ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 541 | กรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของอาเซียน (ASEAN Investment Facilitation Framework : AIFF) | นร.13 | 30/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของอาเซียน
(ASEAN Investment Facilitation Framework : AIFF)
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการให้ความสำคัญด้านการอำนวยการความสะดวกด้านการลงทุนในฐานะเสาหลักสำคัญของการลงทุนที่นำไปสู่การรักษาและการเติบโตของการลงทุนในประเทศ
ผ่านการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการจัดตั้ง
ดำเนินการและขยายการลงทุนและธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงภูมิภาคอาเซียนกำลังจะก้าวเข้าสู่สภาพแวดล้อมภายหลังวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19
โดยการอำนวยความสะดวกในด้านการลงทุน ๑๑ หัวข้อ เช่น
ความโปร่งใสของมาตรการและข้อมูล
การปรับปรุงและเร่งรัดขั้นตอนการปฏิบัติและข้อกำหนดต่าง ๆ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต
แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเบ็ดเสร็จ บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ลงทุน เป็นต้น
และให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอง AIFF
แบบไม่มีการลงนาม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของอาเซียน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 542 | การต่ออายุความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา (Bilateral Swap Agreement) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังญี่ปุ่น | กค. | 30/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการต่ออายุความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา
(Bilateral Swap
Agreement) ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังญี่ปุ่น โดยมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญใน
๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) การเพิ่มวัตถุประสงค์ของการใช้วงเงิน และ (๒)
การปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่สู่การเป็นพหุภาคี
ซึ่งความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตรา
ได้มีการปรับปรุงและต่ออายุอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 543 | การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี | นร.12 | 24/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของสำนักงบประมาณ
สำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ดังนี้ ๑.๑.
เห็นชอบการปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของสำนักงบประมาณ
สำนักนายกรัฐมนตรี
โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐
เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานราชการส่วนกลางในภูมิภาค และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ มกราคม ๒๕๖๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มใหม่ต้องมีข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม
เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ
และรับทราบการกำหนดตัวชี้วัดสำคัญเพื่อวัดความสำเร็จการแบ่งส่วนราชการใหม่
โดยให้สำนักงบประมาณรายงานผลประเมินตัวชี้วัดดังกล่าว
เสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนและปรับบทบาทภารกิจของสำนักงบประมาณ
ให้สอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ๑.๒.
เห็นชอบให้มีการทบทวนและปรับบทบาท ภารกิจ หน้าที่และอำนาจ
และโครงสร้างของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
ภายใน ๑ ปี นับแต่กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงบประมาณ มีผลใช้บังคับ ๑.๓. เห็นชอบให้เพิ่มหลักการการจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มใหม่ของส่วนราชการให้มีข้อเสนอยุบเลิกภารกิจหรือยุบรวมหน่วยงานของส่วนราชการอื่น(X-in, Y-out) สำหรับกรณีภารกิจที่มี Value Chain เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงหลายส่วนราชการ
ซึ่งไม่อาจพิจารณาเฉพาะส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่งได้ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการพิจารณาในสาระสำคัญตลอดจนรายละเอียดในการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของสำนักงบประมาณ
สำนักนายกรัฐมนตรี
ต้องให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องประสานการดำเนินการ
และร่วมกันพิจารณาอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความชัดเจน
และลดอุปสรรคในการดำเนินการในอนาคต มีการศึกษาวิเคราะห์ภารกิจและโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่ในภาพรวมทั้งระบบราชการ
ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง หรือมีความทับซ้อนของภารกิจอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งในราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนกลางในภูมิภาค ราชการบริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาค
เพื่อนำไปสู่การทบทวนบทบาทภารกิจ และปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานในระบบราชการให้มีขนาดที่เหมาะสม
มีการใช้ทรัพยากรและบุคลากรภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
และพิจารณาแนวทางการรับโอนอัตรากำลัง
หรือบุคลากรจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น อาจส่งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอัตรากำลังส่วนเกิน
ดังนั้น หากโอนอัตรากำลังและบุคลากรจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในระดับพื้นที่
ซึ่งจะสนับสนุนการดำเนินงานตามภารกิจของสำนักงบประมาณเขตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมทั้งช่วยลดภาระงบประมาณด้านบุคลากรภาครัฐและสอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
ที่กำหนดเป้าหมายให้ภาครัฐมีขนาดเล็กลง เหมาะสมกับภารกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 544 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) และการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2021 (Ministers Responsible for Trade Meeting 2021) | พณ. | 24/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปค
และการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี ๒๐๒๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการกระชุมฯ
ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป โดยนิวซีแลนด์ได้จัดการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปค
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ และการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี ๒๐๒๑ เมื่อวันที่
๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ (๑) การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจของเอเปค
ได้เน้นย้ำเรื่องการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-๑๙
ที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนในเอเปคอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (๒) การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๐๒๑ มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นการสนับสนุนความร่วมมือในการรับมือโควิด-๑๙
ในระดับภูมิภาคและระบบการค้าพหุภาคี และ (๓) รัฐมนตรีการค้าเอเปคได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๔ แถลงการณ์เอเปคเรื่องห่วงโซ่อุปทานวัคซีนโควิด-๑๙ และแถลงการณ์เอเปคเรื่องการบริการเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีความจำเป็น
โดยมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำแต่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ มิถุนายน
๒๕๖๔) เห็นชอบ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน ที่เห็นควรมีการติดตามอย่างใกล้ชิดถึงแนวทางการปรับปรุงรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมตามพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์
ติดตามประเด็นที่เกี่ยวข้องจากการประชุมอย่างใกล้ชิด
และหารือถึงการบูรณาการกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนดำเนินการในระยะต่อไป
และควรพิจารณาถึงความจำเป็นของประเทศไทยที่ยังต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
และยังคงมีการดำเนินนโยบายการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลในบางกรณีเป็นการเฉพาะเจาะจง
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเฉพาะกลุ่ม
ในช่วงที่เกิดสถานการณ์วิกฤติที่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน
โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 545 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 | ทส. | 17/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. การสนับสนุนเงินอุดหนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม
เพื่อการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควัน ๒.
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ ๑) โครงการทางหลวงพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี
ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ ๒) โครงการทางหลวงแนวใหม่ระหว่างทางหลวงพิเศษหมายเลข
๙ ด้านตะวันตก-จุดตัดทางหลวงหมายเลข ๓๔๗-จุดตัดทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙
ด้านตะวันออก-ทางหลวงหมายเลข ๓๕๒ ของกรมทางหลวง ๓.
มาตรการยกระดับแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง
เนื่องจากในพื้นที่ภาคเหนือและหลายจังหวัดยังคงมีฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐาน และมีแนวโน้มของจำนวนจุดความร้อนสะสมเพิ่มขึ้น ๔.
การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากที่ดินจัดสรร
เพื่อให้มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากที่ดินจัดสรรมีการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน ๕.
