ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 32 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 621 - 640 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 621 | การเร่งรัดดำเนินการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการบริหารจัดการน้ำและการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เร่งรัดการปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา และจัดประชุมการพิจารณาแผนงาน/โครงการต่าง ๆ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการ แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ทุกสัปดาห์ และให้เร่งรัดจัดตั้งศูนย์บัญชาการ (command center) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๕ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 622 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๓๕๐.๒๖๖ ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๖๓.๔๔๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗(๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. และ ขสมก. นำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคราวประชุมพิจารณาข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ รฟท. และ ขสมก. เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งรัดการปรับโครงสร้างราคาค่าเดินรถ ค่าบริการที่สะท้อนต้นทุน การพิจารณาเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ และการควบคุมค่าใช้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับไปพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวม โดยเน้นการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพย์สินของ รฟท. ให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น แล้วจัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน โดยให้หารือรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป โดยแผนฟื้นฟูดังกล่าวอาจแบ่งออกเป็นระยะ (Phase) และให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสมคุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจนและครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น กรณีการเช่า การซื้อ และการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการรถประจำทาง (outsource) เป็นต้น ทั้งนี้ หากการดำเนินการตามแผนเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วนและมีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ให้กระทรวงคมนาคมนำเรื่องนั้นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะเรื่องก่อนได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 623 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 624 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ๑.๑.๑ เห็นชอบโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการขุดลอกขุมน้ำเฉลิมพระเกียรติ และขุมน้ำราชภัฏพร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักการโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียบริเวณพื้นที่สามกอง เทศบาลนครภูเก็ต วงเงิน ๖๐ ล้านบาท โดยให้เทศบาลนครภูเก็ตบรรจุโครงการไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๑.๑.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียระยะที่ ๔ วงเงิน ๙๕ ล้านบาท โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมเร่งรัดพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ และโครงการก่อสร้างอาคารกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ วงเงิน ๖๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบโครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๕ ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ ๔๙.๖๘ ล้านบาท งบประมาณที่เหลือ จำนวน ๒๔.๖๘ ล้านบาท ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมทบงบประมาณดำเนินการ ๑.๑.๕ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และให้มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการแบบ One Stop Service ๑.๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต โดยจัดลำดับความสำคัญของจุดติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วรถยนต์ในพื้นที่ถนนหลัก จากเดิม ๖ จุด ลดเหลือ ๓ จุดที่สำคัญ และปรับลดวงเงินเหลือ ๑๗ ล้านบาท ๑.๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจร วงเงิน ๕,๕๕๖.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม และให้เทศบาลเมืองป่าตองหารือกับท้องถิ่นใกล้เคียงในการพิจารณากำหนดสัดส่วนเงินสมทบของท้องถิ่นในการลงทุนก่อสร้างอุโมงค์ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และการกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม ๑.๑.๘ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังใหม่ โดยให้คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนแม่บทตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๑.๙ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรถนนวิชิตสงคราม (ระยะที่ ๔) กม. ๑๑+๙๕๐ - กม. ๑๓+๓๐๐ และ กม. ๑๓+๗๔๕ - กม. ๑๔+๕๔๖ วงเงิน ๗๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการแก้ปัญหาจราจรในเมืองภูเก็ต โดยบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๑๐ เห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม โดยสนับสนุงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙.๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๑๑ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดภูเก็ตหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการการทำงานและจัดทำแผนแม่บท โดยมีรายละเอียดกิจกรรม งบประมาณและแผนบริหารจัดการโครงการที่ระบุหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานที่ชัดเจน ๑.๒ จังหวัดพังงา ๑.๒.๑ สนับสนุนงบประมาณโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา วงเงิน ๓๕ ล้านบาท โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และจัดทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงอันดามัน (Hub & Double Main Corridors) รวม ๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๑๐๗.๘๒ ล้านบาท โดยให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บรรจุโครงการไว้ในแผนแม่บทระยะ ๕ ปี และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางเพื่อเสนอขอรับการจัสรรงบประมาณประจำปี ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โดยเร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒.๔ เห็นชอบโครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ เห็นชอบโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ๑.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจและออกแบบเพื่อการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองกระบี่ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๑.๓.๒ เห็นชอบการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการสัญจรไปยังเกาะลันตา ส่วนการแก้ปัญหาโดยการขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตา เห็นควรให้เปลี่ยนจากการขุดลอกร่องน้ำ เป็นการขยายการก่อสร้างสะพานเพื่อให้แพขนานยนต์สามารถเข้าเทียบท่าได้ตลอดเวลา ๑.๓.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙๙.๓๔ ล้านบาท ๑.๓.๔ รับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับจังหวัดกระบี่ศึกษาโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ จังหวัดตรัง ๑.๔.๑ เห็นชอบโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖๔ ล้านบาท โดยทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังจัดทำแผนการบริหารท่าเรือและบำรุงรักษาในระยะยาว โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อไป ๑.๔.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมที่มีระบบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพิจารณาอุดหนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนการดำเนินการต่อไป ๑.๔.