ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 701 | โครงการ "2553 ปีแห่งความปลอดภัย" | คค | 29/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอโครงการ "2553 ปีแห่งความปลอดภัย" โดยสาระ
สำคัญของโครงการ ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ การมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการตามยุทธศาสตร์ "คมนาคมปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข" โดยจัดทำแผนงาน โครงการ มาตรการ และ กิจกรรมรองรับทั้งในเรื่องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Engineering) การเข้มงวด กวดขัน และบังคับใช้กฎหมายอย่าง จริงจัง (Enforcement) และรณรงค์ให้คนมีวินัยในเรื่องการจราจรและการเดินทาง (Education) 2. แผนปฏิบัติการด้านความปลอดภัยในระบบขนส่งและการรองรับการเดินทางของประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2553 ได้แก่ การนำแผนแม่บทความปลอดภัยของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น แผนแม่ทบทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2552-2555 ของกระทรวงมหาดไทย แผนปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย และแผนรักษาความปลอดภัยของ หน่วยงานในสังกัด แผนแม่บทและแผนปฏิบัติการด้านความปลอดภัยในการคมนาคมทางน้ำ และแผนรักษาความ ปลอดภัยการบินพลเรือนแห่งชาติ เป็นต้น มาใช้เป็นกรอบในการจัดทำและบูรณาการการปฏิบัติกับทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ประกอบด้วย 2 แผนหลัก ได้แก่ แผนอำนวยความสะดวก มั่น คง และปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 และแผนปฏิบัติการด้านความปลอด ภัยในระบบขนส่ง ปี 2553 3. การบูรณาการแผนงานด้านความปลอดภัยกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินการจัด ทำบันทึกความตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น การ แก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟกับถนน การกำหนดให้มีหลักสูตรภาคบังคับเพื่อเสริมสร้างวินัยจราจรในสถานศึกษา การกำหนดให้ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะปลอดจากแอลกอฮอล์ เป็นต้น เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 702 | รายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 (1 ตุลาคม 2551 - 30 กันยายน 2552) | นร | 15/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 (1 ตุลาคม 2551-30 กันยายน 2552) สรุปได้ดังนี้ ผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชี ฯ สามารถยุติเรื่องได้ จำนวน 67 เรื่อง โดยผลการยุติทางแพ่ง หน่วยงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำการทุจริตได้ชดใช้เงินคืนให้กับทางราชการ จำนวน 17,971,703.45 บาท มีการลง โทษผู้กระทำผิดทางวินัยโดยการไล่ออก จำนวน 23 ราย ปลดออก/เลิกจ้าง จำนวน 10 ราย ตักเตือน ตัดเงิน เดือนลดขั้นเงินเดือน จำนวน 30 ราย และอยู่ระหว่างรอผลการอุทธรณ์ และอื่น ๆ จำนวน 3 ราย สำหรับผลการ ยุติทางอาญา มีเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของอัยการหรือศาล จำนวน 40 ราย และไม่มีการดำเนินคดี ทางอาญาหรือไม่ใช่กรณีทุจริต และอื่น ๆ จำนวน 27 ราย และจากการตรวจสอบข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 ปรากฎว่า มีเรื่องที่ต้องดำเนินการเร่งรัดต่อไป (เรื่องที่สะสมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน) จำนวน 1,820 เรื่อง จำนวนเงินที่เสียหาย 5,247,069,577.84 บาท โดยเรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการทางแพ่ง และอาญา 2. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับไปดำเนินการ จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อศึกษาและวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการป้องกันและ แก้ไขปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ โดยประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 703 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | นร | 15/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบเรื่อง มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ 2. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับ 53 โครงการ ซึ่งขอรับการจัด สรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มเข็ง 2555 ไม่ทันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 เร่งดำเนินการจัดส่งข้อมูลให้ สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 มกราคม 2553 ต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม 3. สำหรับโครงการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว) และกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินการเองได้ และประสงค์ที่จะ มอบให้หน่วยงานอื่นเข้ามาดำเนินการและเบิกเงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ แทน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 (เรื่อง การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินการและหลักเกณฑ์ภายใต้แผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555) ว่า คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุ ประสงค์โดยรวดเร็ว ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน่วยงานที่จะเข้ามาดำเนินโครงการเท่า นั้น จึงให้ดำเนินการต่อไปได้นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงาน อื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ดังกล่าว ในลักษณะของการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกันให้ถูกต้องตามข้อกฎ หมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 704 | มาตรการป้องกันและกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล | กษ | 15/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบสถานการณ์เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในประเทศไทย ซึ่งพบการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำ ตาลทำลายนาข้าวในแถบจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 18 จังหวัด คือ กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครนายก ขอนแก่น และมหาสารคาม เป็นพื้นที่ 1.985 ล้านไร่ และ มีแนวโน้มการระบาดมากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจติดตามพบว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกำลังแพร่กระจายและอพยพ ขึ้นไปทางภาคเหนือ และจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าว ประมาณ 1.1 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็นมูล ค่าไม่ต่ำกว่า 11,000 ล้านบาท รวมทั้งอาจจะขยายการระบาดไปทั่วประเทศ หรืออาจเพิ่มปริมาณและระบาด ทำลายต้นข้าวในฤดูกาลต่อไป เป็นพื้นที่มากถึง 5-10 เท่า สำหรับมาตรการดำเนินการป้องกันและกำจัดเพลี้ย กระโดดสีน้ำตาล ประกอบด้วย มาตรการระยะเร่งด่วนระยะสั้น : แผนปฏิบัติการควบคุมกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำ ตาล ได้แก่ จัดตั้งศูนย์อำนวยการควบคุมกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ประชุมชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติงานแก่ผู้ที่ เกี่ยวข้องทั้งระดับส่วนกลางและระดับจังหวัดทุกจังหวัด สำรวจตรวจสอบ วิเคราะห์พื้นที่การระบาด อายุข้าว และ วงจรชีวิตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และกำหนดวัน ดี เดย์ D-Day Big Cleaning Lock and Seal Area เพื่อระดม ฉีดพ่นสารเคมีพร้อมกันทุกจังหวัด และมาตรการระยะยาว ได้แก่ การเร่งรัดงานวิจัยด้านพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ย กระโดดสีน้ำตาล ด้านการป้องกันกำจัด การรักษาสมดุลตามธรรมชาติ เพื่อให้มีสายพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทาน ต่อโรคอย่างแมลงและโรคอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มปริมาณการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และจัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน 2. เห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นผู้รับผิดชอบ หลัก และใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ฯ ใ นการดำเนินการ และหากมีการ ใช้เงินทดรองราชการไปบางส่วนแล้วให้สามารถใช้เงินทดรองราชการที่มีอยู่ดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอต่อไปจนแล้วเสร็จตามแผนปฏิบัติการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 705 | การรายงานเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2552 | นร | 08/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคาร
ที่ 15 ธันวาคม 2552 ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้ 1. ให้กระทรวงการคลังประสานกับสำนักงบประมาณรายงานข้อมูลโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 ที่ไม่สามารถขอรับการจัดสรรเงินได้ทันภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2552 (เรื่อง มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555) 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเร่งรัดติดตามกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความเสียหายที่เกิดจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 706 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | นร | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้สำนักงบประมาณเร่งประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบ
รวมข้อมูลโครงการต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้เสนอขอรับการจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ให้ถูกต้อง ครบถ้วน แล้วให้สำนักงบประมาณจัดทำผลการวิเคราะห์เบื้องต้น และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวประชุม ครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 707 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวัน ที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 100.00 ของวงเงินตามแผนที่ได้รับอนุมัติให้ ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 1.2 ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 1.3 ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินโครงการ ฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ดำเนินการลงนามในสัญญา ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 และบันทึกข้อมูลแผนงาน งวดงานและงวดเงิน ตามระเบียบที่กระทรวงการคลัง กำหนด และให้รายงานผลความก้าวหน้าตามแผนงาน งวดงานและงวดเงินที่สอดคล้องกับความสำเร็จของงาน ในแต่ละเดือนไตรมาส เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ของโครงการ 1.4 ให้นำอัตราการเบิกจ่ายเงินโครงการ ฯ ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำ รับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงาน 1.5 