การกำหนดมาตรฐานค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์
โดยเป็นการรวมประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดค่ามาตรฐานค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์
จำนวน ๓ ฉบับ ให้เป็นฉบับเดียว เพื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้แต่ยังคงสาระสำคัญของค่ามาตรฐานฯ
ไว้ดังเดิม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 546 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง และตำบลโคกหล่อ ตำบลควนปริง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง พ.ศ. .... | คค. | 17/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง และตำบลโคกหล่อ ตำบลควนปริง อำเภอเมืองตรัง
จังหวัดตรัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง และตำบลโคกหล่อ ตำบลควนปริง
อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เพื่อขยายสนามบิน
โดยต่อเดิมความยาวทางวิ่งจาก ๒,๑๐๐ เมตร เป็น ๒,๙๙๐ เมตร ตามโครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานตรัง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยที่มาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๖๒
บัญญัติให้เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการสำรวจเพื่อให้ทราบถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัดให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา
หากเจ้าหน้าที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และยังประสงค์จะทำการสำรวจเพื่อให้ทราบถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัดต่อไป
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน
ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานั้นจะสิ้นผลใช้บังคับ ไปถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป และรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการรายจ่ายที่ใช้ในการดำเนินการและบำรุงรักษาท่าอากาศยานตรังให้สอดคล้องกับรายได้
รวมถึงควรกำหนดแนวทางในการใช้ประโยชน์อาคารที่พักผู้โดยสารหลังปัจจุบันเมื่อเปิดให้บริการอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่แล้ว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 547 | สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2564) | นร.04 | 10/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๓ (ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม-๓๐ เมษายน
๒๕๖๔) สรุปได้ ดังนี้ (๑)
ผลการดำเนินงานตามนโยบายหลัก ๑๒ ด้าน เช่น การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศและความสงบสุขของประเทศ
การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ
(๒) นโยบายเร่งด่วน ๑๒ เรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน
การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การยกระดับศักยภาพแรงงาน
การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต
การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นต้น
ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 548 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 28/2564 | นร.11 สศช | 10/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังปรับลดกรอบวงเงินโครงการเราชนะ
เพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินโครงการ อนุมัติให้สำนักงานประกันสังคม
ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา
๓๓ ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข็มงวด
และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อนุมัติให้จังหวัดลำพูน
ปรับลดกิจกรรมสร้างแปลงเรียนรู้เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารในชุมชน
(แปลงเรียนรู้ด้านปศุสัตว์) ภายใต้โครงการขยายผลการดำเนินงานเกษตรกรรม อนุมัติให้จังหวัดยุติหรือยกเลิกโครงการของจังหวัดที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมจำนวน ๘ โครงการ
และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ
เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปรับปรุงแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้รายเดือน/รายสัปดาห์ให้เป็นปัจจุบัน
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินโครงการต่าง ๆ
โดยใช้วงเงินตามพระราชกำหนดนี้ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และเร่งคืนกรอบวงเงินกู้ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
และเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
และให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 549 | ร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้) | ยธ. | 10/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้)
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหนี้ของลูกหนี้ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
ที่สามารถร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการได้ จาก จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท เป็น
ไม่น้อยกว่า ๕๐ ล้านบาท
กำหนดกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการแบบเร่งรัด
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
โดยผลักดันให้กฎหมายที่ต้องปฏิรูปในระยะเร่งด่วน
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19)
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เช่น กระบวนการฟื้นฟูกิจการแบบเร่งรัดตามหมวด ๓/๓ ที่กำหนดให้องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่สามารถเข้าสู่กระบวนการได้
การกำหนดกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของ SMEs ในหมวด ๓/๒ ซึ่งกฎหมายปัจจุบันรองรับไว้แล้ว
และการไม่กำหนดในบทนิยามของคำว่าลูกหนี้ให้ชัดเจนว่าหมายถึงลูกหนี้ที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมายใดอาจก่อให้เกิดปัญหาในการตีความเพื่อบังคับใช้กฎหมายในภายหลัง
ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา
ซึ่งช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางด้านหนี้สินของภาคประชาชนตามหลักการของพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 550 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ. .... | อว. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๓๓
