ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 82 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1621 - 1640 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1621 | ร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ คณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขตพัฒนาการท่องเที่ยว และคณะกรรมการบริหารกองทุน เพื่อให้การบริหารและการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและรูปแบบการท่องเที่ยวให้ครบทุกด้าน โดยควรเชื่อมโยงกับมาตรฐานที่ได้รับการรับรองในระดับนานาชาติ รวมทั้งควรสร้างมาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมาตรฐานให้มากขึ้น ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ ควรเชื่อมโยงและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของชุมชน สร้างกลไกการดำเนินการที่กระชับและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความสอดคล้องทั้งในมิติของเวลา และมิติของการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาสู่การปฏิบัติทั้งระดับชาติ ภูมิภาค และท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1622 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติการลงนามใน MoU โครงการ Implementing the Strategic Action Programme (SAP) for the South China Sea | ทส | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามบันทึกความเข้าใจในกลุ่มประเทศแถบทะเลจีนใต้เกี่ยวกับการประสานงานการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์สำหรับทะเลจีนใต้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งเป็นการจัดทำความตกลงในระดับหน่วยงานมิใช่ระดับรัฐและไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการของประเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ ควรมีการประสานกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาที่มีการดำเนินงานวิจัยเกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพชายฝั่งทะเลรวมถึงเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ เพื่อประสานและเสริมการทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งควรมีการเตรียมการรองรับการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ทั้งในประเด็นการแบ่งมอบหน่วยงานรับผิดชอบและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1623 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) | กษ | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) จำนวน ๕ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ (๒) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ (๓) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ (๔) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า และ (๕) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรอนุมัติให้ดำเนินการในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕,๕๙๗,๓๔๐,๐๐๐ บาท จำแนกเป็นวงเงินสินเชื่อภายในกรอบวงเงิน ๑๐,๖๘๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยภาครัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ไม่รวมเงินต้น ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๒๙๔,๐๐๐ บาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง และค่าใช้จ่ายของโครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๔๑๑,๐๔๖,๐๐๐ บาท กรณีค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือปัจจัยการผลิต การจัดทำระบบน้ำ และการปรับปรุงพื้นที่ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๑๓๒,๐๙๖,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินทุน ธ.ก.ส. โดยรัฐชดเชยเงินต้นและต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒๗๘,๙๕๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับที่จะใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีในโอกาสแรกก่อน หรือเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอว่า มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) เป็นการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล จึงเห็นควรให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีสินเชื่อตามโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสำรวจพื้นที่เป้าหมายของโครงการ (พื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว-N) และจำนวนเกษตรกรที่ยังไม่ได้ปลูกข้าวซึ่งมีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการให้ชัดเจน การคำนึงถึงวิธีการและเงื่อนไขของโครงการเพื่อที่จะให้เกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมมาเป็นการส่งเสริมอาชีพด้านปศุสัตว์สามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองได้ในขณะเข้าร่วมโครงการและสามารถลดพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการไปพร้อมกัน การจัดทำนโยบายแผนความต้องการการบริโภคสินค้าปศุสัตว์เป็นรายชนิดสัตว์และพืชอาหารสัตว์เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร การกำหนดจำนวนพื้นที่กรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดินของเกษตรกรที่เหมาะสมกับการปรับเปลี่ยนอาชีพด้านปศุสัตว์เพื่อให้เกษตรกรมีพื้นที่คงเหลือเพื่อการประกอบอาชีพอื่น ๆ ควบคู่ไปได้ในระหว่างการเลี้ยงปศุสัตว์ การสำรวจพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชทางเลือกอื่นตามแนวทางและหลักการของการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมในการทำเกษตรกรรมทั้งในส่วนของ Zoning และ Agi-Map การจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย ผลการสำรวจจำนวนเป้าหมายเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ดำเนินการที่จะเข้าร่วมโครงการจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด การติดตามประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทราบถึงปัญหาอุปสรรค ผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์ และความคุ้มค่าของโครงการ รวมทั้งการให้ความสำคัญในประเด็นการคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และการจัดทำแผนการตลาดหรือการเชื่อมโยงการผลิตกับตลาดเพื่อรองรับผลผลิตที่ชัดเจนและแน่นอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแนวทางข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ด้านเศรษฐกิจ ที่ให้คณะกรรมการบริหารระดับพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้ชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการและพิจารณากลั่นกรองเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ ทั้งโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงการคลัง (โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โคเนื้อ แพะ การทำนาหญ้า และโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น) โดยเกษตรกรจะต้องเลือกใช้สิทธิ์เข้าร่วมในโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น ๕. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1624 | มาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล (ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศ รวม 4 ฉบับ) | กค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวมทั้งเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าใช้จ่ายที่ให้หักเป็นการเหมาในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๗) และ (๘) แห่งประมวลรัษฎากร ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่บุคคลธรรมดาสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินใด ๆ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้ง ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และยกเว้นภาษีเงินได้ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๕ ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ สำหรับรายจ่ายที่เกิดจากการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ค่าทำบัญชี และค่าสอบบัญชี ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดินสำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่ โอนอสังหาริมทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลตั้งใหม่นั้นร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง ๑.๔ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดสำหรับการโอนห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่โอนห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลตั้งใหม่นั้นร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้กรมสรรพากรรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล และมาตรการอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วในช่วงก่อนหน้า เช่น นโยบายสนับสนุนให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจัดทำบัญชีและงบการเงินที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของกิจการ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ เป็นต้น ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกในการพิจารณาให้บุคคลธรรมดาสามารถโอนใบอนุญาตในการประกอบกิจการให้นิติบุคคลตั้งใหม่ได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1625 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย - ลาว | คค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานการประชุมร่วมกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟไทย-จีน และความคืบหน้าโครงการรถไฟ ลาว-จีน (บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์) การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ ด้วยขนาดทาง ๑ เมตร โดยนำเงินในส่วนเหลือตามสัญญาเงินกู้โครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ ๒ (ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) ประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท มาใช้สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว การก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ขนาด ๑ เมตร และ ๑.๔๓๕ เมตร สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงในอนาคต การดำเนินการก่อสร้างย่านกองเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Yard : CY) และการผลักดันให้มีการเดินรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยและ สปป.ลาว โดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ ๒. ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ การเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ./NEDA) ให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการปรับปรุงเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เส้นทางบ่อแก้ว-ปากทา-ก้อนตื้น ระยะทาง ๗๔ กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางที่แขวงไชยบุรี และการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินสำหรับการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-ปากซัน) การกำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และพิจารณาการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ ณ แขวงสะหวันนะเขตหรือจังหวัดมุกดาหาร แห่งใดแห่งหนึ่ง ๓. การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนน ที่ประชุมรับทราบการจัดทำความตกลงว่าด้วยการเดินรถโดยสารประจำทางไทย-ลาว-เวียดนาม การเพิ่มเส้นทาง R12 ให้รวมอยู่ในพิธีสาร ๑ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS CBTA) การจัดประชุมเพื่อพิจารณาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ระหว่างไทย-ลาว-จีน การอนุญาตให้รถบรรทุกลาวทำการขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และการเปลี่ยนหัวลาก-ทางลาก การเพิ่มจุดผ่านแดนถาวร (Additional International Transit Border Crossings for Goods and People) ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านนครพนม ด่านเชียงของ ด่านห้วยโก๋น และด่านภูดู่ และการปรับปรุงเส้นทางและอาคารด่าน ณ ด่านพรมแดนช่องเม็ก-วังเต่า ๔. ประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินแก่ฝ่ายลาว การให้ NEDA พิจารณาให้ความช่วยเหลือสำหรับโครงการน้ำประปาในเมืองเล็กของลาว จำนวน ๘ แห่ง ที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง รวมทั้งการให้ฝ่ายลาวพิจารณาการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก และการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานในเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังแขวงสะหวันนะเขต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1626 | รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๑-๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไทยและเมียนมา และเข้าร่วมประชุมระดับวิชาการเมียนมา-ไทย ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน-๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยได้มีการหารือในประเด็นสำคัญ ๆ ได้แก่ (๑) การหารือเกี่ยวกับแรงงานเมียนมาสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identification : CI) ที่มีอายุวีซ่าเหลือน้อยกว่า ๒ ปี และกลุ่มที่ถือบัตรสีชมพูที่ผ่านการยื่นขอจดทะเบียนในระหว่างวันที่ ๑ เมษายน-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ (๒) การจัดส่งแรงงานเมียนมาทำงานในภาคประมงทะเลในระบบรัฐต่อรัฐ (๓) การจัดตั้งศูนย์แรกรับและส่งกลับ ๔ แห่ง ตามแนวชายแดน (๔) การปรับปรุง (ร่าง) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา โดยกำหนดวันลงนามเอกสารทั้งสองฉบับภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติตามขั้นตอนที่จำเป็นแล้ว และ (๕) การจัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานต่างด้าวเพื่อรับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียน นอกจากนี้ ฝ่ายไทยเสนอฝ่ายเมียนมาให้พิจารณาเรื่องการจัดฝึกอบรมก่อนการเดินทาง (Pre-Departure Training) แก่แรงงานเมียนมาเพื่อให้รับทราบสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายของไทย รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ พร้อมเน้นย้ำให้มีการติดต่อหารือกันอย่างใกล้ชิดในระดับเจ้าหน้าที่สองฝ่าย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1627 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมือง กรณี ขอความช่วยเหลือให้ชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย | สม | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมือง กรณีขอความช่วยเหลือให้ชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยมีสิทธิในการทำงานได้ระหว่างที่รอการส่งกลับประเทศต้นทาง นอกจากจะผิดวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือผู้หนีภัย ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ และประเทศไทยได้ปฏิบัติต่อผู้หนีภัยโดยยึดหลักการไม่ผลักดันกลับไปสู่อันตรายอยู่แล้ว โดยยึดหลักความสมัครใจ มีเกียรติ ปลอดภัย และสมศักดิ์ศรี อีกทั้งประเทศไทยมีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมกับทั้งองค์การระหว่างประเทศและในเวทีระหว่างประเทศในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือดูแลผู้หนีภัยตามความจำเป็นเพื่อยังชีพบนพื้นฐานด้านมนุษยธรรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้กับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1628 | การบูรณาการคณะกรรมการที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกันด้านเกษตร | นร | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้
๑. ยกเลิกคณะกรรมการกำกับและขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี (๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการยกเลิกคณะกรรมการกำกับดูแลและป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร และคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. รับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางในการบูรณาการคณะกรรมการที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกัน โดยให้พิจารณาการปรับปรุงสายงานให้ตรงภารกิจและตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ทันสมัย/มาตรการภูมิคุ้มกัน ความเสี่ยงของสถานการณ์เกี่ยวกับการเงิน/การตรวจสอบเงินฝาก/ผลประโยชน์ตอบแทน ไม่ให้เป็นช่องทางทุจริต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1629 | การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม [ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราในการจ่ายเงินสงเคราะห์และกำหนดลักษณะของความพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพหรือในการดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพผู้ประสบภัย เนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ] | กค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราในการจ่ายเงินสงเคราะห์และกำหนดลักษณะของความพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพหรือในการดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราในการจ่ายเงินสงเคราะห์และกำหนดลักษณะของความพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพหรือในการดำรงชีพ พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยปรับปรุงแก้ไขนิยามคำว่า “อัตราเงินเดือน” ให้สอดคล้องกับระบบการจำแนกตำแหน่งและเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน และเหมาะสมยิ่งขึ้น และกำหนดให้ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับเงินชดเชยระหว่างเข้ารับการรักษาพยาบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดให้จ่ายเงินชดเชยระหว่างเข้ารับการรักษาพยาบาลในอัตราวันละ ๕๐๐ บาท อาจพิจารณากำหนดการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเป็นสูตรการคำนวณ เช่น อัตราเงินเดือนที่มีผลใช้บังคับอยู่ขณะนั้นหารด้วยจำนวนวันในหนึ่งเดือน (๓๐ วัน) เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบในหลักการการแก้ไขเพิ่มเติมอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือหรือค่าจัดการศพ โดยปรับปรุงแก้ไขอัตราเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพเป็นจำนวน ๓ เท่าของอัตราเงินเดือนแรกบรรจุต่ำสุดของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทวิชาการ (วุฒิปริญญาตรี) ระดับปฏิบัติการ ที่ใช้อยู่ขณะประสบภัย (ปัจจุบันอัตรา ๑๕,๐๐๐ บาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1630 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร09 | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยเพิ่มกองจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๑ และกองจัดทำงบประมาณด้านสังคม ๔ และยกฐานะกองจัดทำงบประมาณเพื่อการบูรณาการงบประมาณเขตพื้นที่และการบูรณาการงบประมาณในการบริหารราชการในต่างประเทศ และกองยุทธศาสตร์การงบประมาณ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและเหมาะสมกับสภาพงาน รวมทั้งสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักงบประมาณนำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1631 | การเสนอความเห็นการจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน จำนวน ๔ ทุน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) กองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง (๒) กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (๓) กองทุนเพื่อโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และ (๔) กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมบางประเด็นในร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย พ.ศ. .... การกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ชัดเจน การจัดลำดับความสำคัญการสนับสนุนโครงการอาหารนักเรียนในโรงเรียนตามระดับอายุของนักเรียน การกำหนดรูปแบบการบริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติให้มีความชัดเจน และตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ภายใต้บังคับตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้ถูกต้อง รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายชดเชยผลตอบแทนไว้ในระดับที่จะไม่สร้างความเสี่ยงแก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานฯ จนเกินไป และควรมีการพิจารณากำหนดรูปแบบการบริหาร แหล่งที่มาของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์การจ่ายผลตอบแทน อย่างรอบคอบ เพื่อให้กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติมีความยั่งยืนและดำเนินงานได้ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนฯ นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินกิจการของทุนหมุนเวียนที่มีอยู่เดิมหรือทุนหมุนเวียนที่จะตั้งขึ้นใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมให้ถูกต้องชัดเจนตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความโปร่งใส ในการดำเนินการทุกขั้นตอน โดยมีการยึดโยงการดำเนินการของกองทุนกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับชาติ และนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ รวมทั้งจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลที่สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณานำกลไกประชารัฐ โดยเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการสนับสนุนการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนของภาครัฐ ทั้งในส่วนของงบประมาณและการปฏิบัติงาน ๔. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1632 | ผลการประชุม เรื่อง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับส่วนราชการ ภาคเอกชน และ ศอ.บต. เมื่อวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2559 | นร11 | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมเรื่อง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับส่วนราชการ ภาคเอกชน และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมฯ ดังกล่าว และรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศอ.บต. หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่จัดทำรายละเอียดโครงการฯ โดยพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ รวมทั้งผลกระทบให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง และเสนอให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงร่วมกับฝ่ายเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณากลั่นกรองและนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ โครงการพัฒนาด้านศุลกากรบูเก๊ะตา ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร รับไปดำเนินการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ ๓ ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๙ การปรับปรุงเพิ่มเติมงานก่อสร้างด่าน ระยะที่ ๒ และการจัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อรองรับการเปิดด่านได้ก่อนภายในปี ๒๕๖๐ รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงและขยายด่านศุลกากรบูเก๊ะตา (ระยะที่ ๔) เพื่อเปิดด่านอย่างเต็มรูปแบบให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ ศอ.บต. ที่เห็นควรให้มีการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติสนับสนุนการทำงานให้เกิดเมืองต้นแบบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทุกด้านภายใต้กรอบแนวทางการทำงานร่วมกัน ให้เกิดการเชื่อมโยงทุกมิติการพัฒนาทุกด้านและให้มีการกำกับ ติดตามและรายงานให้ผู้บริหารระดับนโยบายทราบและพิจารณาเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีที่ให้มีการจัดหาที่ดินเพิ่มเติมเพื่อการดำเนินโครงการพัฒนาด่านศุลกากรบูเก๊ะตา และพื้นที่เศรษฐกิจจังหวัดนราธิวาสด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1633 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติติดตามประเด็นด้านความมั่นคงตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศเพื่อนำมาใช้ในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ต่อไปด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้สำนักงบประมาณร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามและกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภารกิจของส่วนราชการ (Function) และงบประมาณการดำเนินการตามนโยบาย (Agenda) พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อรวบรวมรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒.๒ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนงานและงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งนี้ ให้มีการจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่อไป และในกรณีที่โครงการมีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการของหน่วยงานนั้น ๆ กำกับดูแลการดำเนินโครงการตามแผนงานให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางน้ำ โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเทียบเรือ ทั้งท่าเรือน้ำลึก ท่าเทียบเรือชายฝั่ง และท่าเรือข้ามฟาก ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินโครงการนำร่องในพื้นที่ที่สามารถเดินเรือได้ก่อน เพื่อให้สามารถให้บริการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ ๒.