมการสาขาแผนงาน งบประมาณและการเงินดำเนินการปิดบัญชีค่าใช้จ่ายในการจัด การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) สาขางามวงศ์วาน และนำส่งเงินใน บัญชีทั้งจำนวนคืนให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทยด้วย |
||||||||||||||||||
| 745 | แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (จำนวน 4 ราย 1.นายวีรพงษ์ รามางกูรฯ) | นร | 05/08/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ
ของนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ดังนี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา นายณรงค์ชัย อัคร เศรณี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา นายคณิต แสงสุพรรณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาและเลขานุการ และนายปรเมธี วิมล ศิริ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะข้อคิดเห็นในการเร่งรัด ฟื้นฟูเศรษฐกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งด้านการเงินการคลัง สถาบันการเงินและ การลงทุน และให้คำปรึกษาและเสนอแนะข้อคิดเห็นในการวางแผนแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ในระดับมหภาค รวมทั้งให้คำปรึกษาและเสนอแนะข้อคิดเห็นในการกำหนดมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้ส่วน ราชการและหน่วยงานของรัฐนำไปปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน |
||||||||||||||||||
| 746 | รายงานความก้าวหน้าผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.) | ทส | 27/05/2551 | |||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับความ
ก้าวหน้าผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.) สรุปได้ ดังนี้ คปป. ได้มีการประชุม ครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2551 โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของ คปป. รวม 6 คณะ และพิจารณาแนวทางการสนธิ กำลังการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่วิกฤตโดยจัดชุดปฏิบัติการตรวจลาดตระเวนและตั้งจุด สกัดในพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าไม้ที่มีสถานการณ์การตัดไม้ทำลายป่าและบุกรุกแผ้วถางป่ารุนแรง และจัดชุดปฏิบัติการ และตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดในพื้นที่ที่อยู่ในเขตเส้นทางคมนาคมทุกเส้นทางที่มีการลักลอบขนไม้ หรือของป่าที่มิ ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งได้พิจารณาแนวทางการเร่งรัดดำเนินคดีด้านป่าไม้ โดยกำหนดให้ความผิดตามกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ เป็นความผิดที่อยู่ในอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนของกรมสอบ สวนคดีพิเศษ และพิจารณาแนวทางการเร่งรัดตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิที่ดินที่ทับซ้อนพื้นที่ป่า ซึ่งขณะนี้มี กฎหมายที่มีผลบังคับใช้แล้ว คือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ที่ กำหนดให้ผู้มีหลักฐาน ส.ค. 1 ต้องยื่นขอออกโฉนดที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 -6 กุมภาพันธ์ 2553
|
||||||||||||||||||
| 747 | ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านนโยบายเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงาน | นร | 27/05/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงาน
ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก ปี พ.ศ. 2551 GDP ขยายตัวร้อยละ 6.0 สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 5.7 ในไตร มาสสุดท้ายของปี พ.ศ. 2550 และร้อยละ 4.8 ของทั้งปี พ.ศ. 2550 โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 21.1 การลง ทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.5 และการใช้จ่ายครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 2.6 และอนุมัติกรอบมาตรการแก้ไข วิกฤตพลังงานและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย มาตรการประหยัดพลังงานและการส่งเสริมพลัง งานทดแทน มาตรการดูแลรายได้และลดรายจ่ายของเกษตรกร ผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส และมาตรการเร่งรัดงบประมาณและโครงการลงทุนภาครัฐ โดย มอบหน่วยงานรับไปดำเนินการแล้วรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีนโยบายเศรษฐกิจทุก 2 สัปดาห์ รวมทั้ง รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอแก้ไขหนังสือสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร 1113/2179 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เรื่อง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านนโยบายเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงาน และมอบให้กระทรวงพลัง งานรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการด้านภาษีอื่น ๆ นอก เหนือจากการลดภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต และภาษีเงินได้ให้แก่อุปกรณ์ ชิ้นส่วนเครื่องจักรและเครื่องยนต์ เนื่องจากได้รับการยกเว้นอยู่แล้วเพื่อจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือกให้มากยิ่งขึ้น และให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 748 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหภาพพม่า เรื่องการทำการเกษตรแบบมีสัญญา | กต | 29/04/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่ง
ราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่า เรื่องการทำการเกษตรแบบมีสัญญา โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไข ปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ ที่มิใช่สาระสำคัญก่อนลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามบันทึก ความเข้าใจ ฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับดำเนินโครงการ ทำการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) ในทางปฏิบัติ ควรต้องเร่งรัดการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระดับทวิภาคี ระหว่างไทยกับพม่าเพื่อขับเคลื่อนและผลักดันการดำเนินงานตามแผนลงทุนให้ทันฤดูกาลเพาะปลูกพืชเป้าหมายของ โครงการ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้เน้นย้ำในประเด็น การเร่งรัดการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระดับทวิภาคีระหว่างสองประเทศ เพื่อผลักดันการดำเนินงานตามแผนลงทุนให้ ทันฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวพืชเป้าหมายของโครงการ และประสานการอำนวยความสะดวกการส่งออก นำเข้า ผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่ภายใต้โครงการตามบันทึกความเข้าใจ ฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 749 | การเร่งรัดดำเนินการร่างกฎหมาย | นร | 25/03/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการร่างกฎหมายที่ต้องตราขึ้น
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญ ฯ กำหนด โดย เฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน 180 วัน นับแต่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 สิงหาคม 2551 และกฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 |
||||||||||||||||||
| 750 | มาตรการการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 | นร | 18/03/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอมาตรการการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผน
การใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ต่อไป รวมทั้งให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 (เรื่อง การติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐ วิสาหกิจที่ยังมีการเบิกจ่ายงบลงทุนไปแล้วไม่ถึงร้อยละ 5 และให้กองทุนต่าง ๆ ทั้งที่เป็นหน่วยงานของรัฐ เช่น กอง ทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือกองทุนอื่น ๆ ที่อยู่ในกำกับดูแลของส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินกอง ทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้รวดเร็ว สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงาน และแผน การใช้จ่ายงบประมาณ วัตถุประสงค์ และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||
| 751 | ผลการประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน ครั้งที่ 2 | นร | 22/01/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผล
การประชุมร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2551 ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล เพื่อปรึกษาและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานตามนโยบายและมาตรการเศรษฐ กิจของรัฐบาลในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาดังนี้ ผลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจส่วนร่วม ได้แก่ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบ ประมาณภาครัฐ การดูแลค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพมากขึ้น การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้น ที่มาบตาพุด และการส่งเสริมการปรับตัวของธุรกิจรายสาขา ผลการดำเนินงานด้านบริหารจัดการขนส่งสินค้าและ บริการ (บสบ.) ได้แก่ การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2554 และแผนปฏิบัติการเฉพาะด้าน อาทิเช่น โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกช่วงฉะเชิง เทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง วงเงิน 5,850 ล้านบาท (พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2553) โครงการนำร่องการพัฒนาการขน ส่งทางราง เส้นทางขอนแก่น-นครราชสีมา-ท่าเรือแหลมฉบัง และเส้นทางนครสวรรค์-ท่าเรือแหลมฉบัง วงเงิน 20,541 ล้านบาท (พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2555) เป็นต้น ผลการดำเนินงานด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง ได้แก่ แนว ทางการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 4 โครงการ คือ (1) สายสีน้ำ เงิน (บางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค) (2) สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) (3) สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน) และ (4) สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่ และอ่อนนุช-สมุทรปราการ) ผลการดำเนินงาน ด้านพลังงาน ได้แก่ การกำหนดโครงสร้างราคาพลังงาน การส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน การส่งเสริม การใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ และการสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ รวมทั้งผล การดำเนินงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขระดับจังหวัด โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน 7,000 ล้านบาท โดยอนุมัติโครงการแล้วจำนวน 101,658 โครงการ งบประมาณ 6,997 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 99.9 มีการเบิกจ่ายแล้ว 6,793 ล้านบาท หรือร้อยละ 97 ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ได้จัดสรรงบ ประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยร้อยละ 90 (13,500 ล้านบาท) จะจัดสรรให้จังหวัดไปสนับสนุนชุมชนดำเนินการ ตามกรอบแผนงานที่คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กำหนดไว้ ร้อยละ 9 (1,350 ล้านบาท) จะจัดสรรให้ตาม วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในปี พ.