ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 118 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2341 - 2360 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2341 | การดำเนินงานโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | คค | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมขอถอนข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมที่ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาเรื่องการบริหารจัดการในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และแบริ่ง - สมุทรปราการ ให้เกิดความชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงคมนาคมจะนำประเด็นดังกล่าวไปหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนต่อไป ๒. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ควรเร่งดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่และส่วนต่อขยายให้แล้วเสร็จตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อขยายโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างจัดเตรียมโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา รฟม. ควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มโครงการเพื่อให้เกิดการยอมรับและป้องกันปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ และให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ๕ สายทาง ให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายที่กำหนด และเร่งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการระบบบัตรโดยสารร่วมให้แล้วเสร็จสอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย รวมทั้งจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการเพื่อรองรับการเดินทางเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนทางรางที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ในการลงทุนระบบรถไฟฟ้าตามแผนการลงทุนมีวงเงินสูงมาก ในขณะที่การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนยังเป็นแบบ Gross Cost ซึ่งภาครัฐต้องรับความเสี่ยงทางการเงินแต่เพียงผู้เดียว จึงเห็นควรเร่งรัดดำเนินการศึกษาระบบตั๋วร่วม และระบบการกำหนดราคาค่าโดยสาร และค่าเชื่อมต่อระบบที่เหมาะสมและเป็นธรรมเสนอคณะรัฐมนตรีขอความเห็นชอบโดยเร็ว เพื่อให้การกำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน (PPP) มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถนำไปสู่การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนแบบ Net Cost ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินภาครัฐ และเพิ่มโอกาสความสำเร็จของระบบรถไฟฟ้าตามแผนการลงทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. อนุมัติในหลักการให้ รฟม. โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ของโครงการศึกษาและออกแบบโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายวงแหวนรอบในตามแนวถนนรัชดาภิเษก จำนวน ๔๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือจากค่าจ้างที่ปรึกษาฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี จำนวน ๓๔.๑๕๔ ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินงานช่วงก่อนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ จำนวน ๑๔๐ ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน - มีนบุรี จำนวน ๒๑๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2342 | งบประมาณเพื่อดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2556 | นร | 11/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ภายใต้ผลผลิต : กลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้รับการป้องกันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด งบเงินอุดหนุน จากรายการเงินอุดหนุนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในวงเงินไม่เกินจำนวน ๒๐,๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นรายการโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน เพื่อใช้สนับสนุนสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามโครงการฯ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ ทั้งนี้ ในกรณีหน่วยงานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามจำนวนดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานตามโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สำนักงาน ป.ป.ส. สนับสนุนงบประมาณให้สถาบันฯ และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมปศุสัตว์ กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมทรัพยากรน้ำ กรมการพัฒนาชุมชน และกรมการแพทย์ ซึ่งไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของหน่วยงาน เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากไม่สามารถดำเนินการปรับแผนฯ ได้ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของแต่ละหน่วยงานต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงฯ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน เสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ไว้ในคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแต่ละหน่วยงาน ภายใต้ชื่อรายการ “โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นภายใต้กรอบงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ รวมทั้งการประสานการบูรณาการงบประมาณร่วมกันเพื่อดำเนินการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2343 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 4/2553 | นร | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสนอผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อไปฟื้นฟูปัญหาน้ำท่วม จำนวน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ตามที่กรมประชาสัมพันธ์เสนอ ๒. อนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงหออภิบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อไปใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จำนวน ๑๕๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2344 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๗๘.