ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 641 | รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) และข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๗ จาก ๑๘๓ ประเทศ ๑.๒ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น ตามความเห็นของคณะกรรมการ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๒.๑.๑ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ให้กรมที่ดินและกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษาความเหมาะสมในการปรับลดอัตราภาษีหรือค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนทรัพย์สินเพื่อกำหนดเป็นมาตรการถาวร หรือปรับแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และควรเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกรมที่ดินให้สามารถตรวจสอบความเป็นนิติบุคคลของผู้ขอจดทะเบียนได้แบบ real time ๑.๒.๑.๒ ด้านการชำระภาษี ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมให้รัฐเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษารายละเอียดกระบวนการจัดเก็บภาษีของประเทศและปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีใหม่ให้เกิดการบูรณาการ และศึกษาแนวทางการมอบอำนาจให้หน่วยงานอื่นจัดเก็บภาษีแทนได้ เพื่อให้เกิดระบบการชำระภาษีเพียงจุดเดียว ๑.๒.๑.๓ ด้านการปิดกิจการ ให้กรมบังคับคดีและศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการเร่งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการเพื่อลดระยะเวลาในกระบวนการปิดกิจการ ๑.๒.๑.๔ ด้านการค้าระหว่างประเทศ ให้กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนำเข้า - ส่งออกสินค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำระบบ National Single Window ไปใช้ในการนำเข้า - ส่งออกอย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายและลดจำนวนเอกสารในการนำเข้า - ส่งออกให้แก่ผู้ประกอบการ ๑.๒.๑.๕ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการจัดตั้งธุรกิจให้เป็นการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑.๖ ด้านการได้รับสินเชื่อ ให้กระทรวงการคลังและกรมบังคับคดีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการเร่งรัดการประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายล้มละลายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในสิทธิทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ในการขอสินเชื่อ กฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตเพื่อขยายขอบเขตการจัดเก็บข้อมูลเครดิต เป็นต้น ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบริการตามรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ และสนับสนุนงบประมาณแก่สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ (Benchmarking) เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการศึกษาวิจัย) ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการปรับปรุงบริการของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๕ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในการปรับปรุงบริการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการติดตามและประเมินผลการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น เพื่อให้ผลการดำเนินการเรื่องนี้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพด้วย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับการกำหนดให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบและดำเนินการระบบอย่างต่อเนื่องด้วย ไปประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ส่วนการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการดังกล่าวแล้ว นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย กฎ และระเบียบ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนและลดการขออนุญาตที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับภาคธุรกิจ เช่น การกำหนดระยะเวลา การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ในกฎหมาย การกำหนดให้มีการพิจารณาร่วมกันระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แล้วเสร็จในคราวเดียวกัน โดยมีมาตรฐานการพิจารณาเป็นอย่างเดียวกัน และการลดการอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 642 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวน ๑๒๙,๕๒๖ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมา คือ ช่องทางเว็บไซต์ (http://WWW.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘๖,๕๖๒ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องหลักด้านสังคมและสวัสดิการสังคมมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเมือง - การปกครอง และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ สำหรับประเภทเรื่องรองที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สาธารณูปโภค รองลงมาคือ กล่าวโทษหรือร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสังคมเสื่อมโทรม ตามลำดับ ส่วนประเภทเรื่องย่อยที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหาอุทกภัยแบบครบวงจร และการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเดือนร้อนรำคาญจากเสียงดัง กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ การแจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๗,๑๐๘ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ บ่อนการพนัน ยาเสพติด และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงสาธารณสุข (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ และการขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนที่อยู่นอกเหนือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล) และกระทรวงพาณิชย์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้แก้ไขปัญหาสินค้าเพื่อการอุปโภค - บริโภคขาดแคลนและมีราคาสูง และขอให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อข้าวเปลือกและพืชผลทางการเกษตร) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงการให้บริการของพนักงานรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และขอให้เพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง) รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงซ่อมแซมระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ประเด็นที่มีการเสนอเรื่องมาก ได้แก่ ชมเชยการให้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน การปรับปรุงซ่อมแซมโทรศัพท์สาธารณะ และขยายเขตการให้บริการโทรศัพท์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๐,๔๘๑ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากร้านรับซื้อของเก่า และบ้านเรือน การปรับปรุงซ่อมแซมถนน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต และเทศกิจ) รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เรือ กระสอบทราย ฯลฯ โดยเร่งด่วน และให้เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยภายหลังน้ำลด) และจังหวัดสงขลา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัย และการปรับปรุงซ่อมแซมและขยายถนน) ๒. เห็นชอบให้กระทรวงและจังหวัดนำข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์จากฐานข้อมูลในระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของแต่ละหน่วยงานเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการของกระทรวงและจังหวัดตามลำดับความสำคัญ จำเป็น และเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 643 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการยกเลิกโครงการศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของกระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕๐.๐๐ ล้านบาท และนำวงเงินโครงการมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติการยกเลิกโครงการเจลฟ้าทะลายโจรเพื่อใช้เสริมการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ ของกระทรวงอุตสาหกรรม วงเงิน ๑๙๓.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. อนุมัติหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้สำนักงบประมาณเป็นผู้จัดสรรเงินและดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ และสำหรับโครงการเงินกู้ DPL ที่อยู่นอกแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้จัดสรรเงินและดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ใด ๆ ที่ได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๕. โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ใด ๆ ที่ยังมิได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมคุ้มค่า เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๖. อนุมัติให้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ต่อไปได้ รวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศิริรราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ระยะที่ ๒ (สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช) วงเงิน ๑,๕๔๓.๑๙๗๑ ล้านบาท โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็ง และเครือข่ายบาดเจ็บแห่งชาติ (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๘๘๑.๘๒๙๘ ล้านบาท โครงการพัฒนาและยกระดับห้องปฏิบัติการวิจัยและการศึกษาเพื่อสนับสนุนความเป็นเลิศด้านแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๓๘๕.๘๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาการผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยเข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๔๘.๒๒๕ ล้านบาท โครงการพัฒนาและยกระดับการดูแลผู้ป่วยด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๔๘.๒๒๕ ล้านบาท โครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ เพื่อการบริการการเรียนการสอนและการวิจัย (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๑,๗๑๕.๘๓๕๙ ล้านบาท และโครงการจัดหาครุภัณฑ์ประจำอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๓๙๙.๘๔๓๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินตามโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ รวมทั้งให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๗. ให้กระทรวงการคลังรับไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า หากโครงการทั้งหมดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังจะสามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี/ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณได้หรือไม่อย่างไร และหากกระทรวงการคลังไม่สามารถดำเนินการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี/ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินได้ จะต้องดำเนินการประการใด เพื่อให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 644 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการประกันภัย | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการประกันภัย ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีผู้ที่ทำประกันภัย ได้ดำเนินการเร่งรัดการชำระค่าสินไหมทดแทน โดยกำหนดอัตราชำระค่าสินไหมทดแทนและกำหนดระยะเวลาดำเนินการ โดยภาคอุตสาหกรรม อัตราชำระค่าสินไหมทดแทนอยู่ที่ร้อยละ ๗๕ กำหนดระยะเวลาให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ส่วนภาคครัวเรือน อัตราชำระค่าสินไหมทดแทนเทียบเท่าร้อยละ ๑๐๐ คาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จภายใน ๓ เดือน ๒. กรณีผู้ที่ไม่ได้ทำประกันภัย สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย สมาคมสหมิตรการซ่อมรถยนต์แห่งประเทศไทย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยจัดทำโครงการบูรณาการซ่อมรถประสบภัยน้ำท่วม กำหนดราคาค่าแรง ค่าซ่อมรถเป็นมาตรฐานตามระดับความเสียหาย และให้ส่วนลดอะไหล่ รวมทั้งให้บริการตรวจเช็ครถยนต์และรถจักรยานยนต์ ๒๐ รายการฟรี และให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ฟรี ๓. กรณีที่อยู่อาศัย เห็นควรให้มีการจัดมหกรรมสินค้าราคาพิเศษหรือราคาต้นทุน โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างหรือจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 645 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 19 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการปฏิบัติตามแผนการดำเนินงานสู่ประชาคมอาเซียนในทั้งสามเสา (การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการสร้างประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยเฉพาะการเร่งรัดการรวมตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนมาจากภายในภูมิภาคเป็นหลัก โดยลดการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความเท่าเทียมกัน ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม และอย่างยั่งยืน ๑.๒ ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศนอกอาเซียนด้วย โดยให้ความสำคัญกับการระดมทุนในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน (public - private partnership) และจากประเทศคู่เจรจา ๑.๓ ที่ประชุมยินดีต่อพัฒนาการที่ดีในกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยและการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมในพม่า พร้อมทั้งสนับสนุนให้พม่าเป็นประธานอาเซียนในปี ๒๕๕๗ ๑.๔ ที่ประชุมตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานภายใต้คณะมนตรีประสานงานอาเซียน (ASEAN Coordinating Council - ACC) เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ตามข้อ ๖ ของกฎบัตรอาเซียน ๑.๕ ที่ประชุมสนับสนุนการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องตาม Guidelines for the Implementation of the Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea (Guidelines on DoC) ซึ่งอาเซียนและจีนได้รับรองเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ และหวังว่าจะนำไปสู่ข้อสรุปในการจัดทำ Code of Conduct of Parties in the South China Sea (CoC) ในที่สุด โดยทุกประเทศสนับสนุนให้ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ได้รับการแก้ไขโดยการหารือและอย่างสันติ และเห็นว่าควรรักษาพัฒนาการที่ดีในเรื่องนี้ต่อไป ๑.๖ ไทยและกัมพูชาได้แจ้งที่ประชุมทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีพัฒนาการที่ดี และเห็นพ้องให้อินโดนีเซียมีบทบาทตรวจสอบ (monitor) การปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวตามคำสั่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศต่อไป ๒. การประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมสุดยอดอาเซียน - จีน สมัยพิเศษ ในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ ๒๐ ปี ที่ประชุมเห็นพ้องให้มีการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อแก้ไขข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และได้หารือถึงมาตรการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน และการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับจีน ๒.