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับเงินโครงการ ฯ ให้ปฏิบัติตามแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด 1.6 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพิ่มบทบาทให้คลังจังหวัดดำเนินการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินโครง การ ฯ ของส่วนราชการในจังหวัดเพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย 2. เว้นแต่กรณีหน่วยงานใดไม่สามารถส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้ว เสร็จได้ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ตามที่กำหนดตามมาตรการ ฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำเรื่องดังกล่าว เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 708 | การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร | นร | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ณ วันที่ 19
พฤศจิกายน 2552 และเห็นชอบเร่งรัดหน่วยงานดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรเสนอ ดังนี้ 1. หลักเกณฑ์การใช้สิทธิชดเชยของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้ใช้แนวทางเดียวกันกับการใช้สิทธิของเกษตร กรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปี 2552/53 ที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ทันทีนับถัดจากวันทำสัญญา โดย ให้ระยะเวลาธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตรวจสอบก่อนจ่ายเงินได้ไม่เกิน 15 วัน และ ให้สิ้นสุดการใช้สิทธิในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ยกเว้นภาคใต้สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2553 2. ให้ ธ.ก.ส. เร่งดำเนินงานโครงการรับฝากข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรเพื่อรอการจำหน่าย ปีการ ผลิต 2552/53 ของ ธ.ก.ส. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 โดยเร็ว ซึ่งควรเริ่มดำเนินการให้ได้ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2552 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอนการปฏิบัติ และกรอบระยะเวลาการ ดำเนินงานกรณีข้าวรอบ 2 เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติพิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายน 2552 เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติในพื้นที่มีความพร้อมเมื่อถึงกำหนดเวลา 4. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่ง ขณะนี้ล่าช้ากว่ากำหนดการที่ได้ตั้งไว้ให้ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด 5. ให้กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รวมทั้งกรมพัฒนาที่ดินเร่งทบทวนข้อมูล ทบก. ทพศ. กับฐานข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ฐานข้อมูลด้านกายภาพของกรมพัฒนาที่ดิน และ ฐานข้อมูลที่ ธ.ก.ส. ใช้ทำสัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่เพาะปลูกที่แจ้งจดทะเบียนมากกว่าพื้นที่ที่มีอยู่จริง โดยควร มีระบบการเรียงลำดับข้อมูลตามประเภทของเอกสารสิทธิที่ใช้จดทะเบียน และลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน และ ทบทวนข้อมูลชนิดของพืช และปฏิทินการเพาะปลูกที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม อันเนื่องมาจากการใช้เครื่องจักร กลในการเก็บเกี่ยวมากขึ้น รูปแบบการผลิตที่เปลี่ยนจากการดำเป็นการหว่านในกรณีของข้าว รวมทั้งการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการปรับปรุงปฏิทินการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินการของโครงการในปี พ.ศ. 2553/54 มีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น 6. ให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนพืชเศรษฐกิจที่มีพื้นที่ที่ มีความแตกต่างอย่างต่อเนื่อง และรายงานต่อคณะกรรมการประสาน ฯ ทุกสัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 709 | ปัญหาการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552/53 | พณ | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 1.1 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเร่งรัดออกหนังสือรับรองผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรและผ่านการทำประชาคมแล้ว แต่ยังไม่ได้รับหนังสือรับรองผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่ คงเหลืออยู่ ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2552 และให้ผ่อนผันการออกหนังสือรับรองผลการขึ้นทะเบียน เกษตรกรที่ปลูกข้าวอายุสั้น (ต่ำกว่า 100 วัน) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่รับรองเข้าร่วมโครงการ ประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี (รอบที่ 1) ปีการผลิต 2552/53 เฉพาะครั้งนี้เท่านั้น โดยใช้เกณฑ์ราคา ประกันและเกณฑ์กลางอ้างอิงเช่นเดียวกับข้าวเปลือกเจ้าที่รัฐบาลได้กำหนดไว้แล้ว รวมทั้งให้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษ เพื่อดำเนินการตรวจสอบเอกสารการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เกี่ยวกับพันธุ์ข้าวที่เกษตรกรเพาะปลูก และแก้ ไขให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงของพันธุ์ข้าวที่เกษตรกรได้ทำการเพาะปลูกจริง และดำเนินการสำรวจเกษตรกรผู้ปลูก ข้าวที่ตกสำรวจการเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ และให้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ ฯ ได้ หากเกษตรกรที่ตกสำรวจ ยังมีข้าวเปลือกอยู่ในมือ (มีข้าวเปลือกอยู่ในยุ้งฉางของตนเอง หรือมีข้าวอยู่ในแปลงของตนเอง) และเป็นของตนเอง อย่างแท้จริง 1.2 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตรวจสอบว่า เกษตรกรที่ได้จำหน่าย ข้าวเปลือกไปก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2552 และได้รับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและทำประชาคมแล้ว หากเกษตรกรดัง กล่าวไม่ได้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 ให้สามารถใช้สิทธิตามโครงการประกันราย ได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี 2552/53 ได้ 2. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เสนอเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินการออก หนังสือรับรองผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เสนอให้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษเฉพาะเพื่อดำเนินการ นั้น ในทางปฏิบัติขอให้หน่วยงาน ต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในแต่ละด้าน เช่ น การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารการขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวที่เกษตรกร เพาะปลูกจริง และเกษตรกรที่ตกสำรวจการเข้าร่วมโครงการ เป็นต้น จัดบุคลากรเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 3. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับไปประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจให้ ถูกต้องตรงกันและดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ให้เกษตรกรที่ได้ทำสัญญากับ ธ.ก.ส. เรียบ ร้อยแล้วขอใช้สิทธิประกันรายได้ได้ทันที ให้สอดคล้องกับความประสงค์ของเกษตรกร ทั้งในส่วนของเกษตรกรที่ได้ จัดทำสัญญากับ ธ.ก.ส. ไว้แล้ว และเกษตรกรรายใหม่ที่กำลังจะทำสัญญา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 710 | การรับรองร่างเอกสารสำคัญในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 17 | กต | 10/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบเอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 21 (21st APEC Ministerial Meeting-AMM) การประชุมรัฐมนตรีคลังเอเปค (APEC Finance Ministers Meeting) และการประชุมผู้ นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 17 (17th APEC Economic Leaders''Meeting-AELM) ซึ่งสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดการ ประชุมดังกล่าว ระหว่างวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2552 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 และวันที่ 14-15 พฤศจิกา ยน 2552 ตามลำดับ โดยเอกสารสำคัญที่จะมีการรับรอง ได้แก่ ร่างเอกสารร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเอเปค (Joint Statement) มีสาระแสดงเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก การวางรากฐานเพื่อการฟื้นฟู เศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกผ่านการส่งเสริม การค้าพหุภาคี การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายโบกอร์ การวางรากฐานเพื่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แป ซิฟิก และการเร่งรัดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ และร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (Leaders'' Declaration) มีสาระสำคัญสะท้อนเจตนารมณ์ของเอเปคที่จะสร้างการเจริญเติบโตอย่างสมดุล เท่าเทียม และยั่งยืน ผ่านการ ดำเนินงานที่ส่งเสริมการค้าระดับพหุภาคี การต่อต้านการกีดกันทางการค้า การเร่งรัดการรวมกลุ่มเศรษฐกิจใน ภูมิภาค การส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ การส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ การเพิ่มธรรมาภิบาลและความ โปร่งใส และการพัฒนาการทำงานของสำนักเลขาธิการเอเปค เป็นต้น 2. หากจำเป็นต้องแก้ไขหรือปรับปรุงร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง ให้ กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก |
|||||||||||||||||||||||||||
| 711 | ความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2552 | นร | 27/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรม
การประสานการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร เสนอดังนี้ 1. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2552 2. รับทราบกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ ฯ โดยให้ถือเป็นเพียงมาตรการในการเร่งรัดการ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยยึดหลักการว่า เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจควรต้องได้รับสิทธิ เข้าร่วมในโครงการ ฯ ตรงตามข้อเท็จจริงของการเพาะปลูก 3. เห็นชอบระบบการตรวจสอบพื้นที่การขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ดังนี้ 3.1 ให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุพื้นที่ระดับตำบลที่มีความผิดปกติสูงเกินกว่าร้อยละ 20 ส่ง ให้คณะอนุกรรมการติดตามผลการดำเนินงานโครงการประกันรายได้ ฯ ทราบและดำเนินการ 3.2 ให้คณะอนุกรรมการติดตาม ฯ แจ้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิต ผลการเกษตรระดับจังหวัด และคณะทำงานฯ ระดับอำเภอและตำบลดำเนินการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนเกษตรกร และทะเบียนการปลูกพืชเศรษฐกิจ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 3.3 ให้คณะทำงานระดับอำเภอและตำบลตรวจสอบพื้นที่และรับรองข้อมูลทะเบียน ฯ และแจ้งผลการ ตรวจสอบให้คณะกรรมการ ฯ ระดับจังหวัดทราบภายใน 5 วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้ดำเนินการจากคณะ อนุกรรมการติดตาม ฯ 3.4 ให้คณะกรรมการ ฯ ระดับจังหวัดพิจารณาให้ความช่วยเหลือ และแจ้งผลไปยังคณะอนุกรรมการ ติดตาม ฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใน 5 วันทำการ เพื่อให้ ธ.