๒๑ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่หน่วยงานพิจารณาทบทวนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๑,๕๕๔.๖๗ ล้านบาท สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๑ (โครงการที่ปรับกิจกรรมเพื่อใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วม) และโครงการกลุ่มที่ ๒ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม และเสนอปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูปัญหาน้ำท่วมทดแทนแล้ว) ส่วนโครงการกลุ่มที่ ๓ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม แต่ไม่เสนอการปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔) อนุมัติโครงการและจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามผลการพิจารณาทบทวนของหน่วยงาน และให้หน่วยงานดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานดังกล่าวที่ได้รับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้ และพิจารณาปรับแผนการดำเนินการโครงการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นการทดแทนตามความเหมาะสมต่อไป สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๔ (โครงการภายใต้แผนพัฒนา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่าย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๓. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๒,๖๑๙.๖๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ สำหรับโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน ๑๓๘.๐๐ ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมาการการอาชีวศึกษา วงเงิน ๕๖๒.๐๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วงเงิน ๓๗๘.๐๐ ล้านบาท ให้หน่วยงานจัดส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เห็นชอบก่อน ๔. อนุมัติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่โครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๑๖๑.๖๖ ล้านบาท โดยให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหอประชุมเอนกประสงค์ในอนาคต ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลหอประชุมเอนกประสงค์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าว ๕. อนุมัติการขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินและการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้วไม่สามารถดำเนินการโครงการได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๖. อนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาตามที่หน่วยงานเสนอ โดยในส่วนของโครงการ/รายการที่หน่วยงานขอขยายระยะเวลาการลงนามถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ นั้น เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลงนามเป็นภายในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๗. รับทราบการยกเลิกโครงการชุมชนเข้มแข็งด้วยพลังงานทดแทน วงเงิน ๕๖.๕๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกลด้วยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ วงเงิน ๑๐๕.๖๘ ล้านบาท ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ๘. อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อนสำนักงบประมาณจัดสรรเงิน สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ภายในวงเงิน ๑๒,๑๐๑.๓๓ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ สำหรับรายการที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรก่อนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินภายในวงเงินที่สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้ว และอนุมัติให้ยกเลิกวงเงินเหลือจ่ายคงเหลือ จำนวน ๑,๐๒๐.๓๕ ล้านบาท ๙. อนุมัติและรับทราบการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้วหน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2345 | การดำเนินโครงการ "2554 ปีแห่งความปลอดภัย" | คค | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผน “คมนาคมปลอดภัย สังคมไทยเป็นสุข” ตามโครงการ “๒๕๕๔ ปีแห่งความปลอดภัย ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุในสายทางหลักและสายรองทั่วประเทศ โดยการบริหารจัดการและปรับปรุงถนนตามหลักวิศวกรรมจราจรและงานทาง รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนทั่วประเทศบนถนนนำร่องในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ๒. แนวทางการดำเนินการ ได้แก่ การปรับปรุงเส้นทางให้ดีพร้อมทั้งผิวทาง ไหล่ทาง เครื่องหมาย อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย เกาะกลาง ทางเข้าออกของทางร่วมทางแยก