ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 113 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2241 - 2260 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2241 | การปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวงเงิน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดไว้ ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕ ล้านบาท จำนวน ๒๑๐,๐๓๒.๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ ประกอบด้วยโครงสร้างรายจ่ายหลัก คือ รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๕๕,๘๔๑ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๕๓,๙๑๘ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๒๓,๓๘๗ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๔๖,๘๕๔ ล้านบาท โดยมีนโยบายขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น โดยมีการปรับลดงบประมาณของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ในวงเงิน ๔๘,๘๕๙.๘ ล้านบาท และปรับลดงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๒๑,๑๔๐.๒ ล้านบาท รวมเป็นการปรับลดทั้งสิ้น ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณที่ปรับลดดังกล่าวได้นำไปจัดสรรเพิ่มเติมในยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม แผนงานเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอตามข้อ ๑.๑ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเตรียมการดำเนินโครงการที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้พร้อมเพื่อสามารถดำเนินการได้ทันที
|
|||||||||||||||||||||
2242 | ขออนุมัติงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปพลางก่อน เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) | นร | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน สำหรับให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมือง (SML) ในส่วนที่จะต้องดำเนินการเร่งด่วนในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและชุมชนที่ประสบอุทกภัย ในวงเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและความพร้อมของการปฏิบัติงานต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ สทบ. ให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมือง (SML) ในจังหวัดที่ประสบอุทกภัยเป็นลำดับแรกก่อน และให้กำกับดูแลการดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||
2243 | ขอความเห็นชอบโครงการ Integrated Community-based Forest and Catchment Management through an Ecosystem Service Approach (CBFCM) | ทส | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทน ลงนามร่วมกับผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) ในเอกสารโครงการ Integrated Community - based Forest and Catchment Management through an Ecosystem Service Approach (CBFCM) โดยสาระสำคัญของโครงการ CBFCM สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การดำเนินโครงการ CBFCM เป็นความตกลงของฝ่าย UNDP กับผู้ปฏิบัติฝ่ายไทย (Implementing Partner) คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องสนับสนุนงบประมาณสมทบที่ไม่อยู่ในรูปเงินสด (In kind) โดยสนับสนุนแผนงาน/โครงการที่ดำเนินงานโดยงบประมาณปกติของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒,๒๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๑.๒ การดำเนินโครงการ CBFCM เป็นการสร้างกลไกการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายด้านการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ลุ่มน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ของประเทศ โดยคำนึงถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศเชิงลุ่มน้ำอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน ๑.๑.๓ หน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินโครงการ CBFCM คือ การกำหนดกรอบแนวทางและแผนการดำเนินโครงการให้สามารถเชื่อมโยงกับประเด็นยุทธศาสตร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานการดำเนินงาน ให้ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการ (Project Board) เพื่อกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการให้บรรลุผลตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๔ หน้าที่ความรับผิดชอบของ UNDP ในการดำเนินโครงการ CBFCM คือ การเป็นหน่วยสนับสนุนโครงการ (Project Assurance) มีหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการอำนวยการโครงการในกำกับดูแลโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดและติดตามตรวจสอบโครงการเพื่อให้โครงการดำเนินไปตามกรอบระยะเวลา ๑.๒ อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขร่างข้อเสนอโครงการในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องสนับสนุนงบประมาณสมทบโครงการ CBFCM หากมีการแก้ไขร่างข้อเสนอโครงการในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ แต่เกี่ยวข้องกับงบประมาณโครงการควรให้สำนักงบประมาณร่วมพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2244 | โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกิจการลูกเสือชาวบ้าน | นร | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยผ่านกิจการลูกเสือชาวบ้าน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
