ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 90 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1781 - 1800 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1781 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายที่จะใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินโดย ๑๒ คณะภาคธุรกิจ และให้ทุกส่วนราชการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอ นั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะภาคธุรกิจทั้ง ๑๒ คณะ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับทุกส่วนราชการรวบรวมกิจกรรมที่ต้องดำเนินการและพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมดังกล่าวโดยจัดทำเป็นแผนการดำเนินการให้ชัดเจน ทั้งนี้ โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนให้เริ่มดำเนินการภายในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ส่วนที่เหลือให้ส่งต่อให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงในระยะยาวต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างความเข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นหลักการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในภาคส่วนต่าง ๆ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามแผนอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้วิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางที่จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนให้คณะรัฐมนตรีทราบภายหลังเทศกาลสงกรานต์ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย รวมทั้งนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการเก็บข้อมูลการก่ออุบัติเหตุของผู้ขับขี่เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เช่น การต่อใบอนุญาตขับขี่รถ ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยให้เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) เน้นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจหรือประเด็นที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลไม่ถูกต้อง รวมถึงประโยชน์โดยตรงที่ประชาชนจะได้รับ โดยให้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวให้สื่อมวลชนเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน นั้น ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวและสำเนาข่าวประชาสัมพันธ์ส่งให้กรมประชาสัมพันธ์เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม ๓ คณะ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ด้านการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ด้านการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และด้านการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ทั้งนี้ ให้นำเสนอคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีลงนามโดยด่วน ๒.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ อาจพิจารณาปรับลดพื้นที่การดำเนินโครงการลงเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียเฉพาะในเขตพื้นที่ดังกล่าว และนำพื้นที่ส่วนที่เหลือไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น การจัดทำแหล่งท่องเที่ยว การจัดทำศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อรองรับเหตุอัคคีภัยในอาคารสูง เช่น การจัดให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนอาคาร การเตรียมรถกระเช้าที่ใช้ในการดับเพลิงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และการให้มีช่องทางติดต่อสื่อสารเฉพาะระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
|||||||||||||||||||||
| 1782 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๕๙ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๖ โครงการ กรอบวงเงิน ๒,๔๕๗.๙๔๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย (๑) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๗๕ เงินรายได้ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๑๘.๓๗๒ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ กปภ. สาขาแม่สอด (ระยะที่ ๒) กปภ. สาขาอรัญประเทศ และ กปภ. สาขาสะเดา และ (๒) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒๓๙.๕๗๖ ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงระบบประปาหลังรับโอน ได้แก่ กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และ กปภ. สาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินงบประมาณรองรับ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๗๖๖.๖๑๖ ล้านบาท ซึ่ง กปภ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังรับโอน กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และสาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) เห็นควรให้ กปภ. จัดทำรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่าย และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการพิจารณาใช้เงินรายได้ในการดำเนินโครงการเป็นอันดับแรกและประสานสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเริ่มดำเนินโครงการและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและจัดทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำดิบเพื่อรองรับการขาดแคลนในช่วงฤดูแล้ง รวมถึงวางแผนบริหารน้ำสูญเสียโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำสูญเสียสูง การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหารจัดการโครงการ การจัดทำแผนการพัฒนาน้ำต้นทุนอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการวางแผนแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งวางแผนป้องกันและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบของประปาสาขาทุกแห่ง การพิจารณาเกณฑ์การให้เงินอุดหนุนที่เหมาะสมโดยจัดลำดับความสำคัญของโครงการ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อลดภาระทางการเงินและความเสี่ยงในการดำเนินงาน การกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน ระยะเวลา และงบประมาณที่กำหนดไว้ การจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมตั้งแต่การจัดหาแหล่งน้ำดิบ การผลิตน้ำประปา และการบริหารจัดการน้ำเสีย ตลอดจนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำให้เกิดความชัดเจน โดยให้มีการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบเพื่อประชาชนได้รับการจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบแผนงานโครงการที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น เพื่อวางแผนบริหารจัดการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ในภาพรวมให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด หากมีพื้นที่ดำเนินโครงการเป็นพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันควรดำเนินการไปพร้อมกัน เว้นแต่กรณีที่มีงานเดียว ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบการฝังกลบหรือซ่อมบำรุงพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิมด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1783 