ศ. 2551 ของจังหวัด และร้อยละ 1 (150 ล้านบาท) จะจัดสรรเพื่อสนับ สนุนการบริหารจัดการ การติดตามประเมินผลและการประชาสัมพันธ์ของส่วนกลางและระดับจังหวัด นอกจากนี้ ที่ ประชุมมีข้อเสนอการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในปี พ.ศ. 2551 โดยเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การขับเคลื่อนแผนพัฒนาและงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด การ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2551 การขยายระยะเวลาการใช้เงินกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท การเร่งปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการ การ เร่งรัดการดำเนินการพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้พลังงานและเร่งรัดการใช้พลังงานทดแทน และนโยบายที่ต้องผลักดัน ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการ ลงทุน การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิตและบริการ และบทบาทความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน |
||||||||||||||||||
| 752 | ผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 | นร | 15/01/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการ
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิ ภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 สรุปได้ดังนี้ ผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่ม ประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2550-กันยายน 2550 ส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน คิดเป็นร้อยละ 80.45 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน สูง กว่าอัตราการเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ร้อยละ 73 และสูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายราย จ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ซึ่งมีอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 75.24 และผลจากการเบิกจ่ายงบประมาณใน ภาพรวมของปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 สามารถเบิกจ่ายได้ร้อยละ 93.91 โดยสูงกว่าเป้าหมายตามที่คณะรัฐมนตรี กำหนดไว้ร้อยละ 93 ส่วนการขอขยายระยะเวลาการทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่งให้ สำนักงบประมาณถึงวันที่ 11 มกราคม 2551 จำนวน 72 หน่วยงาน จากจำนวนทั้งสิ้น 275 หน่วยงาน (ไม่รวม องค์การมหาชน หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน) ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้ขอ ขยายระยะเวลาการทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพัน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ภายหลังวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 จำนวน ทั้งสิ้น 18,143.541 ล้านบาท สำหรับการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จากการติดตามรวบรวมข้อมูลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ณ วัน ที่ 11 มกราคม 2551 มีภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งสิ้น 155,610.209 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.37 ของวงเงินงบประมาณ และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน 30,641.429 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.40 ของ วงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน และจากรายงานของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน 171 หน่วยงาน จาก จำนวน 283 หน่วยงาน สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในเดือนมกราคม 2551 ได้ประมาณร้อยละ 62.83 ซึ่งต่ำกว่าเป้า หมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 7.17 |
||||||||||||||||||