เครื่องหมายเตือนบริเวณก่อสร้าง ฯลฯ พร้อมตรวจสอบความปลอดภัยของถนนทุก ๓ เดือน การให้ความรู้ควบคู่การประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้ทาง ประชาชนสองข้างทาง และชุมชนในพื้นที่ และการให้หน่วยงานโดยเฉพาะตำรวจทางหลวงเข้มงวดกับผู้ขับขี่ และประชาชนต้องเข้าใจ รักษาวินัย ปฏิบัติตามกฎและเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ๓. เส้นทางนำร่อง ระยะแรกกำหนดเส้นทางนำร่อง ๕ สายทาง ใน ๕ ภูมิภาคทั่วประเทศให้เป็น “ถนนสีขาว ถนนแห่งความปลอดภัย” ได้แก่ ภาคกลาง ทางหลวงหมายเลข ๓๐๕ และ ๓๔๒๘,๓๐๕๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางหลวงหมายเลข ๒ (ถนนมิตรภาพ) ภาคตะวันออก ทางหลวงหมายเลข ๓ (ถนนสุขุมวิท) ภาคเหนือ ทางหลวงหมายเลข ๑๒ (สาย East - West) และภาคใต้ ทางหลวงหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) และระยะต่อไป จะพิจารณาแนวสายทางและช่วงกิโลเมตรที่จะกำหนดให้เป็น “ถนนสีขาว ถนนแห่งความปลอดภัย” จังหวัดละ ๑ สาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2346 | การบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) | นร | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งเป็นเอกภาพของหน่วยงานภาครัฐในการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตของโครงการ และเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินภารกิจไม่ซ้ำซ้อนกัน รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการประเมินจริยธรรม คุณธรรมของภาครัฐ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาและจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับแนวทางการบูรณาการการป้องกันการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ ประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน คือ ๑.๑ การประเมินผลขั้นวางแผนก่อนดำเนินโครงการ (Pre-implementation Stage) เน้นการพิจารณาความเหมาะสมในการวางแผนโครงการว่ามีการวางกระบวนการ/กิจกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบได้แค่ไหนเพียงใด ก่อนอนุมัติ ๑.๒ การประเมินผลขั้นการดำเนินงาน (Implementation Stage) เน้นการติดตามความก้าวหน้าของโครงการว่าได้ดำเนินการอย่างเหมาะสมเพียงใด และดำเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด ๑.๓ การประเมินผลขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ (Post-implementation Stage) โดยเน้นที่ผลของการดำเนินการโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด โดยประเมินผลกระทบและผลสำเร็จของงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายการป้องกันทุจริตหรือไม่ และมีการยกระดับพฤติกรรมของการดำเนินงานของโครงการและหน่วยงานเพียงไร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีการตรวจสอบความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการและความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ดำเนินการเพื่อป้องกันการทุจริตตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการวางแผนโครงการ และในการผลักดันแนวทางการบูรณาการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐไปสู่การปฏิบัติ ควรนำกลไกและเครื่องมือการติดตามประเมินผลที่เชื่อมโยงกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างจริงจัง รวมทั้งควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน เช่น กระบวนการดำเนินงาน และการใช้ประโยชน์ร่วมกันของข้อมูล เป็นต้น เพื่อให้เกิดผลในการป้องกันการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๖๐ วัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2347 | โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553 - 2555 ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ | กษ | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา ๒๑ ทวิ ในส่วนของการดำเนินงานปีแรกในพื้นที่ ๒ แสนไร่ ในวงเงิน ๕๘๐.๐๕ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการขอแปรญัตติเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลในร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถนำเงินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาใช้เพื่อการดำเนินโครงการฯ ต่อไปได้ เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ๓. เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ พร้อมทั้งเป้าหมายและค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับเป้าหมายในแต่ละปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๔. เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาและงบประมาณการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการบริหารโครงการซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา ๒๑ ทวิ) เห็นชอบให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในวงเงินไม่เกิน ๓๓.๘๑๕ ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับระยะเวลาของโครงการฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๕. เห็นชอบให้ปรับระยะเวลาโครงการฯ ให้การส่งเสริมต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - พ.