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของ กขร. ห้วงเดือนมกราคม 2559 | นร04 | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการแก้ไขปัญหายาเสพติด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ เผยแพร่การดำเนินการเรื่องที่อยู่อาศัยที่รัฐจัดให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส รวมถึงหลักเกณฑ์และรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ เช่น ให้เช่า ให้ผ่อนชำระ หรือให้เปล่า กับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและกระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการแก้ไขกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมรวม ๗ ฉบับ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามเรื่องร้องเรียนหรือร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับยาเสพติดจากประชาชนด้วย ๒. รับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบาลรัฐบาล ครั้งที่ ๑๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๓๑ มกราคม ๒๕๕๙) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๒.๒ การปฏิรูปประเทศ การดำเนินการเชิงนโยบาย คณะกรรมการปฏิรูปและขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๖ คณะ ได้แก่ คณะที่ ๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา คณะที่ ๒ ด้านเศรษฐกิจการเงิน การคลัง การลงทุนภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน คณะที่ ๓ ด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คณะที่ ๔ ด้านสาธารณสุข คณะที่ ๕ ด้านความมั่งคง ลดความเหลื่อมล้ำการเกษตรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และคณะที่ ๖ ด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการกีฬา ๒.๓ การบริหารราชการแผ่นดิน มีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน การบริหารเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม |
|||||||||||||||||||||
| 1784 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติการปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... โดยให้ครอบคลุมถึงรายการในลักษณะงบลงทุนที่มีเงินเหลือจ่ายต่อรายการไม่ต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาท และรายการในลักษณะรายจ่ายประจำที่หมดความจำเป็นหรือไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบแจ้งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||
| 1785 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กห | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับข้อเสนอแนะนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปเป็นแนวทางปฏิบัติแล้ว และได้รายงานความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ต่อผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1786 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมือง กรณีขอความช่วยเหลือให้ชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย | สม | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเรื่อง สิทธิพลเมือง กรณีขอความช่วยเหลือให้ชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรมวิชาชีพด้านต่าง ๆ ในค่ายพักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบให้ได้มาตรฐาน และเปิดโอกาสให้มีการสอบเทียบวุฒิการศึกษา เพื่อให้เยาวชนที่มีศักยภาพได้มีโอกาสในการศึกษาต่อในชั้นสูงต่อไป และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศต้นทาง ๑.๒ กระทรวงมหาดไทยควรส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเตรียมการเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทางได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และควรคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้หนีภัยการสู้รบตามหลักการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย (Non-refoulement) ด้วย ๑.๓ กระทรวงการต่างประเทศควรให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights : AICHR) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-พม่า โดยอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1787 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2559 และการดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ | ทก | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และการดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม ..... ตอนพิเศษ ..... การดำเนินการคืนคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ขนาดความกว้างแถบคลื่นความถี่ 4.8 MHz ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และการขอปรับปรุงการใช้คลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รวมทั้งความก้าวหน้ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ๘ ฉบับ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะจากที่ประชุมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และเห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) (Digital Government Development Plan) โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมการพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศ (Data Center) เพื่อนำเสนอแนวทางในการบริหารจัดการ และการพัฒนาศูนย์ข้อมูลและบริการกลางภาครัฐในรายละเอียดต่อไป และให้ประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการบูรณาการศูนย์ข้อมูลบริการภาครัฐ รวมทั้งเห็นชอบรายละเอียดการดำเนินการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub ๓. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดให้มีการประชุมการชี้แจงสาระสำคัญและรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ พร้อมทั้งได้รับความคิดเห็นเพิ่มเติมจากหนังสือราชการ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ www.digitalthailand.in.th ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้นำข้อคิดเห็นดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 1788 | ขอความเห็นชอบต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2559 - 2561) | ทก | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ และ/หรือรายวาระ (agenda-based) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี และแผนปฏิบัติการที่จะจัดทำขึ้น ไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติราชการและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานให้สอดคล้องกัน ๑.