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดามัน โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ดังนี้ ๓.๑ จังหวัดภูเก็ต ๓.๑.๑ ให้แขวงการทางภูเก็ต สำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) จัดทำโครงการปรับปรุงเรขาคณิตของทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ (บริเวณโค้งคอเอน) เพิ่มเติม เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉลอง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกบำบัดรักษาโรงพยาบาลฉลอง วงเงิน ๑๐๒ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างอาคารบ้านพักแพทย์/พยาบาล เจ้าหน้าที่ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น รพ.สต.ฉลอง วงเงิน ๘๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการต่อไป ๓.๑.๓ เห็นชอบหลักการโครงการของโรงพยาบาลถลาง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และโครงการก่อสร้างแฟลตพยาบาล ๗ ชั้น ๘๐ ยูนิต วเงิน ๖๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 625 | ยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. 2555 - 2559 | กษ | 13/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศฯ มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผลิตผลเกษตรและอาหารของไทยโดยการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเจรจา การนำเสนอ และการสนับสนุนข้อมูลด้านเทคนิค รวมทั้งเป็นการพัฒนาการตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช คุณภาพและมาตรฐาน และปัญหาด้านเทคนิค สำหรับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในตลาดต่างประเทศทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพกระบวนการเจรจา การนำเสนอ และแก้ปัญหาภาคเกษตรกับต่างประเทศ ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมสำหรับกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี การพัฒนากลไกตอบสนองเพื่อแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วกรณีที่ผลิตผลทางการเกษตรและอาหารไทยมีปัญหาด้านคุณภาพในตลาดปลายทาง และการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพด้านข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการเกษตรต่างประเทศ ประกอบด้วย การส่งเสริมการประสานงานเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศ และการลงทุนภาคเกษตรจากต่างประเทศ รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้านความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศทั้งแนวโน้มในปัจจุบันและอนาคต การจัดระบบฐานข้อมูลสำหรับสนับสนุนงานด้านการเกษตรต่างประเทศ รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวผลักดันให้ไทยเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อแสดงจุดยืนและท่าทีของประเทศในเวทีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรในเวทีนานาชาติ ๑.๓ ยุทธศาสตร์พัฒนาความร่วมมือกับต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ประกอบด้วย การพัฒนาความร่วมมือในลักษณะความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศผู้ให้ และองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้แก่ภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งการส่งเสริมการศึกษา วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับต่างประเทศ การส่งเสริมให้มีการจัดทำและดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามความตกลงกับต่างประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์พัฒนาการบริหารจัดการด้านการเกษตรต่างประเทศ ประกอบด้วย การสนับสนุนให้มีการปรับปรุงองค์กร และการบริหารหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านการเกษตรต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพสามารถรองรับการขยายตัวด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหารทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ การสร้างเสริมสมรรถนะที่สำคัญให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านการเกษตรต่างประเทศอย่างเป็นระบบ สนับสนุนการสร้างกลไกภาครัฐในการขับเคลื่อนและติดตามงานด้านการเกษตรต่างประเทศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน บูรณาการการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีและการแก้ปัญหาด้านเทคนิคของสินค้าเกษตรและอาหารในเวทีระหว่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การเกษตรต่างประเทศฯ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางการค้าสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในต่างประเทศทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ควรให้ความสำคัญกับประเด็นความเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการสินค้าภายในประเทศ โดยมีระบบบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรในประเทศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ปริมาณวัตถุดิบในภาคเกษตรมีความสมดุลกับความต้องการบริโภคของภาคประชาชน และภาคอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและระดับสูง และศึกษานโยบาย มาตรการ และกฎระเบียบด้านการเกษตรในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการที่มิใช่ภาษีรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งควรมีกลยุทธ์รองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตภายในประเทศและส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือทางการค้ามากกว่าการแข่งขันตัดราคา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 626 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามดูแลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนืออย่างใกล้ชิด โดยให้บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น เพื่อตรวจสอบติดตามปัญหาและประสานงานการเข้าแก้ไขและระงับปัญหาไฟป่าหรือพื้นที่ที่มีการเผาทำลายวัชพืชและสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้จังหวัดประสานงานและให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วย และให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดโดยเจตนาอย่างเคร่งครัดทั้งในส่วนของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนจังหวัดใดจะประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ให้พิจารณาดำเนินการได้ในกรณีปัญหามีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่แต่ละจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม แล้วประสานงานกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการเร่งรัดติดตามและดำเนินการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานและจังหวัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานข้อมูลความเสียหายและการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือดำเนินการตรวจติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบอีกทางหนึ่ง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร) เร่งรัดการจัดทำฝนหลวง เพื่อลดความรุนแรงของปัญหามลพิษหมอกควันด้วย ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งสำรวจและให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากปัญหาหมอกควัน และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ๖. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่าและการเผาพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนติดกับประเทศไทย อันเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดตาก เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 627 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อินเดีย ครั้งที่ 6 | กต | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อินเดีย (Thailand - India Joint Commission for Bilateral Cooperation) ครั้งที่ ๖ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ สำหรับวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับอินเดียให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นตามนโยบาย “มองตะวันตก” ของไทย รวมทั้งหารือด้านสารัตถะเพื่อเตรียมการสำหรับการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันสถาปนาสาธารณรัฐ (Republic Day) ของอินเดีย ในฐานะแขกเกียรติยศ (Chief Guest) ของนายกรัฐมนตรีในระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ในภาพรวม ไทยถือว่าอินเดียเป็นมิตรประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับไทยทางอารยธรรมมาช้านาน และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของไทยในปัจจุบัน ดังนั้น ไทยมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันตามนโยบาย “มองตะวันตก” ของไทย ส่วนฝ่ายอินเดียประสงค์จะมีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามนโยบาย “มองตะวันออก” ของอินเดีย และโดยที่ไทยเป็นประเทศสำคัญและมีบทบาทนำในภูมิภาคมาโดยตลอด อินเดียจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือกับไทยในกรอบทวิภาคี ในระดับภูมิภาคและพหุภาคี ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีการประกาศร่วมกันถึงการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ๒. ประเด็นที่เกี่ยวกับการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ๒.๑ การเร่งรัดให้มีการลงนามในความตกลงและ/หรือเอกสารเกี่ยวกับความร่วมมือไทย - อินเดีย ในระหว่างการเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร (Memorandum of Understanding on Defence Cooperation) พิธีสารฉบับที่สองแนบท้ายกรอบความตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทย - อินเดีย แผนความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Programme of Cooperation in the Fields of Science and Technology - POC) และแผนปฏิบัติการโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม (Cultural Exchange Programme) สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๒.๒ การประกาศดำริใหม่ในระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การจัดตั้ง “มูลนิธิไทย - อินเดีย” (India - Thailand Foundation) เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนกิจกรรมของภาครัฐและเอกชน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในสาขาธุรกิจ วัฒนธรรม การศึกษา การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน การจัดตั้ง “CEO Forum” ประกอบด้วยนักธุรกิจชั้นนำของแต่ละฝ่ายทำหน้าที่จัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (Water Management) เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย และการผลักดันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง (Connectivity) ระหว่างไทยและอาเซียนกับอินเดียให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๓. ประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ การหารือและเห็นพ้องที่จะใช้ประโยชน์จากความตกลง/บันทึกความเข้าใจระหว่างสองฝ่ายที่มีอยู่แล้ว เช่น ความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการศึกษา ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และเร่งรัดการจัดทำ/เจรจาความตกลงที่ยังคั่งค้าง ได้แก่ สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ความตกลงว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ และความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในคดีแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในเรื่องการพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการประกันสังคม การดูแลสวัสดิภาพและการคุ้มครองความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย กรณีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียจำนวนมากไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทย การให้อินเดียพิจารณาอำนวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญชาวไทย การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราสำหรับพนักงานและลูกจ้างของภาคเอกชนไทยที่ไปลงทุนในอินเดีย รวมถึงแรงงานไทยประเภทมีฝีมือ (พนักงานนวดสปาและผู้ปรุงอาหารไทย) เป็นต้น ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมเฉพาะกิจด้านการกงสุล เพื่อประสานงานและ/หรือแนวทางแก้ไขประเด็นข้อร้องเรียนของทั้งสองฝ่าย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 628 | รายงานการบำบัดรักษายาเสพติด ตามโครงการ การดำเนินงานลดผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเชิงรุกโดยเน้นระบบสมัครใจเป็นหลัก "1 อำเภอ 1 ศูนย์ฟื้นฟู" รองรับ "ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด" | สธ | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการบำบัดรักษายาเสพติด ตามโครงการ “๑ อำเภอ ๑ ศูนย์ฟื้นฟู” รองรับยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ - ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยผลการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษาผู้เสพผู้ติดยาเสพติดทุกระบบ ได้แก่ ระบบสมัครใจ มีผู้เข้ารับการบำบัด ๖๒,๕๓๙ คน ระบบบังคับบำบัด มีผู้เข้ารับการบำบัด ๔๔,๑๖๒ คน และระบบต้องโทษ มีผู้เข้ารับการบำบัด ๕,๗๙๙ คน รวมทั้งสิ้น ๑๑๒,๕๐๐ คน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานด้านบำบัดรักษายาเสพติด ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ - พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ระบบบังคับบำบัดมีผลการดำเนินงานสูงกว่าระบบสมัครใจ เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเตรียมความพร้อมในการทำค่ายพลังแผ่นดิน (บำบัดในชุมชน) ทั้งในด้านการจัดเตรียมสถานที่ การเตรียมทีมวิทยากรบำบัดประจำจังหวัด/อำเภอ และหลังจากการเตรียมความพร้อมเสร็จสิ้นแล้ว ในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ - มกราคม ๒๕๕๕ ผลการดำเนินงานในระบบสมัครใจเริ่มสูงกว่าระบบบังคับบำบัด เนื่องจากเป็นช่วงที่แต่ละจังหวัด/อำเภอมีการเร่งรัดจัดทำค่ายพลังแผ่นดินขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 629 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 28/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงาน ๑.๒ การเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของส่วนราชการ รวมทั้งงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๑.๔ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายลงทุนทั้งในส่วนของโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณ ๑.๕ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๖ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ๒.๑.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงบประมาณ แผนงบประมาณในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่าย และรายการในงบรายจ่ายที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ยกเว้นงบบุคลากรประเภทเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาคนั้น ๆ อย่างช้าไม่เกิน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๒.๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้ ประมาณ ๑๕ วัน ๒.๑.๓ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินโครงการ/รายการ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงาน ๒.๑.๔ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการ กรณีรายการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑.๕ การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานในจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ๒.๒ หน่วยงานกลาง ๒.๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผลการใช้จ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๓ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการงบประมาณ เร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งนำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเทียบกับแผนการใช้จ่ายเงินให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 630 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ทั้งปี 2554 และแนวโน้มปี 2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๔ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๔ หดตัวร้อยละ ๙.๐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือหดตัวร้อยละ ๑๐.