ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 39 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 761 - 780 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 761 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 14 แผนงาน IMT-GT | นร | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงาน
ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 14 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย -มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่ง สศช. เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 กันยายน 2550 ณ จังหวัดสงขลา โดยสาระสำคัญของการประชุม ฯ ที่ประชุม ฯ ได้พิจารณา ให้ความเห็นชอบต่อผลการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 14 และมอบแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติม ได้แก่ การเร่งรัดเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน โดยเฉพาะด้านก๊าซธรรมชาติ เชื้อเพลิงชีวภาพ และพลังงานทาง เลือกอื่น การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและกฎระเบียบ การ เชื่อมโยงการพัฒนาระหว่างไทย-มาเลเซีย ในแนวพื้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Corridor Econo mic Region : NCER) กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ของไทย การพัฒนาตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ระนอง-ภูเก็ต -อาเจห์ การส่งเสริมกิจกรรมในปี Visit IMT-GT Year 2008 แก่สภาธุรกิจ IMT-GT และเร่งรัดการเชื่อมโยงทาง อากาศในพื้นที่ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะด้านเคลื่อนย้ายแรงงาน กับเห็นชอบ ผลการประชุมระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและมุขมนตรี ครั้งที่ 4 รวมทั้งเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมของผู้นำในการ ประชุมสุดยอด ครั้งที่ 3 โดยให้ฝ่ายเลขานุการระดับชาติสามประเทศจัดประชุมในเดือนตุลาคม 2550 เพื่อจัดทำ ร่างคำแถลงการณ์ร่วมของผู้นำให้แล้วเสร็จ และเห็นชอบโครงการศึกษาเพื่อเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT และโครงการปรับปรุงฐานข้อมูล IMT-GT ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการจัดประชุมระดับสุดยอด ครั้งที่ 3 ของแผนงาน IMT-GT ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผล การประชุมดังกล่าวโดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานส่วนราชการดัง กล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 762 | การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 | นร | 02/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมติรับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอว่า ขณะนี้สำนักงบประมาณกำลังตรวจ
สอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของส่วนราชการและรัฐวิสาห กิจต่าง ๆ เพื่อจะได้เร่งจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตาม งบประมาณที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยเร็ว โดยจะจัดสรร งบประมาณตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้วยก เว้นเฉพาะรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 รายการใหม่ซึ่งสำนักงบประมาณจะต้องรวบรวมเสนอขอความ เห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน จากนั้นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจึงต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และเสนอขอความ เห็นชอบด้านราคาจากสำนักงบประมาณต่อไป และเพื่อเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว จึงขอให้ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างรายการพัสดุต่าง ๆ โดยเฉพาะรายการในงบลงทุนที่จะต้องมีการ ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ ฯ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย และระยะเวลาของแผนการปฏิบัติงานและแผน การใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 763 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 | กค | 18/09/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตาม
การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย แนวทางการดำเนินงานของ ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ และแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานกลาง และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) เสนอเพิ่มเติมแนวทางการดำเนินการของหน่วยงานกลาง จากเดิมที่กระทรวงการคลังเสนอไว้ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0405.2/17674 ลงวันที่ 17 กันยายน 2550 หน้า 4 อีก 1 ข้อ เป็น "3.3 ให้กรมหรือหน่วยงานเทียบเท่าที่มีงบลงทุนจัดทำแผนการ ดำเนินงาน (Operation Plan) และแผนการเบิกจ่ายเงิน (Disbursement Plan) ของงบประมาณปี พ.ศ. 2551 และงบผูกพันจากงบประมาณ พ.ศ. 2550 เพื่อกำหนดเป็นเป้าหมาย (Milestone) ของโครงการลงทุนทุกโครง การ โดยให้จัดทำเป็นรายครึ่งไตรมาส (เริ่มจาก 15 พฤศจิกายน 2550) เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด พิจารณาเพื่อเร่งรัดติดตามผลงานและให้รายงานคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายครึ่งไตรมาส"
