ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 501 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลกสมัยสามัญครั้งที่ 12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบข้อเสนอท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก
(World Trade Organization : WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๒ (the Twelfth Ministerial Conference :
MC12) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐
พฤศจิกายน-๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย พิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม
ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ของไทยต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม MC12 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองแถลงการณ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
ในเรื่องเกษตรของ WTO โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม MC12
มีสาระสำคัญ เช่น การจัดทำความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนประมง
การปรับปรุงความตกลงเกษตร แผนการดำเนินการด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การค้ากับการพัฒนา และการปฏิรูป WTO โดยยังไม่มีการทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างกัน
สำหรับร่างแถลงการณ์ฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของสมาชิกเพื่อผลักดันให้มีข้อสรุปหรือมีความคืบหน้าในการเจรจาการเกษตรที่เป็นรูปธรรมภายในการประชุม
MC12 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์การประชุม MC12 และร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 502 | ร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก
กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ
เพื่อดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจออกไปจนถึงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ การแก้ไขปรับปรุงขอบเขตความร่วมมือตามพัฒนาการดำเนินงานให้เป็นปัจจุบัน
และการปรับปรุงข้อมูลรายละเอียดผู้ประสานงานภายใต้บันทึกความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่เห็นว่าหากมีประเด็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างข้อตกลงฯ
ให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ โดยให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และมีการหารือสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนและบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมการพัฒนาโครงการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวจากการปรับเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และให้พิจารณาเรื่องการประเมินปริมาณการใช้ทรัพยากรน้ำทั้งภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก
กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 503 | ขอความเห็นชอบโครงการอาชีวะ สร้างช่างฝีมือ ตามแนวทางโรงเรียนพระดาบส | ศธ. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติโครงการอาชีวะ
สร้างช่างฝีมือ ตามแนวทางโรงเรียนพระดาบส จำนวน ๓๐ แห่ง ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๑๐
ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๕ ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๖๐.๒๒ ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว
เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้
หากพิจารณาค่าใช้จ่ายตามกรอบวงเงินดังกล่าวจะพบว่ามีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารเพื่อเป็นหอพัก
ค่าก่อสร้างหอพัก ตลอดจนค่าตอบแทนครูดูแลหอพัก วงเงิน ๓๗๑.๔๒ ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลอาคารภายหลังการปรับปรุงหรือก่อสร้างแล้วเสร็จ
ให้ สอศ. พิจารณาสถานศึกษาที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวที่มีความพร้อมของสถานที่และบุคลากรครู
โดยร่วมกับชุมชนและท้องถิ่นเข้ามาส่วนร่วมในการบริหารจัดการ
เพื่อลดภาระงบประมาณในระยะยาว และเพื่อให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียนที่เข้าร่วมโครงงการอาชีวะฯ
เห็นควรให้ สอศ. ติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทุกปีการศึกษา
เพื่อนำผลการติดตามและประเมินผลดังกล่าว
ใช้เป็นแนวทางในการเสนอขอตั้งงบประมาณและการดำเนินโครงการในระยะต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาจัดให้มีการศึกษาแนวโน้มสถานการณ์
ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อปะกอบการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรให้มีความทันสมัย
ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน พิจารณาทบทวน
พัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษามีทักษะและสมรรถนะที่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน
ติดตามและประเมินผลโครงการทุกปีการศึกษา เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 504 | ร่างกฎกระทรวงการติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงในการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดิน พ.ศ. .... | มท. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงการติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงในการรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดิน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เรื่อง
การติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงให้มาระวังแนวเขต
เพื่อแก้ไขวิธีการติดต่อหรือการแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงให้มาระวังแนวเขตที่ดินก่อนวันทำการรังวัด
การรับรองแนวเขตที่ดินและคัดค้านการรังวัดเมื่อได้ทำการรังวัดเสร็จแล้ว
และการกำหนดให้สามารถแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง โดยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารได้
เพื่อให้ประชาชนผู้ยื่นขอรังวัดสอบเขตที่ดินได้รับความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการจากภาครัฐ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และกรุงเทพมหานคร ที่กำหนดให้การติดต่อหรือแจ้งผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง
กรณีที่เจ้าของที่ดินข้างเคียงเป็นนิติบุคคลให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งไปยังที่ตรวจสอบจากระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
อาจไม่ครอบคลุมนิติบุคคลที่มีกฎหมายอื่นกำหนดให้จัดตั้งขึ้น ซึ่งไม่ได้อยู่ในกำกับดูแลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
และแก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๒ วรรคสอง จาก “ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงนั้นมาลงชื่อรับรองแนวเขตหรือคัดค้านรังวัดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานที่ดินและที่ทำการผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่....”
