ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 1478 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 181 | ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ Strategic Co - ordination and Monitoring ภายใต้ Country Programme ระหว่างไทยกับ OECD) | นร11 | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินโครงการ Strategic Co-ordination and Monitoring ภายใต้โครงการ Country Programm (CP) ระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ซึ่งเป็นการรายงานผลการดำเนินงานของ OECD Development Centre ในการจัดทำรายงานการทบทวนสถานการณ์ประเทศไทยเชื่อมโยงหลายมิติ (MDCR) ให้กับประเทศต่าง ๆ รับทราบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวปฏิบัติของประเทศต่าง ๆ ในการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP ทั้ง ๑๖ โครงการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และกรอบระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒ เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบหลักของทั้ง ๑๖ โครงการ ในการเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามกำหนดเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางเยือนประเทศไทยของเลขาธิการ OECD ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ Modernising Education and Skills Development ที่จะมีส่วนสำคัญในการยกระดับการอาชีวศึกษาของไทย ๑.๓ เห็นชอบในหลักการการจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ และการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ (Steering Committee) สำหรับติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดกิจกรรม Thailand Country Programme Launching Event ในช่วงที่เลขาธิการ OECD เดินทางเยือนประเทศไทย โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP เกี่ยวกับการนำเสนอผลงานในช่วงเวลาดังกล่าว ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ รวมทั้งให้ความสำคัญกับสาขาหรือประเด็นปฏิรูปที่มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน และการพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการคัดเลือกโครงการในมิติความซ้ำซ้อน และการประเมินผลในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับ (Steering Committee) สำหรับติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการ CP นั้น ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า การจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวน่าจะไม่มีความจำเป็น โดยอาจใช้วิธีการประสานและปรึกษาหารือร่วมกันได้ หรืออาจพิจารณาใช้ประโยชน์จากคณะกรรมการกำกับดูแลในการทบทวนการดำเนินโครงการ CP ระยะที่ ๑ เพื่อพิจารณาผลกระทบและประเมินความคุ้มค่าของโครงการ และใช้ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมที่จะจัดทำโครงการ CP ระยะที่ ๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศถึงความเหมาะสมในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยภายใต้บริบทของความรับผิดชอบระหว่างไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 182 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้หน่วยงานรับงบประมาณ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๑,๔๗๐ รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น ๓๐๗,๖๐๒.๒ ล้านบาท สำหรับรายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔๓ รายการ วงเงิน ๑๑๑,๒๒๕.๐ ล้านบาท เมื่อทราบผลประกวดราคาแล้ว เห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๑.๓ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณสามารถปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ๑.๔ ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 183 | รายงานสถานภาพการดำเนินงานรายจ่ายลงทุน ตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 18/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานภาพการดำเนินงานรายจ่ายลงทุน ตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในภาพรวมประเทศ ณ วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จำนวน ๕๐๘ หน่วยรับงบประมาณ รวมทั้งสิ้น ๑๖๐,๗๘๗ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๖๔๓,๖๖๘.๔๒๖๘ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการปีเดียว จำนวน ๑๕๗,๑๘๒ รายการ วงเงิน ๔๓๔,๓๕๑.๐๗๙๑ ล้านบาท รายการผูกพันใหม่ จำนวน ๑,๒๓๘ รายการ วงเงิน ๕๓,๙๔๔.๙๑๙๖ ล้านบาท และรายการผูกพันเดิม จำนวน ๒,๓๖๗ รายการ วงเงิน ๑๕๕,๓๗๒.๔๒๘๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่กำกับหรือควบคุมกิจการของหน่วยรับงบประมาณ ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนที่อยู่ระหว่างการสำรวจออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะ การจัดทำแบบรูปรายการ การกำหนดราคากลาง หรืออยู่ระหว่างการประกวดราคาหรือจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยรับงบประมาณ ให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ในปีงบประมาณ และสอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยเฉพาะการพิจารณากำหนดระยะเวลาการส่งมอบงานให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะรายการปีเดียวกันต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 184 | หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน (เพิ่มเติม) | นร07 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน (เพิ่มเติม) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๔ มกราคม ๒๕๖๓) เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันให้ได้โดยเร็ว นั้น เพื่อให้การบริหารงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นการเตรียมความพร้อมให้หน่วยรับงบประมาณสามารถใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันได้ทันทีภายหลังพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ มีผลบังคับใช้ จึงเห็นควรให้หน่วยรับงบประมาณทุกหน่วยงานรายงานความคืบหน้าการดำเนินการในขั้นตอนการเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายจ่ายลงทุนไปยังสำนักงบประมาณภายในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ เพื่อที่สำนักงบประมาณจะได้รวบรวมข้อมูลและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 185 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงคมนาคม | คค | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓ หน่วยงาน ๔๕ รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๗,๔๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามนัยมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) กรมทางหลวง จำนวน ๔๑ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๗๐,๖๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท (๒) กรมทางหลวงชนบท จำนวน ๒ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๓) กรมท่าอากาศยาน จำนวน ๒ รายการ วงเงินทั้งสิ้น ๓,๘๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสม จำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป ๑.