๗ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบปีเทียบกับ ๓ ไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๓.๒ ๒.๗ และ ๓.๗ ตามลำดับ สาเหตุสำคัญมาจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ทำให้ภาคการผลิตสาขาอุตสาหกรรม การบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว และการส่งออกหดตัว ยกเว้นภาคเกษตรกรรมที่ยังขยายตัวเล็กน้อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ภาคการผลิตสาขาอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๒๑.๘ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมและระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหายและกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ระดับร้อยละ ๔๖.๔ ลดลงจากร้อยละ ๖๔.๕ และ ๖๔.๒ ในไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สาขาอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๔.๓ ๑.๒ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน หดตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ในไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบของอุทกภัย โดยยอดจำหน่ายสินค้าคงทนลดลงมากถึงร้อยละ ๒๑.๘ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอยู่ที่ระดับ ๖๒.๓ เทียบกับ ๗๓.๕ ในไตรมาสที่แล้ว รวมทั้งผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าครองชีพที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหลังน้ำท่วม ประกอบกับรายได้เกษตรกรลดลงเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรหลัก ๆ ลดลง เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ๑.๓ การลงทุนภาคเอกชน หดตัวร้อยละ ๑.๓ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๑ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากเหตุการณ์อุทกภัยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ส่งผลให้การลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือหดตัวลงร้อยละ ๒.๔ ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ (Business Sentiment Index : BSI) เฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ ๔๑.๔ ลดลงจากระดับ ๕๐.๖ ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๗.๒ โดยการลงทุนรวมทั้งปีขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ๑.๔ ภาคการส่งออก ในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๔๙,๑๖๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๒ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๒๗.๓ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากภาคการผลิต โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย ประกอบกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การส่งออกมีมูลค่า ๒๒๕,๓๖๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ ๑๖.๔ โดยตลาดสำคัญที่ยังคงขยายตัวได้ดีคือ จีน เกาหลีใต้ และอาเซียน ๑.๕ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยในไตรมาสสุดท้าย มีจำนวน ๔.๔ ล้านคน ลดลงร้อยละ ๔.๔ เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยว ๑๘๘,๐๗๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับร้อยละ ๕๕.๗ ปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ ๕๔.๓ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในสาขาโรงแรมและภัตตาคารหดตัวร้อยละ ๕.๓ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๒ ในไตรมาสที่แล้ว รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทย ๑๙.๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๘ ๑.๖ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ ๐.๗ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ในขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวบางส่วนได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทำให้มีผลผลิตลดลง เกษตรกรมีรายได้ลดลงร้อยละ ๐.๗ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ในไตรมาสก่อน รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ ๓.๘ ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๒ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ๑๗.๙ โดยรวมเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวเพียงร้อยละ ๐.๑ โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาอุทกภัยที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อ GDP ในราคาประจำปี คิดเป็นมูลค่าถึง ๓๒๘,๑๕๔ ล้านบาท โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับปานกลางที่ร้อยละ ๓.๘ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๑,๘๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ ๓.๔ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่สอง และทั้งปีขยายตัวได้ในช่วงร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ ทั้งในส่วนของการลงทุนเพื่อปรับปรุงฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการก่อสร้างเพิ่มเติม รวมถึงการดำเนินมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อและมาตรการภาษีที่มีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ประกอบกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ของประชาชนจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาคการผลิตมีแนวโน้มที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศโดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอุปสงค์ต่างประเทศน่าจะยังขยายตัวได้ดีเนื่องจากคู่ค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เช่น อาเซียน จีน และอินเดีย ยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๓.๕ ถึง ๔.๐ การบริโภคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๔ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๔.๒ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๑.๒ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรให้ความสำคัญในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๓.๑ การเร่งป้องกันผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในชุมชนและฐานการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งเร่งรัดการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยซ้ำซ้อนและป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ ๓.๒ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะรายจ่ายด้านการลงทุน ๓.๓ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับความเสี่ยงด้านความผันผวนของระบบการเงินโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ๓.๔ การดูแลราคาสินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นให้เป็นธรรมทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ผลิต ๓.๕ การดำเนินนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างอนาคตของประเทศ เช่น การสร้างรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อย นโยบายพลังงาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 631 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นควรอนุมัติโครงการของกรมชลประทานที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) แล้วเพิ่มเติม จำนวนเงิน ๖๕๓ ล้านบาท (ทำให้กรอบวงเงินที่ยังไม่ได้จัดสรรเพิ่มขึ้นจาก ๔๒,๘๙๑.๒๖๑๓ ล้านบาท เป็นเงิน ๔๓,๕๔๔.๒๖๑๓ ล้านบาท) ๒. เห็นควรชะลอโครงการ จำนวน ๗๔ โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐,๔๔๖.๓๑๙๑ ล้านบาท เนื่องจาก ๒.๑ ส่วนราชการไม่สามารถเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณได้ภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งรัดเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณต่อสำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ ครบกำหนดในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒.๒ ส่วนราชการขอรับจัดสรรงบประมาณต่ำกว่ากรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๒.๓ สำนักงบประมาณพิจารณาปรับลดค่างานตามหลักเกณฑ์การคำนวณค่างาน ๒.