ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 481 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.07 | 04/01/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑. เพื่อให้การบริหารจัดการภาครัฐมีความคล่องตัวและทันต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย
ในการติดตามสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการที่จำเป็นต้องดำเนินการ
รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงทั้งระยะสั้นและระยะปานกลางสำหรับในแต่ละกรณี (Scenario)
เป็นการล่วงหน้า ๒. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งติดตามการขับเคลื่อนมาตรการของรัฐบาลในประเด็นดังต่อไปนี้ ๒.๑ การเร่งสร้างรายได้ใหม่ตามมาตรการของรัฐบาล
(New Growth Engine) เพื่อขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจ
เช่น มาตรการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย (Long -
Term Resident Visa : LTR) มาตรการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(Eastern Economic Corridor: EEC) และอุตสาหกรรมอนาคต (New
S - curve) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านเทคโนโลยีและธุรกิจเกิดใหม่
(Startup) และการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ
- เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว (Bio - Circular - Green Economy: BCG Model) เป็นต้น ๒.๒ การติดตามการจัดเก็บรายได้ของรัฐ
โดยพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจรูปแบบใหม่
เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งจัดทำแนวทางการดำเนินการหากแนวโน้มการจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามประมาณการ ๒.๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยหน่วยรับงบประมาณต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้และลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ รวมทั้งประเมินความเหมาะสมของโครงการ/มาตรการต่าง ๆ ว่าสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน
และมีความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อให้มีการปรับปรุงโครงการและมาตรการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ๒.๔ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้
เพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่มขึ้นแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ๒.๕ การดำเนินมาตรการเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งในด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้านแรงงาน รวมทั้งการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 482 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | กค. | 04/01/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการ
SMEs และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ (๑) การปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสินช่วยเหลือ
SMEs ในภาคการท่องเที่ยว (โครงการ Soft Loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย)
โดยทบทวนการดำเนินการ ดังนี้ ๑) ขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ
ให้ครอบคลุมถึงธุรกิจอื่นที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
(COVID-19) เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างทั่วถึงและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น ผู้ผลิตรายย่อย ผู้ค้าส่ง
ผู้ค้าปลีก เป็นต้น และ ๒) ขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ และ (๒) มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข ที่ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
(SFIs) ที่เข้าร่วมโครงการควรพิจารณาให้ลูกหนี้ที่มีความเปราะบางซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากแหล่งอื่นสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ตลอดจนจัดสรรเงินภายใต้โครงการระหว่าง SFIs
ที่เข้าร่วมให้เหมาะสมกับประมาณความต้องการสินเชื่อของลูกหนี้แต่ละแห่ง
เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือมีความยืดหยุ่นและทั่วถึงต่อไป รวมทั้งหากมีการปรับเพิ่มโครงการให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ขยายเพิ่ม
จะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs
รวมถึงประชาชนรับรู้ได้อย่างชัดเจนและอาจจะเข้าร่วมรับความช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้นตามวัตถุประสงค์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 483 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 1 | กค. | 04/01/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑
ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมติที่ประชุม
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เช่น การปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่
การบรรจุโครงการพัฒนา โครงการ
และรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
ครั้งที่ ๑ จำนวน ๘ โครงการ/รายการ เป็นต้น
และการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ
การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และตามมาตรา ๓
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา
และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน
เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นว่าควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ของหน่วยงานในสังกัดให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
การรถไฟแห่งประเทศไทยควรเร่งดำเนินการหารายได้จากแหล่งอื่นเพิ่มเติม
การกู้เงินควรพิจารณาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพคล่องทางการเงินในแต่ละช่วงเวลา
ควรติดตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด
รวมถึงพิจารณาประสิทธิผลและความคุ้มค่าของการตรึงราคาพลังงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 484 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2563 | ศป. | 04/01/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง
(ศป.)ประจำปี ๒๕๖๓ ตามมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) การพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว
และเป็นธรรม (๒)
การวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดีปกครองและการวางหลักกฎหมายและแนวทางปฏิบัติราชการที่ดี
(๓) การเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมทางปกครอง ศป.
ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลปกครองแห่งใหม่ และอาคารที่ทำการศาลปกครองในภูมิภาค (๔)
การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วนในสังคม ศป.
