ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 81 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1601 - 1620 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1601 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือในประเภท 5 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | สธ | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงรวม ๒ ฉบับ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การควบคุม และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวกับเฮมพ์ (Hemp) เป็นการเฉพาะ อันเป็นการรองรับการส่งเสริมการปลูกเฮมพ์ (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงในอนาคต และเพื่อประโยชน์ในการควบคุมและกำกับดูแลการปลูก การจำหน่าย การมีไว้ในครอบครอง และแปรสภาพเฮมพ์ (Hemp) ให้มีความเข้มงวดรัดกุมและป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๔ หรือในประเภท ๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๔ หรือในประเภท ๕ ให้มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณากำหนดอายุในการเก็บเกี่ยวเฮมพ์ (Hemp) เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบิทอล (Tetrahydro cannabinol, THC) ซึ่งเป็นสารเสพติดในปริมาณที่ต่ำกว่ากัญชา และปริมาณสาร THC จะขึ้นกับระยะเวลาเก็บเกี่ยว ถ้าเก็บในระยะออกดอกจะมีปริมาณเกินร้อยละ ๑ ตามที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณากำหนดมาตรการควบคุมและกำกับดูแลเฮมพ์ (Hemp) ให้เข้มงวดและรัดกุมและสอดคล้องกับนโยบายการควบคุมยาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1602 | กรมประชาสัมพันธ์ขออนุมัติดำเนินการรายการงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 จำนวน 2 รายการ | นร | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมประชาสัมพันธ์ขยายระยะเวลาการดำเนินการและการลงนามในสัญญา รายการงบประมาณรายจ่ายงบลงทุน จำนวน ๒ รายการ ประกอบด้วย (๑) รายการปรับปรุงประสิทธิภาพสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ระบบเอฟเอ็ม เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ๑ ระบบ วงเงิน ๒๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รายการปรับปรุงประสิทธิภาพสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ระบบเอฟเอ็ม ขนาดกำลังส่ง ๕ กิโลวัตต์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ๑ แห่ง วงเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กรมประชาสัมพันธ์เร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) รับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรวางแผนจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ดังกล่าว เพื่อใช้ทดแทนระบบเดิมที่ล้าสมัยให้สอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1603 | มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ | คค | 06/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เกี่ยวกับเรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ โดยกระทรวงคมนาคมได้เสนอแผนบูรณาการมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๕ แผนงาน ได้แก่ (๑) สำรวจจัดทำแผนที่ฐานข้อมูลสิ่งปลูกสร้างล่วงล้ำลำแม่น้ำทั่วประเทศ (๒) การแก้ไขสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำที่ไม่ได้รับอนุญาต (๓) การป้องกันการปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำโดยผิดกฎหมาย (๔) การปรับปรุงและแก้ไขกฎหมาย และ (๕) การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานนี้จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าจะร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามการดำเนินงานและความคืบหน้าต่อไปเป็นระยะ ๆ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1604 | การปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๘๒/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1605 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา การเลือกกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา การเลือกกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการสภาการศึกษา หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา และเลือกกรรมการ รวมทั้งแก้ไขระยะเวลาในการดำเนินการสรรหา การเลือก และการแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่เป็นการล่วงหน้าให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มจำนวนกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษาที่เป็นผู้แทนจากภาคเอกชน โดยปรับลดจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิลงเพื่อให้ครอบคลุมหน่วยงานที่เป็นผู้ใช้กำลังคน การกำหนดให้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และให้มีปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและปลัดกระทรวงแรงงานเป็นกรรมการโดยตำแหน่งเช่นเดิม การกำหนดให้มีผู้แทนจากองค์กรศาสนาต่าง ๆ ทำหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแผนการศึกษาแห่งชาติหรือการอื่นใดเกี่ยวกับการศึกษา รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นว่า หากมีการเพิ่มกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการสภาการศึกษา ตามความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นั้น เห็นควรเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการศึกษาเอกชน ด้านการศึกษาพิเศษ ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี ในคณะกรรมการสภาการศึกษา เพื่อให้สัดส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีความสอดคล้องกับกรรมการโดยตำแหน่ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1606 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 3 | กค | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๓ ที่มีวงเงินปรับลดลงสุทธิ ๑๓๖,๐๐๕.