๑. รูปแบบการดำเนินโครงการฯ มุ่งเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสืบสานความเป็นเอกลักษณ์ที่ดีงามของชาติไทย รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของภาคประชาสังคม ลดปัญหาความแตกแยก ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกให้เกิดความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ปัญหาในชุมชนและสังคม นอกจากนี้ เพื่อฟื้นฟูกิจการลูกเสือชาวบ้านให้มีความยั่งยืน และเพิ่มจำนวนลูกเสือชาวบ้านในท้องที่ต่าง ๆ และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสต่าง ๆ ๒. กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ ลูกเสือชาวบ้านและประชาชนทั่วไปทั่วทุกภูมิภาค ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวมทั้งบุคลากรของภาคสื่อสารมวลชนทุกแขนงที่เกี่ยวข้อง ๓. ระยะเวลาขับเคลื่อนโครงการฯ ๔ ปี (ต่อเนื่อง) โดยเริ่มดำเนินการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ งบประมาณในการดำเนินการปีงบประมาณละ ๑๕๐ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ๔. แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งชื่อว่า คณะกรรมการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยผ่านกิจการลูกเสือชาวบ้าน เรียกย่อว่า คปด.ลส.ชบ. เพื่อบริหารจัดการโครงการฯ และให้สำนักบริหารกลาง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางด้านอำนวยการเพื่อรองรับภารกิจด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่คณะกรรมการและโครงการฯ
|
|||||||||||||||||||||
2245 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 | กษ | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินสำรองให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน ในวงเงิน ๓,๘๑๘.๘๑๘ ล้านบาท ไปก่อนจนกว่าจะได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณชดใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR + ๑ ให้แก่ ธ.ก.ส. ให้ครบถ้วน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กระทรวงพาณิชย์ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้มีการตรวจสอบและสอบทานข้อมูลให้ถูกต้องและไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับเกษตรกรที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลเนื่องจากนาข้าวประสบอุทกภัยไปแล้ว โดยสอบทานข้อทูลและปรับให้เป็นปัจจุบันทุก ๆ ๗ วัน ๒.๒ หน่วยงานที่ควบคุมดูแลการเก็บรักษาข้าว เช่น อ.ต.ก. และ อคส. ต้องจัดทำบัญชีควบคุมจำนวนข้าว (Stock Cards) รวมทั้งจำนวนข้าวที่นำเข้าเก็บและที่นำออกไปในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยให้มีการตรวจสอบสต็อกทุก ๆ เดือน ตลอดจนให้มีผู้ตรวจสอบบัญชีในภาพรวมของการดำเนินโครงการของแต่ละหน่วยงานด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2246 | ขออนุมัติการกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และค่า Provision sum ของงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ วงเงิน ๑๙,๓๘๑ ล้านบาท และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ วงเงิน ๑๗,๘๓๘ ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุน โดยให้ รฟม. บันทึกการลงทุนดังกล่าวเป็นส่วนของทุน ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๓ ให้ รฟม. ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการสายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร เร่งเจรจากับกรุงเทพมหานครเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการเดินรถไฟฟ้า โดยให้ครอบคลุมรายละเอียดทางด้านเทคนิคของระบบต่าง ๆ เพื่อให้การเดินรถในอนาคตสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ รฟม. จัดทำแผนการดำเนินงานก่อสร้างโครงการ แผนการกู้เงิน และแผนการเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารจัดการแผนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามแผนการใช้จ่ายจริง เพื่อไม่ให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นในด้านดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องโดยไม่มีเหตุผลอันควรอันจะก่อให้เกิดภาระแก่งบประมาณแผ่นดินในระยะยาวได้ และให้ รฟม. และกระทรวงคมนาคม ประสานกับกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) เพื่อพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงเส้นทางโครงการฯ กับโครงการรถไฟฟ้า BTS ทั้งในด้านการเชื่อมระบบทั้งในด้านวิศวกรรม เทคนิคและระบบการเชื่อมต่อการเดินรถ การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมและการใช้ระบบตั๋วโดยสารร่วม รวมทั้งพิจารณาแนวทางการแบ่งรายได้ค่าโดยสารระหว่างโครงการรถไฟฟ้า BTS และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ที่เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้ ให้ รฟม. เร่งศึกษารูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนจัดหาระบบรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าและให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มฯ ที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการและภาระการลงทุนของภาครัฐโดยรวม ทั้งนี้ ในกรณีที่ รฟม. มีความจำเป็นต้องขยายแนวเส้นทางของโครงการเพิ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในส่วนของการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ รฟม. เพื่อปรับแนวทางการบริหารจัดการการเดินรถไฟฟ้าให้เหมาะสม ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2247 | ขอปรับเพิ่มเงินลงทุน (Cost Overrun) โครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะศรีบอยา เกาะปู และเกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ | มท | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติปรับเพิ่มเงินลงทุน (Cost