๔ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัลระยะ ๓ ปี ของหน่วยงานแทนการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเดิม และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ที่ให้ทุกกระทรวง ทบวง และหน่วยงานอิสระจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเป็นระบบโดยจัดทำแผน ๓ ปี และปรับทุกปีตามความเหมาะสม และให้เสนอแผนของหน่วยงานควบคู่ไปกับการของบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในงบประมาณรายจ่ายประจำปีทุกปี ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร การทบทวนโครงสร้างของส่วนราชการ การปรับปรุงกฎระเบียบ และการกำหนดตัวชี้วัด รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรพิจารณาเรื่องการลดภาษีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาไปสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจในระยะยาว ส่วนแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี ควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยคอมพิวเตอร์ในระดับประเทศ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและภาคประชาชน และควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการ (Operating System) รวมทั้งโปรแกรมด้านงานเอกสาร เช่น Word Processing, Spread Sheet ที่พัฒนาโดยประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขึ้นในประเทศ นอกจากนี้ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ควรระบุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินงานตามโครงการ ระยะเวลาที่จะใช้ในการดำเนินงาน และกรอบวงเงินงบประมาณให้มีความชัดเจน โดยจะต้องไม่ทับซ้อนกับภารกิจที่แต่ละส่วนราชการกำลังดำเนินการอยู่แล้ว ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจในแผนดังกล่าวกับทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบและการเชื่อมโยงข้อมูลตามแผนรัฐบาลดิจิทัล ต้องดำเนินการตามกรอบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ (TH e-GIF) เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลของภาครัฐเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1789 | ขอความเห็นชอบให้ปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในเรื่องค่ารักษาพยาบาลของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้พนักงานรวมคู่สมรส บุตร บิดา มารดา และลูกจ้างรวมคู่สมรสและบุตร มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยภายนอกจากสถานพยาบาลของเอกชนและคลินิกของเอกชนเท่าที่จ่ายจริง รวมกันปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท โดยให้มีผลตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างดังกล่าวที่เห็นควรให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลการดำเนินการ และจัดหารายได้ที่จะเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น โดยไม่ให้เกิดผลกระทบทางด้านการเงินของหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1790 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลทับยายเชียง และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท่างาม ตำบลบ้านยาง และตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และร่างกฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๙ ประเภท ๑๗ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๒๙ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผัง ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ จึงเห็นควรให้เพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ” และ “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม” ที่ระบุไว้ในการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการในการอ้างอิงประกอบการพิจารณาอนุมัติดำเนินกิจการประเภทอื่น ๆ และเพื่อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการพิจารณาเลือกประเภทกิจการให้เหมาะสมกับพื้นที่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมฉบับนี้ โดยเฉพาะที่ดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายสภาพตามธรรมชาติของแม่น้ำ และเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1791 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการออกเสียงประชามติ | ลต | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการออกเสียงประชามติตามมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. สั่งข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง รวมทั้งขอความร่วมมือกลุ่มอาสาสมัครหรือกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนในการดำเนินการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการจัดบุคลากรทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเพี่อให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส และดำเนินการอื่นใดที่จำเป็น เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรงหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอ โดยให้ถือเป็นงานในหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างนั้น ๆ ด้วย ๒. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น วางตัวเป็นกลางในการออกเสียงประชามติอย่างเคร่งครัด ไม่ปฏิบัติการใด ๆ ในลักษณะเป็นการชี้นำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไปลงคะแนนออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ๓. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติให้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนทั่วไป และให้คำแนะนำ ชักชวนบุคคลผู้มีสิทธิในครอบครัว ญาติ และมิตรสหาย ไปใช้สิทธิออกเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงในสังกัดในการไปใช้สิทธิออกเสียงด้วย ๔. ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการออกเสียงประชามติ ๕. ให้กระทรวงแรงงานกำหนดแนวทางหรือมาตรการการดำเนินงานที่มีความชัดเจนและมีผลในทางปฏิบัติระหว่างกระทรวงแรงงานกับภาคเอกชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงาน และลูกจ้างสามารถไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติได้ โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด อีกทั้งเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภาคเอกชน ๖. ให้หน่วยงานด้านสื่อต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งสื่อวิทยุ และโทรทัศน์ เผยแพร่ข่าวสารการออกเสียงประชามติอย่างต่อเนื่อง และทั่วถึง เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิออกเสียงให้มากที่สุด ๗. ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาความเหมาะสมในการจัดให้มีการฝึกอบรม หรือประชุมสัมมนา โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับการปฏิบัติงานในการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการไปใช้สิทธิออกเสียงของบุคลากรในสังกัดเป็นสำคัญ ๘. ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำและตรวจสอบทะเบียนราษฎร ดำเนินการสำรวจและตรวจสอบพร้อมทั้งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการปรับปรุงข้อมูลทะเบียนราษฎรในส่วนของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้สถิติของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงมีความสอดคล้อง และถูกต้องตามข้อเท็จจริง
|
|||||||||||||||||||||
| 1792 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | สว | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งมีข้อเสนอแนะเป็นการส่งเสริมให้การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดบริการสาธารณะได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาการทักท้วง และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. แจ้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบ
|
|||||||||||||||||||||
| 1793 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2559 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2558) | นร11 | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๙ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) ซึ่งได้มีการปรับกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๙ จากเดิม ๕๓๓,๑๖๗ ล้านบาท เป็น ๕๒๘,๗๙๑ ล้านบาท เป็นผลให้ ณ เดือนธันวาคม ๒๕๕๘ รัฐวิสาหกิจมีกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ จำนวน ๕๒๘,๗๙๑ ล้านบาท และประมาณการเบิกจ่ายลงทุนในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๗,๑๕๘ ล้านบาท สำหรับผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๕๙ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๘) รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ได้จำนวน ๑๕,๒๖๙ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๙.๐ ของเป้าหมายไตรมาส ๑ (จำนวน ๑๗,๑๕๘ ล้านบาท) และทั้งปีคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนได้ทั้งสิ้น ๕๒๔,๖๙๖ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๙๙.๒ ของเป้าหมายรวม โดยรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงและเบิกจ่ายลงทุนได้ล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าช้าต่อเนื่องมาจากปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เนื่องจากมีการทบทวนการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในสังกัด หากโครงการใดพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ให้มีการทบทวนการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการและ/หรือนำงบลงทุนไปใช้ดำเนินการในโครงการสำคัญในลำดับถัดไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1794 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบกระหว่างไทย - ลาว ไทย - เมียนมา และไทย - มาเลเซีย | กต | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบก รวม ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-ลาว (ฝ่ายไทย) ๑.๑ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมาธิการฯ โดยเพิ่มผู้แทนกองทัพเรือเป็นกรรมาธิการ เพื่อให้ครอบคลุมการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในแม่น้ำโขง ๒. คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-เมียนมา (ฝ่ายไทย) ๒.๑ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของตำแหน่งประธานกรรมการฯ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ๒.๒ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของกรรมการและที่ปรึกษาของนายเชิดชู รักตะบุตร โดยให้นายเชิดชู รักตะบุตร พ้นจากตำแหน่งกรรมการและที่ปรึกษาเนื่องจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๓. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วม (LBC) ระหว่างไทย-มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการฯ โดยเพิ่มนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูต ณ คูเวต เป็นกรรมการและที่ปรึกษาใน LBC (ฝ่ายไทย)
|
|||||||||||||||||||||
| 1795 | การลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ "Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand" | ทส | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย (Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย เพื่อเป็นการศึกษา วิจัยความรู้ และบทเรียนในวิธีการที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค โดยสำนักงานเลขานุการ ASEAN-Korea Forest Cooperation จะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ๖ ปี นับจากวันลงนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ควรเน้นย้ำในการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ที่ไทยเป็นภาคีและอนุวัติในการดำเนินโครงการ ควรมีการจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ควรมีการจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในโครงการเพื่อเป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์พันธุ์พืชนั้น ๆ ของประเทศไทย ควรสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคามอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรนำระบบการบริหารจัดการ “สะแกราชโมเดล” ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) มาปรับใช้เพื่อขยายผลในระดับภูมิภาค และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1796 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [(การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และการขยายขอบเขตความคุ้มครองการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม) | สว | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) และการขยายขอบเขตความคุ้มครองการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียน] ซึ่งมีข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีที่นายทะเบียนได้รับจดทะเบียนให้กับผู้ยื่นขอจดทะเบียนรายใหม่ที่ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ซึ่งต่อมาผู้ขอจดทะเบียนที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น และให้รับจดทะเบียนได้ ทำให้เกิดปัญหาถึงสถานะของการจดทะเบียนของเครื่องหมายการค้าที่ยื่นขอจดทะเบียนรายใหม่ที่ได้รับการจดทะเบียนไป จึงเห็นควรให้กรมทรัพย์สินทางปัญญานำประเด็นดังกล่าวไปพิจารณาให้มีความชัดเจนต่อไป และต้องมีการศึกษาและแก้ไขในประเด็นระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลให้สอดรับกันในพระราชบัญญัติทั้งฉบับ รวมทั้งให้ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของต่างประเทศ เพื่อนำมาพิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมของไทยให้เหมาะสม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1797 | ร่างกฎกระทรวงและร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีออกตามความในกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน | ปง | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงและเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๙ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงบางฉบับและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินสดและมูลค่าทรัพย์สินในการทำธุรกรรมที่สถาบันการเงินต้องรายงานต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินในการทำธุรกรรมที่ใช้เงินสดซึ่งผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ ต้องรายงานต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดผู้ประกอบอาชีพที่ดำเนินธุรกิจทางการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินที่มิใช่เป็นสถาบันการเงินที่ต้องรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงาน พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกรรมที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ ต้องจัดให้ลูกค้าแสดงตน พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าสำหรับผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๑๐) พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ รายการ หลักเกณฑ์ และวิธีการ บันทึกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธุรกรรม พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการกับทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๗ ควรกำหนดวิธีปฏิบัติในการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าสำหรับผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๑๐) ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและสามารถปฏิบัติได้โดยไม่เป็นภาระจนเกินไป และเห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ทราบถึงผลกระทบจากการประกาศใช้ร่างกฎกระทรวงทั้ง ๘ ฉบับ และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย ส่วนร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๕ เห็นควรให้เวลาเตรียมการแก่สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพในการปรับปรุงระบบงานให้รองรับก่อนกฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ ร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๖ และ ๑.๗ ควรจัดรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบอาชีพอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันมิให้มีลักษณะเป็นการก่อความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยเกินสมควร รวมทั้งร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ข้อ ๕ (๖) วรรคสาม เกี่ยวกับการดำเนินการกับทรัพย์สินที่ศาลมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน เห็นควรระบุข้อความเพิ่มเติมว่า “... ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ไม่อนุมัติและให้ขยายระยะเวลาส่งคืนทรัพย์สินได้อีก ๒ ครั้ง ๆ ละไม่เกินสิบห้าวัน กรณีมีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจส่งคืนได้ตามกำหนดหรือ ...” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
| 1798 | โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน | มท | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมการปกครอง (วิทยาลัยการปกครอง) ดำเนินการโครงการฝึกอบรมหลักสูตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประกอบด้วย หมวดวิชาอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (Law Function) หมวดวิชาการเป็นตัวแทนของรัฐบาลในพื้นที่ (Area Manager) หมวดวิชาการเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มีคุณธรรม (The good officer) และหมวดกิจกรรมการศึกษาดูงาน (The Best Practice) ระยะเวลาฝึกอบรมไม่น้อยกว่ารุ่นละ ๑๒ วัน โดยให้ปรับเพิ่มเป้าหมายการฝึกอบรมกำนันและผู้ใหญ่บ้าน จากร้อยละ ๕ เป็นร้อยละ ๑๐ ของจำนวนกำนันและผู้ใหญ่บ้านทั้งหมด เพื่อให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านสามารถเข้ารับการฝึกอบรมครบถ้วนทุกคนได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการจัดฝึกอบรมโดยกำหนดเนื้อหาหลักสูตรให้ครอบคลุมสาระสำคัญด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ความรู้ด้านการรักษาความมั่นคง การบริหารราชการแผ่นดิน/การบริหารงบประมาณ และกลไกประชารัฐ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักสูตรให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหาและการให้บริการประชาชน เพื่อให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ รวมทั้งกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เพื่อนำผลการประเมินดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงหลักสูตรการฝึกอบรมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ตลอดจนเร่งรัดการฝึกอบรมกลุ่มเป้าหมายให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1799 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สเปน | คค | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สเปน ฉบับลงนาม วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและสเปน มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ การกำหนดสายการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุ ความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของทั้งสองประเทศกำหนดว่าเจ้าหน้าที่เดินอากาศทั้งสองฝ่ายตกลงจะนำหลักการ (principles) ของความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฉบับใหม่ไปใช้เป็นการชั่วคราวและภายใต้อำนาจหน้าที่ของตนจนกว่าจะมีการทำความตกลงฉบับใหม่ นั้น โดยที่การจัดทำร่างความตกลงฉบับใหม่ยังไม่แล้วเสร็จและมีประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติหลายประการ จึงควรที่หน่วยงานเกี่ยวกับการเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายจะได้หารือกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนตรงกันและสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมศุลกากร และกรมควบคุมโรค เป็นต้น กำกับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานไทยให้ได้มาตรฐานตามข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมทั้งวางแผนการบริหารจัดการห้วงอากาศเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1800 | หลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร และข้าราชการตำรวจ ผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (ข้าราชการทหาร) | กห | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารผู้รับเงินเดือน ป.๑, ป.๒, น.๔, น.๕, น.๖ และ น.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม และเห็นชอบให้ถอนร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนออกจากชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจผู้รับเงินเดือนระดับ ส.๔, ส.๕, ส.๖ และ ส.๗ ในระหว่างการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๖๘/๑ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจกับข้าราชการประเภทอื่น ประกอบกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้สำนักงาน ก.พ. กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการเยียวยาให้ข้าราชการในหน่วยงานตนได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยเป็นการกำหนดอัตราและวิธีการเยียวยาเช่นเดียวกับหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการทหาร ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เกี่ยวกับการเยียวยาความเหลื่อมล้ำสามารถดำเนินการได้โดยหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือนตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรพิจารณาทบทวนร่างหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน (กรณีหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาฯ) จะมีผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐในการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ค่าตอบแทนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐประเภทต่าง ๆ) รวมทั้งการปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการตำรวจนั้น ควรพิจารณาพร้อมกับการปรับปรุงค่าตอบแทนของข้าราชการทั้งระบบ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ที่มีอัตราค่าตอบแทนยึดโยงกัน |
|||||||||||||||||||||
.....