ได้ดำเนินภารกิจสนับสนุนแผนแม่บทด้านที่ ๒ การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคม
และภารกิจสนับสนุนแผนแม่บทด้านที่ ๔ การบริหารจัดการองค์กรให้มีมาตรฐานในระดับสากล
(๕) การพัฒนาศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ ศป.
ได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง
และปรับปรุงการให้บริการประชาชน (๖) การเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ศาลปกครองได้ดำเนินการเสริมสร้างความร่วมมือกับประชาชนศาลปกครอง
องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศและการรับรองคณะผู้แทนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ (๗) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรศาลปกครอง
ประกอบด้วย การพัฒนาตุลาการศาลปกครอง และการพัฒนาข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง (๘)
การเสริมสร้างวัฒนธรรมศาลปกครอง และองค์กรแห่งความสุข และ (๙)
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ศป. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 485 | คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ที่ 25/2564 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) | นร.05 | 28/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด–19) ที่
๒๕/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๐) ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด–19
ส่งมาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ประเภทผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
และประเภทผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
กลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้แก่
ระงับการลงทะเบียนการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร (Thailand Pass) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๑๔ วัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๒
ธันวาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๕
ยกเว้นกรณีการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
และปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรที่ได้ลงทะเบียนและได้รับอนุมัติให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
ให้มีหลักฐานการชำระค่าที่พักหรือสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดอย่างน้อย ๗ วัน
และค่าตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT-PCR จำนวน ๑ ครั้ง
และให้เข้ารับการตรวจเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR
ครั้งที่ ๒ เป็นต้น ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๒
ธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 486 | รายงานสรุปผลการดำเนินการของคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย | นร.12 | 28/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า
การแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
ซึ่งคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการเพิ่มเติม
โดยให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาจากกรณีเช่าซื้อรถและการทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรม
นั้น หากเป็นกรณีการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนสามารถยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการในเรื่องนี้
หรืออาจยื่นเรื่องต่อศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 487 | สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 6 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 30 กันยายน 2564) | นร.04 | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๖ (ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม-๓๐ กันยายน
๒๕๖๔) สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการดำเนินงานตามนโยบายหลัก ๑๒ ด้าน เช่น
การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศและความสงบสุขของประเทศ
การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ การป้องกัน
ปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบและกระบวนการยุติธรรม และ (๒) นโยบายเร่งด่วน ๑๒
เรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน
การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การยกระดับศักยภาพแรงงาน
การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต
การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 488 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 28 | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๘ และถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ ๒๘
เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนิวซีแลนด์ (นาย Grant Robertson) เป็นประธาน
พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกเอเปคทั้ง
๒๑ เขตเศรษฐกิจ ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมการประชุม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ผลการประชุมฯ ครั้งที่ ๒๘ มีการหารือที่สำคัญ เช่น
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การรับมือกับโควิด-๑๙
เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ที่ประชุมสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายการเงิน
การคลัง เพื่อรับมือกับผลกระทบของโควิด-๑๙
การใช้นโยบายการคลังและการบริหารงบประมาณเพื่อรับมือกับความท้าทาย
ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการดำเนินนโยบายการคลังและการบริหารงบประมาณในการรับมือกับโควิด-๑๙
ที่ประชุมได้รับรองแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเซบูฉบับใหม่
ซึ่งได้นำวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. ๒๐๔๐ และมาตรการรองรับสถานการณ์ของโควิด-๑๙ มาเป็นปัจจัยในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเซบูฉบับใหม่ และ (๒) ถ้อยแถลงร่วมฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้รับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ของการประชุมฯ ครั้งที่ ๒๘ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำ
เพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น โดยไม่กระทบสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 489 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๔๐) ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์และการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นไปตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
โดยขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรคจำแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
(พื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว) ต่อเนื่องไปอีกเป็นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕
และปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการทั่วราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่
ซึ่งกำหนดให้ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มสามารถเปิดบริการเพื่อการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ตามเวลาเปิดทำการปกติในวันที่
๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ จนถึงเวลา ๐๑.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕
และปรับปรุงมาตรการกำหนดประเภทของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๓/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุม พื้นที่เฝ้าระวังสูง
และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๖๔
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุด และกำหนดพื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง
รวมทั้งสิ้น ๓๐ จังหวัด และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้น ๒๖ จังหวัด
(เพิ่มจังหวัดชลบุรีทั้งจังหวัด) ๓.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๔/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๙) ลงวันที่
๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันโรคและหลักเกณฑ์การดำเนินการในสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนดให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ๖ ประเภท ได้แก่ ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว
เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล
เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 490 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2564 | นร.11 สศช | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาข้อเสนอแนวทางการดำเนินการตามมาตรา
๖ แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (ครั้งที่ ๒)
และการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
รวมทั้งการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑)
แห่งพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๒) จำนวน ๖๐,๐๐๐
ล้านบาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ๑.๒ อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๓๐,๐๐๒,๓๑๐ โดส (Pfizer) ปี พ.ศ.
๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๖,๒๙๗,๗๐๐,๖๐๐ บาท และโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca)
ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ กรอบวงเงิน ๑๘,๗๖๒.๕๑๖๐ ล้านบาท ของกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และมอบหมายให้กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้
พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ อนุมัติโครงการเยียวยาผู้ประกันตนในกิจการสถานบันเทิงและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐของสำนักงานประกันสังคม
กระทรวงแรงงาน กรอบวงเงิน ๖๐๗.๑๕๕๐ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่
๒ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยเคร่งครัด นอกจากนี้ มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของคณะกรรมการฯ
ไปประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ อนุมัติโครงการ
Thailand Festival Experience ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรอบวงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการ
กลุ่มที่ ๓ ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้
เห็นควรให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด
-๑๙ อย่างเคร่งครัดและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ฯ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการจัดหางานดำเนินโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ
SMEs ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับธุรกิจ SMEs สมัครเข้าร่วมโครงการฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจากในปัจจุบัน จนทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องประกาศมาตรการควบคุมไม่ให้สถานบันเทิงเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๖๕
เห็นควรมอบหมายให้กรมการจัดหางานพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ
เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๖ อนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด
๑๙ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยการเพิ่มจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
จํานวน cn Comm จำนวน ๖,๒๑๘ คน กรอบวงเงิน
๑๒.๔๓๖๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินของโครงการในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม และวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ และขยายระยะเวลาโครงการในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
เป็นสิ้นสุดในเดือนมกราคม ๒๕๖๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อให้ภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือนักเรียนและผู้ปกครองได้อย่างครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
ทั้งนี้
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการฯ
แล้ว เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในระบบ
eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า
๑) ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้กฎหมายข้อบังคับและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
๒) เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้
ขอให้กระทรวงต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการและกรอบวงเงินกู้
และมีมติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการแล้ว ขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำและปรับปรุงแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้รายเดือนให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้กระทรวงการคลังบริหารเงินกู้ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้จ่ายจริง
และบริหารหนี้สาธารณะให้มีต้นทุนที่เหมาะสมต่อไป และ ๓) เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัด สำหรับโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีกหากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบและส่งคืนเงินเหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลังโดยเร็ว ๒.๒ สำนักงบประมาณเห็นว่า
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีประสิทธิภาพคุ้มค่าและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้จ่าย
และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ
ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายและให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน ๒.๓ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๓.๑ เร่งดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยใช้แหล่งเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อมิให้เสียโอกาสในการพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ให้กับโครงการอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๒.๓.๒ ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการโดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณจัดสรรเหลือจ่าย
การโอนเงินจัดสรร และหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ให้หน่วยงานรับผิดชอบรายงานการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่มีการโอนเงินจัดสรรและหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถบริหารเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับเสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการฯ
ตามข้อ ๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔)
ต่อไป ๒.๓.๓ ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้หรือดำเนินโครงการแล้วเสร็จให้เร่งเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
พิจารณาตามขั้นตอนของข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 491 | แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566 - 2569) | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ ๒๕๖๖-๒๕๖๙) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ในการประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้
การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐและกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อ GDP โดยการเร่งรัดการดำเนินการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากขึ้น
การปรับปรุงรายการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการควบคุมสัดส่วนรายจ่ายต่อ GDP
โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายประจำให้สอดคล้องกับความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายงบประมาณ โดยพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น