| 753 | ข้อเสนอผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 ของหอการค้าไทย | นร | 08/01/2551 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะของหอการค้าไทย จากการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ และผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อข้อเสนอแนะของหอการค้าไทยในเรื่องที่ดำเนินการแล้ว สำหรับข้อเสนอแนะของหอการค้าไทย มีดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค ประกอบด้วย ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในระดับภูมิภาค ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคที่ยั่งยืน และด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคเอกชน ๑.๒ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ด้านผลกระทบจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และด้านผลกระทบจากพลวัตของโลก การค้า และสิ่งแวดล้อม ๑.๓ มาตรการภาครัฐและเอกชนเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ด้านมาตรการลดต้นทุนในการผลิต และด้านมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๔ ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในมุมมองของหอการค้าไทย ได้กำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำของภูมิภาคเอชีย ที่มีความแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ มีระบบการเมือง และการปกครองที่มั่นคง และมุ่งขจัดคอร์รัปชั่น” ประกอบด้วย ๖ กลยุทธ์ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ การส่งเสริมจริยธรรมและธรรมาภิบาล การรักษาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต และการป้องกันและเฝ้าระวังรักษา โดยมาแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้ ๑.๔.๑ การดำเนินการโดยภาครัฐ ได้แก่ การเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การส่งเสริมบุคคลที่มีความสามารถและมีคุณธรรม การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ การเร่งรัดการลงทุนโดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภค การขยายการค้าระหว่างประเทศและการค้าชายแดน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยสะดวก ๑.๔.๒ การดำเนินการของหอการค้าไทย ได้แก่ การร่วมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การผลักดันให้มีการรวมกลุ่มวิสาหกิจ (Cluster) และการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๒ และ ๓ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาข้อเสนอแนะการดำเนินงานในระยะต่อไป และเสนอบรรจุไว้ในรายงานสรุปสภาวะของประเทศที่จะเสนอต่อรัฐบาลใหม่ และแจ้งให้หอการค้าไทยทราบต่อไป |
||||||||||||||||||
| 754 | การเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันตามมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 | กค | 25/12/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันตามมาตรการ
และแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยให้ส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันให้ได้ร้อยละ 70 ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับ ภายในสิ้นเดือน มกราคม 2551 |
||||||||||||||||||
| 755 | รายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) | นร | 18/12/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณี
เงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 โดยผลการดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 -กันยายน 2550 ในส่วนของการเร่งรัดติดตามให้หน่วยงานของรัฐที่เกิดกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทุจริต เร่งดำเนินการสอบสวนหาผู้รับผิดชดใช้ทางแพ่ง แจ้งความดำเนินคดีอาญา และพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง มีเรื่องรับใหม่ ได้รับแจ้งเรื่อง 223 เรื่อง จำนวนเงินที่เสียหาย 212,893,788.46 บาท เรียกเงินชดใช้คืน 86 เรื่อง จำนวนเงิน 47,467,928.64 บาท และดำเนินการจนได้ผลเป็นที่ยุติทั้ง 3 ทาง คือ ทาง แพ่ง ทางอาญา และทางวินัย 122 เรื่อง โดยสรุป ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 มีเรื่องอยู่ระหว่างการเร่งรัดติดตาม 1,128 เรื่อง จำนวนเงินทั้งสิ้น 9,623,680,227.99 บาท โดยจำนวนเรื่องที่เกิดขึ้นในหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีปริมาณ เรื่องสูงสุด คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 428 เรื่อง และยอดเงินเสียหายสูงสุดเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวง คมนาคม ซึ่งจำนวนเงินที่เสียหายเป็นเงินถึง 7,017,286,152.95 บาท ส่วนผลการพิจารณาเรื่องที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินการเร่งรัด ติดตาม ส่วนมากเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการทางแพ่งและอาญา มีดังนี้ ทางแพ่ง อยู่ระหว่าง ดำเนินการ 843 เรื่อง ทางอาญา อยู่ระหว่างดำเนินการ 1,021 เรื่อง และทางวินัย อยู่ระหว่างดำเนินการ 767 เรื่อง
|
||||||||||||||||||
| 756 | ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีปรับโครงสร้างหนี้โครงการที่มีหนี้ค้างชำระกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 18/12/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร
ในการประชุมครั้งที่ 8/2550 วันที่ 13 ธันวาคม 2550 เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้โครงการที่มีหนี้ค้างชำระ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายน้ำนมดิบของสหกรณ์ และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้กับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้รับการลดหนี้เพื่อชดเชยผลขาดทุนจากการดำเนินโครงการ ฯ จำนวน 107,120,854.34 บาท ตามที่สำนักงาน การตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินของ อ.ส.