๔ ส่วนราชการแจ้งว่าเป็นโครงการที่หมดความจำเป็น ๓. เห็นควรจัดสรรงบประมาณในกรอบวงเงินที่ยังไม่ได้รับจัดสรร จำนวน ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท ได้แก่ ๓.๑ โครงการที่ผ่านการพิจารณาของ กยน. เป็นเงิน ๙,๒๐๖.๙๑๑๙ ล้านบาท ๓.๒ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในคราวที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจราชการพื้นที่ลุ่มน้ำ ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง เมื่อวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕,๐๘๕.๐๔๙๔ ล้านบาท ๓.๓ โครงการที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันพิจารณาความจำเป็น ความเหมาะสมและความคุ้มค่าของแผนงานโครงการแล้ว มีมติเห็นควรให้ดำเนินการได้ เป็นเงิน ๒๓,๘๙๑.๐๓๐๓ ล้านบาท ๔. เนื่องจากสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปแล้วทั้งสิ้นวงเงิน ๘๑,๒๒๙.๐๘๓๐ ล้านบาท หากรวมกับวงเงินที่เห็นควรจัดสรรเพิ่มเติมอีกจำนวน ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท จะเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๙,๔๑๒.๐๗๔๖ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ที่ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท อยู่จำนวน ๕๘๗.๙๒๕๔ ล้านบาท แต่เนื่องจากยังมีโครงการสำคัญที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) แล้ว เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ อีกจำนวน ๕,๙๕๒.๔๒๗๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (กรมส่งเสริมการเกษตร) วงเงิน ๑,๙๖๒.๔๒๗๖ ล้านบาท และโครงการฟื้นฟู ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยของกองทัพอากาศ วงเงิน ๓,๙๙๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ดังนั้น จึงขาดงบประมาณอีกจำนวน ๕,๓๖๔.๕๐๒๒ ล้านบาท (๕,๙๕๒.๔๒๗๖ - ๕๘๗.๙๒๕๔ ล้านบาท) ในชั้นนี้จึงเห็นควรพิจารณาจัดสรรจากงบประมาณส่วนที่เหลือจ่ายจากโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปแล้ว หรือโครงการที่เสนอขอจัดสรรเพิ่มเติมในครั้งนี้ หรือแหล่งเงินงบประมาณอื่น ๆ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 632 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2555 | นร | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดอุดรธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) รวม ๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - หนองคาย โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และโครงการปรับปรุงขยายช่องทางการจราจรเพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำโขงเส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และเส้นทางหมายเลข ๒๑๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของ กกร. ไปพิจารณา ดังนี้ ๑.๑.๑ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ ระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่กันไป ๑.๑.๒ ศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ศึกษาไว้ และเร่งเสนอโครงการฯ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๓ ศึกษารายละเอียดถึงความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ขอนแก่น (บ้านไผ่) - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด - มุกดาหาร - นครพนม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๑.๑.๔ ศึกษาความเหมาะสมปรับปรุงโครงข่ายทางถนนบริเวณชายแดนไทย เส้นทางหมายเลข ๒๑๑ และ ๒๑๒ เชื่อมโยงหนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร เพื่อรองรับการลงทุนและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม และหนองคาย การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industrial Estate) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และการขยายเวลาเปิดด่านสากลจังหวัดนครพนม (ชายแดนไทย - ลาว) ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง และเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น ๑.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมของการขยายเวลาเปิดทำการของจุดผ่านแดนถาวรจังหวัดนครพนมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำ โขง - เลย - ชี - มูล โดยแรงโน้มถ่วงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมและความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และให้ดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ๑.๔ ข้อเสนอของ กกร. และ สทท. เกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย การพัฒนาระบบบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้มีความคล่องตัว และการพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการในกลุ่มพื้นที่ให้สามารถแข่งขันได้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการเพื่อให้พิพิธภัณฑ์สิรินธรสามารถเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้และค้นคว้าทางวิชาการ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณารูปแบบที่คล่องตัวในการบริหารที่เหมาะสม ๑.๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่พิจารณาจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนและการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาทักษะด้านภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในประเทศสมาชิกอาเซียนให้กับผู้ประกอบการและบุคลากรที่อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ๑.๕ ข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการเร่งรัดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... และนำเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาจัดเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะการโอนทรัพย์สินและการบริหารจัดการทั้งบุคลากร และการเงิน รวมทั้งการเตรียมการด้านวิชาการ ส่วนโครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนพัฒนารถไฟทางคู่เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น เห็นควรพิจารณาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในการลงทุนและการใช้ประโยชน์ โดยให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพ - หนองคาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 633 | โครงการ 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน | นร | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารนโยบาย ๑ คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ ๑ นักเรียน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๙๖/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ไม่เป็นปัจจุบัน จึงเห็นควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธานกรรมการ และให้ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกรรมการและเลขานุการร่วม ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ประธานกรรมการเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการโดยด่วน เพื่อพิจารณาแนวทางในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันพุธที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 634 | การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ปี 2555 | รง | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ปี ๒๕๕๕ ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ แล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองฯ ประกอบด้วย ๑.๑ การเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าว และการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพิ่มเติม) ที่ได้เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๒ การพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ) ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๓ การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ และแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานโดยถูกต้องตามกฎหมายตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานระหว่างรัฐ (MOU) จากอัตราปกติ ๒,๐๐๐ บาท เหลือ ๕๐๐ บาท และสามารถขออยู่ต่อได้อีกครั้งเดียว ค่าธรรมเนียมในอัตรา ๕๐๐ บาทเช่นกัน ๑.