รวมถึงแนวโน้มการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่จะมีความสำคัญมากขึ้นในเวทีการค้าโลกในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 492 | มาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565) | กค. | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและรับทราบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี ๒๕๖๕
(มาตรการของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. .... )
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ๒.๕ ร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. .... )
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ รวม ๕ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการ ๓.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์หรือที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน
สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๔ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
สำหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. การจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยและมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า กรณีจะให้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรการดังกล่าว
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไปนั้น ตามวินัยการคลังภาครัฐ และวิธีการงบประมาณ
การจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยรับงบประมาณต่าง ๆ
ต้องมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เกิดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
และต้องคำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะกรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลและจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่
โดยคำนึงถึงความสามารถในการจัดหารายได้
ซึ่งรายได้ที่จะได้มานั้นรัฐต้องดำเนินการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ของตนเองผ่านระบบภาษีหรือการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสม
รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาการหารายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เพียงพอกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
ภาระการคลังและงบประมาณ
รวมทั้งความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่การคลังของรัฐอย่างยั่งยืนและรอบคอบ
การสูญเสียรายได้และภาระทางการคลังในอนาคตจะต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็น
โดยระบบภาษีหรือการจัดเก็บภาษีจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
สอดคล้องกับสถานการณ์และภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปีงบประมาณด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ ๕.๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ๕.๑.๑ เห็นควรให้ความเห็นชอบมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา
ยาสูบและไพ่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐
เพื่อช่วยเหลือและลดภาระในการดำเนินกิจการให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของภาครัฐ ๕.๑.๒ เห็นควรให้ความเห็นชอบมาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการสายการบิน
และช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมสายการบินในประเทศ
อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้ผู้ประกอบการสายการบินสามารถรักษาสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงานไว้ได้
ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-๑๙
เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ๕.๑.๓ เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการช้อปดีมีคืน
ปี ๒๕๖๕ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ตลอดจนเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีและผู้ประกอบกิจการการผลิตสินค้าท้องถิ่น
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังควรมีการประเมินผลการดำเนินมาตรการ
"ชิมช้อปใช้" ทั้งในด้านจำนวนผู้ที่ใช้สิทธิ์ ความคุ้มค่า
และการเพิ่มขึ้นของตัวทวีคูณ (Multiplier Effect ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจากการดำเนินมาตรการ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการจัดทำมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับรูปแบบกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา
นอกจากนั้น สำนักงานฯ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายในประเทศในปี ๒๕๖๕ ยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙
สายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) ในขณะที่ฐานะการคลังเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนระยะเวลาดำเนินการ
เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขความเสี่ยงจากการระบาดของโรคและมีความยืดหยุ่นต่อการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-๑๙ ๕.๑.๔ เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย
เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่เหมาะสมกับศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งส่งเสริมการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั้งที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมขายและที่อยู่อาศัยเก่ามือสอง
รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสาขาก่อสร้างโดยเฉพาะหมวดการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ซึ่งจะสนับสนุนการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง. ๕.๑.๕ เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือลูกหนี้ตามศักยภาพของลูกหนี้แต่ละรายและช่วยให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
รวมทั้งสนับสนุนขีดความสามารถในการให้สินเชื่อของเจ้าหนี้และสถาบันการเงินอย่างไรก็ดี
สำนักงานฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า เห็นควรกำหนดระยะเวลาในการดำเนินมาตรการเป็นคราวละ
๑ ปี และให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
เพื่อให้การดำเนินมาตรการมีความยืดหยุ่น
สามารถรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ได้ ๕.๑.๖ เห็นควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรงบประมาณจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อันเนื่องมาจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบและไพ่
การดำเนินการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย และมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามความเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ สำนักงานๆ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า
เพื่อลดข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีและการดำเนินมาตรการด้านการคลังในระยะถัดไปในภาพรวม
อันเนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่ลดลงจากการดำเนินมาตรการทางการคลัง