๓ สำหรับโครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๒,๐๕๕,๑๙๘,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ รฟท. ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่ใช่การดำเนินงานในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐสนับสนุนตามหลักการการอุดหนุนโครงการของ รฟท. โดยเห็นควรให้ รฟท. กู้เงินเพื่อดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) และให้ รฟท. รับภาระเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ตลอดจนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน และ รฟท.) รับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของโครงการ/แผนงานตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถก่อสร้างโครงการและเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ทันตามแผนงานที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง การเร่งรัดของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนบริหารจัดการโครงการและมีการบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 186 | มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 14/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสถานการณ์ และสามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ทันทีเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ประกาศใช้บังคับ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 187 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 02/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยที่ประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ได้มีการลงนามเอกสารสำคัญด้านการขนส่งทางอากาศ รวม ๒ ฉบับ รวมทั้งได้รับรองเอกสารด้านการขนส่งทางอากาศและด้านการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง รวม ๔ ฉบับ อันจะเป็นการเร่งรัดและส่งเสริมการดำเนินการของอาเซียนด้านการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การดำเนินการด้านการขนส่งทางน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการวางรากฐานการเชื่อมโยงด้านการบินในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นตลาดการบินเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Market) และตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน (ASEAN Single Shipping Market) สำหรับการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี มีการดำเนินการตามแผนงานความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ซึ่งประเทศสมาชิกได้รับประโยชน์จากการพัฒนาบุคลากร การเพิ่มขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านโครงการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และการขนส่งอย่างยั่งยืน โดยประเทศคู่เจรจาของอาเซียนยังคงให้ความสำคัญต่อความร่วมมือด้านการขนส่งกับอาเซียนเพื่อการพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคร่วมกันต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 188 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2562 | นร11 | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ การดูแลค่าเงินบาท การติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานและภาคการเกษตรเพื่อหาแนวทางการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะต่อปัญหาเศรษฐกิจของภาคเอกชน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทและแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป และ (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยและการดำเนินมาตรการของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ตลอดจนกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินสะสมมาใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และให้หน่วยงานของรัฐเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างตามแนวทางที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกำหนด เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปด้วยความรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์และงบประมาณที่ได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 189 | ขอความเห็นชอบการลงทุน และกู้ยืมเงินในโครงการจัดตั้งฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง | กษ | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ยืมเงิน จำนวน ๕๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท จากกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ สำหรับลงทุนในการจัดตั้งฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง (Thai-Denmark Smart Dairy Farm) ๑.๒ อนุมัติงบลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เพิ่มเติม (เพิ่มเติมจากแผนงบลงทุนปกติประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) สำหรับการจัดตั้งฟาร์มโคนมประสิทธิภาพสูง (Thai-Denmark Smart Dairy Farm) ของ อ.ส.ค. จำนวนเงิน ๕๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท เป็นงบลงทุนระยะยาว ๙ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๗๑ โดยมีวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จำนวนเงิน ๓๗,๙๑๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อ.ส.ค. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ การกำหนดนโยบายของการจัดตั้งฟาร์มโคนมสาธิตให้มีความชัดเจน และกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการฯ การกำหนดมาตรการการดำเนินงาน และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในอนาคต การบริหารจัดการและควบคุมการดำเนินงานด้วยความรอบคอบ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และการกระจายภาระการชำระหนี้อย่างเหมาะสม รวมทั้งดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด และการดำเนินการตามข้อกำหนดของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 190 | การเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร05 | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของแผนงาน/โครงการถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกำหนดให้ในขั้นการริเริ่มแผนงาน/โครงการ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเจ้าของแผนงาน/โครงการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า ตลอดจนตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน เช่น ความพร้อมทางกายภาพของที่ตั้งโครงการ สภาพภูมิศาสตร์ กรรมสิทธิ์ครอบครอง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แบบรูปรายการที่เหมาะสม