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 764 | สรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/2550 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2550 | นร | 04/09/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงาน
สรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/2550 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2550 สรุปได้ดังนี้ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมใน ประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2550 ขยายตัวร้อยละ 4.4 สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในไตรมาส 1/2550 เล็ก น้อย และรวมครึ่งแรกของปีเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 4.3 โดยด้านการใช้จ่าย มีแรงสนับสนุนจาก 2 ด้าน คือ ภาค การค้าต่างประเทศจากปริมาณรวมของการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวได้ดี และแรงสนับสนุนจากการเร่งรัดใช้ จ่ายของภาครัฐ ขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้นใน ช่วงปลายไตรมาสที่สอง ในด้านการผลิต สาขาการผลิตที่ขยายตัวได้ดีขึ้นกว่าในไตรมาสแรก ได้แก่ ภาคเกษตร การ ก่อสร้าง และภาคการเงิน สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2550 คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 4.0 -4.5 เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชน และการเบิกจ่ายลงทุนรัฐ วิสาหกิจจะฟื้นตัวช้า แต่อย่างไรก็ตามการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปีจะช่วยชดเชยการชะลอตัวการใช้จ่ายและการลง ทุนภาคเอกชนได้ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะเท่ากับร้อยละ 2.0-2.5 และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณร้อยละ 4.2 ของ GDP นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลัง การเบิกจ่ายงบประมาณ รัฐบาลได้ตามเป้าหมายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ในช่วงเดือนตุลา คมถึงธันวาคม และการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการ สนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจรายสาขา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 765 | รายงานการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ ครั้งที่ 1 | นร | 28/08/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ ครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาห กรรม แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การค้า แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลและบริการ ภาครัฐเพื่อการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ และแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบข้อมูลโลจิสติกส์ของประเทศ และให้ หน่วยงานที่รับผิดชอบตามแผนปฏิบัติการ ฯ พิจารณาดำเนินการในรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาดำเนินการที่ ชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการพัฒนาระบบข้อมูลคลังสินค้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และการพัฒนา ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลและบริการภาครัฐ เพื่อการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ ให้เป็นโครงการตัวอย่าง และให้สำนักงบประมาณใช้เป็นกรอบในการพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2554 ต่อ ไป กับเห็นชอบให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม คณะ อนุกรรมการพัฒนาโลจิสติกส์การค้า คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลและบริการภาครัฐ เพื่อการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ และคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลโลจิสติกส์ รวมทั้งให้กระทรวงเทค โนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาระบบการเชื่อม โยงเครือข่ายข้อมูลและบริการภาครัฐเพื่อการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนา รายการข้อมูลมาตรฐาน การพัฒนาระบบเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงาน และการพัฒนาระบบสนับสนุน (Back Office) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบให้ สศช. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเพื่อการนำเข้า- ส่งออกเพื่อจัดทำเป้าหมายการปรับลดขั้นตอน และระยะเวลาการให้บริการของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้สอดคล้องกับ เป้าหมายการปรับลดเวลาที่ใช้กับงานเอกสาร และการดำเนินการเพื่อการส่งออกและนำเข้า จาก 24 วันเหลือ 15 วัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 766 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการดำเนินนโยบายหวยบนดิน" | สสป | 03/07/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการดำเนินนโยบายหวยบนดิน และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่ให้คงจุดยืนอยู่บน หลักการที่ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนการดำเนินนโยบายหวยบนดิน หรือการออกสลากกินรวบ รวมทั้งธุรกิจหรือ กิจการใด ๆ ที่เกี่ยวพันกับการพนัน และเร่งรัดการวินิจฉัยความถูกต้องตามตัวบทกฎหมายของการดำเนินนโยบาย "หวยบนดิน" โดยหากรัฐบาลไม่สามารถดำเนินการยกเลิก/หยุดการดำเนินนโยบาย "หวยบนดิน" อย่างเด็ดขาดใน ทันทีได้ ควรมีการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ อาทิ การจัดทำแผนการลด ละ เลิก แนวทางการแสวงหารายได้ ของประเทศจากการดำเนินนโยบายหวยบนดิน โดยให้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของการดำเนินนโยบายหวยบนดินไว้ อย่างชัดเจน การจัดทำแผนการลด ละ เลิก การออกสลากกินแบ่งรัฐบาล และการออกรางวัลอื่น ๆ ที่เข้าข่ายการ พนันหรือการมอมเมาสังคม การจัดทำแผนและเงื่อนไขการนำเงินรายได้จาก "หวยบนดิน" ไปใช้ประโยชน์ โดยเน้น การชดเชยและเยียวยาผลกระทบทางสังคม การยกเลิกกระบวนการส่งเสริมให้เกิดความมอมเมา หรือจูงใจแก่ประชา ชนให้นิยมเล่นหวยบนดินมากขึ้น รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการด้านกฎหมายที่จะปราบปรามหวยใต้ดินและมาเฟียใต้ ดินอย่างเฉียบขาด โดยกำหนดโทษของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และการสร้างมาตรการเร่งด่วนที่จะเยียวยาผลกระทบ ของประชาชนในกลุ่มพึ่งพารายได้จากการขายหวยบนดิน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 767 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 14 (GMS Ministerial Meeting) | นร | 03/07/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์) หัวหน้า
คณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 14 (GMS Ministerial Meeting) เสนอ ดังนี้ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 14 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนา ยน 2550 ณ ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยวัตถุประสงค์การประชุมเพื่อ พิจารณาให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์และโครงการลำดับความสำคัญสูงของ 9 สาขาความร่วมมือ ได้แก่ คมนาคม ขนส่ง โทรคมนาคม พลังงาน การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เกษตร การพัฒนาทรัพยา กรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพิจารณาให้ความเห็นชอบผลจากการศึกษาทบทวนกลางรอบ ของกรอบความร่วมมือ (Midterm Review) และให้ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงานกรอบ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregional Economic Cooperation, GMS) ในระยะต่อไป และการกำหนดแนวทางการทำงานและการระดมทุนร่วมกับองค์กรและประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ การพัฒนา และภาคเอกชน และรับทราบกำหนดการประชุมระดับผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Summit) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 30-31 มีนาคม 2551 ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว รวมทั้งเห็นชอบการดำเนินงานในระยะ เร่งด่วนเพื่อสนับสนุนกรอบความร่วมมือ GMS ทั้งนี้ ในการเร่งรัดการดำเนินงานความตกลงขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังประสานกับ กระทรวงคมนาคม และให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า จะมีกลไก/แนวทางใดที่จะทำให้การ ดำเนินงานของฝ่ายไทยทั้งในส่วนของกรอบความร่วมมือต่าง ๆ และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องสามารถประสาน เชื่อมโยงในการพิจารณาตัดสินใจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากยิ่งขึ้น และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกันในระดับยุทธ ศาสตร์ (strategy) ระดับภาคส่วน (sector) และระดับแผนงาน/โครงการ (program/project) โดยให้สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับไปศึกษาและพิจารณาภาพรวมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 768 | แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติของรัฐบาล | นร | 05/06/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งคณะกรรมการประสาน
งานด้านนิติบัญญัติของรัฐบาล จำนวน 15 ท่าน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ประสานการดำเนินงานเกี่ยวกับงานด้านนิติ บัญญัติตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ราบรื่น มีประสิทธิภาพและ บรรลุผลสมดังเจตนารมณ์ของรัฐบาล รวมทั้งประสานการดำเนินงานดังกล่าวกับคณะกรรมการประสานงานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และพิจารณากลั่นกรอง เสนอแนะ ตลอดจนให้ความ เห็นต่อนายกรัฐมนตรีในการเร่งรัดผลักดันกฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเสนอคณะ รัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 769 | รายงานผลการตรวจติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของจังหวัดยโสธร | นร | 05/06/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการตรวจติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของ
จังหวัดยโสธร ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2550 สรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมได้ดังนี้ ผลการตรวจติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข พบว่า จังหวัดยโสธรได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขในวง เงินงบประมาณ 65 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดได้จัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการต่าง ๆ แล้ว รวม 802 โครงการ วง เงินงบประมาณ 64.99 ล้านบาท และได้โอนเงินเข้าบัญชีหมู่บ้าน/ชุมชนแล้ว รวม 5 อำเภอ 334 โครงการ 29,696,881 บาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับ และยังอยู่ระหว่างการโอนเงินอีกจำนวน 468 โครงการ วงเงินงบประมาณ 35,301,937 บาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการโอนเงินให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชน ครบทั้งหมดภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 และจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2550 ส่วนการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยขณะนี้จังหวัดได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ และแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเฉพาะกิจ ฯ ปี พ.ศ. 2550 ไว้รองรับ แล้ว ในการนี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์) ได้มีข้อสั่งการในประเด็นสำคัญ อาทิ การเร่งรัดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข ให้จังหวัดเร่งรัดการดำเนินการโอนเงินงบประมาณให้แก่หมู่ บ้าน/ชุมชน เพื่อนำไปดำเนินโครงการให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งรวบรวมและประมวลปัญหาอุปสรรคในพื้นที่และราย งานไปให้ทราบอย่างเร่งด่วน และให้จังหวัดจัดประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงาน/ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความ เหมาะสมในการบูรณาการการดำเนินโครงการร่วมกัน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน ส่วนการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ให้จังหวัด นำเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบ GIS มาใช้ในการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาอุทกภัย รวมทั้งจัดทำแผนการป้อง กันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อนำเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็น แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในเชิงบูรณาการอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 770 | สรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาสแรกที่ 1/2550 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2550 | นร | 05/06/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไตรมาสแรกที่ 1/2550 และแนวโน้มเศรษฐกิจ
ปี พ.ศ. 2550 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยภาวะเศรษฐกิจไตรมาสแรก ที่ 1/2550 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ 4.3 เท่ากับการขยายตัวในไตรมาสที่ 4/2549 ในขณะที่เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพ เช่น อัตราเงินเฟ้อต่ำ การ จ้างงานยังเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูง เป็นต้น ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2550 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0-4.5 และอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 2.0-2.5 ปรับลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 4.0-5.0 และอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 2.5-3.0 สำหรับ มาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี พ.ศ. 2550 ได้แก่ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2550 ของภาครัฐให้ได้ตามเป้าหมาย การกำกับดูแลให้สามารถจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ได้ตามกำหนด และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการลงทุน อุตสาหกรรม และ การท่องเที่ยว การส่งเสริมการพัฒนาและใช้พลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง และการสร้างความมั่นใจในบรรยากาศ เศรษฐกิจและการเมือง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 771 | การเร่งรัดการดำเนินการมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 | นร | 22/05/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอการเร่งรัดดำเนินการมาตรการส่งเสริมการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 โดยกรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้ว เห็นว่า ไม่สามารถทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันโครงการ/รายการใดได้ทันภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 และเห็นควร ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ให้พิจารณานำเงินงบประมาณที่ได้รับจากการปรับแผน ฯ ไปดำเนินโครงการ/รายการ ดังนี้ (1) ดำเนินการตามสัญญา กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี เช่น ค่าสาธารณูปโภค ชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ ค่า (K) เป็นต้น (2) ดำเนินโครงการ /รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่สามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ (3) ดำเนินโครงการ/รายการที่ มีความจำเป็นเร่งด่วน และต้องใช้จ่ายงบประมาณเกินกว่าที่ได้รับการจัดสรร (4) ดำเนินโครงการ/รายการในการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน หรือเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน (5) ดำเนินโครงการ/รายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามนโยบายรัฐบาล และ (6) ดำเนินโครงการ/รายการที่ทำให้เพิ่มผลิตภาพผลผลิต (Productivity) ส่วนโครงการ /รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ไม่สามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2550 หากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้วเห็นว่าจะสามารถทำสัญญา/ก่อหนี้ผูกพันได้โดยเร็ว