๔๔ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๔๘,๘๕๐.๔๐ ล้านบาท เป็น ๑,๔๑๒,๘๔๔.๙๖ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๘,๒๙๑.๕๓ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๔,๔๖๓.๕๕ ล้านบาท เป็น ๑๓๒,๗๕๕.๐๘ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การปรับโครงสร้างหนี้ การบริหารความเสี่ยง และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ปรับปรุงครั้งที่ ๓ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ปรับปรุงครั้งที่ ๓ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สามารถตรวจสอบได้ และเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ภายในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1607 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขเพิ่มเติมขั้นตอนการปฏิบัติงานในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้มีความชัดเจน กระชับ รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดเพิ่มเติมหลักเกณฑ์กรณีการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเข้ามาในราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์การนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเพื่อนำมาประกอบหรือเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อรองรับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และกำหนดอายุของใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตลอดจนปรับอัตราโทษ และปรับปรุงกระบวนการลงโทษทางอาญาให้ใช้การเปรียบเทียบคดีได้ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการปรับปรุงสาระสำคัญบางประการในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1608 | การกำหนดรายละเอียดรายการครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่งเกี่ยวกับขนาดของเครื่องยนต์หรือกำลังของเครื่องยนต์ในบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ สำนักงบประมาณ | นร07 | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงรายละเอียดรายการรถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน ซึ่งเดิมกำหนดเฉพาะปริมาตรกระบอกสูบ เป็นให้ใช้ได้ทั้งปริมาตรกระบอกสูบ หรือกำลังเครื่องยนต์ ได้แก่ (๑) กลุ่มปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ ซีซี หรือกำลังเครื่องยนต์ไม่ต่ำกว่า ๙๐ กิโลวัตต์ และ (๒) กลุ่มปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า ๒,๔๐๐ ซีซี หรือกำลังเครื่องยนต์ไม่ต่ำกว่า ๑๑๐ กิโลวัตต์ โดยราคายังคงเดิม ๑.๒ ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการปฏิบัติในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) โดยกำหนด “ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ของขนาดเครื่องยนต์ กำลังเครื่องยนต์ พร้อมทั้งปรับปรุงคุณลักษณะเฉพาะให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนของเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ได้ เช่นเดียวกับการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ ยานพาหนะและขนส่ง โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี” ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1609 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา โดยให้พิจารณาการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนตู้โดยสารหรือหัวรถจักรซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้วแต่ยังใช้การได้แก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลให้แก่ประชาชนทุกระดับโดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละกลุ่มจะได้รับ รวมทั้งชี้แจงด้วยว่า ในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมิได้มุ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศเท่านั้น แต่ได้ให้ความสำคัญในการดูแลช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศทุกระดับอย่างเท่าเทียมกันด้วย ทั้งนี้ ให้ใช้ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย เช่น สื่อมวลชน ผู้นำท้องถิ่น สื่อสังคมออนไลน์ ๒.๒ ให้คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี) ติดตามผลการดำเนินการโครงการที่ใช้งบประมาณของรัฐจำนวนมาก เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และส่งรายงานผลการติดตามให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพัฒนาพืชสมุนไพรไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมการใช้สมุนไพรและยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคตามแนวทางการแพทย์แผนไทยต่อไปด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางเพื่อผลักดันให้จังหวัดที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้าจีไอ (Geographic Indication : GI) สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอภายในปี ๒๕๖๐ ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินโครงการร้านหนูณิชย์ (รถขายเคลื่อนที่) โดยให้ขยายพื้นที่เป้าหมายไปเปิดจำหน่ายในพื้นที่ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว หรือสวนสาธารณะ เช่น สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) สวนลุมพินี ฯลฯ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น ทั้งคนวัยทำงาน วัยรุ่น และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อันจะส่งผลให้เกิดรายได้สู่เศรษฐกิจชุมชนและท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งนี้ ในการดำเนินการยังต้องคงเป้าหมายหลักในเรื่องคุณภาพและรสชาติของอาหาร รวมทั้งราคาประหยัดด้วย ๒.๖ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขยายการดำเนินการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปยังสายการบินอื่น ๆ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า OTOP ดังกล่าวให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น บริเวณสถานีรถไฟ บนรถไฟเส้นทางต่าง ๆ ๓. ด้านสังคม ๓.