๔ การขยายเวลาการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ออกไปอีก ๑ ปี ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองฯ ควรมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวทั้งระบบอย่างยั่งยืน และควรจัดทำแผนงานรองรับอย่างรอบคอบ ชัดเจน และรัดกุม บนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติอย่างสมดุล ทั้งมิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน โดยคำนึงถึงเงื่อนเวลาที่กระชั้นชิดในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวกลุ่มใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ให้เสร็จทันตามกำหนดก่อนวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ส่วนการขยายเวลาเริ่มเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ออกไปอีก ๑ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารือกับประเทศต้นทางอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าวเข้าใจในการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๓. เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 635 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อดำเนินการในวงเงิน ๒,๓๗๓.๐๖๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ในส่วนค่าเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ที่เก็บเกี่ยวและขายผลผลิตข้าว ช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ ให้ครอบคลุมถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ วงเงิน ๔,๕๘๑.๖๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายจากงบประมาณของ ธ.ก.ส. ไปก่อน และจะตั้งงบประมาณชดเชยให้ ธ.ก.ส. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำหรับวงเงินจำนวน ๙,๕๖๒.๐๔๐๕ ล้านบาท หากยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ขอให้หน่วยงานเสนอปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือเสนอขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป เนื่องจากเป็นภารกิจประจำของหน่วยงาน ๑.๔ ยกเลิกโครงการ เป็นเงิน ๔,๗๙๘.๓๗๑๒ ล้านบาท เนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๑.๕ ในการพิจารณาทบทวนโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.)] ปรากฏโครงการที่ดำเนินการในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงิน ๔,๔๓๙.๕๗๓๐ ล้านบาท โดยเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๑,๐๖๓.๔๙๒๘ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกวงเงิน ๓,๓๗๖.๐๘๐๒ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ในส่วนของโครงการรองรับภัยพิบัติจากอุทกภัยต่อทรัพยากรสัตว์น้ำบริเวณอ่าวไทยตอนบน ของกรมประมง และโครงการเร่งรัดการฟื้นฟูการผลิตพืชต้นทุนสูงของเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเกี่ยวข้องกับพืชสวน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาแก่เกษตรกรผู้ประสบสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสงค์จะทบทวนก็ให้ดำเนินการได้ และเมื่อพิจารณาทบทวนแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับแผนการดำเนินการและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และหากมีงบประมาณไม่เพียงพอ ก็ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 636 | ร่างพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ และพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ ๒. กำหนดมาตรการในการป้องกันและควบคุมโรคระบาด เช่น กำหนดให้เจ้าของสัตว์ต้องปฏิบัติตามระบบการป้องกันและควบคุมโรคระบาด เจ้าของสัตว์หรือซากสัตว์ต้องทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ กำหนดห้ามการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ปลอม หรือแปลงหรือแก้ไขเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ที่แท้จริง กำหนดเกี่ยวกับการดำเนินการเมื่อมีสัตว์ป่วยหรือตาย และกำหนดห้ามบุคคลใดขุดซากสัตว์ที่ฝังไว้แล้ว เป็นต้น ๓. กำหนดมาตรการในการป้องกันและควบคุมในกรณีมีการประกาศเขตเกี่ยวกับโรคระบาด เช่น กำหนดเขตปลอดโรคระบาดหรือเขตกันชนโรคระบาด กำหนดห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ตามที่ระบุในประกาศ กำหนดให้สัตวแพทย์มีอำนาจประกาศเขตโรคระบาดชั่วคราวในท้องที่ที่รับผิดชอบ และกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจประกาศเขตโรคระบาด หรือเขตเฝ้าระวังโรคระบาด ๔. กำหนดเกี่ยวกับการขออนุญาต การออกใบอนุญาตและหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต เช่น กำหนดให้ผู้ค้าหรือหากำไรในลักษณะคนกลางซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ และการขาย จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน หรือมีไว้เพื่อขายซึ่งน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์หรือเอ็มบริโอ หรือมีพ่อพันธุ์ของสัตว์เพื่อให้บริการผสมพันธุ์แก่สัตว์ของบุคคลอื่นโดยวิธีธรรมชาติต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน การแสดงความจำนงของทายาทหรือผู้ได้รับความยินยอมจากทายาทเพื่อประกอบกิจการในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตาย การออกใบแทนกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย ชำรุดหรือถูกทำลายในสาระสำคัญ กำหนดให้การนำเข้า ส่งออกหรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ ต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายทุกครั้ง และกำหนดให้การนำสัตว์หรือซากสัตว์ไปยังท้องที่จังหวัดอื่น ต้องทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ และต้องได้รับอนุญาตจากสัตวแพทย์ประจำท้องที่ต้นทางทุกครั้ง ๕. กำหนดเกี่ยวกับการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต โดยให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต และห้ามผู้รับใบอนุญาตซึ่งถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ประกอบกิจการตามใบอนุญาตที่ถูกสั่งพักใช้นั้น และกำหนดให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตก่อนกำหนดเวลาได้ ๖. กำหนดให้สัตวแพทย์มีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและควบคุมโรคระบาด และกำหนดให้สารวัตรมีอำนาจตรวจสอบหรือควบคุมเพื่อให้เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งมีอำนาจยึดหรืออายัดสัตว์หรือซากสัตว์ที่นำเข้า หรือนำผ่านราชอาณาจักร ๗. กำหนดเกี่ยวกับการขายทอดตลาดและการจ่ายเงินสินบน โดยให้กรมปศุสัตว์มีอำนาจในการจัดการกับสิ่งที่ยึดหรืออายัดไว้โดยการขายทอดตลาด และมีอำนาจขายทอดตลาดของกลางที่ศาลสั่งริบ และกำหนดให้มีเงินสินบน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้มีการแจ้งการกระทำที่เป็นความผิดตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ๘. กำหนดสิทธิในการอุทธรณ์ เมื่อนายทะเบียนไม่ออกใบอนุญาต ไม่ต่ออายุใบอนุญาต ไม่ออกใบแทนใบอนุญาต หรือพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต และปรับปรุงบทกำหนดโทษให้สอดคล้องกับเนื้อหาในร่างพระราชบัญญัตินี้ และแก้ไขอัตราโทษให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ๙. กำหนดบทเฉพาะกาล เพื่อรับรองสิทธิประโยชน์ที่มีตามกฎหมายเดิม เพื่อความต่อเนื่องในการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งกำหนดให้มีการเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 637 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2555 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้มีการตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และทำการศึกษาความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ของโครงการโดยละเอียด ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ศึกษาและสำรวจเส้นทางของการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาเพิ่มเส้นทาง เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ของประเทศไทย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ๑.