๔ ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ได้เห็นชอบแผนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) เพื่อพัฒนาให้เกิด SMEs 4.0 นั้น ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจนในการสนับสนุนและส่งเสริม SMEs ที่จะดำเนินการระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ก่อน ส่วนที่เหลือให้พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขังที่ได้มาตรฐานตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการสนับสนุนสินค้าไทยที่มีศักยภาพให้สามารถขยายตลาดไปยังตลาดต่างประเทศต่อไป ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการจัดสร้างที่อยู่อาศัยในลักษณะบ้านเคหะประชารัฐให้แก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งรองรับแรงงานที่จะเข้าไปทำงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุหรือสังคมสูงวัยของประเทศไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติ โดยให้มีหน่วยงานรับผิดชอบและมีความชัดเจนในเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณที่ใช้ด้วย รวมทั้งพิจารณาจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งพิจารณาและเสนอเรื่อง การแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการพลเรือนในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ซึ่งต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่ผู้ดำรงตำแหน่งจะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔.๒ ในกรณีที่ส่วนราชการจะดำเนินโครงการหรือมาตรการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่โครงการ ให้ส่วนราชการจัดทำโครงการหรือกำหนดมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ ให้สร้างการรับรู้ให้ประชาชนรับทราบการดำเนินโครงการและมาตรการเยียวยาดังกล่าวให้รวดเร็วและทั่วถึงด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการจัดทำแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยมุ่งเน้นการผลิตบุคลากรเพื่อกลับไปทำงานในภูมิลำเนา เพื่อให้มีอัตราบุคลากรทางการแพทย์เหมาะสมสอดคล้องกับจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ด้วย ๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการกีฬาทั้งระบบ โดยเฉพาะการปรับปรุงประสิทธิภาพและการบริหารงานของสมาคมกีฬาต่าง ๆ เน้นความเชื่อมโยงและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาด้านการกีฬาของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป ๔.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการแข่งขันกีฬานำร่องระหว่างหน่วยงานของรัฐในฝ่ายบริหาร โดยแบ่งเป็น ๖ ทีม ตามการกำกับการบริหารราชการของรองนายกรัฐมนตรี เพื่อกระชับความสัมพันธ์และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาด้านการกีฬาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการภายใน ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1634 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.๒๓-๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเผยแพร่ข้อมูลและสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1635 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) | กค | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรใน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ (๒) การหักภาษีและนำส่งภาษีทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (๓) การจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์ และ (๔) การนำส่งข้อมูลธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดให้ธนาคารตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินหรือกฎหมายเฉพาะและผู้ประกอบธุรกิจบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์มีหน้าที่นำส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินหรือข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับผู้มีหน้าที่เสียภาษี ควรกำหนดขอบเขตประเภทของข้อมูลและกรณีที่ต้องปฏิบัติให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อผู้มีหน้าที่จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้องและเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นว่า กรมสรรพากรควรมีความชัดเจนในขั้นตอนการปฏิบัติ มีแผนรองรับการดำเนินการในแต่ละเรื่อง ควรสื่อสารให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจ และประชาชนให้มีความรู้ ความเข้าใจในการจัดทำ จัดเก็บ การส่งข้อมูลธุรกรรมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดได้ และควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กำหนด เพื่อให้ผลการดำเนินการใดที่ใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีผลตามกฎหมายและสามารถใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1636 | ร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขขอบเขตการใช้บังคับตามพระราชบัญญัตินี้โดยขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงลูกจ้างของส่วนราชการไม่ว่าจะเป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น การเพิ่มเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง แก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการกองทุนเงินทดแทน การลดการจ่ายเงินเพิ่มกรณีนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบหรือจ่ายไม่ครบจำนวน การแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการ แก้ไขบทกำหนดโทษให้เหมาะสม รวมทั้งแก้ไขเพื่อให้บทบัญญัติเอื้อประโยชน์ต่อการบริหารจัดการกองทุนที่ดี หรือการลดขั้นตอนการทำงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรกำหนดให้มีการจัดทำรายงานการเงินของกองทุนส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นบัญชี การรายงานการสอบบัญชีเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน และการรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีต่อกระทรวงการคลัง ควรกำหนดให้มีการวางและรักษาไว้ซึ่งระบบบัญชีที่เหมาะสมแก่กองทุนตามมาตรฐานการบัญชีสากล และควรกำหนดให้มีการจัดระบบการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานต่าง ๆ ของกองทุน รวมทั้งเห็นควรให้ตัดมาตรา ๔ (๓) ในร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งระบุให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่องค์การของรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศ เนื่องจากโดยปกติองค์การดังกล่าวมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายภายในในเรื่องต่าง ๆ เว้นแต่จะได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเฉพาะเรื่อง ซึ่งจะระบุไว้ในความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การนั้น ๆ ดังนั้น ลูกจ้างของสถานเอกอัครราชทูตและองค์การระหว่างประเทศจึงควรได้รับการคุ้มครองจากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย ซึ่งถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สถานเอกอัครราชทูตและองค์การระหว่างประเทศต้องปฏิบัติตาม ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีขอบเขตการใช้บังคับกฎหมายให้รวมถึงกลุ่มลูกจ้างของราชการที่มีการจ้างต่อเนื่อง จะทำให้รัฐในฐานะนายจ้างมีภาระที่จะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามอัตราที่กำหนด กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความมั่นคงและความยั่งยืนของกองทุนเงินทดแทนในระยะยาวจากการให้สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1637 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... | นร09 | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. .... ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1638 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้าง ค่าควบคุมงาน และขอขยายระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิต 1 หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดดุสิต ๑ หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพื้นที่บางส่วนเป็นที่ทำการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบและค่าครุภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงาน โดยเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้าง จากเดิมวงเงิน ๕๓๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๖๒๙,๖๐๐,๐๐๐ บาท และค่าควบคุมงาน จากเดิมวงเงิน ๙,๒๗๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๐,๘๕๕,๕๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันการก่อสร้างและควบคุมงานก่อสร้างไปถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะใช้จ่ายงบประมาณ สำหรับงบประมาณในส่วนที่เพิ่มขึ้นของวงเงินค่าก่อสร้าง จำนวน ๙๐,๖๐๐,๐๐๐ บาท และค่าควบคุมงาน จำนวน ๑,๕๘๕,๕๐๐ บาท ซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ และมีแผนการใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณหรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แล้วแต่กรณี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์สูงุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับความเหมาะสมของปริมาณงานและการกำหนดราคาให้มีความเหมาะสม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1639 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 7 | พณ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๗-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ได้แก่ เป้าหมายการค้าเพื่อให้บรรลุ ๑๐,๐๐๐-๑๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแม่สอด-เมียวดี และการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนของเมียนมา ๑.๒ ประเด็นที่จะสนับสนุนการดำเนินการร่วมกันต่อไป ได้แก่ CLMVT Forum ความร่วมมือด้านการธนาคารและการเงิน การยกระดับ/เปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การจัดตั้งระบบการตรวจแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ความร่วมมือโครงการเส้นทางสายผ้าทอ การส่งเสริมการลงทุนของไทยในเมียนมา การอนุญาตให้ใช้หนังสือผ่านแดน (Border Pass) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางถนน และความร่วมมือภาคเอกชน ๑.๓ ประเด็นที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการต่อไป ได้แก่ ความร่วมมือโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Young Entrepreneur Network Development Program : YEN-D) การอนุญาตให้รถบรรทุกเมียนมาข้ามสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ ๑ และการจัดมหกรรมการค้าชายแดน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในประเด็นเกี่ยวกับการยกระดับ/เปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1640 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชนและสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีกล่าวอ้างว่าร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... กระทบต่อสิทธิมนุษยชน | สม | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชนและสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีกล่าวอ้างว่า ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... กระทบต่อสิทธิมนุษยชน ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีอาจขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาตินำความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปปรับปรุงได้ แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นคณะรัฐมนตรีก็อาจถอนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่อยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาก่อนเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ๑.๒ คณะรัฐมนตรีควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ เร่งรัดการตราพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... และกฎหมายว่าด้วยการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (Pollutant Release and Transfer Registers : PRTR) ๒. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