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาประเมินผลของการดำเนินมาตรการทางภาษีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อนำมาทบทวน/ปรับปรุง /หรือยกเลิกมาตรการทางภาษีที่หมดความจำเป็น
เพื่อให้การดำเนินมาตรการมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
และเพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังสำหรับการดำเนินมาตรการที่มีความจำเป็นต่อไป ๕.๒ ธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า
โครงการของขวัญปีใหม่ปี ๒๕๖๕ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ
จะสามารถช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของลูกหนี้
สร้างโอกาสให้ลูกหนี้ได้รับสินเชื่อใหม่เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจ ตลอดจนจูงใจให้ลูกหนี้ได้รับประโยชน์จากการมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะสั้น
สถาบันการเงินเฉพาะกิจควรพิจารณาการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้โดยเฉพาะเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาจัดเตรียมมาตรการเพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้น
ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
รวมทั้งควรจัดเก็บข้อมูลเพื่อติดตามประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 493 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.09 | 21/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่
..) พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยกำหนดให้คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาอาจให้ทุนการศึกษาแทนการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้
ในกรณีของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลนใดหรือสาขาวิชาที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ
รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
และการชำระเงินคืนกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ทั้งนี้
เพื่อช่วยให้การชำระหนี้มีความเป็นธรรมและสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและรองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต
อันเป็นการเสริมสร้างคุณภาพของทรัพยากรบุคคลในประเทศให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่ง คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการขอจัดตั้งกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้แล้ว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษารับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.๑ กระทรวงการคลังที่เห็นว่า
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการดำเนินการตามแนวทางของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้กู้ยืมเงินและผู้ค้ำประกันเป็นอย่างมาก
แต่การดำเนินงานในลักษณะเช่นนี้จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นต่าง
ๆ ดังนี้ ๓.๑.๑ การกำหนดให้คณะกรรมการกองทุนฯ
สามารถพิจารณาให้ทุนการศึกษาแทนการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลนหรือสาขาวิชาที่กองทุนฯ
มุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ
ถือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และหลักการที่สำคัญในการจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยต้องเสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเพื่อพิจารณาก่อนเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี
ดังนั้น จึงเห็นควรให้กองทุนฯ ดำเนินการตามหลักการที่กฎหมายกำหนด ๓.๑.๒ การกำหนดให้นักเรียนและนักศึกษาที่เข้าศึกษาในหลักสูตรอาชีพหรือเพื่อยกระดับทักษะสมรรถนะ
หรือการเรียนรู้ต่าง ๆ สามารถขอเงินกู้ยืมจากกองทุนฯ แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงการศึกษาในรูปแบบอื่นที่นอกเหนือจากหลักสูตรในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ แต่การให้เงินกู้ยืมในกรณีดังกล่าว
จะต้องไม่เป็นการซ้ำซ้อนกับภารกิจของทุนหมนเวียนอื่นที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว อาทิ “กองทุนพัฒนาฝีมือแรงาน”
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานและครอบคลุมถึงการให้ผู้รับการฝึกสามารถกู้ยืมเพื่อนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้ารับการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน
ทั้งการฝึกเตรียมเข้าทำงาน การฝึกยกระดับฝีมือแรงงาน และการฝึกเปลี่ยนสาขาอาชีพ ๓.๑.๓ การกำหนดให้ผู้ได้รับทุนตามมาตรา ๖/๑ วรรคสอง ของร่างพระราชบัญญัติฯ
อาจปฏิบัติงานในหน่วยงานตามเวลาที่กำหนด แม้ว่าจะช่วยให้กองทุนฯ
สามารถแก้ไขปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของผู้กู้ยืมเงินได้ในระดับหนึ่ง
แต่การดำเนินงานในลักษณะเช่นนี้จำเป็นต้องกำหนดอัตราค่าตอบแทนและระยะเวลาการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม
ตลอดจนควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่จะรับบุคคลที่ได้รับทุนเข้าทำงานมีส่วนร่วมในการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกบุคคลกลุ่มดังกล่าวด้วย ทั้งนี้
เพื่อป้องกันมิให้หน่วยงานมีอัตรากำลังคนเกินความจำเป็น
หรืออาจเป็นการเลือกปฏิบัติและไม่เป็นธรรมกับผู้อื่นที่ประสงค์จะเข้าทำงานแต่มิได้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลนหรือสาขาวิชาที่กองทุนฯ
มุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ ๓.๒ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นว่า ๓.๒.๑ ในขั้นตอนของการกู้ มีการส่งเอกสารแบบเดียวกันทั้งแบบสแกนและตัวจริง
ซึ่งอาจเกิดความซ้ำซ้อน และเพิ่มขั้นตอนในการดำเนินงานให้กับผู้ปฏิบัติงานได้ ๓.๒.๒ ระบบมีข้อจำกัดในการแก้ไขข้อมูล ทั้งข้อมูลของนักเรียนและนักศึกษา
ข้อมูลการศึกษา ฯลฯ ส่วนใหญ่สถานศึกษาไม่สามารถทำได้เอง
ต้องแจ้งให้กองทุนดำเนินการแก้ไขให้
ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กองทุนต้องรับภาระส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น ๓.๓.๓ การปรับปรุงเพิ่ม/ลดหลักสูตร มีขั้นตอนค่อนข้างมากและใช้เวลานาน
ควรพิจารณาถึงช่องทางการปรับปรุงหลักสูตรที่สะดวกมากขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 494 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 | นร16 | 14/12/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(คทช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน
๒๕๖๔ ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ เช่น (๑) คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
คทช. เพิ่มเติม (๒) ผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ คทช. และคณะอนุกรรมการภายใต้
คทช. (๓) ร่างพระราชบัญญัติสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
พ.ศ. .... (๔) ร่างแผนพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศที่ดินและทรัพยากรดิน พ.ศ.