Overrun) โครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะศรีบอยา เกาะปู และเกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๑๑๖ ล้านบาท ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินโครงการของ กฟภ. ในโอกาสต่อไป หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มวงเงินลงทุนจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไว้ ควรขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะไปดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2248 | โครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ระยะที่ 3 | มท | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๓ (คชฟ. ๓) ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๒ โดยติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงขึ้น ปรับปรุงเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าโดยมุ่งเน้นในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เทศบาลนคร พื้นที่เมืองธุรกิจ พื้นที่สำคัญ และพื้นที่พิเศษ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ วงเงินลงทุนรวม ๑๕,๑๕๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๖๕ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. วงเงิน ๓,๗๙๐ ล้านบาท และให้ความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด โดยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับช่วงเวลา (Peak Hour และ Off Peak) การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ได้รับการติดตั้งมิเตอร์ระบบอ่านหน่วยอัตโนมัติ (Automatic Meter Reading : AMR) ให้ใช้ข้อมูล Load Profile ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าและลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของตนเอง การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน การกำหนดบทบาทของ กฟภ. ในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนระหว่าง กฟภ. และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) เพื่อประโยชน์ต่อการจัดทำแผนการลงทุนและแผนการบริหารจัดการ การให้รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าทั้ง ๓ แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กฟภ. และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประสานสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) เพื่อเร่งศึกษาและปรับปรุงข้อมูลค่าความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ (Outage Cost) รวมทั้งการให้ กฟภ. บริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนโครงการกรณีที่อาจมีปัจจัยทำให้ต้นทุนโครงการสูงขึ้นจากที่ประมาณการไว้ และความเห็นของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่เห็นควรให้ กฟภ. รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของโครงการตามแผนการลงทุน และนำเสนอผลการวิเคราะห์ผลกระทบในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการพลังาน อาทิ มาตรฐานคุณภาพบริการ อัตราค่าบริการในการประกอบกิจการพลังงาน และความเหมาะสมและประสิทธิภาพของการดำเนินงานตามแผน สำหรับกรณีแผนงานขยายระบบโครงข่ายพลังงาน ให้มีการศึกษา วิเคราะห์ และปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนสามารถนำไปวิเคราะห์ในมิติของการกำกับดูแลกิจการพลังงาน ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2249 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 | นร | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กรณีที่มีเกษตรกรจำนวนหนึ่งซึ่งได้เริ่มปลูกข้าวในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ และกำลังจะเก็บเกี่ยวในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ รวมทั้งเกษตรกรที่ได้เข้าร่วมโครงการประกันรายได้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วร้องเรียนว่าอาจจะเสียสิทธิในการเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ไปดำเนินการร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเกษตรกรดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เกิดประโยชน์ครอบคลุมถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกกลุ่มต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2250 | แผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2555 - 2558 (รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) | นร | 06/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานคณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ องค์ประกอบของแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ ๑.๑.๑.๑ แนวคิดและทิศทางการบริหารประเทศ เป็นการสรุปวิสัยทัศน์ สถานการณ์ของประเทศ และกรอบการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ๑.๑.๑.๒ แนวทางการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายรัฐบาล ๘ นโยบาย เป็นการแสดงเป้าหมายเชิงนโยบาย ตัวชี้วัด และกลยุทธ์หรือวิธีดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายรัฐบาล ๑.๑.๑.๓ กลไกการนำแผนการบริหารราชการแผ่นดินไปสู่การปฏิบัติ ระบุหน่วยงานรับผิดชอบ งบประมาณสนับสนุน ตามนโยบาย และแนวทางการติดตามประเมินผล ๑.๑.๑.๔ แผนงาน/โครงการที่มีลำดับความสำคัญตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งคัดเลือกจากแผนงาน/โครงการรายนโยบาย ๘ นโยบาย ๑.๑.๒ ประมาณการความต้องการใช้เงินตามนโยบายรัฐบาล ประมาณการการลงทุน วงเงินงบประมาณสนับสนุนตามนโยบาย เป็นประมาณการความต้องการใช้เงินเบื้องต้นซึ่งเป็นข้อเสนอตามความต้องการของส่วนราชการเพื่อดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลสี่ปี เท่ากับ ๑๑.