สำหรับในขั้นการดำเนินการ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดังกล่าวกำกับติดตามและเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในทุกขั้นตอนให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ หรือคณะกรรมการต่าง ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ อนุมัติ อนุญาตตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น ด้านความเหมาะสมของแผนงาน/โครงการ ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านงบประมาณและการลงทุน เร่งรัดการพิจารณาดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ เพื่อมิให้เกิดปัญหาอุปสรรค และความล่าช้าแก่แผนงาน/โครงการนั้น ๆ ๓. ให้สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (PMDU) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินแผนงาน/โครงการสำคัญของรัฐบาล รวมทั้งเสนอแนะแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรค หรือผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานและขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่าง ๆ ดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 191 | แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ฉบับปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win) | มท | 06/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ฉบับปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win) วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๓,๖๗๓.๔๐ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๒,๕๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. จำนวน ๑,๑๗๓.๔๐ ล้านบาท ระยะทางรวม ๒๐.๕ กิโลเมตร จำนวน ๓ โครงการ ประกอบด้วย เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนรัตนาธิเบศร์ (ถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษก เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี-ถนนติวานนท์ และเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถนนสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท ๘๑-ซอยแบริ่ง) ระยะเวลาดำเนินการ ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๖ ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนของโครงการให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. ใช้เงินรายได้เป็นลำดับแรกก่อนการใช้เงินกู้และกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของโครงการ และหาก กฟน. มีความจำเป็นต้องกู้เงิน เห็นควรให้กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้ กฟน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการจัดซื้อจัดจ้าง และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมให้การเปลี่ยนแปลงระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด และให้ กฟน. ร่วมหารือกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่บริเวณเขตระบบรถไฟฟ้าและเขตปลอดภัยระบบรถไฟฟ้า โดยให้เป็นไปตามหลักการทางวิศวกรรมเพื่อความปลอดภัยในการก่อสร้าง และป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับโครงสร้างของ รฟม. เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 192 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ 2563 | พณ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ ๒๕๖๓ มีจำนวน ๒๐๕ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๙๕๔.๘๑ ล้านบาท เป็นโครงการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๑๐ หน่วยงาน ประกอบด้วย (๑) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๔๓ โครงการ วงเงินรวม ๖๖๗.๔๖ ล้านบาท (๒) ยุทธศาสตร์การเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๔๘ โครงการ วงเงินรวม ๒๘.๔๔ ล้านบาท (๓) ยุทธศาสตร์การเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ จำนวน ๑๓ โครงการ วงเงินรวม ๒๓๘.๙๑ ล้านบาท และ (๔) แผนงานตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วน (โครงการเร่งด่วนที่สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างปี) จำนวน ๑ โครงการ วงเงินรวม ๒๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 193 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ระยะที่ 2 | กค | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี ๒๕๖๑ ระยะที่ ๒ จำนวน ๔ มาตรการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการเดินทางไปท่องเที่ยวและใช้จ่าย โดยจะขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ และดำเนินมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ๑.๒ มาตรการลดภาระภาษีเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงนัก เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน จากเดิมร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ และลดค่าจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิมร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน ๓ ล้านบาทต่อหน่วย โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยมีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงนัก เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดย ธอส. จะสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษและเงื่อนไขผ่อนปรนให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน ๓ ล้านบาทต่อหน่วย วงเงินสินเชื่อรวม ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยรัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธอส. วงเงิน ๑,๑๘๒.๑๘ ล้านบาท และให้ ธอส. ทำความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณตามภาระที่เกิดขึ้นจริงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๔ มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม สัมมนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน (Front Load) โดยเร่งรัดให้หน่วยรับงบประมาณเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับวงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ เพื่อให้มีเม็ดเงินสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม สัมมนา ลงสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม ๒๕๖๒ (๒ เดือน) ๒. สำหรับภาระงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น ควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในภาพรวมว่าสามารถช่วยเพิ่มการใช้จ่ายของระบบเศรษฐกิจในประเทศตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ และพิจารณาเป้าหมายการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง ๒ ที่กำหนดเป้าหมายผู้ลงทะเบียนเติมเงินสำหรับใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก รวมถึงบริการต่าง ๆ จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ตลอดจนแสวงหาทางเลือกอื่นที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรการดังกล่าว และให้นำผลการประเมินมาพิจารณากำหนดมาตรการให้ครบถ้วนยิ่งขึ้นตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบรายละเอียดและเงื่อนไขในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างชัดเจน ถูกต้อง และทั่วถึงด้วย ๓. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ และ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ที่เสนอในครั้งนี้ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 194 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 25 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT - GT) | นร11 | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ ณ จังหวัดกระบี่ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยและปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุมฯ ซึ่งได้เห็นชอบรายงานของที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๒๖ (26th Senior Officials’ Meeting : SOM) และรายงานของที่ประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ ๑๖ (16th Chief Ministers and Governors’ Forum : CMGF) และมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเร่งรัดการขับเคลื่อนโครงการความเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Projects : PCPs) การทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ [Implementation Blueprint (IB) 2017-2021] การเร่งรัดการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่ที่อำเภอตากใบ-เมืองเปิงกาลันกุโบร์ และสะพานแห่งที่ ๒ ที่อำเภอสุไหงโกลก-เมืองรันเตาปันยัง และการจัดตั้งคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการส่งเสริมความริเริ่มในการทดลองดำเนินการเมืองคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ยังเห็นควรสนับสนุนการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการรักษาสุขอนามัยมหาสมุทร และการพัฒนาภาคมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Healthy Ocean and Sustainable Blue Economies) ตามความริเริ่มของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุม ต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสถิติแห่งชาติเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี Application Programming Interface (API) มาใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูล จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการข้อมูลด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวให้เป็นระบบ โดยข้อมูลที่จะนำมาเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนระหว่างกันต้องมีการจัดทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละประเทศสมาชิก จึงจะสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในอนุภูมิภาค ไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการรักษาสุขอนามัยมหาสมุทรและการพัฒนาภาคมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Healthy Ocean and Sustainable Blue Economies) ของแผนงาน IMT-GT โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกรอบการปฏิบัติงานอาเซียนว่าด้วยขยะทะเล รวมถึงประสานงานกับศูนย์องค์ความรู้ด้านขยะทะเลของอาเซียน เพื่อให้มีการบูรณาการนโยบายในเรื่องดังกล่าวระหว่างกรอบความร่วมมือในภูมิภาคและสามารถนำไปปฏิบัติตามได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 195 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2562 | กษ | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๑ ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๔,๒๗๘,๖๒๖,๕๓๔ ล้านบาท การขยายวงเงินสินเชื่อและปรับปรุงวิธีดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ภายในระยะเวลาเดิม การขยายระยะเวลาการดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ขยายเวลาจากเดิมเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ต่อเนื่องจนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยขยายเวลาจากเดิมตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๗ และการขยายระยะเวลาและปรับปรุงวิธีดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานรัฐ เป้าหมายปริมาณการใช้น้ำยางสด จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๕ (๓ ปี) และปรับปรุงวิธีการดำเนินงาน รวมทั้งงบประมาณดำเนินงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เช่น ควรพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้เท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อมิให้ส่วนต่างของต้นทุนการผลิตที่สูงเกินความจำเป็น ควรศึกษามาตรการหรือแนวทางเพิ่มเติม เพื่อดูดซับยางในระบบให้มากยิ่งขึ้นโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน ควรพิจารณาแนวทาง มาตรการการเร่งรัด และจัดให้มีระบบการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน และควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 196 | ผลการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม - มีนาคม 2562) ต่อที่ประชุมวุฒิสภา | นร11 | 03/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๒) ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการที่ประชุมร่วมประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นอภิปราย สาระสำคัญที่ควรพิจารณาปรับปรุงเพิ่มเติมในการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ได้แก่ ควรมีค่าเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อให้ทราบเป้าหมายและใช้ในการเร่งรัดติดตามและประเมินผลในแต่ละรอบไตรมาสได้ ควรปรับรูปแบบการรายงาน โดยแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในรายประเด็นการปฏิรูปให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นง่ายต่อการทำความเข้าใจ และเพิ่มการรายงานความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) รวมทั้งควรปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ โดยพิจารณาเฉพาะโครงการและกิจกรรมที่เป็นปัญหาเร่งด่วน มีความจำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปอย่างแท้จริง ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ๑.๒ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในทุกภาคส่วนผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ๑.