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจร โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร คู่ขนานไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยให้ใช้ทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กัน รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรของรัฐบาลทั้งในเรื่องการวางโครงข่ายคมนาคมของประเทศและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดให้มีเรือโดยสารรับจ้างสาธารณะขนาดเล็ก (เรือ Taxi) เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้เริ่มดำเนินการในลำคลองที่มีศักยภาพก่อน ทั้งนี้ จะต้องกำกับให้มีมาตรฐานควบคุมความปลอดภัยโดยเคร่งครัดด้วย ๓.๓ ตามที่มีการเปิดใช้ขบวนรถไฟโดยสารรุ่นใหม่เส้นทางกรุงเทพฯ-นครปฐม เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ นั้น พบว่า มีการบุกรุกที่ดินบริเวณสองข้างทางของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยคนเร่ร่อนไร้บ้านได้สร้างที่พักอาศัยชิดแนวเส้นทางเดินรถ รวมทั้งทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการช่วยเหลือให้คนเร่ร่อนเหล่านี้มีที่อยู่อาศัยในพื้นที่อื่นที่มีความเหมาะสม และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสองข้างทางดังกล่าวให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งเส้นทางอื่น ๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับและเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการประเมินผลการดำเนินโครงการที่ใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และรายงานผลให้สำนักงบประมาณทุก ๓ เดือน ๔.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดมาตรการหรือหลักเกณฑ์ในการดูแลช่วยเหลือนักกีฬาอาชีพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศโดยให้ครอบคลุมถึงอดีตนักกีฬาและนักกีฬาคนพิการด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเหมาะสม เป็นธรรม และความเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1610 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 47/2559 เรื่อง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 33/2559 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 48/2559 เรื่อง การปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐ | สลธ.คสช. | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๗/๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๓/๒๕๕๙ สั่ง ณ วันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๘/๒๕๕๙ เรื่อง การปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐ สั่ง ณ วันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1611 | มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย | กก | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย) โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยว) ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินทุนและหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และได้นำมาจัดทำเป็นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ได้แก่ ร่างหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข สำหรับมาตรการฯ และหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติ ในการคืนเงินสำหรับมาตรการฯ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตภาพยนตร์ชาวต่างชาติเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีการดำเนินการมาก่อน การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย นอกจากจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดในมาตรการฯ ดังกล่าวแล้ว กรมการท่องเที่ยวควรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์และวีดิทัศน์ด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop-Service Center) เพื่ออำนวยความสะดวกและดึงดูดให้ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์และสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย และเร่งกำหนดแนวทางการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบหรือกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ตลอดจนประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการต่างประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมควรเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนของการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อสนับสนุนมาตรการจูงใจให้มีการลงทุนดำเนินธุรกิจและการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1612 | การจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. ....) | นร09 | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ รวมทั้งการจัดทำแผนเกี่ยวกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมและประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้สิทธิและประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเพิ่มเติมหลักการเกี่ยวกับการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน กรณีได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในประมวลรัษฎากรตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในร่างพระราชบัญญัตินี้ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองและแผนการเสนอกฎหมายลำดับรอง และการเร่งรัดดำเนินการเสนอกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายสำคัญ) และให้กระทรวงการคลังประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้เร่งรัดการเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับทุนประเดิมและเงินอุดหนุนที่จะขอรับจากรัฐบาลเพื่อดำเนินการตามภารกิจของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวยังคงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันในมิติอื่น ๆ เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบภาครัฐ และการยกระดับระบบการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรม การปรับระบบวิจัยและพัฒนาสำหรับรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม เป็นต้น อันจะนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของกองทุนในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1613 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. .... | นร09 | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลังที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิตทั้งระบบเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดความสะดวกในการใช้ทั้งแก่ประชาชนผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายและส่วนราชการผู้ปฏิบัติงาน และให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรเพิ่มประเด็นให้สามารถเก็บภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ภาคขนส่งที่หัวจ่ายได้ ในร่างพระราชบัญญัติฯ รวมทั้งควรมีการทบทวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในบางประเด็น เพื่อให้มีความชัดเจน ครอบคลุม และไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายฉบับอื่นที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกันไปพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1614 | ข้อเสนอการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข | สธ | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายอัตราเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายสำหรับจูงใจบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกลหรือทุรกันดาร โดยการปรับปรุงค่าตอบแทนและอัตราจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข ใช้วงเงิน ๙,๘๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๔๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๒๕ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขทำความตกลงในรายละเอียดของหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขกับกระทรวงการคลังก่อนดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลกระทบของระบบการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องและรอบด้าน โดยพิจารณาร่วมกับมาตรการสร้างแรงจูงใจอื่นที่ไม่เป็นตัวเงิน และคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่างผู้ให้บริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและสังกัดอื่นด้วย สำหรับงบประมาณให้ใช้เงินบำรุงของหน่วยบริการก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณ รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลว่าการปรับปรุงค่าตอบแทนสามารถเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. โดยที่การปรับปรุงค่าตอบแทนและอัตราการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ ไม่รวมถึงบุคลากรด้านสาธารณสุขในสังกัดหน่วยงานอื่น (เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเป็นธรรมในการกำหนดค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขทั้งระบบ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขส่งหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขที่ได้ตกลงกับกระทรวงการคลังแล้ว (ตามข้อ ๑) ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1615 | ขอความเห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 ฉบับใหม่ | คค | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ฉบับใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารที่มีการปรับปรุงสาระสำคัญให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินโครงการและรูปแบบความร่วมมือที่เปลี่ยนแปลงไปตามที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกัน โดยจะใช้แทนกรอบความร่วมมือฯ ฉบับเดิมที่ได้ลงนามเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างกรอบความร่วมมือฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของโครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีนในปัจจุบันควรพิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดระยะเวลาการเริ่มต้นก่อสร้างระยะแรกที่กำหนดไว้ในกรอบความร่วมมือฯ ให้สอดคล้องกับแผนดำเนินงานของฝ่ายไทยที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนการดำเนินโครงการภายใต้สัญญาจัดซื้อจัดจ้างและการก่อสร้าง (อีพีซี) ที่เป็นการบริหารและการช่วยเหลือจากฝ่ายจีนตามความต้องการของฝ่ายไทย นั้น ควรระบุให้มีการสงวนสิทธิ์เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถพิจารณากำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งในเบื้องต้นฝ่ายไทยอาจกำหนดให้ฝ่ายจีนร่วมพัฒนากำหนดหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรที่ใช้ในกิจการรถไฟความเร็วสูงทั้งระบบ และจัดตั้งโรงงานประกอบรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งพิจารณาใช้วัสดุชิ้นส่วนภายในประเทศที่มีความเหมาะสม ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินโครงการให้สามารถเริ่มการก่อสร้างรถไฟระยะแรกได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ รวมทั้งให้พิจารณาการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟความเร็วสูงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีความชัดเจนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1616 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 (ครั้งที่ 17) | มท | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๗) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๔๒ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ส่งมอบแล้ว ๑๐๓-๒-๑๓ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๔ ๓. ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ ได้แก่ พื้นที่บ้านพักกรมการอุตสาหกรรมทหาร พื้นที่ศูนย์บริการสาธารณสุข ๓๘ พื้นที่ชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า และพื้นที่โรงเรียนโยธินบูรณะ สำหรับกรณีชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า จำนวน ๑๙ ครอบครัว ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าอยู่อาศัยในที่พักแห่งใหม่ ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เจรจาให้เข้าอยู่ในแฟลตกรมการขนส่งทางบก โดยจะดำเนินการปรับปรุงแฟลตดังกล่าว แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนสำรวจและประเมินราคาเท่านั้น และการจัดจ้างผู้ออกแบบศึกษาและออกแบบงานระบบ ICT ล่าช้า ทำให้กระทบกับระยะเวลาการทำงานของผู้รับจ้างหลัก ๔. คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ มีความเห็นว่า (๑) การขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปจำนวน ๓๘๗ วัน ไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก และ (๒) ควรให้สำนักงานสภาผู้แทนราษฎรกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับซื้อซากอาคารให้อยู่ในกรอบเวลาที่กำหนดเพื่อจะได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่เหลือให้กับผู้รับจ้างหลักโดยเร็ว และประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อเร่งรัดการปรับปรุงแฟลตกรมการขนส่งทางบกให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า จำนวน ๑๙ ครัวเรือนจะได้ย้ายออกจากพื้นที่เดิม รวมทั้งเร่งรัดการจัดจ้างผู้ออกแบบงานระบบ ICT โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเหตุให้ผู้รับจ้างหลักขอสงวนสิทธิ์ในการขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1617 | ผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 2 | ทส | 23/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Environment Assembly : UNEA) สมัยที่ ๒ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓-๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ สำนักงานใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ (Plenary) ของ Committee of the Whole เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่เพื่อรับทราบเกี่ยวกับนโยบายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ประเด็นด้านการบริหาร รายงานผลการดำเนินงานตามแผนงานปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ และผลการดำเนินงานตามข้อมติการประชุม UNEA สมัยที่ ๑ รวมถึงร่วมกันพิจารณาร่างข้อมติที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การจัดการสารเคมี การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การจัดการขยะในทะเล การแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย ๒. การหารือระดับนโยบายในช่วงการประชุมระดับสูง (High-level segment) ประกอบด้วย ๒ หัวข้อ ได้แก่ (๑) การนำมิติสิ่งแวดล้อมของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ลงสู่การปฏิบัติ เน้นถึงความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการวางนโยบาย และ (๒) สิ่งแวดล้อมดี-สุขภาพดี เน้นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ความสำคัญของข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงที่มีการคำนึงถึงการดำเนินงานหลายด้าน เช่น ภูมิอากาศ สิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ และหลักธรรมาภิบาล ความสำคัญของการป้องกันโรคที่เกิดจากมลพิษทางอากาศด้วยการปรับปรุงด้านพลังงานและการขนส่ง ๓. ผลลัพธ์การประชุม ที่ประชุม UNEA สมัยที่ ๒ รับรองข้อมติจำนวน ๒๕ ข้อมติ ประกอบด้วยประเด็นด้านระเบียบปฏิบัติ ๑ ข้อมติ และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ๒๔ ข้อมติ ซึ่งมีประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ความขัดแย้ง ทุนธรรมชาติ (Natural Capital) สารเคมีและของเสีย ทรายและพายุฝุ่น และข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมไม่มีการนำร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๒ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากในช่วงปิดการประชุมมีความยืดเยื้อจากการที่ที่ประชุมไม่สามารถร่วมกันรับรองอย่างเป็นฉันทามติในร่างข้อมติเรื่องการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ฉนวนกาซา (Field-based environment assessment of the Gaza Strip) ซึ่งไม่เกิดผลเสียต่อการดำเนินงานของไทยแต่อย่างใด ๔. การประชุม UNEA สมัยที่ ๓ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1618 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายมาตรฐานวิชาชีพครูและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายมาตรฐานวิชาชีพครูและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูให้ครอบคลุมการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตการเป็นครู การวางระบบมาตรฐานหลักสูตรฝึกหัดครูให้มีช่องทางที่หลากหลายขึ้น การเพิ่มความสำคัญในส่วนของศาสตร์การสอน การวางระบบให้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติการสอนในห้องเรียนและการปรับปรุงการปฏิบัติการสอนในห้องเรียนให้เป็นวงจรต่อเนื่องเพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้พัฒนาวิชาชีพ การกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูใหม่โดยยึดหลักการกำหนดมาตรฐานในรูปของสมรรถนะในวิชาชีพ การจำแนกประเภทของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและจัดหมวดหมู่ให้รองรับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในวิชาชีพครู การแยกระดับของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแต่ละประเภท