๒ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑ ให้สำนักงานสภาความความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเรื่องการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความพร้อมของประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดนเตรียมความพร้อมรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวกเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย โดยรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการรับไปพิจารณาเตรียมความพร้อมในการประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น Year of MICE (Meeting, Incentive, Convention, and Exhibition) หรือธุรกิจการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้าและนิทรรศการตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับใหญ่อย่างระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความพร้อมก่อนการเปิดตัวใช้งานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดทำแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำผลการศึกษาจากโครงการจัดทำแผนแม่บทและออกแบบเพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนา ๑.๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ร่วมกันดำเนินโครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ๑.๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวภูมิภาคและสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นที่ ๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กกร. เกี่ยวกับโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕ การพัฒนาตลาดทุนไทย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ย ให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ (Offshore Holding Company and Funds) ในอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๕.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของที่ประชุมไปเร่งรัดการพัฒนาตลาดพันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร อปท. ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำระบบบัญชีที่ดี โดยคำนึงถึงความพร้อมของ อปท. ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ไปประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์สนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เช่น กกร. สทท. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะยาว โดยให้มีการบูรณาการทุก ๆ มิติ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตลอดจนวางแผนงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) โดยการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น รวมทั้งการเร่งรัดประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 638 | ข้อเสนอแผนงานโครงการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน (จำแนกประเภท) สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 15 มกราคม 2555 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ซึ่งได้เสนอแผนงาน/โครงการ จำนวน ๑๒๘ โครงการ วงเงินรวม ๓๘๗,๓๘๙.๔๔ ล้านบาท ประกอบด้วยแผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/เกษตร จำนวน ๓๘ โครงการ วงเงินรวม ๑๙,๐๖๕.๕๓ ล้านบาท แผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม ขนส่ง และโลจิสติกส์ จำนวน ๕๙ โครงการวงเงินรวม ๓๕๔,๔๓๑.๗๖ ล้านบาท แผนงาน/โครงการด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน บริการ การท่องเที่ยว จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงินรวม ๑๐,๕๕๖.๙๐ ล้านบาท แผนงาน/โครงการด้านบริการทางสังคม จำนวน ๙ โครงการ วงเงินรวม ๓,๒๓๘.๕๒ ล้านบาท และแผนงาน/โครงการด้านอื่น ๆ จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๙๖.๗๓ ล้านบาท โดยในส่วนของวงเงินงบประมาณให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดเพื่อประกอบคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รับความเห็นต่อภาพรวมแผนงาน/โครงการดังกล่าว ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินการ ๒. เห็นชอบในการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการเร่งรัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๓. เห็นชอบโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและโครงการอุทยานเทคโนโลยีและความสร้างสรรค์ภาคเหนือ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รับไปบูรณาการทั้งสองโครงการเข้าด้วยกัน และจัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan) ให้ชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงบทบาทของภาคเอกชนให้สามารถต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. เห็นชอบโครงการด้านบริการทางสังคม รวม ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลลำปางเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ระยะที่ ๓ โครงการขยายพื้นที่และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสันกำแพง โครงการพัฒนาปรับปรุงค่ายลูกเสือสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศูนย์การเรียนรู้ค่ายลูกเสือต้นแบบ และโครงการสร้างเครือข่ายแจ้งข่าวสารสาธารณภัยและจัดตั้งอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (อส.ปภ.) โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๕.๑ แผนงานโครงการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำแนกโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ส่งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อดำเนินการ ๕.๒ แผนงานโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม ขนส่งและโลจิสติกส์ มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาในรายละเอียด และจัดลำดับความสำคัญเพื่อนำเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕.๓ แผนงานโครงการด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน บริการและการท่องเที่ยว มอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕.๔ แผนงานโครงการด้านบริการทางสังคมที่นอกเหนือจากข้อ ๑ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียด เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปกติ สำหรับโครงการจัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพและศูนย์บริการสาธารณสุข (Medical Hub) ให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านสาธารณสุขในภูมิภาค ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไปจัดทำภาพรวมทั้งระบบที่มีการบูรณาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่และได้รับการสนับสนุนจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไปบางส่วนแล้ว พร้อมทั้งระบุความเชี่ยวชาญเฉพาะ (Areas of Excellence) ความพร้อมด้านบุคลากร การสร้างเครือข่ายทางวิชาการทั้งในและต่างประเทศ และแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เกิดความต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 639 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2554 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำประเด็นความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการกำหนดให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคด้านการค้าการลงทุน ด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ และมีพื้นที่รองรับการขยายตัวของการลงทุนภาคอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคการผลิตและบริการ โดยพิจารณาครอบคลุมประเด็นกฎหมายที่กระทบต่อการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพื่อให้กลไกรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในลักษณะ Public 3 Private - Partnership โดยกำหนดขอบเขตภารกิจและรูปแบบที่จะให้เอกชนร่วมดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ความไม่เพียงพอทั้งในเรื่องปริมาณและมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ความสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาความเป็นเมืองและการพัฒนาพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำ ไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้พิจารณาความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และทำการศึกษาเรื่องการจัดรูปแบบองค์กรและระบบการบริหารจัดการ และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอต่อ กยอ. พิจารณาต่อไป รวมทั้งศึกษาประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนต่าง