๓ ในการรายงานครั้งต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายรัฐมนตรี ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อที่ประชุมรัฐสภา และรับฟังความเห็นของวุฒิสภาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการปฏิรูปประเทศด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่เกี่ยวข้องนำประเด็นการอภิปราย ไปประกอบการเตรียมการปรับแผนการปฏิรูปประเทศ ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 197 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 12 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 12th IMT - GT Summit) | นร11 | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ผลสำเร็จด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ในปี ๒๕๗๙ และความก้าวหน้าของแผน IMT-GT ในรอบปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT ด้านความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการ IMT-GT และหุ้นส่วนการพัฒนา รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำครั้งที่ ๑๒ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการดำเนินแผนงาน IMT-GT ได้แก่ (๑) การศึกษาทบทวนระเบียงเศรษฐกิจ IMT-GT และจัดทำการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าข้ามแดนระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ IMT-GT ในผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ อาทิ ยาง ปาล์มน้ำมัน อาหารฮาลาล (๒) การทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยพิจารณาปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในโลกและภูมิภาค (๓) การเร่งรัดโครงการที่เป็นผลประโยชน์อย่างสูงต่อไทย (๔) การปรับปรุงด้านตัวชี้วัดความก้าวหน้าและความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนงานที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง และ (๕) การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาเดิม ได้แก่ สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ที่มีศักยภาพ ๑.๒ เห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยรับทราบผลการประชุมที่สำคัญ แผนดำเนินการระยะต่อไป และพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นด้านความมั่นคง เช่น การดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส โดยเน้นพื้นฐานบนผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมตามบริเวณชายแดน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 198 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 06/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุมเพื่อพิจารณาต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลืออยู่ของปี ๒๕๖๒ ควรให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของการลงทุนภาครัฐ การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน การปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของแผนงาน/โครงการ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ทันภายในปีงบประมาณ เพื่อนำไปดำเนินแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อม การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี และการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการนำเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงการดำเนินมาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายและการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว สำหรับการบริหารเศรษฐกิจในระยะต่อไป ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำเป้าหมายและแนวทางการลดระดับหนี้สาธารณะในอนาคต การส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ การปรับโครงสร้างภาษี และการนำมาตรการทางการเงินสมัยใหม่และแหล่งเงินอื่นมาใช้เพื่อลดภาระงบประมาณ อาทิ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เงินสะสม ทรัพย์อิงสิทธิ เป็นต้น ๑.๒ หน่วยงานของรัฐควรให้ความสำคัญกับการลดรายจ่ายประจำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ควรมีการปฏิรูปเพื่อลดรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การปรับโครงสร้างกำลังคนภาครัฐและระบบการบรรจุทดแทนผู้เกษียณอายุในระยะยาว เป็นต้น รวมถึงการนำโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลมาสนับสนุนภารกิจการให้บริการประชาชนและนิติบุคคลให้มากขึ้น และการลดกฎเกณฑ์ที่มีผลกระทบต่อการเพิ่มขั้นตอนและภาระงบประมาณรายจ่ายประจำปีของภาครัฐอย่างจริงจัง ซี่งจะช่วยสนับสนุนด้านการลงทุนของภาคเอกชนอีกทางหนึ่งด้วย ๑.๓ การดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ควรให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ความเหมาะสมกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณในระยะยาว ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 199 | การขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง | พม | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของการขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง จากเดิม ๘๐,๐๐๐ บาท/ครัวเรือน เป็น ๘๙,๘๐๐ บาท/ครัวเรือน โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งปรับแนวทางการอุดหนุนและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกิดประโยชน์โดยตรงต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก ควบคู่กับการเร่งรัดผลักดันการกำหนดกลไกและมาตรการให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 200 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 2 | กค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ อนุมัติและรับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ดังนี้ ๑.๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๗,๐๙๔.๔๗ ล้านบาท จากเดิม ๑,๘๕๑,๑๓๗.๙๙ ล้านบาท เป็น ๑,๘๓๔,๐๔๓.๕๒ ล้านบาท และรับทราบการปรับเพิ่มวงเงินของโครงการหรือรายการเดิมในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ จำนวน ๒๐ โครงการ/รายการ ๑.๑.๒ อนุมัติการบรรจุโครงการพัฒนาหรือโครงการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ จำนวน ๖ รายการ ๑.๑.๓ อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า ๑ สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ โดยให้ รฟท. รับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรให้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว การกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จากการให้บริการขนส่ง การศึกษาแนวทางการขอปรับเพิ่มค่าระวางในการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ การจัดตั้งคณะทำงานติดตามและหาแนวทางแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินแผนงานก่อสร้างศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟพร้อมจัดหาเครื่องมือที่ท่าเรือแหลมฉบัง (Single Rail Transfer Operator : SRTO) และการหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จ่ายเงินชดเชยค่าบอกเลิกสัญญาสัมปทานให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ไปดำเนินการด้วย ๑.๒ อนุมัติและรับทราบในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๒.๑ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มา และการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๒.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงิน และหรือการค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ทางการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของ รฟท. ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า ๑ อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