ควรแก้ไขเป็น
“ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียงให้มาระวังแนวเขตได้
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ติดต่อโดยวิธีปิดประกาศเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่เดินข้างเคียงนั้นมาลงชื่อรับรองแนวเขตหรือคัดค้านการรังวัดไว้ในที่เปิดเผย
ณ สำนักงานที่ดิน รวมทั้งที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
หรือสำนักงานเขตแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่....”
เนื่องจากได้มีประกาศกรุงเทพมหานครยกเลิกตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านในเขตกรุงเทพมหานครแล้วทั้งหมด
และแก้ไขคำว่า “เจ้าของที่ดินข้างเคียง” เป็น ผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 505 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลป่ากุมเกาะ ตำบลในเมือง ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก ตำบลศรีนคร ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ตำบลไร่อ้อย ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | กษ. | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลป่ากุมเกาะ ตำบลในเมือง ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก ตำบลศรีนคร
ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ตำบลไร่อ้อย ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย
จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลป่ากุมเกาะ
ตำบลในเมือง ตำบลคลองยาง อำเภอสวรรคโลก ตำบลศรีนคร ตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร
จังหวัดสุโขทัย ตำบลไร่อ้อย ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์
เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน
จังหวัดสุโขทัย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และควรมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจและเร่งรัดดำเนินการจ่ายค่าชดเชย
ค่าทดแทนให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็วและเป็นธรรมก่อนดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 506 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 16/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓
ฉบับ ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๘) ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรคจำแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
(พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม
พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว)
และกำหนดให้บรรดามาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ข้อห้าม ข้อยกเว้น
และข้อปฏิบัติสำหรับพื้นที่สถานการณ์ต่าง ๆ
รวมทั้งมาตรการเตรียมความพร้อมภายใต้พระราชกำหนดฯ (ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่๓๐ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๑/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน
๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น ๖ จังหวัด (จังหวัดตาก
จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา)
พื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด (เพิ่มจังหวัดจันทบุรี) พื้นที่ควบคุม
รวมทั้งสิ้น ๒๓ จังหวัด และพื้นที่เฝ้าระวังสูง รวมทั้งสิ้น ๕ จังหวัด ๓. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒๒/๒๕๖๔ เรื่อง การจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๙) ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ด้านการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นโครงสร้างภายในของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
โดยมีปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหัวหน้าศูนย์
และผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ดังกล่าว เป็นผู้ปฏิบัติงานในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 507 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 21 | กต. | 16/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
(Indian Ocean Rim
Association Council of Ministers : IORA COM)
ครั้งที่ ๒๑ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ธากาในการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๑ โดยไม่มีการลงนาม ในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ โดยร่างแถลงการณ์ธากาเป็นเอกสารผลผลลัพธ์การประชุมฯ
เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนความร่วมมือในภูมิภาค
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) ยินดีต่อการรับตำแหน่งประธานของบังกลาเทศ (๒)
รับทราบถึงการทำหน้าที่อย่างดียิ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธาน
ระหว่างปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ (๓) ส่งเสริมความร่วมมือและสนับสนุนให้สมาคมฯ
มีบทบาทหลักในการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอินเดียอย่างยั่งยืน เพื่อการพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
และการรับมือกับความท้าทาย รวมถึงประเด็นสำคัญอื่น ๆ โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคโควิด-๑๙
(๔) รับทราบผลการคัดเลือกเลขาธิการสมาคมฯ คนใหม่ (๕) รับรองสหพันธรัฐรัสเซียและซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศคู่เจรจา
ลำดับที่ ๑๐ และ ๑๑ ของสมาคมฯ (๖)
รับทราบการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑)
และผลการจัดทำแผนปฏิบัติการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ฉบับที่สอง (ค.ศ. ๒๐๒๒-๒๐๒๗)
และ (๗) รับทราบการปรับปรุงการบริหารจัดการของสมาคมฯ เกี่ยวกับกฎระเบียบเรื่องบุคลากรและด้านการเงิน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแถลงการณ์ธากา
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 508 | ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร.04 | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
โดยแต่งตั้ง นายนิโรธ สุนทรเลขา เป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 509 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) | นร.04 | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๒ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓-๒๕ กรกฎาคม
๒๕๖๔) และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณาร่างรายงานฯ อีกครั้งหนึ่ง
และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๑.๒
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานฯ ๑.๓
ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๑.๔ ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ๒.
กรณีรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของแต่ละหน่วยงานประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๒ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓-๒๕ กรกฎาคม
๒๕๖๔) ให้แจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
เพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 510 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 | นร.11 สศช | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๔ โดยให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดกระบี่ จังหวัดยโสธร จังหวัดอ่างทอง จังหวัดมุกดาหาร
จังหวัดพังงา จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาฬสินธุ์ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการหรือยกเลิกโครงการ/กิจกรรมที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งในช่วงระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
เพื่อประกอบการจัดทำรายงานตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ.
๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 511 | การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ | นร.11 สศช | 09/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล
เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ
ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
และให้ส่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติควรจัดการประชุมชี้แจงให้ผู้ตรวจราชการของทุกส่วนราชการรับทราบรายละเอียด
ควรกำหนดค่าเป้าหมายของแผนย่อยของแผนแม่บทฯ เป็นรายปี
และควรพิจารณากำหนดประเด็นหรือจุดเน้นสำคัญตาม (ร่าง)
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
ชัดเจน
เพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางการติดตามดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โดยให้กำกับดูแลและบริหารจัดการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อให้ฐานข้อมูลของกลไกต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องมีมาตรฐานเดียวกัน
และสามารถบูรณาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันสำหรับการติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผล (Check) และการปรับปรุงการดำเนินงาน (ACT) ได้อย่างครอบคลุมและรวดเร็ว
รวมทั้งให้เร่งพัฒนากระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามหลักการบริหารงานคุณภาพ
(PLAN DO CHECK ACT : PDCA) โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้
การถ่ายทอดและการแลกเปลี่ยนข้อมูล/องค์ความรู้ที่สมบูรณ์
จากขั้นตอนการปรับปรุงการดำเนินการ (ACT) เพื่อนำไปสู่การพัฒนานโยบายหรือแนวทางต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขั้นตอนการวางแผน (PLAN) ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 512 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 6 | กษ. | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ที่ประชุมได้รับรอง ๑)
แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น การรับทราบผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-๑๙ ในด้านความมั่นคงอาหาร และ๒) แผนงานความมั่นคงอาหารเอเปคมุ่งสู่ปี
ค.ศ. ๒๐๒๓ ซึ่งมีการผลักดันประเด็นความมั่นคงอาหาร เช่น
การมุ่งให้เอเปคเป็นผู้นำระดับโลกในการนำนวัตกรรมมาใช้ในระบบอาหาร
และความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน (๒)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแถลงการณ์ฯ และแผนงานความมั่นคงอาหารฯ แล้ว เห็นว่า ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือมีนัยสำคัญที่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย (๓)
ถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายของไทย เช่น
ไทยให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิมมาเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้นและการจัดตั้งศูนย์เกษตรแห่งชาติ
และ (๔) ถ้อยแถลงสมาชิกเอเปค จาก ๘ ประเทศ เช่น การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเกษตรและการจัดทำยุทธศาสตร์ระบบอาหารสีเขียว
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 513 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2564 | กษ. | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๔ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบโครงการสำคัญ ได้แก่
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ ๓ และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) เพื่อรับซื้อยางจากเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง รวมทั้งเห็นชอบการดำเนินการที่สำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง
เช่น การขอรับเงินอุดหนุนและส่งเสริมสนับสนุนการปลูกแทนเพิ่มเติม
โครงการควบคุมปริมาณการผลิต
การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ราคายางพาราตกต่ำอันเนื่องมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) และการเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
รวมทั้งรับทราบผลการระบายยางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 514 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร 05 | 04/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและกำหนดมาตรการควบคุมแบบบูรณาการจำแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
(พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม
พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว)
และห้ามออกนอกเคหสถานในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็นต้น ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๑๙/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวัง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม
๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น ๗ จังหวัด (จังหวัดจันทบุรี
จังหวัดตาก จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา)
พื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น ๓๘ จังหวัด พื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๒๓ จังหวัด
และพื้นที่เฝ้าระวังสูง รวมทั้งสิ้น ๕ จังหวัด ๓.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๐/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๘) ลงวันที่
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันโรคก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้
หรือหลักฐานการลงทะเบียนการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 515 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ ครั้งที่ 1/2564 | นร.11 สศช | 25/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบ เห็นชอบ
และอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) เสนอ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม
กศร. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ๑.๒ เห็นชอบผลการพิจารณาของ
กศร. ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกลไกการดำเนินงานของ
กศร. การพิจารณาแผนการใช้ที่ดิน และผังแม่บทศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย
ดังนี้ ๑.๒.๑ อนุมัติให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
แล้วปรับปรุงเป็นคำสั่งหรือประกาศระดับกระทรวงแทน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการปรับปรุงเป็นคำสั่งหรือประกาศในระดับกระทรวงที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบ
ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ของรัฐและการบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน สอดคล้องต่อภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และยังคงมีการถ่วงดุลในการพิจารณาการจัดระบบศูนย์ราชการ ๑.๒.๒
อนุมัติในหลักการแผนการใช้ที่ดินและผังแม่บทศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยงานราชการในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองหลักเสนอ
ทั้งนี้
เพื่อให้การดำเนินการในระยะต่อไปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการปรับแผนการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่
ให้สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ
และจัดทำรายละเอียดการดำเนินงานในระยะต่อไปให้ชัดเจน
พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม ๒๕๕๐ เรื่อง หลักเกณฑ์การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร
ถนนแจ้งวัฒนะ เนื่องจากที่ทำการของกรมการพัฒนาชุมชนและกรมที่ดิน
ในปัจจุบันมีที่ตั้งอยู่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร พื้นที่โซนบี ถนนแจ้งวัฒนะ
เพื่อที่กรมธนารักษ์จะได้ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร
ถนนแจ้งวัฒนะ
และเร่งหาหน่วยงานอื่นที่มีความต้องการใช้พื้นที่มาทดแทนหน่วยงานที่ขอยกเลิกการใช้
เพื่อให้การใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ
เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าต่อการลงทุนของภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 516 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. .... | ดศ. | 25/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ
เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและการพาณิชย์
เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
รวมทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายแก่สาธารณชนหรือประชาชนที่ใช้บริการ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔
และประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น
ควรกำหนดการรองรับการให้บริการที่หลากหลายที่รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ
กำหนดให้ผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านสุขภาพ
ต้องขึ้นทะเบียนต่อหน่วยงานที่มีฐานอำนาจในการกำกับดูแลบริการด้านสุขภาพก่อนให้บริการ
รวมทั้ง
ถ้อยคำในร่างบทบัญญัติดังกล่าวอาจมีความไม่ชัดเจนว่าผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่
ควรให้มีการปรับปรุงร่างบทบัญญัติดังกล่าวให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ยิ่งขึ้น
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 517 | การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 | ทส. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม
๒๕๕๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์)
พิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐
พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์กรณีส่วนราชการผู้เช่าพื้นที่มีจำนวนลดลง
เช่น การปรับปรุงสถานที่เพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ
ทดแทนการเช่าพื้นที่ของส่วนราชการ
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ ที่เห็นควรมอบหมายให้กรมธนารักษ์เร่งหาหน่วยงานอื่นที่มีความต้องการใช้พื้นที่มาทดแทนหน่วยงานที่ขอยกเลิกการใช้และดำเนินการจัดสรรพื้นที่ศูนย์ราชการฯ