และยังไม่ ควรปรับแผน ฯ ไปดำเนินการโครงการ/รายการอื่น เนื่องจากเป็นโครงการ/รายการที่มีความจำเป็นเพื่อสนองต่อ เป้าหมายการให้บริการของกระทรวงและสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จรวมทั้งเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขยายเวลาดำเนินการได้ โดยจะต้องสามารถทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2550 และกรณีโครงการหรือรายการใดที่ ได้ปรับแผน ฯ เพื่อนำงบประมาณไปดำเนินการโครงการ/รายการอื่นแล้ว หากโครงการ/รายการเดิมยังมีความ จำเป็นที่จะต้องดำเนินการและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ให้ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเสนอต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจใน ขั้นการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และส่งสำนักงบประมาณภายใน วันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ทั้งนี้ การปรับปรุงรายละเอียดดังกล่าวจะต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละ กระทรวง โดยคำนึงถึงเป้าหมายการให้บริการของกระทรวงเป็นสำคัญด้วย และให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือ ปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 772 | รายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 (ตุลาคม 2549 - มีนาคม 2550) | นร | 22/05/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณี
เงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549-เดือนมีนาคม 2550 ได้รับแจ้งเรื่องใหม่ จำนวน 144 เรื่อง จำนวนเงินที่เสียหาย 185,592,360.42 บาท และน้ำมันเชื้อเพลิง 93,330 ลิตร สามารถดำเนินการจนได้ผลเป็นที่ยุติทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย จำนวน 26 เรื่อง เรียกเงิน ชดใช้คืนได้ จำนวน 8,466,827.52 บาท และเรื่องที่อยู่ระหว่างการเร่งรัด ติดตาม จำนวน 1,035 เรื่อง จำนวน เงินทั้งสิ้น 11,054,909,529.06 บาท โดยอยู่ระหว่างดำเนินการทางแพ่ง 746 เรื่อง ทางอาญา 955 เรื่อง และ ทางวินัย 662 เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 773 | การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กต | 08/05/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๕ มกราคม ๒๕๕๐ ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยมีผลการประชุม ในประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การรวมตัวของอาเซียน ๑.๑ ที่ประชุมเห็นชอบที่จะเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้เสร็จสิ้นเร็วขึ้นกว่าเป้าหมายเดิม ๕ ปี คือ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) และได้ออกปฏิญญาเซบูประกาศการตัดสินใจดังกล่าว ๑.๒. ผู้นำประเทศอาเซียนได้พบกับคณะผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้มอบรายงานเรื่องกฎบัตรอาเซียนพร้อมข้อเสนอแนะสำหรับการยกร่างกฎบัตรอาเซียน โดยเห็นพ้องกับข้อเสนอแนะหลายเรื่อง อาทิ การให้อาเซียนสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที การลดช่องว่างของการพัฒนา การให้สถานะนิติบุคคลแก่อาเซียน และการเสริมสมรรถนะของสำนักเลขาธิการอาเซียน ๑.๓ นายกรัฐมนตรีไทยได้เสนอให้การดำเนินการเกี่ยวกับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนมีประชาชนเป็นหัวใจ (“People - centered Integration”) โดยให้ความสำคัญลำดับแรกต่อกิจกรรมที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์โดยตรง อาทิ การศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ รวมทั้งเสนอให้มีการจัดตั้งกลไกด้านสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคโดยเริ่มต้นจากคณะกรรมการของอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี และส่งเสริมการศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนในระดับภูมิภาค ๑.๔ นายกรัฐมนตรีไทยเสนอว่าอาเซียนควรมีงบประมาณสนับสนุนการลดช่องว่างของระดับการพัฒนาซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการรวมตัวของอาเซียน โดยประเทศที่พัฒนากว่าน่าจะสนับสนุนได้มากกว่า และควรให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนาระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันในภูมิภาคในเรื่องนี้ ๑.๕ ที่ประชุมได้ย้ำถึงความจำเป็นที่นานาประเทศจะต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคระลอกใหม่ โดยนายกรัฐมนตรีไทยเสนอให้กระชับความร่วมมือด้านการป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเยาวชนและทารก และการแพร่ระบาดตามชายแดน การดูแลรักษาผู้ป่วย และผลักดันการพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ให้มีราคาที่เป็นธรรม ๒. ที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาพลังงานทางเลือกและพลังงานทดแทน การแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ อาทิ ปัญหาหมอกควันและอุทกภัย การต่อต้านการก่อการร้าย เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลที่การเจรจาการค้ารอบโดฮาชะงักงัน และเรียกร้องให้ทุกประเทศแสดงความยืดหยุ่นเพื่อรื้อฟื้นการเจรจาโดยเร็ว รวมทั้งได้ออกแถลงการณ์ว่าด้วยข้อเสนอสำหรับการแปลงหนี้สินเป็นทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของสหประชาชาติระหว่างการหารือกับองค์กรภาคประชาชนสังคม ๓ องค์กร ได้แก่ องค์การรัฐสภาอาเซียน สมัชชาประชาชนอาเซียน และสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ๓. ที่ประชุมได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในพม่าที่จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของอาเซียน โดยไทยและประเทศอื่น ๆ เห็นควรมีการฟื้นฟูบทบาทของอาเซียนในระดับภูมิภาคในเรื่องพม่า สำหรับเกาหลีเหนือ ไทยย้ำกับประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีว่าอาเซียนสามารถมีบทบาทในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับเกาหลีเหนือ และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อสร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อการเจรจา ๖ ฝ่ายเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ๔. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่าอาเซียนควรมียุทธศาสตร์ร่วมในการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาเพื่อสนับสนุนทั้งสามเสาหลักของอาเซียน รวมทั้งต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันในประเด็นสำคัญเพื่อให้อาเซียนมีบทบาทนำต่อไป ๕. ในการประชุมหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา นายกรัฐมนตรีไทยได้เน้นความสำคัญของความร่วมมือในการเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคม เนื่องจากจะช่วยส่งเสริมระบบการขนส่ง การติดต่อไปมาหาสู่กันของประชาชน และการค้าการลงทุน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีไทยได้หารือกับผู้นำประเทศต่าง ๆ อาทิ การประชุมหารือกับจีนในประเด็นการเร่งรัดการจัดตั้งศูนย์อาเซียน - จีน ที่กรุงปักกิ่ง เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน การหารือกับญี่ปุ่นในประเด็นเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดอาเซียน - ญี่ปุ่น และการหารือกับสาธารณรัฐเกาหลีในประเด็นการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชิตสำหรับรถยนต์ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 774 | การกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) | มท | 08/05/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอหลักการในการเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณภาค
รัฐเป็นปัจจัยหลักสำหรับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี พ.ศ. 2551 และมอบหมาย ให้กระทรวง/กรมที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. 2551 เพื่อ ดำเนินแผนงาน/โครงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ในกรอบแผนงาน/โครงการสำคัญ ๆ รวมทั้ง มอบหมายสำนักงบประมาณให้ความสำคัญกับการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนแผนงาน/โครงการ ฯ และให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเน้นในด้านการพัฒนอาชีพการเกษตรและด้านการ พัฒนาด้านสังคม เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐทางด้านการศึกษาและสาธารณสุขให้มีมาตรฐานที่อาจจะสูงกว่า เกณฑ์มาตรฐานของประเทศ และเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยปรับแผน งบประมาณของกระทรวงในแผนงานที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 สนับสนุนให้แผน งานที่มีความพร้อมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทบทวนโครงการที่ภาคเอกชน ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากภาวะต้นทุนการก่อสร้างและความปลอดภัย ให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ดำเนินการ ตามแนวทางของมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายของสำนักงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550 ส่วนการจัดสรรงบประมาณในปี พ.ศ. 2551 ควรให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณตามกรอบแผนงานที่เน้น ด้านการเกษตร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรด้านสาธารณสุขและการศึกษา โดยเพิ่มงบประมาณใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และเพิ่มงบด้านชุดพัฒนาชุมชนตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขของชุมชน โครงการ คพพ. และโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับตำบลเป็น 2 เท่าจากที่ได้รับจัดสรรในปัจจุบัน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 775 | รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงคมนาคมในรอบ 6 เดือน ของปีงบประมาณ 2550 (ตุลาคม 2549 - มีนาคม 2550) | คค | 01/05/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงคมนาคม ในรอบ 6
เดือน ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 (ตุลาคม 2549-มีนาคม 2550) ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ การ เร่งรัดการแก้ไขปัญหาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในส่วนของการปรับปรุงทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดอากาศยาน การปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร และการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การกำหนดแนวทางการใช้ ประโยชน์จากท่าอากาศยานดอนเมืองระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซมทางวิ่งและทางขับของท่าอากาศยานสุวรรณ ภูมิ โดยย้ายเที่ยวบินภายในประเทศที่ไม่มีการต่อเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มาใช้ท่าอากาศยานดอน เมืองตามความสมัครใจของสายการบิน