ศ. ๒๕๖๒ ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลและทบทวนแผนการดำเนินงานโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ด้านการตลาดยางในระยะยาวและเตรียมมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ หากความต้องการยางพาราจากตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มลดลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2348 | แหล่งเงินทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ | กค | 14/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้โรงงานยาสูบใช้แหล่งเงินลงทุนจากเงินรายได้ของโรงงานยาสูบในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมของการลดอัตราการนำส่งรายได้แผ่นดินของโรงงานยาสูบ จากอัตราที่กำหนดไว้เดิมร้อยละ ๘๘ ของกำไรสุทธิ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างแผนการลงทุนกับผลประกอบการจริงของโรงงานยาสูบ โดยเริ่มจากการพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ การปรับแผนการดำเนินการโครงการฯ โดยยังคงเป้าหมาย วงเงินลงทุน และผลประโยชน์ที่ได้รับ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เดิม ตามที่โรงงานยาสูบเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ทั้งนี้ หากการปรับแผนการดำเนินการโครงการฯ มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อแผนงานหรือการลงทุนจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ กระทรวงการคลังจะต้องจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำกับดูแลให้โรงงานยาสูบจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงทางการเงินขององค์กรอย่างใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินเพื่อมิให้กิจการประสบปัญหาทางการเงิน รวมทั้งการนำเงินส่งรัฐในระยะต่อไป นอกจากนี้ ในการลดอัตราการนำส่งรายได้แผ่นดินและการปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงการจัดทำงบประมาณเข้าสู่สมดุลภายใน ๕ ปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2349 | เสนอขอมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเพื่อจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่โครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ 2 | กค | 14/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการใช้เงินงบประมาณในการจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน และจัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสิน ให้กับผู้ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไข จำนวน ๔๗ แปลง เนื้อที่ ๑๒๔-๓-๓๑ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐,๓๘๒,๔๔๓ บาท สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลือ (๙ แปลง) ให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ๑.๒ จัดซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ (น.ส.๓ ก) จำนวน ๑๗ แปลง เนื้อที่รวม ๒๔-๑-๒๒ ไร่ ตามราคาที่คณะทำงานตกลงราคาซื้อขายที่ดินด่านพรมแดนบ้านประกอบ ระยะที่ ๒ กำหนดในราคาตารางวาละ ๘๒๕ บาท (ไร่ละ ๓๓๐,๐๐๐ บาท) รวมกับราคาค่าสิ่งปลูกสร้างและราคาค่าต้นไม้ในที่ดินด้วย ๑.๓ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาและสำนักงานจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการไปก่อน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในประเด็นข้อกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยไว้ แต่ในกรณีที่รัฐเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องไร้ที่ทำกิน คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือได้ ส่วนกรณีที่รัฐประสงค์จะซื้อที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ รัฐต้องคำนึงถึงสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ กรณีเจ้าของที่ดินตกลงซื้อขายที่ดินย่อมตกอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในการดำเนินกิจการของรัฐอันเป็นประโยชน์สาธารณะ แม้เจ้าของที่ดินไม่ยินยอมในการตกลงซื้อขาย รัฐสามารถใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของเอกชน แต่รัฐต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถูกเวนคืนนั้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการปรับปรุงสภาพถนนบริเวณโครงการด่านศุลกากรบ้านประกอบส่วนขยาย ระยะที่ ๒ ตามแผนงานปรับปรุงด่านศุลกากรชายแดนไทย-มาเลเซีย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการขยายตัวด้านการเดินทางและขนส่งสินค้าในสายทางดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลือสิ่งปลูกสร้าง ผลอาสิน และซื้อที่ดินในพื้นที่สำหรับโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2350 | โครงการอาสาสมัครที่ปรึกษาทางการเงินครัวเรือน (หมอหนี้) | กค | 14/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการและแนวทางการดำเนินการโครงการอาสาสมัครที่ปรึกษาทางการเงินครัวเรือน (หมอหนี้) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรอาสาสมัครในการทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและให้คำ ปรึกษาแนะนำแก่ประชาชนในระบบเศรษฐกิจฐานราก กลุ่มเกษตรกร และคนยากจน ให้มีความรู้ ความเข้าใจใน การวางแผนจัดการทางการเงินของครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้บริการสถาบันการเงินในระบบมากขึ้น เพื่อ หลีกเลี่ยงปัญหาหนี้นอกระบบ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการออม และการใช้ชีวิตบนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียงซึ่งจะช่วยสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดของค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินงบประมาณที่เหมาะสม