๒ การประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๔ ที่ประชุมให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยญี่ปุ่นได้ตกลงให้มีการเชื่อมโยงศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Centre) ที่กรุงเทพฯ กับศูนย์ลดภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asia Disaster Reduction Centre) ที่เมืองโกเบ และได้หารือเกี่ยวกับการขยายการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยญี่ปุ่นยืนยันที่จะสนับสนุนอาเซียนในการเสริมสร้างความเชื่อมโยง และแสดงความสนใจที่จะมาลงทุนในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ๒.๓ การประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๔ ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี การลดช่องว่างด้านการพัฒนา การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเสริมสร้างความเชื่อมโยงและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน โดยเกาหลีเห็นพ้องกับข้อเสนอของไทยที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างเกาหลีกับอาเซียน เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในภูมิภาค ๒.๔ การประชุมสุดยอดอาเซียน + ๓ (จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี) ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือด้านการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากมาตรการความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ และสนับสนุนข้อเสนอของไทยที่จะให้มีความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงภายใต้กรอบอาเซียน + ๓ (ASEAN + 3 Partnership on Connectivity) และได้มีการหารือความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเปิดเสรีการค้า และความมั่นคงทางอาหาร ๒.๕ การประชุมผู้นำอาเซียน - สหรัฐฯ ครั้งที่ ๓ ที่ประชุมสนับสนุนบทบาทและการมีส่วนร่วมในภูมิภาคอย่างสร้างสรรค์ของสหรัฐฯ และเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือในทุกมิติ อาทิ ความมั่นคงทางทะเล ความเชื่อมโยงในภูมิภาค การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ความมั่นคงด้านอาหาร และการศึกษา ๒.๖ การประชุมสุดยอดอาเซียน - สหประชาชาติ ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมเห็นพ้องให้มีการส่งเสริมและขยายความร่วมมือที่เป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติให้มากยิ่งขึ้นในทุกด้าน ทั้งการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ๒.๗ การประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ ๙ ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - อินเดียมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ถึง ๗๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๕๕ และเร่งรัดการเจรจาความตกลงด้านการค้าบริการและการลงทุนให้เสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเพิ่มพูนความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลและความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรอินเดีย นอกจากนี้ ที่ประชุมตกลงที่จะเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับอินเดีย โดยจะเร่งพัฒนาถนนสามฝ่าย ไทย - พม่า - อินเดีย โดยขยายเส้นทางดังกล่าวไปยังลาว กัมพูชา และเวียดนาม และพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจแม่โขง - อินเดีย (โฮจิมินห์ - พนมเปญ - กรุงเทพฯ - ทวาย - เจนไน)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 646 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ฉบับใหม่ | ทก | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Memorandum of Understanding on the Joint Cooperation in Further Accelerating the Construction of the Information Superhighway and Its Applications in the Greater Mekong Subregion) ฉบับใหม่ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการผลักดันกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศภาคีสมาชิกความตกลงลุ่มแม่น้ำโขงสามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศระหว่างกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ก่อนการลงนาม เพื่อประโยชน์ของฝ่ายไทยและมิใช่การแก้ไขในสาระสำคัญ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสามารถดำเนินการได้โดยประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยมิต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปอีก ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่ ดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมอบหมายต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 647 | รายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตาม การกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ๑.๑ อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการให้แล้ว จำนวน ๒๙ จังหวัด และ ๒ ส่วนราชการ คือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกองทัพบก (กรณีกองทัพบกเป็นการให้มีวงเงินทดรองราชการเป็นกรณีพิเศษ แยกต่างหากจากกระทรวงกลาโหม เพื่อให้การปฏิบัติงานในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) รวมทั้งสิ้น ๓,๔๗๙.๕๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้งสิ้น ๕,๐๗๙.๕๐ ล้านบาท ๑.๒. อนุมัติให้จังหวัด จำนวน ๑๗ จังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกองทัพบกปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังฯ/หลักเกณฑ์ฯ เพื่อให้สามารถใช้ดุลพินิจในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างสอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยและผู้ปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ศูนย์วายุภักษ์ร่วมใจช่วยภัยน้ำท่วม จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ ๘ - ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ พร้อมทั้งกำกับติดตาม เร่งรัด การแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้มีการจัดเตรียมสิ่งของเพื่อให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ได้ทันที และได้มีการมอบสิ่งของดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 648 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา | ทส | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นปัญหามลพิษทางน้ำ ระบบการจัดการน้ำเสียและระบบการจัดการขยะในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครสงขลา และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองสะเดา การสนับสนุนส่งเสริมรูปแบบและแนวทางในการบำบัดน้ำเสียให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยคลองอู่ตะเภา การตรวจสอบคุณภาพน้ำจากลำน้ำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการพัฒนาระบบข้อมูลคุณภาพน้ำ : หนึ่งท้องถิ่น หนึ่งจุดเก็บตัวอย่างน้ำ และการจัดทำประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง เกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ การออกแบบการก่อสร้างและจัดการสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนโดยการฝังกลบ การเผาในเตาเผา และการหมักทำปุ๋ย เป็นต้น ๒. ปัญหาการประมงจากการใช้เครื่องมือที่มีจำนวนมากเกินศักยภาพและการกีดขวางการสัญจรทางน้ำของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ การจัดตั้งชุมชนเพื่อดูแลและอนุบาลสัตว์น้ำให้แข็งแรงก่อนที่จะใช้ประโยชน์ การจัดตั้งฟาร์มสัตว์น้ำชุมชนและควบคุมไม่ให้มีเครื่องมือประมงประเภทไซนั่งและโพงพางเพิ่มมากขึ้น และการเข้าร่วมในการกำหนดและจัดระเบียบเครื่องมือประมงในบริเวณทะเลสาบสงขลาตอนล่างเพื่อการสัญจรทางน้ำของกรมเจ้าท่า เป็นต้น ๓. ปัญหาความเสื่อมโทรมของป่าต้นน้ำและความตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การผนวกพื้นที่บริเวณป่าผาดำและป่าสงวนแห่งชาติบริเวณใกล้เคียงให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง และดำเนินการปลูกป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และบำรุงป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๑ รวมเนื้อที่ ๑,๒๐๐ ไร่ การดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่นาร้างเพื่อการเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ได้แก่ การตรวจสอบการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดินของรัฐในระบบภูมิสารสนเทศ การตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างหนังสือสิทธิในที่ดินทั้งหมด ๓ จังหวัด ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดสงขลา และการจัดทำโครงการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๕. การขาดการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การสนับสนุนให้เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเสนอยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... การดำเนินการบริหารจัดการเมืองโบราณหัวเขาแดง พร้อมพื้นที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ๒,๔๖๐ ไร่ การจัดทำระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อรองรับการทำงานขององค์กรภาคเอกชน และการตราพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีกลไกรองรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดเขตพื้นที่พัฒนา เป็นต้น ๖. ปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดเอกภาพและความต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณที่ขาดการบูรณาการ ได้แก่ การจัดทำโครงการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองครอบคลุมพื่นที่รอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การจัดทำกรอบแผนงบประมาณประจำปีของลุ่มทะเลสาบสงขลา โดยใช้แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบเป็นหลัก และจัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ๗. ปัญหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การนำยุทธศาสตร์ที่ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแผนนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดทำแผนงบประมาณสนับสนุน ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเพื่อจัดตั้งเขตพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดให้แก่จังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช และการดำเนินโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของชุมชนโบราณในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๘. ปัญหาศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่ การจัดทำโครงการและศึกษาข้อมูลด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และการดำเนินการเตรียมการประกาศพื้นที่ที่มีระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ และพื้นที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเตรียมการเสนอพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 649 | รายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน | กค | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และได้ประชุมทางไกล (Conference) ณ จังหวัดลพบุรี โดยรายงานสถานการณ์และสาเหตุสำคัญของอุทกภัยว่า เกิดจากปัญหาประตูระบายน้ำบางโฉมศรี จังหวัดสิงห์บุรี เสียหาย และได้เสนอแนะให้แก้ไขโดยเร่งด่วน รวมทั้งได้เสนอแนะให้อพยพราษฎรไปอาศัยในค่ายทหาร และจะพิจารณาให้เกิดความสะดวกในเรื่องการใช้เงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกรมบัญชีกลางได้รับไปดำเนินการแล้ว นอกจากนี้ ได้ตรวจเยี่ยมราษฎรที่อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี โดยมอบเงินช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๖๖ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๘๓๐,๐๐๐ บาท และได้สั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดและรัฐวิสาหกิจในกำกับทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ และระดมเจ้าหน้าที่ในจังหวัดอื่น ๆ มาสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู่ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ต่อเนื่องและทั่วถึง ๒. กระทรวงการคลังได้ขยายวงเงินทดรองราชการและอนุมัติให้ปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กับจังหวัด ๒๙ จังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกองทัพบก รวมเงินที่อนุมัติให้ขยายเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่จังหวัดมีอยู่เดิม เป็นจำนวนรวม ๓,๑๑๐ ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้ดุลยพินิจในการใช้จ่ายเงินทดรองราชการตามที่มีความจำเป็น โดยอนุมัติให้สามารถปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์ฯ ได้ด้วย ๓. การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินของธนาคารออมสิน (กรณีอุทกภัยและดินโคลนถล่ม) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดส่งข้อมูลรายชื่อผู้ประสบภัยให้ธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ ๑๔ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๑๔๙,๗๗๙ ครัวเรือน ผลการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย มีจำนวนผู้มารับช่วยเหลือ รวม ๑๓๕,๕๓๘ ครัวเรือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๗๗,๖๙๐,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 650 | การติดตามเรื่องสำคัญเร่งด่วน แนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัย และการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ | นร | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีทุกท่านและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ แจ้งข้อมูลการจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งโครงการที่ได้จัดทำร่วมกับภาคเอกชน ไปยังสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมข้อมูลจัดทำเป็นผลการดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องนี้ และประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ให้หน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนได้ทราบหรือเข้าร่วมงานอย่างทั่วถึงต่อไป ๒. รัฐบาลได้จัดรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์คุยกับประชาชนทุกวันเสาร์ เวลา ๐๘.๓๐ น. - ๐๙.๐๐ น. ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย และมีการถ่ายทอดสัญญาณไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบแนวทางการดำเนินการและแผนการดำเนินงานที่สำคัญของรัฐบาล ดังนั้น หากรัฐมนตรีท่านใดมีเรื่องที่ต้องการจะชี้แจงต่อประชาชนขอให้รวบรวมและจัดส่งข้อมูลไปยังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์) เพื่อดำเนินการต่อไป โดยอาจเชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปร่วมออกรายการเป็นครั้งคราวด้วย ๓. การติดตามสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางแก้ไขปัญหา ๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) พิจารณากำหนดแนวทางร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการติดตามสภาวะอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกผลกระทบจากพายุโซนร้อนไห่ถางและพายุเนสาดที่ทำให้ฝนตกหนักติดต่อกัน และน้ำไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่หลายจังหวัด และพายุโซนร้อนนาลแกที่อาจจะส่งผลกระทบมายังประเทศไทยในช่วงระหว่างวันที่ ๖ - ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ และให้ประสานงานร่วมกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วน เพื่อแจ้งข่าวและเตือนภัยถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ให้สามารถเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งเร่งดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัย และเตรียมการป้องกันไม่ให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย หรือเสียหายน้อยที่สุด ๓.