รวมทั้งศึกษาความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ การดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน และ ช่วงบางซื่อ-รังสิต และระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ และสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ -ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค การส่งเสริมและสนับสนุนการคมนาคมขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อาทิ การใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น การเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้น ฐานและการให้บริการทางรถไฟ เพื่อเป็นระบบหลักในการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ การผลักดันให้ มีการเสนอกฎหมายใหม่เพื่อเป็นการวางรากฐานการบริหารจัดการและกำกับดูแลในด้านการคมนาคมขนส่งที่ดี การเข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติเพื่อกำหนดทิศทางในการพัฒนาของประเทศให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากทิศทาง การพัฒนาและความร่วมมือของภูมิภาค การผ่อนคลายภาระหนี้สินค่าน้ำมันพร้อมทั้งค่าเหมาซ่อมให้กับองค์การ ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และเร่งรัดให้ ขสมก. จัดทำแผนการปรับโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูฐานะการเงิน และจัด ทำแผนการใช้รถโดยสารประจำทางด้วยก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนค่าน้ำมัน และดำเนินการแก้ไขปัญหาการ ทุจริตและประพฤติมิชอบในการจัดซื้อ จัดจ้าง และการให้สัมปทานในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 776 | มาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 | นร | 10/04/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบ
ประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 เพิ่มเติมจากมาตรการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 เรื่อง มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550 เรื่อง แนวทางการผ่อนผันสำหรับรายจ่ายลงทุน กรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจใช้ในการกำกับ ดูแล ติดตาม เร่งรัดและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 777 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร | กษ | 27/03/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายรุ่งเรือง อิศราง
กูร ณ อยุธยา) ประธานอนุกรรมการเร่งรัดและติดตามผลการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร เสนอการ ปรับปรุงคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรใหม่ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒน ศิริธรรม) เป็นประธานกรรมการ แทนรองนายกรัฐมนตรี (นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 778 | แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมระยะเร่งด่วน | นร | 27/03/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
ดังนี้ รับทราบตามความเห็นของ สศช. เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและในช่วงระยะเวลาที่เหลือ ของรัฐบาล ประมาณ 7 เดือน ที่ประมวลจากผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม ซึ่งเห็นว่า เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง สาเหตุมาจากการลงทุนของภาคเอกชนมีแนวโน้วชะลอตัวลง อย่างต่อเนื่องส่งผลให้การนำเข้าสินค้ามีอัตราการเพิ่มที่ชะลอลง และเริ่มมีส่วนทำให้มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ในระดับสูง ส่งผลให้มีอุปทานของเงินตราต่างประเทศมากกว่าอุปสงค์ และนำไปสู่แรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น โดยสรุปปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2550 มาจาก 3 ปัจจัย ที่มีความเชื่อมโยงเป็นเหตุ และผลซึ่งกันและกัน คือ ค่าเงินบาท การชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ และความเชื่อมั่น ของนักลงทุน และอนุมัติมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมระยะเร่งด่วน ได้แก่ การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ให้ได้ตามเป้าหมายรวมร้อยละ 85 การพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับโครงการยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข ระดับจังหวัด เพิ่มเติมอีก 5,000 ล้านบาท การเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ได้เป้าหมายการเบิกจ่ายรวม ร้อยละ 90 โดยเฉพาะการลงทุนของ ปตท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงถึง 58,000 ล้านบาท รวมทั้ง อนุมัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2551 จำนวน 1,000 ล้านบาทเพื่อจัดสรรให้กับโครงการที่เสนอโดยชุมชนและ ส่วนราชการภายใต้แผนปฏิบัติการ 3 ฝ่ายในพื้นที่อำเภอมาบตาพุด จังหวัดระยอง ได้แก่ ชุมชน อุตสาหกรรม และหน่วยราชการ เพื่อลดและขจัดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยอง ทั้งนี้ มาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมระยะ เร่งด่วน ให้เพิ่มเติมเรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ใน อนาคต (กรอ.) โดยให้กระทรวงศึกษาธิการประสานการดำเนินการกับสำนักงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 779 | รายงานผลการแถลงข่าวโครงการเปิดทองหลังพระ - ท่องเที่ยวสืบสานโครงการพระราชดำริ ณ สหรัฐอเมริกา และรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 10 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ | นร | 13/03/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการแถลงข่าวโครงการเปิดทอง