ในการดำเนินโครงการฯ กับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการฯ ควรพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การปรับแผนการใช้งบประมาณของกระทรวง การคลัง หรือขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจจัดงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการฯ เป็นการเฉพาะ ซึ่งหากผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจจึงควรพิจารณางบประมาณปกติสมทบในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป และควรให้ ความสำคัญกับคุณภาพของอาสาสมัครโดยกำหนดคุณสมบัติให้เหมาะสม และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวอย่าง เคร่งครัด โดยมีการประเมินผลการทำงานของอาสาสมัครอย่างสม่ำเสมอ และระมัดระวังไม่ให้อาสาสมัครเรียกรับ ผลประโยชน์จากผู้กู้เงินด้วย รวมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครง การด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2351 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาล ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2010) | นร | 14/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจราชการ
แบบบูรณาการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาลของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (AnnualInspection Report : Fiscal Year 2010) โดยผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการ กระทรวง ๑๗ กระทรวง ได้ดำเนินการตรวจติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์สุดท้ายของแผนงาน/โครงการ ที่เป็น การตอบสนองนโยบายรัฐบาลในด้านที่เกี่ยวข้องตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑. นโยบายสังคม การดำเนินงานโครงการต่า ง ๆ บรรลุตามนโยบายรัฐบาลที่เน้นการพัฒนาให้ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งในด้านการศึกษา ด้านการสาธารณสุข ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และด้านสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒. นโยบายเศรษฐกิจ หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการสามารถประสานบูรณาการกันได้จริงอย่าง เป็นรูปธรรมที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ในเชิงนโยบายเศรษฐกิจภาคเกษตรในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้มีความ ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ผลสัมฤทธิ์นโยบายด้านพลังงานในการประสานบูรณาการร่วมกันสนับสนุนการ ผลิตและการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า และการตอบสนองนโยบายการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในการสนับสนุน การพัฒนาโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการพัฒนาโลจิสติกส์การค้า เครือข่ายธุรกิจ บริการโลจิสติกส์ และ Logistics Clinic สำหรับผู้ส่งออก ๓. นโยบายที่ดิน การดำเนินโครงการต่าง ๆ ประสบความสำเร็จตามนโยบายรัฐบาลด้านการพัฒนา สิ่งแวดล้อมเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้านการป้องกัน การเตือนภัย และการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ด้านการควบคุมและลดปริมาณของเสียที่กลายเป็นมลพิษ โดยส่งเสริมการผลิตและบริโภค ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๔. นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม ผลการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์สุด ท้ายพบว่าส่งผลสัมฤทธิ์ต่อนโยบายการพัฒนาด้านส่งเสริมและสนับสนุนโครงการวิจัยตามแนวพระราชดำริ การ วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งงานวิจัยขั้นพื้นฐานและงานวิจัยประยุกต์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2352 | รายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | นร | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนิน งานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ รอบที่ ๒ กรณีผลการดำเนินการตรวจสอบข้อ มูลร้อยละ ๑๐๐ ในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่มีผลการเปรียบเทียบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) กับข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร มีความแตกต่างกัน เกินกว่าร้อยละ ๒๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ดังนี้ ผลการแปลข้อมูลพื้นที่การ ปลูกข้าวปี ๒๕๕๒/๕๓ รอบที่ ๒ จากภาพถ่ายดาวเทียมทั้งประเทศ ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑๔,๘๖๒,๐๓๐ ไร่ มาเปรียบ เทียบกับพื้นที่การขึ้นทะเบียน ผ่านประชาคม และออกใบรับรองแล้ว โดยข้อมูล ณ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งมีพื้นที่รวม ๑๖,๕๘๖,๙๗๖ ไร่ พบว่ามีความแตกต่างกันจำนวน ๑,๗๒๔,๙๔๖ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๓๙ ของ ผลการขึ้นทะเบียนผ่านประชาคม และออกใบรับรองแล้ว ๒. เพื่อประโยชน์ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยการนำข้อมูลภาพ ถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการสอบทานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในครั้งต่อไป มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการฯ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการและนำสาเหตุที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนมาพิจารณาในการประเมินผล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2353 | ขออนุมัติการจัดหาแหล่งเงินสำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงาน โยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๗๓๒ ล้านบาท และที่ ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๑,๒๒๑ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๑,๙๕๓ ล้านบาท และรัฐบาลรับภาระ การลงทุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยให้สำนักงบประมาณ พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้ทั้งใน ส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลง กับ รฟม. ต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำ เงินส่วนต่อขยายทั้ง ๒ เส้นทางในส่วนที่เหลือ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายละเอียดเสนอสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้ รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ การจัดทำแผนธุรกิจในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้า ของโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่ให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Gross Cost ต้องมีความชัดเจนในเรื่องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ รูปแบบ การพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งประมาณการรายรับและรายจ่ายจากการดำเนินการตามแผน ธุรกิจดังกล่าว เพื่อเพิ่มรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของ รฟม. และลดภาระในการสนับสนุนทางการเงินของ ภาครัฐต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2354 | โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย | กค | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการ อนุมัติ และเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการในการจัดตั้งบริษัทในเครือของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เพื่อดำเนิน โครงการไปรษณีย์เพื่อสินเชื่อรายย่อย โดยมีหลักการสำคัญในการจัดตั้งบริษัท ดังนี้ ๑.๑.๑ รูปแบบโครงการ ในเบื้องต้นให้ ปณท จัดตั้งบริษัทในเครือโดยถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ และถือ ปฏิบัติตามแนวทางการจัดตั้งบริษัทในเครือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ รวมถึงการดำเนิน การตามขั้นตอนของกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งบริษัท ตลอดจนการดำเนินธุรกิจในการให้สินเชื่อส่วน บุคคล ๑.๑.๒ รูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นการให้สินเชื่อตามประเภทกลุ่มเป้าหมายโดยวงเงินกู้และอัตราดอก เบี้ยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณารูปแบบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งควรมีความหลากหลายเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สำหรับ การชำระคืนเงินกู้ อาจพิจารณาให้ชำระเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ส่วนหลักประกันในการกู้เงินอาจจะ มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ หรือประเภทของผลิตภัณฑ์ ๑.๑.๓ เขตพื้นที่การให้บริการในเบื้องต้นจะดำเนินการในลักษณะนำร่องให้ทั่วทุกภาคของประเทศ ไทยประมาณ ๑๐ สาขา (กรุงเทพฯ ภาคเหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยให้ บริษัทในเครือของ ปณท มีสิทธิในการใช้สถานที่และเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ของ ปณท ได้ ๑.๑.๔ งบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย ทุนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ๕๐ ล้านบาท ของ ปณท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาจัดหาเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินโครงการฯ ตามความเหมาะสม ๑.๒ อนุมัติร่างบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมและบริหารงานบริษัทในครือของ ปณท ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงการไปรษณีย์ เพื่อสินเชื่อรายย่อย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับ ปณท รับไปดำเนินการในการ จัดตั้งบริษัทในเครือและดำเนินการจัดทำรายละเอียดแผนธุรกิจโครงการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ปณท ดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนัก งานอัยการสูงสุด และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรจัดทำแผนธุรกิจที่สอดรับกับแผนบริหารความเสี่ยงอย่างรัด กุมก่อนขยายผลเมื่อมีพันธมิตรร่วมลงทุน และควรประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่นำร่องอย่างใกล้ชิด หาก ประสบปัญหาในทางปฏิบัติทั้งในส่วนของการอนุมัติสินเชื่อและการติดตามหนี้ หรือแนวโน้มที่จะเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิด รายได้ และปรับรูปแบบการดำเนินโครงการโดยเร็ว โดยอาจพิจารณาทางเลือกในการให้ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัท เอกชนเข้าร่วมดำเนินการในบริษัทในเครือของ ปณท เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินในภาพรวมของ ปณท ต่อไป นอกจากนี้ ในการจัดตั้งบริษัทในเครือตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นกรณีที่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของ ปณท ที่ได้จดทะเบียนไว้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2355 | การขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐอิตาลีว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการอวกาศ | กห | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้จัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกลาโหม แห่งสาธารณรัฐอิตาลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านกิจการอวกาศ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Derfence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Defence of the Italian Republic on Defence Cooperation in Aerospace Technology) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการฝึกอบรมภาพถ่ายดาว เทียมและเทคนิคในการดำเนินโครงการสถานีรับสัญญาณภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อวัตถุประสงค์ในด้านการป้องกัน ประเทศของกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2356 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2553 | นร | 07/12/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ
และเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส,) ครั้งที่ ๑ /๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กศส. รวม ๕ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของ กศส. เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสร้าง สรรค์ของประเทศ การจัดทำกรอบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ รวมทั้งการ กำหนดแนวทางและกระบวนการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงาน ตามที่สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ และให้มีการหารือในรายละเอียดด้านการ จัดสรรเงินตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลั งไปประกอบการจัดทำนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของประเทศ ๒.๒ ให้นายสัญญา สถิรบุตร เป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้าง สรรค์แห่งชาติ (กบศส.) แทนการเป็นรองประธานฯ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย ทำหน้าที่เป็น รองประธานฯ และให้ สศช. ในฐานะเลขานุการ กศส. หารือกับภาคเอกชนเพื่อสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิอีกหนึ่ง ท่าน ๒.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการหารือกับประธาน กศส. พิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... ให้รอบคอบอีกครั้งก่อนนำส่งคณะกรรมการตรวจสอบ ร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา และดำเนินการต่อไป ๒.๔ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และคณะอนุกรรมการโครงการสร้างองค์ความรู้เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Academy) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับภาคเอกชน เพื่อหาแหล่งเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์ สั้น “สวัสดีประเทศไทย” เพื่อดำเนินการด้วยตนเอง และส่งเสริมให้ภาคเอกชนประสานกับรัฐวิสาหกิจที่ อาจมีความประสงค์จะให้ความสนับสนุนเงินทุนสร้างภาพยนตร์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2357 | การต่ออายุข้อตกลงความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกากับกระทรวงสาธารณสุข ฉบับเดิม พ.ศ. 2547 และการจัดทำร่างข้อตกลงความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐฯ กับกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ พ.ศ. 2553 | สธ | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ข้อตกลงการแก้ไข และขยายเวลากรอบความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัยและการดำเนินโครงการสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และบริการประชาชนของประเทศสหรัฐอเมริกา พุทธศักราช ๒๕๔๗ ออกไปจนถึงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งร่างหนังสือตอบของกระทรวงการต่างประเทศถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ร่างกรอบความร่วมมือฉบับใหม่ ซึ่งใช้ชื่อว่า “Agreement Amending and Extending the Research and Technical Collaboration between the Ministry of Public Health of Thailand and the US Centers for Disease Control and Prevention, Department of Health and Human Services” โดยมีฉบับแปลเป็นภาษาไทยว่า “ข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติม และขยายระยะเวลาโครงการความร่วมมือด้านวิชาการ และการศึกษาวิจัยระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และบริการประชาชน ของประเทศสหรัฐอเมริกา พุทธศักราช ๒๕๕๓”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2358 | ขอความเห็นชอบชดเชยการขาดทุนจากการจำหน่ายปุ๋ยเคมี โครงการจัดหาปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่างประเทศ | กษ | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่าง