ค. สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545, 2546 และ 2547 และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดหาปุ๋ยปีเพาะปลูก 2546/47 ให้กรม ส่งเสริมสหกรณ์ได้รับการลดหนี้เงินต้น จำนวน 3,165,613.34 บาท และให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับการขยาย เวลาการชำระหนี้ในส่วนของลูกหนี้ จำนวน 18 แห่ง เป็นเงิน 3,390,305.74 บาท ออกไปอีก 3 ปี นับจากวันที่ คณะรัฐมนตรีอนุมัติ รวมทั้งได้รับการขยายเวลาการชำระหนี้ส่วนของลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีจำนวน 162 แห่ง เป็นเงิน 63,526,620.69 บาท ออกไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นการบังคับคดี โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการในระยะต่อไป ให้กองทุน ฯ มีการเร่งรัดการชำระหนี้คืนและมีระบบการติดตามและตรวจสอบการดำเนินการของหน่วยงานลูกหนี้ ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว เพื่อให้มีความสามารถในการชำระหนี้คืนกองทุน ฯ ได้ตามแผนการปรับโครง สร้างหนี้ที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว และให้มีเงินคืนกลับกองทุน ฯ สำหรับช่วยเหลือเกษตรกรอื่น ๆ และความเห็น ของสำนักงบประมาณที่ให้คณะกรรมการกองทุน ฯ ติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ขอปรับโครง สร้างหนี้ในครั้งนี้ โดยจัดทำแผนการชำระหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและเร่งรัดติดตามหนี้สินอย่างต่อ เนื่อง จริงจัง เพื่อลดภาระในการใช้จ่ายเงินของกองทุน ฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 757 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 13 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - จีน ครั้งที่ 6 และการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 5 | คค | 04/12/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่
13 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ 6 และการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 5 ซึ่งจัด ขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2550 ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ การประชุมรัฐมนตรีขน ส่งอาเซียน ครั้งที่ 13 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบที่จะดำเนินการตามมาตรการเกี่ยวกับการขนส่งภายใต้ Roadmap การรวมกลุ่มสาขาบริการด้านโลจิสติกส์ และยืนยันข้อผูกพันที่จะดำเนินการเปิดเสรีการให้บริการขนส่งทางอากาศ ในอาเซียนตามกำหนดเวลาที่ได้กำหนดไว้ใน Roadmap for Integration of Air Travel Sector (RIATS) และเห็นชอบ ให้มีการลงนามความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีเที่ยวบินขนส่งสินค้า และความตกลงพหุภาคีอาเซียน ว่าด้วยการเปิดเสรีเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสาร รวมทั้งให้การรับรองแผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยการขนส่งทางน้ำใน ภูมิภาคอาเซียน ส่วนการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ 6 ที่ประชุมได้ให้การรับรองกรอบความร่วมมือ ที่เกี่ยวข้องด้านการบินระหว่างอาเซียน-จีน และคาดหวังที่จะให้มีการเร่งรัดการหาข้อสรุปในการจัดทำความตกลง ด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีนเพื่อให้สามารถเปิดเสรีการบริการขนส่งทางอากาศอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน สำหรับการประชุมรัฐมนตรีด้านการขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 5 ที่ ประชุมได้ให้การรับรองข้อริเริ่มการเสริมสร้างความสามารถที่สำคัญคือ (1) ASEAN-Japan Regional Roadmap for Aviation Security (RRMAS) เพื่อจัดตั้งกรอบความร่วมมือเพื่อเพิ่มความปลอดภัยการบิน และ (2) Guideline for ASEAN-Japan Transport Logistics Capacity Building เพื่อจัดตั้งแนวทางปฏิบัติและข้อกำหนดเกี่ยวกับแผน งานการฝึกอบรมที่ยั่งยืนด้านโลจิสติกส์ในอาเซียนสำหรับภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดการประชุม รัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 14 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ 7 และการประชุมรัฐมนตรีขนส่ง อาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 6 โดยมอบให้ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในเดือนพฤศจิกายน 2551
|
||||||||||||||||||
| 758 | รายงานผลการดำเนินโครงการเร่งรัดขยายบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Home System) | มท | 27/11/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รายงานผลการ
ดำเนินโครงการเร่งรัดขยายบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Home System) สรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้ กฟภ. ได้ดำเนินการจ้างเหมาก่อสร้างติดตั้งระบบ Solar Home System ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2547 โดยสามารถติดตั้งแล้วเสร็จครบ 203,000 ครัวเรือน (73 จังหวัด) หรือร้อยละ 100 เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2549 โดยมีสถานะการเบิกจ่ายถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 รวมทั้งสิ้น 5,513,992,354.24 บาท และจากผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ได้มีการติดตั้งระบบ Solar Home System ถึงประโยชน์ ปัญหา และอุปสรรค์ของการใช้ระบบดังกล่าว โดยในส่วนของประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ ได้แก่ ความสะดวกสบาย ปลอดภัยในช่วงเวลากลางคืน ได้รับความรู้เสริม ความบังเทิง ทราบข่าวสารบ้านเมือง และทำให้ทันต่อเหตุการณ์ใน ปัจจุบันจากรายการโทรทัศน์ ช่วยเพิ่มรายได้ในหลังคาเรือนบางครอบครัว ช่วยให้เกิดศูนย์รวมของหมู่บ้านโดยผู้นำ หมู่บ้านสามารถจัดประชุมในช่วงเวลากลางคืนได้ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อเดือน สำหรับ ปัญหาและอุปสรรค อาทิ ระบบใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จำนวนไม่มากและใช้ได้ในเวลาจำกัด บางฤดูกาลไม่สามารถใช้ ระบบได้เป็นเวลาหลายวัน และอุปกรณ์ระบบติดในสถานที่ไม่เหมาะสมและไม่มีความสะดวก เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 759 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT Summit) ครั้งที่ 3 | นร | 27/11/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอดัง
นี้ รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT Summit) ครั้งที่ 3 โดยที่ประชุม ฯ ได้รับรองการเข้าร่วมในพื้นที่ IMT-GT ของ 6 จังหวัดภาคใต้ตอบบนของไทย ได้แก่ จังหวัด สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง ภูเก็ต พังงา และกระบี่ และการปรับแนวพื้นที่เศรษฐกิจของ IMT-GT โดยเพิ่มแนวพื้นที่ เศรษฐกิจที่ 5 ได้แก่ แนวเศรษฐกิจระนอง-ภูเก็ต-อาเจห์ (Ranong-Phuket-Aceh Economic Corridor) เพื่อให้ครอบ คลุมและเชื่อมโยงพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ตอนบนของไทย และเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ การประกาศให้ปี พ.ศ. 2551 เป็นปีส่งเสริมการท่องเที่ยว (Visit IMT-GT Year 2008) การเร่งรัดการเปิดดำเนินการศูนย์ความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT (CIMT) ณ รัฐสลังงอร์ มาเลเซีย ภายในปี พ.ศ. 2551 การขอรับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย ในการจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดลำดับความสำคัญแผนงานโครงการ และประมาณการค่าใช้จ่ายรายแผนงานโครง การเพื่อการพัฒนาตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจทั้ง 5 ของ IMT-GT การให้สภาธุรกิจ IMT-GT และธนาคารพัฒนาเอเชีย ปรึกษาหารือและประสานงานกันในด้านการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดำเนินโครงการของภาคเอกชน IMT -GT และการให้คณะทำงานภายใต้กรอบ IMT-GT 6 สาขาเร่งดำเนินโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะด้าน พลังงานทางเลือก และพลังงานทดแทน การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT การ จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดทำมาตรฐานการตรวจรับรองตราฮาลาล การร่วมทำการตลาดสินค้าและบริการฮา ลาล การรับรองร่วมด้านมาตรฐานและการรับรองวิชาชีพแรงงาน (MRA) และความร่วมมือด้านประมง ปศุสัตว์ พืช ผลเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ทั้งนี้ มอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดในภาคใต้ ซึ่งเป็นสมาชิกภายใต้แผนความร่วมมือทาง เศรษฐกิจอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ให้มีบทบาท และมีส่วนร่วมมากขึ้นในการจัดเตรียมแผนการดำเนินงานที่เป็น รูปธรรมที่จะสนับสนุนภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่ดำเนินการของแผนงานความร่วมมือ 3 ฝ่าย รวมทั้ง ประสานงานและสร้างความร่วมมือในระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและมุขมนตรีของทั้งสามประเทศ เพื่อส่งเสริมกิจกรรม ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม และเห็นชอบในหลักการและมอบให้ สศช. จัดส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ฯ ไป ร่วมปฏิบัติงานที่ศูนย์ความร่วมมืออนุภูมิภาคของ IMT-GT ณ รัฐสลังงอร์ มาเลเซีย (IMT-GT CIMT)
|
||||||||||||||||||
| 760 | การเร่งรัดจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรายไตรมาสและรายปีของประเทศไทย และการปรับปรุงระบบการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด | นร | 30/10/2550 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มีมติ เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้ลดระยะเวลา การจัดทำและเผยแพร่สถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรายไตรมาสและรายปีให้รวดเร็วขึ้น และให้ปรับปรุง กระบวนการจัดการในการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดตามวิธีการให้หน่วยงานภายในจังหวัดเป็นผู้จัดทำ โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ คณะที่ 1 ที่ให้ สศช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องการควบคุม คุณภาพก่อนการประกาศตัวเลข ไม่ใช่เป็นหน่วยงานหลักแต่อย่างเดียว รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้ สศช. ประสานชี้แจงทำความเข้าใจ และให้คำปรึกษาแนะนำในการจัดทำข้อมูล ฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ให้ สศช. ระบุให้ชัดเจนถึงหน้าที่ของหน่วยงาน กลางในการกำกับคุณภาพของการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด โดยให้สำนักงานคลังจังหวัดเป็นหน่วยงาน กลางในระดับจังหวัดในการประสานการจัดทำและประมวลผลสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดให้ถูกต้องตามหลัก วิชาการ และรับผิดชอบการสนับสนุนด้านวิชาการ รับรองมาตรฐานคุณภาพสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด และ กำหนดรูปแบบการประกาศตัวเลขเพื่อให้สอดคล้องกับการเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ |
||||||||||||||||||