การควบคุมกำกับดูแลคุณภาพการผลิตครูในสถาบันผลิตครูทั้งด้านคุณลักษณะ คุณสมบัติ และค่านิยมทางวิชาชีพ การกระจายอำนาจให้สถานศึกษามีการตัดสินใจหรือใช้ดุลพินิจของโรงเรียนนั้น ๆ ในการเลือกสรรครูที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง รวมทั้งทบทวนและปรับแก้มาตรฐานวิชาชีพครูของคุรุสภาให้แล้วเสร็จเป็นอันดับแรก จากนั้นควรเร่งปรับเปลี่ยนหลักสูตรการผลิตครูให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะทั้งหมด และเร่งตั้งคณะทำงานร่วมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อเสนอและประเด็นพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ไปดำเนินการวางแผนและนำขั้นตอนสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1619 | รายงานการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ | ยธ | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานในพิธีเปิดประชุมฯ มีสาระสำคัญเป็นการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นเวทีในการส่งเสริมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องแนวโน้มหรือกระแสปัจจุบันของคดีล้มละลายข้ามชาติ ความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายล้มละลายและกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ และความร่วมมือระหว่างกันในด้านการบังคับคดีล้มละลายภายใต้ภูมิทัศน์เศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะนำไปสู่การพัฒนางานด้านกฎหมายล้มละลายและความร่วมมือระหว่างกันในเรื่องดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ เพื่อรองรับคดีล้มละลายข้ามชาติ โดยพิจารณาความสอดคล้องกับกฎหมายแม่แบบว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL Model Law on Cross-Border Insolvency) ซึ่งเป็นกฎหมายแม่แบบที่เป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล ณ ปัจจุบัน และการกำหนดให้งานด้านล้มละลายอยู่ภายใต้กรอบอาเซียนควรต้องเริ่มในระดับการศึกษาความเป็นไปได้ก่อนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นธรรมและเท่าเทียม โดยเฉพาะไม่กระทบต่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการล้มละลายทั้งระบบควรพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและปรับปรุงไปในคราวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมบังคับคดี) กำหนดรายละเอียด แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการกำหนดให้งานด้านล้มละลายอยู่ในกรอบความร่วมมือของประชาคมอาเซียน โดยหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. รับทราบนโยบายการดำเนินงานของกรมบังคับคดีที่เกี่ยวข้องกับงานบังคับคดีล้มละลายทั้ง ๓ ข้อ ได้แก่ ๔.๑ การแก้ไขพระราชบัญญัติล้มละลายเพื่อรองรับคดีล้มละลายข้ามชาติ และเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับกฎหมายอื่น ๆ เช่น พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งได้ยกร่างแล้วเสร็จ และจะจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และนำเรียนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อโปรดพิจารณาต่อไป ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๔.๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางกฎหมายล้มละลายที่สำคัญเพื่อเป็นการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ การจัดการประชุมเสวนาในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายล้มละลาย กฎ ระเบียบ และแนวปฏิบัติต่อไป ๔.๓ การประสานความร่วมมือในการพัฒนางานด้านบังคับคดีล้มละลายระหว่างหน่วยงานผู้ปฏิบัติในประเทศสมาชิกอาเซียนและการผลักดันให้ความร่วมมือมีผลในกรอบอาเชียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1620 | รายงานการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) | นร12 | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) โดยมีความก้าวหน้าการดำเนินการปรับปรุงบริการของหน่วยงานภาครัฐรวม ๑๐ ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการขอใช้ไฟฟ้า ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุน ด้านการชำระภาษี ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ซึ่งจากรายงาน Doing Business 2016 ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้น ๑ ด้าน คือ ด้านการขอใช้ไฟฟ้า ส่วนด้านที่ต้องเร่งปรับปรุงอย่างเร่งด่วนซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาปรับปรุงกฎหมาย เช่น ด้านการได้รับสินเชื่อ การแก้ไขปัญหาการล้มละลาย การจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง ๑.๒ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบร่วมกับกระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับข้อบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยหลักประกันธุรกิจ และกฎหมายล้มละลาย เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับรายงานผลงานของธนาคารโลก เรื่อง Doing Business และแนวปฏิบัติที่เป็นสากล รวมทั้งการแก้ไขกฎหมาย หากกฎหมายดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้เพิ่มกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ เป็นหน่วยงานศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวด้วย สำหรับการปรับปรุงการบริการหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย ควรมุ่งเน้นการนำระบบดิจิทัลมาช่วยเพื่อให้การบริการตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response) และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนควรติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบในแต่ละด้านและรายงานต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพิจารณาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมให้เข้ามาร่วมพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