หลังพระ-ท่องเที่ยวสืบสานโครงการพระราชดำริ (Royal Initiative Discovery) ณ นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐ อเมริกา ระหว่างวันที่ 21-26 มกราคม 2550 และการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 10 ณ สาธารณรัฐ สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 28 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2550 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สรุป ได้ดังนี้ ผลการแถลงข่าวโครงการเปิดทองหลังพระ-ท่องเที่ยวสืบสานโครงการพระราชดำริ ณ สหรัฐอเมริกา สื่อ มวลชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมทั้งบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ ได้ให้ความสนใจโครงการ ฯ อย่างมาก และ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่อสถานการณ์ของประเทศไทย ส่วนผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว อาเซียน ครั้งที่ 10 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ที่ประชุม ฯ ได้มีแถลงการณ์ร่วมกัน (Joint Media Statement) โดยมี ประเด็นสำคัญคือ การเร่งรัดการรวมกลุ่มในสาขาท่องเที่ยวและการบินให้เป็นไปตามแผนการเปิดเสรี (Roadmap on Liberalization) ให้เสร็จภายในปี พ.ศ. 2553 การเร่งรัดการอำนวยความสะดวกการเดินทางเพื่อให้อาเซียน เป็น single destination การท่องเที่ยวทางเรือ (cruise tourism) มาตรฐานและการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพโดยเฉพาะ มาตรฐานโรงแรม (Green Leaf) และความปลอดภัย (standard, quality and safety) การจัดทำข้อตกลงเพื่อการ ยอมรับมาตรฐานวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวรวมกัน (Mutual Recognition Agreement on Tourism Professionals) การบริหารจัดการ และการฝึกอบรมในเรื่อง การสื่อสารในภาวะวิกฤต (crisis communication) และการเป็นเจ้า ภาพจัดการประชุม ASEAN Tourism Forum 2008 ของไทย ระหว่างวันที่ 18-26 มกราคม 2551 ณ กรุงเทพ ฯ นอกจากนี้ ยังมีการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ 6 ซึ่งได้มีแถลงการณ์ ร่วมกันในประเด็นการจัดตั้งศูนย์ ASEAN-China Centre และ ASEAN-ROK Centre เพื่อการส่งเสริมการค้า การลง ทุนและการท่องเที่ยว รวมถึงข้อริเริ่มของญี่ปุ่นในโครงการเยาวชนเพื่อการส่งเสริมการเดินทางและแลกเปลี่ยน และ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 40 ปี ของการก่อตั้งอาเซียน และการหารือในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีของไทย กับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยได้มีการหารือในเรื่องกรอบสามเหลี่ยมมรกต และกรอบ IMT-GT เพื่อการสานต่อความร่วมมืออันเป็นผลจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 12 และการ ประชุมสุดยอด IMT-GT ครั้งที่ 2 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 13-14 มกราคม 2550
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 780 | การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล | นร | 20/02/2550 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์
การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ตามมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2550 ดังนี้ เห็นชอบการขอขยายแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ต่อไปอีก 2 ปี โดยให้ปรับจากแผนปฏิบัติงานที่กำหนดไว้เดิม และให้ครอบคลุมทั้งเรื่องการสำรวจบุคคล การเร่งรัดกำหนด สถานะและการให้สิทธิ และการป้องกันการเข้ามาใหม่ โดยให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปพิจารณา ดำเนินการ และผ่อนผันให้บุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชนบนพื้นที่สูงอาศัยอยู่ชั่วคราวเพื่อเข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหา ตามยุทธศาสตร์ ฯ รวมทั้งรับทราบการยืนยันความจำเป็นในการขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินโครงการสำรวจ จัดทำทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตนสำหรับบุคคลที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนราษฎรในปี พ.ศ. 2550 เป็น กรณีเร่งด่วนโดยให้กรมการปกครองจัดทำโครงการและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยตรงต่อไป และคำสั่งสำนักนายก รัฐมนตรี ที่ 31/2550 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ และรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ได้ รับมอบหมาย เป็นเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการดำเนินการแก้ ไขปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลต่อคณะรัฐมนตรี อำนวยการ ประสานงาน กำกับดูแลและติดตามการดำเนิน งานตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ตลอดจนพิจารณากลั่นกรองแผนงานโครงการ และมาตรการที่เกี่ยวข้องก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และพิจารณาเสนอแนะแนวทางการ ปรับปรุงยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลให้สอดคล้องกับสถานการณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