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่เป็นส่วนราชการ
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม
และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น
เพื่อให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีสามารถจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติแผนการปฏิรูปประเทศ
และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเพิ่มบทบัญญัติที่กำหนดให้
“ลูกจ้างประจำซึ่งมหาวิทยาลัยรับเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่าเป็นการออกจากงาน
เพราะทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่ง และให้มีสิทธิได้รับเหน็จตามระเบียบกระทรวงกหารคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง”
เพื่อมิให้เกิดความลักลั่นระหว่างข้าราชการพลเรือนและลูกจ้างประจำของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ควรกำหนดให้มีการวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกเงิน
การรับเงินและการเก็บรักษารายได้ที่ชัดเจน ควรกำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับเงื่อนเวลาและภาระของงบประมาณที่เกิดขึ้น
และควรเพิ่มสาระสำคัญเกี่ยวกับองค์ประกอบและการสรรหากรรมการสภามหาวิทยาลัยที่มาจากบุคคลภายนอก
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเพิ่มบทบัญญัติที่กำหนดให้
“ลูกจ้างประจำซึ่งมหาวิทยาลัยรับเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่าเป็นการออกจากงาน
เพราะทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่ง
และให้มีสิทธิได้รับเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง”
เพื่อมิให้เกิดความลักลั่นระหว่างข้าราชการพลเรือนและลูกจ้างประจำของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
และให้นำกฎหมายดังกล่าวมาใช้กับการดำเนินการเพื่อให้เกิดเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย
ควรกำหนดให้มีการวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกเงิน
การรับเงินและการเก็บรักษารายได้ที่ชัดเจน
ควรกำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับเงื่อนเวลาและภาระของงบประมาณที่เกิดขึ้น
โดยให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยเป็นลำดับแรกก่อน และควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
รวมทั้งควรพิจารณากำหนดข้อบังคับ ระเบียบ
หรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลของบุคลากรแต่ละประเภทให้มีความชัดเจน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างหลักประกันในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม
และเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 551 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๐) มีสาระสำคัญเป็นการปรับการบังคับใช้มาตรการต่อกลุ่มบุคคล
สถานที่ และกิจการที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
ได้แก่ การปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์
การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
การปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเร่งด่วนสำหรับสถานที่ กิจการ หรือ
กิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การเปิดร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า
ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์
หรือสถานประกอบกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันเฉพาะในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้จนถึงเวลา
๒๐.๐๐ น. ผ่านการบริการขนส่งอาหาร (Food Delivery Service) เท่านั้น
การกำหนดให้กลุ่มแรงงานก่อสร้างในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
และปริมณฑลสามารถเปิดหรือดำเนินการได้ภายใต้หลักเกณฑ์ มาตรการ
และแนวทางการกำกับติดตามประเมินผลที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกำหนด เป็นต้น ๒. คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๑๑/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
พื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุม ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น ๒๙ จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
รวมทั้งสิ้น ๓๗ จังหวัด และพื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๑๑ จังหวัด ๓. คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๓/๒๕๖๔
เรื่องการจัดโครงสร้างศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖)
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสื่อสารในอินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างภายในของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหัวหน้าศูนย์ และผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ดังกล่าวเป็นผู้ปฏิบัติงานในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑๗๓ ง วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 552 | ขอความเห็นชอบปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ (เทพารักษ์ 4) และเพิ่มกรอบงบลงทุน “โครงการบ้านเคหะสุขเกษม” | พม. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ
(เทพารักษ์ ๔) จำนวน ๔๕ หน่วย เพื่อจัดทำโครงการอาคารต้นแบบของโครงการบ้านเคหะสุขเกษม
จำนวน ๑ อาคาร เพื่อเป็นอาคารเช่าสำหรับผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ ลูกจ้าง
พนักงานของรัฐ โดยใช้ทรัพย์สินรอการพัฒนา (Sunk Cost) และเพิ่มกรอบงบลงทุน
“โครงการบ้านเคหะสุขเกษม” จำนวน ๑๑ ล้านบาท เพื่อการดำเนินงานปกติ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ ในการปรับปรุงอาคารต้นแบบของโครงการบ้านสุขเกษม (บ้านผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ)
โดยเพิ่มวงเงินการดำเนินการและวงเงินเบิกจ่ายจากแหล่งเงินอุดหนุนจากรัฐบาลปี ๒๕๖๔
จำนวนเดียวกัน
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(การเคหะแห่งชาติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข
ที่เห็นว่าให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ และการประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ ต่อไป และหากมีการสำรวจกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเช่าระยะยาว
ควรพิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของโครงการบ้านเคหะสุขเกษม ให้ครอบคลุมถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้
ให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการ โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการให้ชัดเจน
โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองก่อนเป็นลำดับแรก
รวมทั้งให้กำหนดรูปแบบและจำนวนการสร้างที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าห
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 553 | การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายชื่องานบริการ Agenda จำนวน ๑๒ งานบริการ และกำหนดให้เป็นตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ของส่วนราชการที่ได้รับมอบหมาย และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณางานบริการ Agenda และงานบริการรายส่วนราชการเพิ่มเติม
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เช่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องสนับสนุนองค์ความรู้ในการพัฒนา e-Service ให้กับส่วนราชการควบคู่กันไปด้วยทั้งในด้านวิชาการและเทคนิค
งบประมาณและกฎหมายที่อาจยังไม่เอื้อต่อการพัฒนา e-Service ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนงานบริการที่จะกำหนดเป็นตัวชี้วัดในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ควรเป็นงานบริการที่สามารถดำเนินงานได้ครบตามระดับพัฒนา e-Service ทั้ง ๓ ระดับ คือ L1 (สะดวกยื่น) L2 (สะดวกใช้) L3 (สะดวกรับ)
และพิจารณาความพร้อมของหน่วยงาน งบประมาณ รวมทั้งข้อจำกัดทางกฎหมายด้วย ควรดำเนินการร่วมกับส่วนราชการในการสำรวจคามต้องการของประชาชนหรือกลุ่มผู้รับบริการ
การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ส่วนราชการ
ทั้งด้านวิชาการและด้านเทคนิคในการออกแบบหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็น e-Service และการปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง
และควรคำนึงถึงประเด็นการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการและเข้าถึงข้อมูลและรับบริการจากภาครัฐได้โดยง่าย
สะดวก รวดเร็ว และหลากหลายช่องทางยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
เร่งพิจารณากำหนดประเภทและจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วนของงานบริการประชาชนที่ส่วนราชการควรดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
เพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่อไป
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
โดยยึดแนวทางการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service-FVS) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหลัก และเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ [เรื่อง
แนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล
(Face Verification Service-FVS)] ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 554 | ร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. .... | ดศ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบในการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการให้มีความชัดเจนสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
สังคม และเทคโนโลยีการให้บริการของผู้ให้บริการในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าควรจะกำหนดเงื่อนเวลาในการบังคับใช้ให้มีผลบังคับใช้ในอนาคตหรือการเพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อให้ผู้ให้บริการรายเดิมและผู้ให้บริการรายใหม่มีระยะเวลาในการปรับปรุงวิธีการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับร่างประกาศดังกล่าวด้วย
ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 555 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ไตรมาสที่ 3) | นร.07 | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ไตรมาสที่ ๓) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ไตรมาสที่ ๓) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น
๓,๒๘๕,๙๖๒.๔๗๙๗ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๒๘๓,๓๒๘.๘๐๖๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒,๔๖๕,๖๑๕.๕๓๓๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๙.๔๙ และ ๗๕.๐๓ ตามลำดับ ๒.
ปัญหาและอุปสรรค เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ระลอกที่สาม
เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐและส่งผลให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยรับงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้
ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยรับงบประมาณมีการปรับปรุงแก้ไขร่างขอบเขตของงานและรูปแบบรายการหลายครั้ง
และรายการผูกพันใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท บางรายการยังไม่เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 556 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 3 | กค. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่
ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๖๔๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท เป็น ๑,๗๙๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม คงเดิม ๑,๕๒๖,๕๖๔.๑๗ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ คงเดิม ๓๘๗,๘๖๐.๗๒
ล้านบาท การบรรจุรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ครั้งที่
๓ จำนวน ๑ รายการ และการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ มาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ และมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการให้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คุ้มค่า และเกิดประสิทธิผลต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น
ๆ
และรัฐบาลควรเร่งพิจารณากำหนดรายละเอียดโครงการและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุขและการเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
พร้อมทั้งเตรียมการออกมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรักษาระดับศักยภาพการผลิตและการแข่งขันของประเทศไปพร้อมกัน
และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนการกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(Gross Domestic Product : GDP) ให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้จ่ายและการลงทุนของประเทศ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 557 | กรอบความตกลงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Mutual Recognition Arrangements: AFA on MRA) ฉบับปรับปรุงแก้ไข | อก. | 27/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกรอบความตกลงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน
(ASEAN Framework Agreement on Mutual Recognition
Arrangements : AFA on MRA) ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงว่าด้วยข้อตกลงยอมรับร่วมของอาเซียน ฉบับปี ๒๕๔๑ ให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องรับรอง
หรือยอมรับผลของกระบวนการตรวจสอบและรับรองที่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วมรายสาขา
และจะนำไปใช้กับข้อตกลงยอมรับร่วมรายสาขาสำหรับทุกผลิตภัณฑ์
ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยครอบคลุม ๕ สาขา ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
รวมถึงสาขาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ
ฉบับปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว และเมื่อลงนามแล้ว
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งกรอบความตกลงฯ ดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powres) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ
ฉบับปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘
(เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรเร่งดำเนินการสร้างความรับรู้ให้ผู้มีส่วนได้เสียรับทราบกรอบความตกลงฯ
ที่จะมีการบังคับใช้ในอนาคต
ควบคู่ไปกับการเร่งส่งเสริมการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและเร่งพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการในส่วนของการทดสอบมาตรฐานและพัฒนาบุคลากรสำหรับการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานให้เพียงพอ
เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความเชื่อมั่นของสินค้าไทยกับผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 558 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | อก. | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อใช้บริโภคในราชอาณาจักร โดยให้มีการจัดเก็บเงินส่วนต่างการจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรของโรงงานส่งให้แก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย
และนำเงินดังกล่าวมาบริหารจัดการให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างโรงงาน โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๓/๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามาตรการของไทยเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนตามนิยามของความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้หรือไม่
และพิจารณาถึงข้อผูกพันการอุดหนุนภายในสำหรับสินค้าเกษตรทุกรายการ
และการกำหนดให้โรงงานน้ำตาลทรายนำส่งส่วนต่างระหว่างการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศตามที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายประกาศ
กับราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอนหมายเลข ๕
บวกพรีเมียมน้ำตาลทรายไทยเฉลี่ยแต่ละเดือน
อาจเข้าข่ายการอุดหนุนภายในที่บิดเบือนการค้าเนื่องจากรัฐเป็นผู้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบต้องพิจารณาว่ามาตรการของไทยเข้าข่ายเป็นการอุดหนุนตามนิยามของความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้หรือไม่
และพิจารณาถึงข้อผูกพันการอุดหนุนภายในสำหรับสินค้าเกษตรทุกรายการ และติดตามการจัดทำและการปรับปรุงบัญชีประมาณการการจำหน่ายน้ำตาลทรายในราชอาณาจักรตลอดฤดูกาลการผลิตให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดในร่างระเบียบฯ
ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 559 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 2 ฉบับ | นร.05 | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๘)
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการที่จำเป็นและต้องเร่งดำเนินการโดยด่วน เพื่อลดการออกนอกเคหสถานของประชาชน
เช่น การปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ การลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง
การห้ามออกนอกเคหสถานของบุคคลในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด การขนส่งสาธารณะ โดยจำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกินร้อยละห้าสิบของความจุผู้โดยสารสำหรับยานพาหนะแต่ละประเภท
เป็นต้น ๒. คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๑๐/๒๕๖๔ เรื่อง
พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑๖๐ ง วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 560 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.01 | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และแนวทางการบูรณาการการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์
และการประสานขอความร่วมมือส่วนราชการเพื่อสนับสนุนการดำเนินการในระยะต่อไป สรุปได้
ดังนี้ (๑) สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
และการประมวลผลและการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์
เช่น ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่าน ๑๑๑๑ รวม ๔๓,๔๕๕ ครั้ง และประเด็นเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุดคือ
การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ (๒)
แนวทางการบูรณาการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์
และการประสานขอความร่วมมือส่วนราชการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการในระยะต่อไป รวม ๓
แนวทาง เช่น เร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
การปรับปรุงโทรศัพท์สายด่วนต่าง ๆ ที่มีจำนวนมาก
และเร่งรัดผลักดันความเดือดร้อนของประชาชนในด้านอื่น ๆ
คู่ขนานไปกับการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