ประเทศ และการกำหนดระดับราคาปุ๋ยเคมีของโครงการฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการโครงการฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ การนำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๑ (ลงนามสัญญาเมื่อ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาปุ๋ยราคาแพงได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๑ เมื่อ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ เห็นชอบให้โครงการฯ นำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๑ ราคา ๑๔,๐๐๐ บาท/ตัน (CIF 400 USD/ตัน) และการนำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๒ (ลงนามสัญญาเมื่อ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ เห็นชอบให้โครงการฯ นำเข้าปุ๋ยยูเรีย ครั้งที่ ๒ ในราคา ๑๒,๖๐๐ บาท/ตัน (CIF 360 USD/ตัน) ๑.๒. การกำหนดระดับราคา หลักเกณฑ์และวิธีการจำหน่ายปุ๋ยคงเหลือของโครงการฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งมีจำนวนปุ๋ยคงเหลือ ๑๑,๑๘๕.๗๕ ตัน ระยะเวลาจำหน่ายตั้งแต่พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๕๓ โดย จำหน่ายปุ๋ยให้เกษตรกร ผ่านสถาบันเกษตรกร เช่น สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ ราคาจำหน่ายต่ำ กว่าราคาท้องตลาด ตันละ ๑,๐๐๐ บาท โดยกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดราคาจำหน่ายปุ๋ย ณ ราคาหน้าโรงงาน เท่ากับ ๑๑,๐๐๐ บาท/ตัน ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป มีผลให้รัฐบาลจะต้องชดเชยการขาดทุนประมาณ ๕๕,๒๘๒,๙๙๖.๖๖ บาท เมื่อโครงการจำหน่ายปุ๋ยในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท/ตัน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ เพิ่มเติมให้ชัดเจนว่า ราคาจำหน่ายปุ๋ยแก่เกษตรกรในแต่ละครั้งแตกต่างจากราคานำเข้าเท่าใดรวมทั้งจำนวนเงินที่ขาดทุนทั้งหมดแล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2359 | รายงานผลการดำเนินโครงการบ้านดินสิ่งมหัศจรรย์ของจังหวัดชัยภูมิประจำเดือนกันยายน 2553 | มท | 30/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินโครงการบ้านดินสิ่งมหัศ
จรรย์ของจังหวัดชัยภูมิ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๒ โดยขณะนี้การดำเนินโครงการบ้านดินฯ แล้วเสร็จทุกกิจกรรมตามแผน งานที่กำหนด ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้าพักระหว่างเดือนเมษายน-สิงหาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๗๗๓ คน มีรายได้ เพิ่มขึ้นจำนวน ๒๖๒,๓๐๐ บาท การดำเนินโครงการสิ้นสุดระยะเวลาโครงการในเดือนกันยายน ๒๕๕๓ โดยมี เงินเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๕๘,๓๖๐ บาท และเงินค่าปรับ จำนวน ๒๑๔,๘๖๐ บาท รวมเป็น เงิน ๒๗๓,๒๒๐ บาท ซึ่งจังหวัดชัยภูมิได้นำส่งเงินเหลือจ่ายและเงินค่าปรับดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์) ได้เดินทางไปตรวจติดตามความก้าวหน้า โครงการพร้อมมอบนโยบาย ข้อเสนอแนะและแนวทางดำเนินงานในระยะยาว เพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2360 | โครงการเร่งรัดขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ | มท | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการเร่งรัดขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยให้การไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค (กฟภ. ) ดำเนินการโครงการฯ สำหรับครัวเรือนที่มีค่าใช้จ่ายในการปักเสาพาดสายไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน ซึ่งมีจำนวน ๙๑,๕๒๗ ครัวเรือน ในพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. (๗๓ จังหวัด) ทั่วประเทศ ระยะ เวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๔ วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๔๕ ล้านบาท (โดยมีที่มาจากเงินกู้ในประเทศ ๑,๕๓๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. ๕๑๕ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวง มหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรม การกำกับกิจการพลังงาน และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนเพื่อให้ประชาชนสามารถ บำรุงรักษาอุปกรณ์ด้วยตนเองและช่วยเหลืออายุการใช้งานของอุปกรณ์ดังกล่าว และดำเนินการประเมินผลการ ดำเนินงานโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ ๓ โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบท ระยะที่ ๓ เพิ่มเติม และโครงการเร่งรัดขยายเขตไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ภายหลังจากดำเนินโครงการแล้ว เสร็จ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการดำเนินโครงการลงทุนขยายเขตระบบไฟฟ้าให้กับครัวเรือนในชนบทใน อนาคต นอกจากนี้ เห็นควรไม่ต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ตาม มาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ เนื่องจากโครงการฯ จะดำเนินการ ขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าไปตามแนวเขตถนนของกรมทางหลวงชนบทที่มีอยู่เดิม และจะไม่ดำเนินการในเขต พื้นที่หวงห้าม พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ พื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือเขตพื้นที่ป่าอื่น ๆ และโดยที่ กฟภ. มีโครงการจำนวนมาก ที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กฟภ. จึงควรวางแผนทางการเงินให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อไม่ก่อให้ เกิดภาระงบประมาณ ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมและกระทรวงพลังงานเร่งรัดการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้และมีต้น ทุนขยายเขตด้วยวิธีการปักเสาพาดสายเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน จำนวน ๓๙,๐๒๙ ครัวเรือน ต่อไป ด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปตรวจสอบและประเมินผลการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เหมาะ สมในแต่ละพื้นที่ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
.....