ก.ส. ดำเนิน การในกรณีที่พบความผิดปกติ คือ กรณีที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยไปแล้ว ให้มีการติดตามและประเมินความเสียหาย ที่เกิดขึ้น และให้ ธ.ก.ส. พิจารณาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป และกรณีที่ยังไม่ได้จ่ายเงินชดเชย ให้ชะลอ การจ่ายเงินชดเชยไว้ 3.5 กรณีคณะอนุกรรมการติดตาม ฯ ดำเนินการสุ่มตรวจสอบพื้นที่และข้อมูลเกษตรกร และทะเบียน การปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ที่มีความผิดปกติ ให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด และสำนักงานพัฒนาที่ดิน เขต/สถานีพัฒนาที่ดิน สนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการติดตาม ฯ ในการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ที่ จะทำการตรวจสอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 712 | แนวทางดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการรับเรื่องราวร้องเรียนของประชาชน และการใช้ พ.ร.บ. กฎหมายความมั่นคงฯ ในพื้นที่ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา | นร | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับแนวทางการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปหารือร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายถาวร เสนเนียม) ในการจัดตั้งคณะ กรรมการระดับสูงเพื่อรับผิดชอบในการวางกรอบและระบบการอำนวยการ การเร่งรัด ติดตาม ประเมินผล และ การประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้กระบวนการสอบสวนข้อร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 2. เห็นชอบในหลักการให้มีการยกเลิกประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัด สงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอนาทวี ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2552 นี้ และให้นำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาบังคับใช้แทน โดยมอบ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม |
|||||||||||||||||||||||||||
| 713 | การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร | นร | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการประกันรายได้
เกษตรกร ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 และการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 9 ตุลา คม 2552 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการประสานงาน โครงการประกันรายได้เกษตรกรเสนอ และเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวง พาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ดังนี้ 1. กรณีปริมาณสูงสุดที่เกษตรกรปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ให้เกษตรกรสามารถเลือกใช้สิทธิการชด เชยในข้าวแต่ละชนิดในปริมาณที่เกษตรกรมีผลผลิตจริง และขึ้นทะเบียนไว้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินจำนวนขั้นสูงที่โครง การกำหนดของข้าวชนิดนั้น ๆ และเมื่อนำผลผลิตที่ใช้สิทธิทั้งหมดมารวมกันแล้ว ต้องไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าว ชนิดที่กำหนดผลผลิตไว้สูงสุด และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งแจ้งเจ้าหน้าที่ ในระดับพื้นที่ทราบ 2. การคิดปริมาณชดเชยกรณีของจังหวัดที่มิได้มีการกำหนดผลผลิตต่อไร่ระดับจังหวัดไว้ ให้ใช้ผลผลิต ต่อไร่ของพืชชนิดนั้น เฉลี่ยของระดับภาค และหากของระดับภาคไม่ได้ระบุไว้ ให้อนุโลมใช้ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยของ ระดับประเทศ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ ธ.ก.ส. เร่งทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว 3. กรณีผลผลิตต่อไร่ระดับจังหวัดที่เกษตรกรเห็นว่าไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกษตรกรผลิตได้ ให้ คงตัวเลขเดิมที่ได้ประกาศไปแล้ว และกำหนดเกณฑ์ทอนความชื้นเพิ่มเติม และประกาศให้ทราบทั่วกัน เพื่อให้การ คำนวณผลผลิตต่อไร่ระดับจังหวัดสอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น และเป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรโดยด่วนต่อไป 4. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว) รับประเด็นการจัดเตรียมแนวทางการดำเนินการ ประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว รอบที่ 2 ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และ ธ.ก.