ๆ ๒. รับทราบความคืบหน้าและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ตามข้อเสนอซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยนำเสนอผลการศึกษารูปแบบกองกลางประกันภัยน้ำท่วม ต่อ กยอ. และให้สมาคมธนาคารไทยร่วมดำเนินงานในการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมแก่ผู้เอาประกันภัย โดย กยอ. จะช่วยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข่าวสารและมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้สาธารณชนและต่างประเทศได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาการผ่อนปรนสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติ เพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทประกันภัย โดยอาจกำหนดระยะเวลาของการผ่อนผันหรือเงื่อนไขที่ชัดเจน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติและฟื้นฟูประเทศ ๒ ราย ได้แก่ บริษัท Mckinsey & Company และบริษัท Boston Consulting Group ซึ่งมีข้อเสนอแนวทางดำเนินการในช่วงระยะการฟื้นฟู และระยะการซ่อมสร้างของประเทศไทยจากวิกฤตน้ำท่วม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินโครงการปฏิรูปประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการรับข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาหลายราย อาจทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานมีความซ้ำซ้อนและต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น จึงเห็นควรเลือกบริษัทที่ปรึกษาจำนวนน้อยราย ภายใต้เงื่อนไขบริษัทที่ปรึกษาจะดำเนินการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อผูกมัดเรื่องการสนับสนุนข้อมูลหรือการนำข้อมูลและผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ และทำการศึกษาเฉพาะประเด็น/หัวข้อตามที่ กยอ. กำหนด นอกจากนี้ ควรให้บริษัทที่ปรึกษาทั้ง ๒ ราย รวมถึงรายอื่น ๆ ที่อาจมีการเสนอเพิ่มเติมในภายหลังจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาที่สำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยสรุปประมาณ ๑ - ๒ หน้า และให้นำเสนอ กยอ. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ไปประสานกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาประเทศไทยในอนาคต ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และสมมติฐานการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกเสนอ กยอ. พิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบรายละเอียดหมวดการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) และรายละเอียดสำหรับวงเงินที่จะขออนุมัติเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามมติ กยอ. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ดำเนินการทำความตกลงในรายละเอียดของงบประมาณสำหรับ สกยอ. กับสำนักงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ต่อไป ๕. รับทราบรายงานสรุปผลการหารือระหว่างประธาน กยอ. และคณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อที่ประเทศสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุของการเกิดอุทกภัยรวมทั้งการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเดินทางไปชี้แจงให้กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการรับประกันภัยของโลกทั้งในเรื่องการป้องกันอุทกภัยในอนาคต รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้แก่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยทั้ง ๗ แห่ง ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี รวมทั้งโรงงานและนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่งด้วย แล้วรายงานผลพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้ กยอ. พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 640 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 4 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ให้ความเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ (Joint Summit Declaration) และกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS : Greater Mekong Subregion) ฉบับใหม่ ระยะ ๑๐ ปี ระหว่างปี ๒๕๕๕ - ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นสาระหลักของแถลงการณ์ร่วมฯ โดยกรอบยุทธศาสตร์ฯ มุ่งเน้นการพัฒนาแบบบูรณาการซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridors) และการพัฒนาทางด้านซอฟท์แวร์ ๑.๑.๒ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงร่วมเป็นสักขีพยานฉลองความสำเร็จในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ระยะที่ ๑ และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในระยะต่อไปของความร่วมมือ ๓ ด้าน ได้แก่ แผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๒ ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงศักยภาพในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศ GMS แผนสนับสนุนความร่วมมือด้านเกษตร ระยะที่ ๒ ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการส่งเสริมความปลอดภัยของอาหาร และการพัฒนาระบบการค้าสินค้าเกษตรให้ทันสมัย และผลการทบทวนกลางรอบของยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวที่เน้นการพัฒนาเพื่อเป้าหมายการท่องเที่ยวจุดหมายปลายทางเดียว ๑.๑.๓ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงร่วมเป็นสักขีพยานการส่งมอบตำแหน่งประธานสภาธุรกิจ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Business Forum : GMS - BF) จากประเทศจีนเป็นพม่า และรับข้อเสนอของภาคเอกชนที่ขอให้ภาครัฐให้การสนับสนุนการจัดตั้งสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคเพื่อเป็นเวทีประสานการดำเนินงานของภาครัฐ - เอกชน เพื่อพัฒนาแผนงาน GMS โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาระบบการประกันสินเชื่อของอนุภูมิภาคเพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการปรับปรุงการลงทุนให้มีความสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ มอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสพิจารณาแนวทางการร่วมมือกับภาคเอกชน ๑.๑.๔ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ร่วมหารือแนวทางการสนับสนุนของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงาน GMS ฉบับใหม่ ระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หลัก ๑.๑.๕ นายกรัฐมนตรีมีข้อเสนอต่อที่ประชุมฯ ได้แก่ การยืนยันการสนับสนุนแผนงาน GMS อย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนด้านการเงินและด้านวิชาการแก่ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การผลักดันให้สถาบันวิจัยต่าง ๆ เข้ามาร่วมทำงานเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS การสนับสนุนการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย ข้อเสนอแนวทางการเปลี่ยนวิกฤตการณ์ภัยพิบัติที่หลายประเทศสมาชิกได้ประสบร่วมกัน การผลักดันให้ประเทศสมาชิกบรรจุเรื่องแนวระเบียงเศรษฐกิจและแผนการลงทุนไว้ในวาระแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนา การขอให้รัฐบาลประเทศสมาชิก และ ADB ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของ GMS - BF อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติควบคู่กับการสนับสนุนและผลักดันการพัฒนาศักยภาพให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และให้ความสนใจที่ประเทศไทยจะรับเป็นที่ตั้งศูนย์ประสานงานของอนุภูมิภาคเพื่อประสานการทำงานในเรื่องรถไฟและพลังงาน ๑.๑.๖ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ ในปี ๒๕๕๗ ๑.๑.๗ ผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามเอกสารสำคัญ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีโครงข่ายทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ระยะที่ ๒ บันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และการจัดตั้งสมาคมผู้ขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยประสานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำกับและติดตามเพื่อให้การดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