๒๙๙ ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการภาครัฐสี่ปี รวม ๓.๘๗๘ ล้านล้านบาท รวมเป็นประมาณการความต้องการใช้เงินเบื้องต้นทั้งสิ้น ๑๕.๑๗๘ ล้านล้านบาท และประมาณการรายได้สุทธิของรัฐบาลเท่ากับ ๘.๙๐๑ ล้านล้านบาท โดยมีแหล่งเงินในการดำเนินโครงการตามนโยบาย ประกอบด้วย เงินในงบประมาณ ๑๐.๔๔๐ ล้านล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ ๐.๘๕๙ ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณการความต้องการใช้เงินที่ปรากฏในแผนการบริหารราชการแผ่นดินจะใช้เป็นกรอบแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการสี่ปีและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการเพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณประจำปีต่อไป ๑.๑.๓ การติดตามประเมินผล แผนการบริหารราชการแผ่นดินได้กำหนดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการ โดยกำหนดขั้นตอนการติดตามประเมินผลความก้าวหน้าการปฏิบัติงานตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เป็น ๓ ระยะ ได้แก่ การติดตามประเมินผลความก้าวหน้าประจำปี การประเมินผลในระยะครึ่งแผน และการประเมินผลเมื่อสิ้นสุดแผน ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของคณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ เกี่ยวกับขั้นตอนของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งการบูรณาการแผนงาน/โครงการ ตามแผนปฏิบัติราชการสี่ปีและแผนปฏิบัติราชการประจำปี ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ๑.๓ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ไปประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติราชการสี่ปีให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน หลังจากที่แผนการบริหารราชการแผ่นดินประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ และแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๕ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับไปพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับแผนงาน/โครงการ ตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณและรักษาวินัยการคลัง ๑.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และรายงานให้คณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินและคณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๗ เห็นชอบหลักการกรณีคณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนงาน/โครงการเพิ่มเติม ให้คณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินปรับปรุงแผนการบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี ๒ ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ขอเพิ่มเติมโครงการเกี่ยวกับการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้านศึกษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาในวิทยาเขต และโครงการส่งเสริมการศึกษาต่อของนักเรียนที่มีความสามารถด้านกีฬา ณ ประเทศออสเตรเลีย ไปปรับปรุงแผนการบริหารราชการแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง โดยยังคงประมาณการรายได้และรายจ่ายไว้ตามเดิม แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ส่งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และดำเนินการต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกำหนดเวลาตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) อย่างเคร่งครัด ๔. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นไปตามแผนการบริหารราชการแผ่นดินและมีการบูรณาการกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เช่น การแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ การดำเนินการในกรอบความร่วมมืออาเซียน โลจิสติกส์ การแก้ไขปัญหาสังคม และการจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ เป็นต้น สมควรกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพหลัก/รอง เพื่อรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจน โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาดำเนินการในรายละเอียด โดยให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการโดยด่วน แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2251 | ผลการศึกษาการแก้ไขปัญหาดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการศึกษาการแก้ไขปัญหาดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สภาพปัญหา : จากผลการศึกษาสภาพปัญหาดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบปัญหาดินเค็มเป็นบริเวณกว้างประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งภาค โดยมีพื้นที่ประสบปัญหาดินเค็มประมาณ ๑๑.๕ ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ดินเค็มเล็กน้อย (พบคราบเกลือบนผิวดินน้อยกว่า ๑% น้ำใต้ดินเค็ม) ๗.๓ ล้านไร่ พื้นที่ดินเค็มปานกลาง (พบคราบเกลือบนผิวดิน ๑ - ๑๐%) ๓.๘ ล้านไร่ พื้นที่ดินเค็มมาก (พบคราบเกลือบนผิวดิน ๑๐ - ๕๐%) ๐.๒ ล้านไร่ และพื้นที่ดินเค็มมากที่สุด (พบคราบเกลือบนผิวดินมากกว่า ๕๐% ขึ้นไป) ๐.๑ ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายเกลืออีก ๒๐.๖ ล้านไร่ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติจากการผุพังสลายตัวของหินอมเกลือที่อยู่ลึกจากผิวดินเพียง ๑ - ๒ เมตร และเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยการตัดไม้ทำลายป่าบนพื้นที่รับน้ำจนทำให้สมดุลของน้ำเปลี่ยนแปลง น้ำใต้ดินเค็มในที่ลุ่มจะถูกยกระดับขึ้นมาใกล้ผิวดิน ทำให้เกิดการแพร่กระจายเกลือและเกิดปัญหาดินเค็มได้ ๒. การแก้ไขและฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มในช่วงที่ผ่านมา มีดังนี้ ๒.๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ กรมพัฒนาที่ดินได้รับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ดินเค็ม ประมาณ ๑๑๗ ล้านบาท แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๓ ส่วนตามสภาพพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็มน้อยและปานกลาง มีพื้นที่รวม ๑๑.๒ ล้านไร่ ได้มีการดำเนินการที่สำคัญไปแล้วไม่น้อยกว่า ๔.๙๕ ล้านไร่ พื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็มจัด มีพื้นที่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ได้มีการดำเนินการที่สำคัญไปแล้วไม่น้อยกว่า ๗,๒๕๐ ไร่ และพื้นที่ดินเค็มทุกระดับ ได้ดำเนินกิจกรรมการป้องกันการเพิ่มเติมระดับน้ำใต้ดินบนพื้นที่เนินรับน้ำ โดยใช้น้ำจากบ่อขุดหรือบ่อบาดาลที่มีน้ำใต้ดินคุณภาพดีที่ไม่อยู่ลึกเกินไป เพื่อให้เกษตรกรสามารถประกอบการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๓ จำนวน ๓๒ แห่ง ๒.๒ การดำเนินโครงการนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อการฟื้นฟูดินเค็ม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาที่ดิน (ภาครัฐ) เครือซีเมนต์ไทย (SCG) และบริษัท สยามฟอเรสทรี (ภาคเอกชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร (ภาควิชาการ) และกลุ่มเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ (ภาคประชาชน) โดยเน้นหลักการแก้ไขปัญหาแบบครบวงจรเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจัดการองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ และรวมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งสร้างวงจรการตลาดสินค้าที่ผลิตจากพื้นที่ดินเค็ม
|
|||||||||||||||||||||
2252 | ความคืบหน้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร (นโยบายการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เสียชีวิตพิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้) | กค | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร โดยที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ได้กำหนดหลักการในการดำเนินโครงการสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร กรณีให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ สรุปได้ ดังนี้
๑. กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือ คือ เกษตรกร ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๑.๑ กลุ่มที่ ๑ เกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) และขึ้นทะเบียนหนี้กับ กฟก. ไว้แล้ว และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กับสถาบันการเงินหลัก ๔ แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไม่เกินรายละ ๒.๕ ล้านบาท ๑.๒ กลุ่มที่ ๒ เกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ที่ไม่เป็นสมาชิก กฟก. หรือเป็นสมาชิก แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กับสถาบันการเงินหลัก ๔ แห่ง ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไม่เกินรายละ ๒.๕ ล้านบาท ๑.๓ กลุ่มที่ ๓ เกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ของสถาบันการเงินอื่น สหกรณ์ฯ และนิติบุคคลที่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรกำหนดและมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กับสถาบันการเงินหลัก ๔ แห่ง ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไม่เกินรายละ ๒.๕ ล้านบาท ๒. การจำหน่ายหนี้เงินกู้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ สำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและสถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจให้ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สินและหนี้สูญออกจากบัญชีของรัฐวิสาหกิจ กรณีที่เป็นสถาบันการเงินอื่น สหกรณ์ฯ นิติบุคคลที่คณะกรรมการ กฟก. กำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายตามแต่องค์กรนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ๓. ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการดำเนินการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐเพื่อให้เกิดความชัดเจนของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบถึงความมั่นคงทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ๆ ๔. ให้สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธอส. และธนาคารกรุงไทยฯ จัดทำประมาณการจำนวนเกษตรกรกลุ่มลูกหนี้และจำนวนหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามนโยบายนี้ให้กระทรวงการคลังโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||
2253 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 4/2554 | นร | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยสถานะการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จากวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท จำนวน ๔๓,๘๑๔ โครงการ โดย ณ วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ สำนักงบประมาณได้จัดสรรเงินแล้วจำนวน ๔๒,๘๙๘ โครงการ วงเงิน ๓๔๑,๕๒๗.๒๖ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้แล้วรวมทั้งสิ้น ๒๘๐,๐๐๗.๑๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๙๙ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร หรือร้อยละ ๘๐.๐๑ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ทั้งนี้ สาขาที่มีการเบิกจ่ายต่อวงเงินที่ได้รับจัดสรรสูงสุด ได้แก่ สาขาประกันรายได้ สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสิ่งแวดล้อม และสาขาขนส่ง