ส. เพื่อกำหนดช่วงเวลา และหลักเกณฑ์การใช้สิทธิในการประกันรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้เหมาะสม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ครั้งหนึ่ง 5. ให้ประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมการมอบหมายให้ปลัดกระทรวง พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงข้าว เป็นผู้ลงนามในประกาศเกณฑ์กลางอ้างอิง ของข้าว ต่อไปหลังจากได้รับความเห็นชอบจากประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 714 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอด คล้องกับนโยบายรัฐบาล และสามารถนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม และเกิดประสิทธิ ผลอย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้เข้มงวดกับส่วนราชการในการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนา ให้ แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด รวมทั้งให้กระจายการจัดประชุมและฝึกอบรมไปยังต่างจังหวัดเพื่อเป็นการกระตุ้น เศรษฐกิจในพื้นที่ให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 715 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2553 | นร | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอกรอบ และงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 วงเงินดำเนินการ 462,768.00 ล้านบาท และ วงเงินเบิกจ่ายลงทุน 301,467.00 ล้านบาท โดยยกเว้นในส่วนของงบประมาณทำการประจำปี พ.ศ. 2553 ของ รัฐวิสาหกิจ ให้ สศช. รับไปประสานกับรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงข้อมูลเพิ่มเติมให้ถูกต้องและ เป็นปัจจุบัน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจที่ประสงค์จะขอรับเงินอุดหนุนบริการเชิง สังคม ต้องดำเนินการตามขอบเขตและขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการ สาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2551 ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง 2. ให้ สศช. ดำเนินการเร่งรัดการพิจารณาแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่จะใช้จ่ายจากงบประมาณตาม พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 3. ให้ สศช. พิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยว ข้องเพื่อจัดทำแผนการดำเนินโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายต่าง ๆ ในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจต่อไป 4. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า กรณีรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทมหาชน ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สมควรที่จะต้องนำเสนอข้อมูลงบประมาณลงทุนประจำปีต่อ สศช. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปในทำนองเดียวกันกับรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดต่อข้อกฎหมายที่เกี่ยว ข้องของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 716 | การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร | นร | 22/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ร้บทราบมติคณะกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร ครั้ง ที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2552 และเห็นชอบแนวทางการติดตามการดำเนินงานโครงการประกันราคา พืชผลทางการเกษตรที่เสนอโดยคณะอนุกรรมการติดตามผลการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผล ฯ ตาม ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงาน จำนวน 15,000,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบ กลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2. สำหรับงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในการชดเชยส่วนต่างให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการประกันรายได้ เกษตรกรให้กระทรวงการคลังจัดทำคำขอพร้อมรายละเอียดเสนอขอใช้จ่ายจากเงินกู้โครงการตามแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 ตามขั้นตอนต่อไป 3. กรณีเกษตรกรได้จำหน่ายพืชผลทางการเกษตร ก่อนวันทำสัญญาชดเชยรายได้กับธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตรนั้น ให้ยึดแนวทางตามข้อเสนอของคณะกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการ ประกันรายได้เกษตรกร ในเรื่องของข้าวและมันสำปะหลัง ยกเว้นกรณีข้าวโพด ให้อนุโลมตามมติคณะกรรมการ โยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4. ให้เปลี่ยนชื่อโครงการจากเดิม "โครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร" เป็น "โครงการประกัน รายได้เกษตรกร" และ "เงินชดเชย" เป็น "อัตราชดเชยรายได้เกษตรกร"
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 717 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างความยุติธรรมให้กับเจ้าหนี้และลูกหนี้ กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและหนี้บัตรเครดิต" | สสป | 22/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การสร้างความยุติธรรมให้กับเจ้าหนี้และลูกหนี้ กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและ หนี้บัตรเครดิต" และรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตาม ความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน 2. กำหนดนโยบายระดับมหภาคให้มีความเหมาะสม โดยการเร่งรัดแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาความยากจน และหนี้สินภาคครัวเรือน 3. ให้สถาบันการเงินรัฐปล่อยสินเชื่อเพื่อการลงทุนให้กับประชาชนระดับฐานราก ที่ขาดโอกาสเข้าถึง แหล่งเงินทุน โดยมีมาตรการและอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อต่อการประกอบการของประชาชน 4. กำหนดให้มีกฎหมายที่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ ที่คุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างครบถ้วน โดยศึกษาตัวอย่างกฎหมายจากต่างประเทศ พร้อมทั้งเร่งผลักดันให้พระราชบัญญัติการติดตามทวงถามหนี้ที่เป็น