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานร่วมกันทุกภาครัฐ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการเร่งระบายน้ำทั่วทุกพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำท่วมสูงออกสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงกลาโหม เร่งดำเนินการขุดลอกคูคลอง และทำความสะอาดท่อระบายน้ำเพื่อเปิดทางไหลของน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ และลดระดับน้ำท่วมได้เพิ่มมากขึ้น ๓.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือแจกถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค หรือสิ่งของต่าง ๆ แก่ผู้ที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม ให้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือก่อน เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่รัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ๓.๕ ให้รัฐมนตรีทุกท่านที่รับผิดชอบในการกำกับ ติดตามการดำเนินการกู้วิกฤตจากสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดต่าง ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเร่งรัด กำกับติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน) ดำเนินการเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน ทั้งในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบและการดำเนินงานตามภารกิจของกระทรวง โดยประสานงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้การดำเนินงานมีความเป็นเอกภาพ ๓.๖ ให้รัฐมนตรีทุกท่านรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในการจัดทำมาตรการฟื้นฟู เยียวยา และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด โดยอาจขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนเข้าร่วมดำเนินการด้วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายของประชาชนโดยเร็วที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 651 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องการร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๓๐,๓๑๘ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือช่องทางเว็บไซต์ www.1111.go.th ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภทเรื่องรวมทั้งสิ้น ๑๙,๙๕๓ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดัง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ และขอความช่วยเหลือเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] รวมทั้งสิ้น ๖,๓๘๐ เรื่อง โดยหน่วยงานที่มีเรื่องร้องทุกข์ในความรับผิดชอบมากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการคลัง สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด รวมทั้งสิ้น ๕,๒๘๙ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครมีเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา ๑.๕ ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งผ่านทางศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ ขอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งล่วงหน้าให้ชัดเจนและทั่วถึง การติดตั้งป้ายหาเสียงของพรรคการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครบดบังทัศนวิสัยของผู้ใช้รถใช้ถนน การใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด ผู้มีสิทธิควรต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเป็นรายครั้ง และไม่เห็นด้วยกับกรณีมีการติดตั้งป้ายรูปสัตว์ที่มีข้อความว่า “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” รวมทั้งการเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกากบาทที่ช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน (VOTE NO) เป็นต้น ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 652 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2554 และ 2/2554 | ทส | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในส่วนของการเขียนประกาศฯ โดยหารือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติลงนามต่อไป ๑.๒ เห็นชอบหลักการในกรอบแผนการปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้เพิ่มเติมรายละเอียดขอบเขตของแนวทางการสนับสนุนการจัดการสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน ๑.๓ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๒ สายพิษณุโลก - อำเภอหล่มสัก ของกรมทางหลวง และเห็นชอบความเห็นที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือที่เป็นโครงการของส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจร่วมกับเอกชน และโครงการเอกชนภายหลังที่ได้รับอนุมัติหรืออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ๑.๔ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ระนอง อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ของกรมเจ้าท่า ๑.๕ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๖ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการอ่างเก็บน้ำแม่สะป๊วด (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) จังหวัดลำพูน ของกรมชลประทาน ๒. มติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ๒.๑ เห็นชอบการกำหนดรายการของเสียที่ควรห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดรายการของเสียหรือสิ่งใด ๆ ที่ควรห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร รวมทั้งให้กรมควบคุมมลพิษประสานกระทรวงอุตสาหกรรมในการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานและรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นระยะ ๒.๒ เห็นชอบต่อกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านการลด คัดแยก และนำขยะมูลฝอยกลับมาใช้ใหม่ (Reduce Reuse and Recycle : 3Rs) และให้กรมควบคุมมลพิษเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้กรอบยุทธศาสตร์ฯ เป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการและดำเนินการตามกรอบยุทธศาตร์ต่อไป ๒.๓ เห็นชอบหลักเกณฑ์การจำแนกเขตทรัพยากรแร่เพื่อการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ และให้กรมทรัพยากรธรณีนำหลักเกณฑ์การจำแนกเขตทรัพยากรแร่เพื่อการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรแร่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๔ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฯ เสนอประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติลงนามต่อไป ๒.๕ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ๒.๖ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการถนนสายหลักทางด้านใต้ (PH - RB -3A) ส่วนถนนยกระดับ (ระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร) ตามโครงการพัฒนาเมืองหลัก รอบที่ ๒ ระยะแรก ของเทศบาลนครภูเก็ต ๒.๗ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการชลประทานพิษณุโลกฝั่งซ้าย ระยะที่ ๒ จังหวัดพิษณุโลก ของกรมชลประทาน ๒.๘ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำอ่างเก็บน้ำลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน โดยให้กรมชลประทานดำเนินการ ๒.๙ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเชื่อมต่อในทะเลจากแหล่งปลาทองและบงกชใต้ไปยังท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ ๓ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๒.