|
|||||||||||||||||||||
2254 | โครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน | นร | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงบประมาณรับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการจัดงานโครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑๖๙,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ยังไม่สามารถทำความตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ กับสำนักงบประมาณให้แล้วเสร็จได้ เนื่องจากการพิจารณาปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายในการจัดงานไปมากทำให้งบประมาณไม่เพียงพอ ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางว่าจะดำเนินการจัดงานนี้ทั้งในกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาคให้ทั่วถึงทุกจังหวัด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปให้แล้วเสร็จ โดยให้ประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงพาณิชย์โดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
2255 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2554 | ศอบต | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพต. เสนอ โดยที่ประชุม กพต. มีมติในเรื่องต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการและงบประมาณโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๔ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสนับสนุนเครื่องมือประกอบอาชีพครัวเรือนนอกหมู่บ้านเป้าหมาย ๖๙๖ หมู่บ้านของจังหวัดสตูลเพิ่มเติม จำนวน ๑๖ ราย ที่ผ่านการประชาคมและฝึกอบรมด้านการพัฒนาอาชีพไว้แล้ว โดยใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๒ อนุมัติให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ปรับแผนการดำเนินงานกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทำดี มีอาชีพ” โดยนำวงเงินที่เหลือจำนวน ๒๑๒.๕๗ ล้านบาท ดำเนินกิจกรรมรวม ๒ กิจกรรม ประกอบการ การขยายผลสัมฤทธิ์โครงการทำดีมีอาชีพ การจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ระบบสหกรณ์ชุมชน ตามที่ กอ.รมน. เสนอ โดยให้ กอ.รมน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ อนุมัติการขยายเวลาการลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลา เป็นไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ในวงเงินที่รับจัดสรร จำนวน ๑๖๐.๐๘๑๐ ล้านบาท และขยายเวลาการลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างศูนย์ครูใต้จังหวัดนราธิวาส เป็นไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ในวงเงินที่ได้รับจัดสรรจำนวน ๑๒๙.๗๔๐๔ ล้านบาท ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงหออภิบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ เป็นเงิน ๑๕๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ๑๒.๔๕๐๐ ล้านบาท นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งสิ้น ๑๖๒.๔๕๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบเรื่องที่นายกรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณให้ ศอ.บต. ดำเนินการเพิ่มเติม จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย งบอำนวยการและบริหารจัดการเพิ่มเติม จำนวน ๒๑.๙๗๓๐ ล้านบาท และโครงการตรวจสอบระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) งบประมาณ ๓๐.๙๖๕๔ ล้านบาท ๓. รับทราบเรื่องที่กระทรวงการคลังให้หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณดำเนินโครงการในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้ดำเนินการและเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับส่วนเกินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานจะต้องจัดหาแหล่งเงินอื่นมาสนับสนุนการดำเนินโครงการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2256 | รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร | นร | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้มีมติเห็นชอบในการกำหนดสูตรปุ๋ยเพิ่มเติมอีก ๓ สูตร ได้แก่ สูตร ๑๘ - ๔๖ - ๐ สูตร ๐ - ๐ - ๖๐ และ สูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑ เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการที่กำหนดการชดเชยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังเพิ่มเติม ๑.๒ โครงการได้เริ่มต้นดำเนินการในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกจังหวัด ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ต่อจากนั้นจะดำเนินโครงการในภาคกลางทุกจังหวัดประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ และในพื้นที่ภาคใต้เป็นภาคสุดท้าย โดยในชั้นแรกที่จะดำเนินการในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ปุ๋ยสูตร จำนวน ๗ สูตร ได้แก่ สูตร ๔๖ - ๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๒๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๑๖ - ๘ สูตร ๑๖ - ๘ - ๘ สูตร ๑๘ - ๑๒ - ๖ สูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕ และสูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑ ในพืช ๓ ชนิด คือ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ๑.๓ คณะกรรมการฯ ได้กำหนดคำแนะนำในการใช้ปุ๋ยของเกษตรกรและสิทธิที่จะได้รับการชดเชยราคาปุ๋ย จากข้อมูลของเกษตรกรโครงการประกันรายได้ของพืช ๓ ชนิด ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ปีเพาะปลูก ๒๕๕๓/๕๔ ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกพืชเกษตรกรดังกล่าวรวม ๗๑.