ธรรมมีผลบังคับใช้โดยเร็ว 5. แก้ไขปรับปรุงกฎหมายและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม 6. ปรับปรุงกระบวนวิธีคิด และรูปแบบการทำงานของหน่วยงานรัฐและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก นโยบายที่กำหนดให้หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎ หมาย หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง 7. เร่งรัดให้มีการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อผู้บริโภคตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ และให้ภาครัฐและภาค เอกชนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจผลดีและผลเสียของการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิต ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกินกำลังและเกิดเป็นหนี้ NPL
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 718 | แนวทางการดำเนินการในการเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายการหรือการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติของหน่วยงานต่างๆ | นร | 15/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนแปลงรายการ หรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้แล้วทั้ง 25 รายการ ตามที่กระทรวงต่าง ๆ เสนอ โดยปรับลดวงเงินก่อหนี้ผูก พันข้ามปีตามผลการพิจารณาความเหมาะสมของสำนักงบประมาณ ในวงเงินงบประมาณรวม 10,277.83 ล้านบาท 1.2 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการเร่งรัดการลงนามในสัญญาและกำกับติดตามเร่งรัด การดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบเวลาและวงเงินงบประมาณที่กำหนดต่อไปด้วย 2. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเสนอขอตั้งงบประมาณสำหรับรายการ ที่ต้องก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องสำรวจข้อมูล ข้อเท็จจริง และกำหนดแบบรูปราย การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีดังกล่าวให้ถูกต้อง เหมาะสม ครบถ้วนเพื่อมิให้เกิดปัญหาการขอเปลี่ยนแปลงรายการในภาย หลัง ซึ่งทำให้เกิดภาระผูกพันงบประมาณในรายการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก ไปประสานกับส่วนราช การที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 719 | ขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. 2552 | ทส | 15/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผน
การใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. 2552 แผนงานสร้างสมดุลของการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการเร่งรัดการจัดทำแนวเขตในพื้นที่อนุรักษ์ กิจกรรมปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ (Reshape) มาดำเนินงานโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ ได้แก่ การ จัดหาภาพถ่ายทางอากาศสีเชิงเลข มาตราส่วน 1 : 25,000 จำนวน 60,000 ภาพ จัดหาภาพถ่ายทางอากาศเก่า ระหว่างปี พ.ศ. 2495-พ.ศ. 2540 (5 ช่วงเวลา) ในรูปของแผ่นฟิล์ม Diapositive จำนวน 247,750 ภาพ ประกอบ ด้วย งบรายจ่ายอื่น เป็นเงิน 104,630,800 บาท งบลงทุน เป็นเงิน 6,390,000 บาท และงบดำเนินงาน เป็นเงิน 98,240,800 บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 720 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 15 | พณ | 01/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 15 (APEC
Ministers Responsible for Trade Meeting : APEC MRT) ระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคม 2552 ณ ประเทศสิงค โปร์ โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการเจรจารอบโดฮาและประเด็นเจรจา ที่เป็นปัญหาและประเด็นสำคัญที่รัฐมนตรีหารือกันคือ ทำอย่างไรให้ new momentum ของความมุ่งมั่นทางการเมือง ซึ่งประกาศโดยผู้นำในการประชุม G20, OECD และกลุ่ม Cairns ส่งผลต่อความคืบหน้าของการเจรจาอย่างแท้จริง และหารือถึงการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐิจที่ทำอยู่ และมีความเห็นร่วมกันในการขยายพันธกรณีที่จะไม่ใช้มาตร การกีดกันทางการค้าออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเมื่อปี พ.ศ. 2551 ได้ตกลงกันไว้ รวมทั้งตกลงให้ มีกลไกติดตามการดำเนินมาตรการของสมาชิกในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้หารือเรื่องการเตรียม ความพร้อมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีความเห็นร่วมกันที่จะเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบมีส่วน ร่วมที่ยั่งยืน (inclusive growth) ที่จะต้องเสริมสร้างขีดความสามารถของสมาชิกในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (economic restructuring) และการปรับตัวของประชากรในสังคม (social resilience) เช่น การเสริมรายได้แก่ประชา ชน การสร้างหลักประกันทางสังคม การลงทุนด้านการศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการทบทวนความคืบหน้าการ ดำเนินงานการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดมากขึ้นในภูมิภาค (Regional Economic Integration : REI) ประกอบ ด้วยการเร่งรัดการเปิดเสรีการค้าการลงทุนที่พรมแดน (at the border) การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ (behind the border) และการเสริมสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์และการขนส่ง (across the border)
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