๑๐ เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมเอกชนต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๑๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และเรื่อง กำหนดให้โรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศ และให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำประกาศกระทรวงฯ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ๒.๑๒ เห็นชอบความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม เกี่ยวกับข้อกำหนดการทดสอบรับรองการให้บริการ (In - service Conformity Check) และระบบวินิจฉัยอุปกรณ์ควบคุมปริมาณสารมลพิษ (On - board Diagnostic System) ตามมาตรฐานยูโร ๔ ๒.๑๓ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งไอน้ำมันเบนซินจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป ๒.๑๔ เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ในบรรยากาศโดยทั่วไป โดยกำหนดมาตรฐานก๊าซคาร์บอนไดซัลไฟด์ ค่าเฉลี่ยในเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน ๑๘๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศคณะกรรมการฯ เสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนามต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 653 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า | นร | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ตามมติที่ประชุม ก.พ. ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยที่ประชุม ก.พ. มีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่กำหนดให้มีการเลือกสรรโดยคณะกรรมการและเป็นการรับสมัครตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๓/ว ๑๕ ลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๐๗๐๘.๑/ว ๒๒ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๐ และหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๓/ว ๒๒ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาบุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับการเลื่อนขึ้นและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยปลัดกระทรวงเป็นผู้เสนอรายชื่อที่เหมาะสมเมื่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาได้ผู้ที่เหมาะสมแล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอนการแต่งตั้งต่อไป ๒. ให้ชะลอการเร่งรัดการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารและประเภทอำนวยการ ตามกรอบเวลาที่ ก.พ. กำหนดไว้ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๓/ว ๘ ลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๓ และให้ส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานผลการดำเนินการให้ ก.พ. ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 654 | มอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน | นร | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอเรื่อง การมอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๗/๒๕๕๔ เรื่อง มอบหมายรัฐมนตรีรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน โดยแบ่งเป็นพื้นที่รายจังหวัด ๒. ให้ผู้รับผิดชอบตามข้อ ๑ มีอำนาจหน้าที่ในการเร่งรัด กำกับ ติดตาม สนับสนุน ประสานงาน การให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วนในเขตจังหวัดพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งการประสานงานกับภาคเอกชนและผู้แทนประชาชนในพื้นที่ เพื่อเสริมการทำงานของคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศอส.) และผู้ว่าราชการจังหวัด โดยให้ผู้รับผิดชอบรายงานนายกรัฐมนตรีทราบโดยตรง และหากมีเรื่องสำคัญหรือประเด็นที่คาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน หรือส่วนราชการ หรือหลายจังหวัด ให้นำหารือรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการ ศอส. เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีวินิจฉัยสั่งการ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีตามข้อ ๒ เป็นผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ๔. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการทำงานของรัฐมนตรีผู้ได้รับมอบหมาย เสนอข้อมูล ประสานงาน อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานตามคำสั่งนี้ด้วย โดยในส่วนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีให้รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (พลตำรวจตรี ธวัช บุญเฟื่อง) เป็นผู้ประสานงาน ติดตามการรายงานต่อนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 655 | ผลการพิจารณาข้อเสนอ เรื่อง การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง | รง | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอ เรื่อง การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ตามที่คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเสนอ โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นด้วยกับการกำหนดให้การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวเป็นวาระแห่งชาติ ๒. ให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ลักลอบทำงานได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกต้องโดยการเปิดจดทะเบียนผ่อนผันอีกครั้ง เพื่อให้ทราบข้อมูลและจำนวนชื่อที่อยู่ที่ชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการลักลอบจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ๓. เห็นควรยกระดับฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้มีสถานะเป็นหน่วยงานระดับกรม เพื่อบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ มีความเป็นเอกภาพในการดำเนินงานตั้งแต่การวางแผนการบริหารจัดการ การจัดระบบแรงงานต่างด้าว การจดทะเบียนจัดทำประวัติแรงงานต่างด้าว การอนุญาตการทำงาน การควบคุมการเคลื่อนย้าย การปราบปรามจับกุมดำเนินคดี รวมทั้งการนำเข้าแรงงานต่างด้าวโดยถูกกฎหมาย ๔. เห็นควรปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๔๔ และ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้ครอบคลุมการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ รวมทั้งปรับลดคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้เหลือเพียง ๕ คณะ เพื่อให้มีความกระชับ เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และเพิ่มคณะอนุกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) ในระดับจังหวัดให้สามารถบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้สอดคล้องตรงกับความต้องการในพื้นที่ ๕. ไม่ควรตั้งหน่วยงานใด ๆ ขึ้นอีก เนื่องจากมีสำนักงานจัดหางานจังหวัดดำเนินการในการให้บริการแก่แรงงานต่างด้าวและนายจ้างอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องการให้โควตา การอนุญาตทำงาน การเคลื่อนย้ายแรงงาน ๖. การประสานความร่วมมือกับประเทศต้นทางเพื่อเร่งรัดการดำเนินการตาม MOU และการพิสูจน์สัญชาติ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ประสานความร่วมมือกับประเทศพม่า ลาว และกัมพูชาอย่างใกล้ชิดและได้รับความร่วมมือจากประเทศต้นทางเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๗. เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ขยายระยะเวลาการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติและแรงงานต่างด้าวที่นำเข้าตาม MOU ๓ ปี ต่อได้อีก ๓ ปี ส่วนการกลับไปพักควรเว้นระยะให้ไปพักเพียง ๑ เดือน แล้วให้สามารถกลับเข้ามาทำงานได้ใหม่ ๘. การดำเนินการประชาสัมพันธ์นโยบายและมาตรการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ และมีการชี้แจงทำความเข้าใจในการจัดประชุมสัมมนานายจ้าง ผู้ประกอบการ ผู้นำชุมชนและประชาชนทั่วไปให้ได้รับทราบนโยบายเพื่อร่วมกันสอดส่องดูการแจ้งเบาะแสแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และมีการออกระเบียบการให้รางวัลสินบนนำจับแก่ผู้แจ้งเบาะแส ๙. ปัจจุบันได้มีการกำหนดประเภทอาชีพของแรงงานต่างด้าวทำได้เพียง ๒ งาน คือ ผู้รับใช้ในบ้าน และงานกรรมกร ส่วนการกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานต่างด้าว นั้น ตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้มีการกำหนดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างด้าว (LEVY) ไว้แล้ว ซึ่งจะเรียกเก็บในอัตราที่เหมาะสมต่อไป ๑๐. เห็นด้วยกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยกระทรวงแรงงานได้มีมาตรการจูงใจให้นายจ้างลดการใช้แรงงานต่างด้าวในส่วนกลางโดยการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเดิมจัดเก็บในอัตราเดียวทั่วประเทศ ๑,๘๐๐ บาท/คน/ปี ปรับลดจังหวัดตามแนวชายแดนเหลือ ๙๐๐ บาท/คน/ปี ๑๑. ให้มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับผลประโยชน์ในการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ ลงโทษนายจ้าง และแรงงานต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย รวมทั้งการลงโทษเจ้าของสถานที่หรือผู้ครอบครองอาคารที่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าอยู่อาศัยอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด ๑๒. ให้มีการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานแก่แรงงานต่างด้าวในระบบผ่อนผัน และให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนในการแก้ไขปัญหา |
|||||||||||||||||||||||||||
| 656 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2554 | นร | 20/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (คณะกรรมการ กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการ กพอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม ๔ เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหามาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียงในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา (มกราคม ๒๕๕๒ - พฤษภาคม ๒๕๕๔) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๗ แผนงาน ๗๑ โครงการ การแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (คณะกรรมการ ๔ ฝ่าย) เพื่อดำเนินการจัดทำแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ การแก้ไขปัญหาสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ ปัญหาขาดแคลนน้ำประปา ปัญหาขยะ ปัญหาความไม่มั่นใจเรื่องคุณภาพอากาศ น้ำ และการลดมลพิษ รวมทั้งการเร่งรัดแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งมลพิษ อาทิ การกำหนดประเภทอุตสาหกรรม/กิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ การทบทวนนโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรม/กิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่มาบตาพุด และการพิจารณาปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และการสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุมสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม เป็นต้น และความร่วมมือของภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหามาบตาพุด ประกอบด้วย การจัดทำแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๖ ของภาคเอกชน การจัดสร้างสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติมรวม ๔ สถานี และการจัดทำแนวป้องกัน (Protection Strip) ระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน ๒. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุด จากการติดตามสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมจากผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจาก ๙ สถานี พบสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ๓ ชนิด มีค่าเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศในบางจุดตรวจวัด ส่วนการตรวจวัดคุณภาพน้ำและการแก้ไขปัญหาปนเปื้อนน้ำใต้ดิน ได้แก่ คลองสาธารณะ จำนวน ๓๘ จุด ครอบคลุมคลองสาธารณะ ๑๖ สาย คุณภาพน้ำยังคงอยู่ในระดับเสื่อมโทรม ๓. สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยอง - ชลบุรี โดยปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่ รวม ๑๗ แห่ง ณ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๗๓.๙๓ ของความจุอ่างเก็บน้ำทั้งหมด ส่วนความก้าวหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานรวมทั้งสิ้น ๖ โครงการ รวมปริมาณน้ำต้นทุนที่จะสามารถเพิ่มเข้ามาในระบบได้สูงสุดประมาณ ๒๓๕ - ๒๕๕ ล้าน ลบ.ม./ปี ๔. ความก้าวหน้าการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ๖ แนวทาง ได้แก่ พัฒนากิจการที่เป็นมิตรต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการยกระดับคุณภาพการศึกษาเฉพาะทาง การบริการสาธารณสุขเฉพาะโรค และคุณภาพชีวิต การพัฒนาสู่อุตสาหกรรมนิเวศ การพัฒนาขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานและจัดสรรการใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร การวางผังเมืองอย่างมีหลักการและเหตุผลที่ชัดเจน และการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมคณะกรรมการ กพอ. ที่เห็นควรมีแผนงานและงบประมาณที่ชัดเจนในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหา การผลักดันการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการพัฒนาสู่เมืองอุตสาหกรรมนิเวศอย่างสมบูรณ์แบบ การจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจังหวัดระยอง การปรับปรุงแนวทางการจัดสรรรายได้ให้ท้องถิ่น การพิจารณามาตรการชดเชยเพื่อเยียวยาเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดโรงงาน การกำหนดพื้นที่ชุมชนในอนาคตที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดี และการคุ้มครองพื้นที่ชายฝั่งทะเล เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงตามความเหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 657 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ฉบับใหม่ | ทก | 07/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนำเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเร่งรัดในการจัดให้มีทางด่วนสารสนเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ฉบับใหม่ เสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 658 | รายงานการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย | นร | 18/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการจัดการภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พัฒนากลไกการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเพิ่มบทบาทของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้เป็นกลไกระดับชาติเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการและสั่งการ และกำหนดให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลภัยพิบัติที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน โดยให้ส่วนราชการและภาคเอกชนจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ รวมทั้งมีการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเร่งรัดดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระยะเร่งด่วน และแผนระยะยาวด้านการฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ๑.๒ ส่งเสริมระบบงานอาสาสมัครของประเทศอย่างจริงจัง โดยวางระบบเพื่อพัฒนางานอาสาสมัครให้มีศักยภาพอย่างเต็มที่ และมีมาตรฐานตามหลักสากล ๑.