๒๕๖๕-๒๕๗๐ (๕) การปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน ๑:๔๐๐๐ (One Map)
และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐของพื้นที่กลุ่มที่ ๑ จำนวน ๑๑ จังหวัด (๖) การป้องกันและตรวจสอบการบุกรุกที่ดินของรัฐและแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 495 | การตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล ระยะเวลา 1 ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT | สธ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล
ระยะเวลา ๑ ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดประเภทการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลประเภทใหม่ให้สอดรับกับระยะเวลาและกระบวนการรักษาพยาบาลในปัจจุบัน
รวมทั้งเพิ่มตัวเลือกในการเดินทางเข้าสู่ประเทศให้แก่ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกำลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข
ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒ และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น
และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา พ.ศ. ๒๕๔๕
พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
การเพิ่มทางเลือกสำหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติผ่านการอำนวยความสะดวกที่มากขึ้นจากกระบวนการหรือเอกสารที่ใช้ประกอบการขอรับการตรวจลงตรา
การตรวจคุณสมบัติและประวัติกลุ่มบุคคลที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
และการให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ
ที่มีผู้ป่วยเป็นพาหะ ทั้งโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 496 | โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติกรอบวงเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๔/๖๕ ภายในกรอบวงเงิน ๕๔,๙๗๒.๗๒
ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงิน ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๒.๑ รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า (๑) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม
มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป
พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตามนัยบทบัญญัติมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ
(๒) เนื่องจากโครงการสนับสนุนสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้พืชต่าง
ๆ เป็นนโยบายของรัฐที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาและมีการดำเนินการเป็นประจำ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางด้านการคลัง
หากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเห็นว่า ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
ก็ควรบรรจุโครงการรัฐดังกล่าวในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนปกติเพื่อไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่จำเป็น
เช่น ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ในกรณีที่รัฐบาลใช้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการต่าง
ๆ มีจำนวนประมาณ ๙,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ๒.๒ รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทุกโครงการ
ตลอดจนคำนึงถึงการกระจายความช่วยเหลือไปยังเกษตรกรในสาขาหรือพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นด้วย
และ (๒) เพื่อให้เกิดการปรับปรุง พัฒนา
และเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ตลอดจนลดภาระงบประมาณของภาครัฐระยะยาว เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (๒.๑) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และ (๒.๒) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรเตรียมพร้อมปรับตัวต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่สร้างมูลค่าสูงและมีตลาดรองรับที่ชัดเจน
๒.๓ รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (๑) เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่และที่มาของผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนจัดทำต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยง และความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์
เพื่อกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
และ (๒) ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมพิจารณากำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่ปริมาณมาก และคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning) และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง
โดยไม่ให้เกิดส่วนต่างที่เกินความจำเป็นของราคาที่รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้น
และจะต้องคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณ
ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ตามกฎหมายวินัยการคลัง
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามข้อสั่งการของ นายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มีนาคม ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดด้วย (เช่น ให้มีการปฏิรูปภาคการเกษตร
พิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณ ให้มีความเหมาะสม
ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนเกษตรผู้ปลูกข้าวที่เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายทุกปี
และจัดระบบตรวจสอบกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้มีความรัดกุม เป็นต้น) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 497 | การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ | นร.04 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงว่า
การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการประจุไฟฟ้าของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในสถานที่ราชการสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบของทางราชการ
โดยกรณีที่เป็นการเช่ารถยนต์ส่วนกลาง
การเบิกจ่ายค่าบริการประจุไฟฟ้าถือเป็นค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการตามนัยข้อ
๑๘ (๑)
ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๓ และกรณีที่เป็นรถยนต์ประจำตำแหน่ง
ผู้ใช้รถประจำตำแหน่งเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวเองตามนัยข้อ ๒๑
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ)
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะ ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย
และแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ
เกี่ยวกับการเช่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในภารกิจของหน่วยงานของรัฐ
ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว ๓. อนุมัติเป็นหลักการว่า
ในระหว่างที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
(Electric
Vehicle: EV) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ให้ทุกส่วนราชการสามารถจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ (รถตู้หรือรถกระบะ) สันดาปภายใน
หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน
ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ไปพลางก่อนได้
ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้เน้นรถยนต์ HEV หรือ PHEV
เป็นหลัก
เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างน้อยร้อยละ
๓๐ ภายในปี ๒๕๗๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 498 | การพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ (การปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ) | นร.09 | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ
(การปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ) ซึ่งได้ปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ วิธีการฝึกอบรมและพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ เป็น ๒ ระดับ ดังนี้ (๑)
หลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐระดับปฏิบัติการ
มุ่งเน้นไปที่ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อให้นักกฎหมายภาครัฐที่เพิ่งเริ่มต้นปฏิบัติงานหรือปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลาที่ไม่มากนักมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่สำคัญต่อการพัฒนานักฎหมายให้ดีขึ้น
โดยมีการแบ่งเป็น ๘ หมวดวิชา ได้แก่ หมวดวิชาที่ ๑ วิสัยทัศน์ จริยธรรม
และการปลุกสำนึกการเป็นข้าราชการที่ดี หมวดวิชาที่ ๒ หลักการบริหารราชการแผ่นดิน
เป็นต้น (๒). หลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐระดับชำนาญการขึ้นไป มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาของนักกฎหมายภาครัฐที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน
เพื่อพัฒนาให้สามารถปฏิบัติงานในฐานะหัวหน้างานหรือผู้มีประสบการณ์ที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากได้ โดยมีการแบ่งเป็น ๘ หมวดวิชา ได้แก่ หมวดวิชาที่ ๓ กฎหมายมหาชน
หมวดวิชาที่ ๔ กฎหมายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ หมวดวิชาที่ ๕
กฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 499 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 28 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 26 | นร.14 | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๘ และการประชุมระหว่างคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ ๒๖ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และเห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมประชุมคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๘ และการประชุมระหว่างคณะมนตรี
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ ๒๖
เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ในฐานะประธานคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประจำปี
๒๕๖๔ และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามรับรองในรายงานการประชุม
โดยที่เอกสารดังกล่าว
มิได้ใช้ถ้อยคำที่ก่อให้เกิดพันธกรณีกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เข้าข่ายหนังสือสัญญา โดยกรอบการหารือสำหรับการประชุมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบปฏิบัติของคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง โดยการปรับใช้ถ้อยคำให้กระชับและมีความชัดเจนขึ้น
รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ให้มีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้เพิ่มเติม และการอนุมัติแผนยุทธศาสตร์ชาติการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทางเลือกในการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำร่วมกัน
เพื่อลดผลกระทบข้ามพรหมแดน รวมทั้งรักษาสมดุลความมั่นคงในด้านน้ำ พลังงาน อาหาร
สิ่งแวดล้อม และการดำรงชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยตามริมฝั่งแม่น้ำโขง ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นว่าหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญานั้นต้องมีการออกพระราชบัญญัติ
หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 500 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 39/2564 | นร.11 สศช | 23/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๙/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ โดยให้จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดลำพูน จังหวัดนนทบุรี
จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดกาญจนบุรี
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ หรือยกเลิกกิจกรรมภายใต้โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการทั้งในช่วงระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการ
เพื่อประกอบการจัดทำรายงานตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ พ.ศ.
๒๖๕๓ ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