๔๗ ล้านไร่ และประมาณการจำนวนปุ๋ยที่เกษตรกรต้องใช้ตามสิทธิและสอดคล้องกับคำแนะนำทางวิชาการของโครงการเป็นจำนวน ๒.๒๙ ล้านตัน ซึ่งคาดว่าจะใช้วงเงินชดเชยค่าปุ๋ยประมาณทั้งสิ้น ๓,๔๓๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ คณะกรรมการฯ ได้มีมติให้ดำเนินโครงการ ๘๔ ตำบลปุ๋ยลดต้นทุนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุ ๘๔ พรรษา โดยใช้ข้อมูลจากการเก็บและวิเคราะห์ดินจากหมอดินอาสาและเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน โดยในพื้นที่ภาคกลางจะเป็นการดำเนินการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลดินให้แล้วเสร็จภายใน ๖ สัปดาห์ เพื่อใช้ในปีเพาะปลูกปัจจุบัน ส่วนพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๕ เดือน เพื่อนำข้อมูลดินมาใช้ในการดำเนินงานครั้งต่อไป ๒. การพิจารณากำหนดสูตรปุ๋ยเพิ่มเติมอีก ๓ สูตร สมควรที่คณะกรรมการฯ จะพิจารณาดำเนินการไปได้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักวิชาการและการชดเชยพืชเพิ่มเติมอีก ๒ ชนิด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง
|
|||||||||||||||||||||
2257 | รายงานผลการดำเนินงานของศูนย์ป้องกันการทุจริตและการละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับทางหลวง (ศป.ทล.) และการดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี | คค | 10/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของศูนย์ป้องกันการทุจริตและการละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับทางหลวง (ศป.ทล.) และการดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยผลการดำเนินงานของ ศป.ทล. และการดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ มกราคม ๒๕๕๐) ให้จัดตั้ง ศป.ทล. เป็นฝ่ายปฏิบัติงาน มีกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการนำร่องฯ เป็นเวลา ๑๐ ปี ปัจจุบันระยะเวลาได้ผ่านมาแล้วประมาณ ๒ ปีกว่า ยังไม่ปรากฎความคืบหน้าของงาน โดยในการประชุมแต่ละครั้งยังไม่มีข้อสรุปหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด และโดยที่ ศป.ทล. เป็นโครงการที่ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนนำอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีมาใช้ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ ซึ่งจะให้เอกชนที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการนำร่องฯ เป็นผู้แจ้งความนำจับที่มีสิทธิได้รับเงินสินบนด้วยนั้น เรื่องนี้ไม่สามารถทำความตกลงกับกระทรวงการคลังให้เอกชนมีสิทธิได้รับเงินสินบนดังกล่าวได้ เพื่อพิจารณาถึงกรณีปัญหาดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและปลัดกระทรวงคมนาคมได้ตั้งคณะทำงานทางกฎหมายเพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินโครงการตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติว่า สามารถดำเนินการในลักษณะใดได้อีก หรือจำเป็นต้องยุติการดำเนินโครงการดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
2258 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ระยะที่ 2 | กษ | 10/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ได้ดำเนินโครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ระยะที่ ๒ เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ โดยการควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไม่ให้ทำความเสียหายต่อผลผลิตและท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง โดยการแช่ท่อนพันธุ์ในพื้นที่ ๑๖ จังหวัด หรือคิดเป็นพื้นที่ ๘๗,๙๐๐ ไร่ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่และเกษตรกรให้มีความรู้ ความสามารถด้านการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง รวมทั้งได้กำหนดมาตรการสำหรับควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไว้ ๕ ประการ คือ มาตรการเฝ้าระวัง มาตรการแจ้งเตือนภัย มาตรการควบคุม มาตรการช่วยเหลือและเยียวยา และมาตรการติดตามประเมินผล โดยให้ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนเป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ใช้งบประมาณจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๓,๕๗๙,๐๐๐ บาท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ เนื่องจากการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังเกิดจากหลายปัจจัยและแต่ละปัจจัยมีวิธีควบคุมที่แตกต่างกันออกไป ประกอบกับเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังชนิดสีชมพูเป็นศัตรูพืชชนิดใหม่ที่ทำความเสียหายให้กับเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เทคโนโลยีและวิธีการควบคุมยังต้องมีการศึกษา วิจัย ทดสอบ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมและได้ผลในการกำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังควบคู่กับการแก้ไขปัญหาการระบาด |
|||||||||||||||||||||