๓ จัดระบบการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนและท้องถิ่น โดยวางระบบการฝึกอบรมเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติต่าง ๆ โดยมีชุมชนเป็นฐานการพัฒนาที่สำคัญ ๑.๔ ผนึกกำลังของภาคส่วนต่าง ๆ โดยการสนับสนุนและช่วยเหลือประสานเชื่อมโยงพลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน กองทัพ ภาคประชาสังคม และอาสาสมัครต่าง ๆ เพื่อทำงานร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๑.๕ การผนวกมาตรการด้านการจัดการสาธารณภัยไว้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ระบบการสื่อสาร ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบอย่างดีคำนึงถึงความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ และงานศึกษาวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติและการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะมีการประมวลประเด็นต่าง ๆ เพื่อนำเสนอไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ การบริหารจัดการภัยพิบัติ ควรเน้นเรื่องการเตือนภัยล่วงหน้าและการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติแล้วควรประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานจัดการภัยพิบัติระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู บรรเทาผลกระทบของผู้ประสบภัยเป็นไปอ่ยางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๒.๒ การแก้ไขปัญหาและให้การช่วยเหลือฟื้นฟูบูรณะหลังการเกิดภัยพิบัติควรประสานงานกับกระทรวงกลาโหมอย่างใกล้ชิดเพื่อเหล่าทัพต่าง ๆ จะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น ๒.๓ การใช้ประโยชน์สนามบินอู่ตะเภา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินการเพื่อพัฒนาปรับปรุงการใช้ประโยชน์สนามบินดังกล่าวในการเป็นฐานการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเหมาะสมและเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจพัฒนาเป็นศูนย์ฝึกอบรมการบินหรือศูนย์ฝึกอบรมการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคที่ประสบภัยพิบัติได้ด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากรเพื่อรองรับการจัดตั้งกลไกและระบบการจัดการภัยพิบัติในกรอบความร่วมมือความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและรับมือฉุกเฉิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 659 | ขอรับความเห็นชอบโครงการลงทุนด้านรถจักรและล้อเลื่อน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการลงทุนด้านรถจักรและล้อเลื่อน วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑๔,๙๐๓.๕๕ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน วงเงิน ๔,๙๘๑.๐๕ ล้านบาท แทนการจัดหาขบวนรถโดยสารรูปแบบชุด (Train Set) สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๖ ขบวน โครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน วงเงิน ๖,๕๖๒.๕๐ ล้านบาท และโครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตอม จำนวน ๕๖ คัน วงเงิน ๓,๓๖๐ ล้านบาท โดยให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายจากเงินกู้ และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ประเด็นความเห็นเกี่ยวกับโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน ได้แก่ การจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมด้านเทคนิคและราคาต่อหน่วยของโครงการฯ โดยเปรียบเทียบความแตกต่างทางเทคนิคของตู้รถโดยสารที่เสนอในครั้งนี้กับโครงการจัดหาขบวนรถโดยสารรูปแบบชุด (Train Set) และความเหมาะสมของประมาณการวงเงินลงทุนเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี การศึกษาผลกระทบจากการพัฒนากิจการรถไฟร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้ในการกำหนดแผนธุรกิจของ รฟท. และแผนพัฒนาระบบรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการจัดหารถโดยสารและรถสินค้าในระยะต่อไป การเร่งรัดแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ การจัดหาแหล่งเงินดำเนินการ โดยเฉพาะในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางราง การปรับปรุงตารางการเดินรถให้สอดคล้องกับประมาณการการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และการเร่งสำรวจพฤติกรรมการเดินทางและความต้องการของผู้โดยสารทางรถไฟ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนส่งเสริมการขายและการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้โดยสาร ๒.๒ ประเด็นความเห็นเกี่ยวกับโครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน และโครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตรอม จำนวน ๕๖ คัน ได้แก่ การพิจารณาศึกษาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการพัฒนากิจการรถไฟ และการเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน การศึกษาผลกระทบจากการพัฒนากิจการรถไฟร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้ในการกำหนดแผนธุรกิจของ รฟท. และแผนพัฒนาทางรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบัน การเร่งพัฒนาระบบการบริหารจัดการรถจักร (Fleet Management) ที่ครอบคลุมทั้งด้านแผนการใช้งานของรถจักร แผนการจัดหาหรือซ่อมบำรุงรถจักร รวมทั้งแผนการปลดระวางรถจักรอย่างเป็นระบบ การจัดทำแผนการส่งเสริมการตลาดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและผู้ประกอบการมาใช้บริการขนส่งทางรถไฟเพิ่มมากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลที่ดินของ รฟท. เพื่อให้ทราบจำนวนพื้นที่ ที่ตั้ง และการใช้ประโยชน์ที่ดินของ รฟท. ในปัจจุบัน และการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาและค้ำประกันเงินกู้เพื่อรองรับการดำเนินโครงการลงทุนด้านรถจักรและล้อเลื่อนของ รฟท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 660 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2554 | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ โดยที่ประชุม กรอ. ได้พิจารณาปัญหาและแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมทั้งมีความเห็นว่า การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นการพิจารณาให้ความช่วยเหลือโดยเน้นให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหลัก ไม่ครอบคลุมประเด็นที่ภาคเอกชนเสนอในครั้งนี้ ซึ่งได้แก่ การขอสินเชื่อเพื่อใช้สำหรับฟื้นฟูกิจการ การขอยกเว้นการนำเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายกับผู้ประกอบการ และการเร่งรัด กำกับ ดูแลให้บริษัทประกันภัยรับต่อประกันให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ จึงเห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. นำข้อเสนอของภาคเอกชนดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมอบหมายในวันพุธที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ ๒ เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับปัญหาเร่งด่วนที่ขอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการในช่วงที่ไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อได้ ได้แก่ การขอสินเชื่อเพื่อใช้สำหรับฟื้นฟูกิจการ การขอยกเว้นการนำเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ และการเร่งรัด กำกับ ดูแล ให้บริษัทประกันภัยรับต่อประกันให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากมีข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการว่ามีบริษัทประกันภัยหลายบริษัทไม่ยอมต่อสัญญาประกันภัยให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบริษัทประกันภัยของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