เพื่อให้การใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
และคุ้มค่าต่อการลงทุนของภาครัฐต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขออนุมัติยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร
ถนนแจ้งวัฒนะ
และกระทรวงการคลังขอพระราชทานชื่อศูนย์ราชการที่ตั้งอยู่ในที่ราชพัสดุถนนแจ้งวัฒนะ
กรุงเทพมหานคร) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 518 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบริหารจัดการฐานข้อมูลแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน “สร้างความเท่าเทียม ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ช่วยเหลือทันท่วงที” ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา | สว. | 19/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การบริหารจัดการฐานข้อมูลแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
“สร้างความเท่าเทียม ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ช่วยเหลือทันท่วงที”
ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า
การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลด้านการเกษตรควรดำเนินการโดยศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรกำหนดหน่วยงานกลางที่จะดูแลการบริหารจัดการฐานข้อมูลแห่งชาติและกำหนดมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลของทุกกระทรวงรวมถึงการออกแบบและสร้าง
Digital Platform เดียวในการให้บริการประชาชน การกำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารจัดการฐานข้อมูลแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการรวบรวม
ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
จะต้องไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ในการจัดเก็บข้อมูลใหม่ทั้งหมดควรพิจารณาถึงความเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการข้อมูลตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data
Governance) เพื่อกำกับดูแลข้อมูล
สำหรับข้อมูลของหน่วยงานที่ต้องเชื่อมโยงนั้นควรวางมาตรฐานกลาง
และระบบสนับสนุนการในเชื่อมโยงบูรณาการระบบข้ามหน่วยงาน
โดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นหลัก
นอกจากนี้ ควรจัดทำฐานข้อมูลพื้นฐานครอบคลุมประชาชนไทยทุกคนโดยไม่จำกัดอายุ
เพื่อให้ประชาชนรับทราบถึงสิทธิที่พึงจะได้รับตลอดช่วงอายุ และเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐมีข้อมูลเพียงพอต่อการเสนอแนะนโยบายรัฐบาล
และหน่วยงานเจ้าของข้อมูลต้องมีการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องเพื่อความพร้อมในการใช้งานได้ตลอดเวลา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 519 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 | ทส. | 12/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ จำนวน ๑๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ขอถอนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(EIA) ได้แก่
โครงการทางรถไฟเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน
ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องทางจราจร
(ระยะที่ ) ๒ ทางหลวงหมายเลข ๑๒ ตอน อ.หล่มสัก-แยก อ.คอนสาร ของกรมทางหลวง ๒. ร่างรายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๓ ๓. โครงการโรงไฟฟ้าน้ำพองทดแทนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๔. โครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ
(Floating Storage and
Regasification Unit : FSRU) พื้นที่อ่าวไทยตอนบนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๕. โครงการท่าเทียบเรือ FSRU ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๖. โครงการก่อสร้างทางแนวใหม่สายทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคม
ของกรมทางหลวง ๗. โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกที่
อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ของกรมทางหลวง ๘. โครงการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทย
พื้นที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย ของกองบัญชาการกองทัพไทย ๙. โครงการจัดตั้งวัดบ้านห้วยน้ำผัก
(ที่พักสงฆ์เทิดพระเกียรติสิรินธร) ของที่พักสงฆ์เทิดพระเกียรติสิรินธร ๑๐.
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
สำหรับโครงการกิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ
คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง
โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี ของกรมชลประทาน ๑๑.
การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล ๑๒.
การปรับปรุงมาตรฐานการระบายค่าควันดำจากรถยนต์ใช้งานที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 520 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์บุคคล และการกำหนดแบบเอกสารที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2552 | นร.08 | 12/10/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์บุคคล
และการกำหนดแบบเอกสารที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์บุคคลและเอกสารหลักฐานที่ใช้ประกอบการรักษาความปลอดภัย
เพื่อให้มีความเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๑ ตรวจพิจารณาแล้ว และแบบประวัติบุคคล (รปภ.๑)
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติขอแก้ไข ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