2259 | โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและโครงการเงินกู้ให้เกษตรกรจัดหาปุ๋ยของ ธ.ก.ส. | นร | 10/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเรื่อง โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและโครงการเงินกู้ให้เกษตรกรจัดหาปุ๋ยของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดราคาปุ๋ยเคมี ๖ สูตร (สูตร ๔๖ - ๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๒๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๘ - ๘ สูตร ๑๖ - ๑๖ - ๘ สูตร ๑๘ - ๑๒ - ๖ และสูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕) โดยมีราคาในแต่ละสูตรเป็นขั้นต่ำ - ขั้นสูง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ โดยให้ยืนราคาดังกล่าวเป็นเวลา ๓ เดือน หากราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกมีความผันผวนแตกต่างไปจากที่เสนอเป็นมูลค่า ? ๑,๐๐๐ บาท/ตัน ก็ให้มีการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวอีกครั้ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาขายปุ๋ยในแต่ละสูตรของผู้ประกอบการแต่ละรายให้เป็นตามข้อเท็จจริงของต้นทุนและสต็อกปุ๋ยที่มีอยู่ และให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาตินำประเด็นการปรับราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาประกันตามโครงการประกันรายได้เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกรด้วย ๒. เห็นชอบให้ปรับปรุงชื่อ “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” เป็น “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” ๓. เห็นชอบแนวทางการชดเชยส่วนต่างของราคาปุ๋ยเคมีให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร โดยครอบคลุมถึงพืชเกษตร ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ในอัตรากิโลกรัมละ ๑.๕๐ บาท (ตันละ ๑,๕๐๐ บาท) โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรตามโครงการประกันรายได้กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะได้รับการชดเชยตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่มีสิทธิตามโครงการประกันรายได้และตามปริมาณปุ๋ยเคมีต่อไร่ที่เท่ากันทุกภาค ตามที่คณะกรรมการปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรพิจารณากำหนด ๔. อนุมัติกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓,๙๐๑ ล้านบาท ประกอบด้วย วงเงินชดเชยส่วนต่างราคาปุ๋ยเคมี วงเงินจำนวนประมาณ ๓,๔๕๐ ล้านบาท วงเงินชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวนประมาณ ๑๑๕ ล้านบาท (อัตรา FDR+1) วงเงินค่าอำนวยการสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จำนวน ๔๘ ล้านบาท และวงเงินค่าดำเนินโครงการ (ค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ) เป็นเงินรวมประมาณ ๒๘๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องและเป็นไปตามจำนวนเงินที่จ่ายจริงต่อไป โดยในส่วนของวงเงินค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนเงิน ๒๘๘ ล้านบาท นั้น ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๕. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อการจัดหาปุ๋ยเคมีของเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2260 | โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร และเรื่อง โครงการเงินกู้ให้เกษตรกรจัดหาปุ๋ยของ ธ.ก.ส. (นัดพิเศษ) | นร | 06/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดราคาปุ๋ยเคมี ๖ สูตร (สูตร ๔๖ - ๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๒๐ - ๐ สูตร ๑๖ - ๘ - ๘ สูตร ๑๖ - ๑๖ - ๘ สูตร ๑๘ - ๑๒ - ๖ และสูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕) โดยมีราคาในแต่ละสูตรเป็นขั้นต่ำ - ขั้นสูง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ โดยให้ยืนราคาดังกล่าวเป็นเวลา ๓ เดือน หากราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกมีความผันผวนแตกต่างไปจากที่เสนอเป็นมูลค่า ? ๑,๐๐๐ บาท/ตัน ก็ให้มีการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวอีกครั้ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาขายปุ๋ยในแต่ละสูตรของผู้ประกอบการแต่ละรายให้เป็นตามข้อเท็จจริงของต้นทุนและสต็อกปุ๋ยที่มีอยู่ และให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาตินำประเด็นการปรับราคาปุ๋ยเคมีดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาประกันตามโครงการประกันรายได้เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกรด้วย ๒. เห็นชอบให้ปรับปรุงชื่อ “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” เป็น “โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร” ๓. เห็นชอบแนวทางการชดเชยส่วนต่างของราคาปุ๋ยเคมีให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร โดยครอบคลุมถึงพืชเกษตร ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ในอัตรากิโลกรัมละ ๑.๕๐ บาท (ตันละ ๑,๕๐๐ บาท) โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรตามโครงการประกันรายได้กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะได้รับการชดเชยตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่มีสิทธิตามโครงการประกันรายได้และตามปริมาณปุ๋ยเคมีต่อไร่ที่เท่ากันทุกภาค ตามที่คณะกรรมการปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรพิจารณากำหนด ๔. อนุมัติกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ในวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓,๙๐๑ ล้านบาท ประกอบด้วย วงเงินชดเชยส่วนต่างราคาปุ๋ยเคมี วงเงินจำนวนประมาณ ๓,๔๕๐ ล้านบาท วงเงินชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวนประมาณ ๑๑๕ ล้านบาท (อัตรา FDR+1) วงเงินค่าอำนวยการสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จำนวน ๔๘ ล้านบาท และวงเงินค่าดำเนินโครงการ (ค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ) เป็นเงินรวมประมาณ ๒๘๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องและเป็นไปตามจำนวนเงินที่จ่ายจริงต่อไป โดยในส่วนของวงเงินค่าอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนเงิน ๒๘๘ ล้านบาท นั้น ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๕. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อการจัดหาปุ๋ยเคมีของเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
.....