ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 111 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2201 - 2220 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2201 | สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (กคฐ.) | มท | 24/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๔,๙๙๕.๘๕๖ ล้านบาท ประกอบด้วย แผนงาน/โครงการ ด้านคมนาคมขนส่ง วงเงินรวม ๕๕๙.๐๐๐ ล้านบาท แผนงาน/โครงการ ด้านสถานที่ราชการและระบบสาธารณูปโภค วงเงินรวม ๔,๑๐๖.๒๖๗ ล้านบาท แผนงาน/โครงการ ด้านศาสนสถานและโบราณสถาน วงเงินรวม ๑,๕๒๐.๒๕๙ ล้านบาท แผนงาน/โครงการ ด้านสถานศึกษา วงเงินรวม ๒,๘๓๔.๘๐๕ ล้านบาท แผนงาน/โครงการ ด้านแหล่งน้ำและระบบชลประทาน วงเงินรวม ๕,๗๘๐.๘๑๔ ล้านบาท และแผนงาน/โครงการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วงเงินรวม ๑๙๔.๗๑๑ ล้านบาท ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ร่วมกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อม และความเหมาะสมในการดำเนินโครงการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.)] ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2202 | การดำเนินการเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 24/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ ประกอบด้วยช่วงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยช่วงต้นน้ำจะต้องส่งเสริมการดูแลพื้นที่ต้นน้ำและการปลูกป่า ปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน รวมทั้งสร้างฝายชุ่มชื้นเพื่อเก็บกักน้ำในพื้นที่สูง โดยยึดหลักการตามแนวพระราชดำริ ส่วนช่วงกลางน้ำต้องมีการบริหารจัดการพื้นที่กักเก็บน้ำและระบายน้ำให้เหมาะสม และช่วงปลายน้ำต้องควบคุมดูแลการบริหารจัดการพื้นที่และช่องทางระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการในช่วงต้นน้ำ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการโดยได้น้อมนำเอาพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาดำเนินการใน ๒ เรื่อง คือ การปลูกป่าฟื้นฟูแหล่งน้ำ และการปราบปรามยาเสพติด ๑.๒ การดำเนินการช่วงกลางน้ำและช่วงปลายน้ำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทยเร่งประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ รวมทั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยระบุรายละเอียดแยกเป็นรายจังหวัดและรายโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] และเร่งรัดดำเนินโครงการในความรับผิดชอบที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและมีความพร้อมในการดำเนินการให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว สำหรับการดำเนินการในส่วนของการขุดลอกคูคลองและทางระบายน้ำ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณามอบหมายให้แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบการขุดลอกคูคลองและทางระบายน้ำแต่ละแห่งให้ชัดเจน รวมทั้งให้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบแต่ละพื้นที่จังหวัดกำกับติดตามการดำเนินการควบคู่ไปกับการตรวจติดตามการปฏิบัติราชการตามกลไกการตรวจราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย เพื่อให้การดำเนินการโครงการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งรัฐมนตรีที่กำกับดูแลในระดับจังหวัดเร่งรัดการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2203 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2554 | นร | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำประเด็นความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการกำหนดให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคด้านการค้าการลงทุน ด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ และมีพื้นที่รองรับการขยายตัวของการลงทุนภาคอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคการผลิตและบริการ โดยพิจารณาครอบคลุมประเด็นกฎหมายที่กระทบต่อการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพื่อให้กลไกรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในลักษณะ Public 3 Private - Partnership โดยกำหนดขอบเขตภารกิจและรูปแบบที่จะให้เอกชนร่วมดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ความไม่เพียงพอทั้งในเรื่องปริมาณและมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ความสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาความเป็นเมืองและการพัฒนาพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำ ไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้พิจารณาความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และทำการศึกษาเรื่องการจัดรูปแบบองค์กรและระบบการบริหารจัดการ และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอต่อ กยอ. พิจารณาต่อไป รวมทั้งศึกษาประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนต่าง ๆ ๒. รับทราบความคืบหน้าและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ตามข้อเสนอซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยนำเสนอผลการศึกษารูปแบบกองกลางประกันภัยน้ำท่วม ต่อ กยอ. และให้สมาคมธนาคารไทยร่วมดำเนินงานในการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมแก่ผู้เอาประกันภัย โดย กยอ. จะช่วยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข่าวสารและมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้สาธารณชนและต่างประเทศได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาการผ่อนปรนสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติ เพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทประกันภัย โดยอาจกำหนดระยะเวลาของการผ่อนผันหรือเงื่อนไขที่ชัดเจน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติและฟื้นฟูประเทศ ๒ ราย ได้แก่ บริษัท Mckinsey & Company และบริษัท Boston Consulting Group ซึ่งมีข้อเสนอแนวทางดำเนินการในช่วงระยะการฟื้นฟู และระยะการซ่อมสร้างของประเทศไทยจากวิกฤตน้ำท่วม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินโครงการปฏิรูปประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการรับข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาหลายราย อาจทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานมีความซ้ำซ้อนและต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น จึงเห็นควรเลือกบริษัทที่ปรึกษาจำนวนน้อยราย ภายใต้เงื่อนไขบริษัทที่ปรึกษาจะดำเนินการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อผูกมัดเรื่องการสนับสนุนข้อมูลหรือการนำข้อมูลและผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ และทำการศึกษาเฉพาะประเด็น/หัวข้อตามที่ กยอ. กำหนด นอกจากนี้ ควรให้บริษัทที่ปรึกษาทั้ง ๒ ราย รวมถึงรายอื่น ๆ ที่อาจมีการเสนอเพิ่มเติมในภายหลังจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาที่สำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยสรุปประมาณ ๑ - ๒ หน้า และให้นำเสนอ กยอ. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ไปประสานกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาประเทศไทยในอนาคต ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และสมมติฐานการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกเสนอ กยอ. พิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบรายละเอียดหมวดการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) และรายละเอียดสำหรับวงเงินที่จะขออนุมัติเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามมติ กยอ. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ดำเนินการทำความตกลงในรายละเอียดของงบประมาณสำหรับ สกยอ. กับสำนักงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ต่อไป ๕. รับทราบรายงานสรุปผลการหารือระหว่างประธาน กยอ. และคณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อที่ประเทศสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุของการเกิดอุทกภัยรวมทั้งการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเดินทางไปชี้แจงให้กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการรับประกันภัยของโลกทั้งในเรื่องการป้องกันอุทกภัยในอนาคต รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้แก่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยทั้ง ๗ แห่ง ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี รวมทั้งโรงงานและนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่งด้วย แล้วรายงานผลพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้ กยอ. พิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2204 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2011) | นร | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2011) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักงานนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญของผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ๕ ประเด็น ได้แก่ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การดำเนินการตามสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร โดยผลการตรวจติดตามของผู้ตรวจราชการกระทรวง พบว่า หน่วยรับผิดชอบในระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงโครงการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สำหรับผลการตรวจติดตามของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พบว่า หน่วยงานในระดับพื้นที่สามารถประสานการดำเนินงานร่วมกัน และเกิดความคุ้มค่าหรือเกิดมูลค่าเพิ่มในเรื่องของการประหยัดงบประมาณ ประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ และเกิดประโยชน์กับประชาชนในวงกว้าง ๒. ผลการตรวจราชการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการกรณีปัญหาเฉพาะพื้นที่ของผู้ตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ๒.๑ การแก้ไขปัญหาเรื่องโฉนดชุมชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เป็นการตรวจติดตามเพื่อเปรียบเทียบการดำเนินการโฉนดชุมชนในพื้นที่ที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว พื้นที่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการใกล้สำเร็จ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ที่ดำเนินการยังไม่สำเร็จ ผลการตรวจติดตามปรากฏว่า ยังมีบางประเด็นปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขโดยส่วนกลาง โดยผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี/ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ตรวจพบได้รับไปประสานแก้ไขปัญหาภายในกระทรวง/กรมที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว ๒.๒ การจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ผลการตรวจติดตามพบว่า สภาพปัญหายาเสพติดของจังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบันเป็นทั้งพื้นที่ค้า พื้นที่พักยาเสพติด และพื้นที่แพร่ระบาด ซึ่งผู้ตรวจราชการได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นแล้ว ส่วนปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจากส่วนกลางเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมรับไปประสานดำเนินการแก้ไขต่อไปแล้ว ๒.๓ การจัดการปัญหาภัยพิบัติ (น้ำท่วม ดินถล่ม) ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการตรวจติดตามพบว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้การสนับสนุน ซึ่งผู้ตรวจราชการได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม และการบูรณาการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่มจะประสบผลสำเร็จถ้าได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ต้องรวดเร็ว แม่นยำ และเชื่อถือได้ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ คือ ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ประสบภัยได้ทัน มูลค่าทรัพย์สินเสียหายลดลง ๓. แนวทางการตรวจราชการแบบบูรณาการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีควรจะต้องสามารถกระตุ้นให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัดกำหนดโครงการภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในลักษณะที่มีการบูรณาการภายใต้หลักการห่วงโซ่แห่งคุณค่า ทั้งในระดับจังหวัดด้วยกันเอง และบูรณาการกับระดับกระทรวง/กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์ของจังหวัด เกิดคุณค่าและความคุ้มค่าของโครงการภาครัฐให้ได้ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะส่งแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ให้กับทุกจังหวัด เพื่อรับทราบเป็นข้อมูล และเป็นประโยชน์ในการที่จะบูรณาการโครงการของกระทรวง/กรมกับโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้อีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากพบว่ามีโครงการที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงเสนอไว้ในแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ บางส่วนที่น่าจะบูรณาการหรือประสานการดำเนินการร่วมกันของหน่วยปฏิบัติในพื้นที่กับโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้
|
||||||||||||||||||||||||
2205 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 23 และการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 19 | พณ | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๓ (The 23rd APEC Ministerial Meeting) และการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑๙ (The 19th APEC Economic Leaders Meeting) ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองโฮโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑๙ ๑.๑ การส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและการขยายการค้า ๑.๑.๑ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบต่อแนวทางการสนับสนุน SMEs ให้เข้าร่วมในห่วงโซ่การผลิตของโลก (global supply chain network) โดยส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถในการผลิตของ SMEs ในฐานะอุตสาหกรรมสนับสนุน รวมทั้งการส่งเสริมนโยบายนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ไม่เลือกปฏิบัติ และขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด ๑.๑.๒ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบให้ทุกเขตเศรษฐกิจกำหนดมูลค่าสินค้านำเข้าขั้นต่ำ (De minimis values) ที่จะยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรและพิธีการทางศุลกากรสำหรับสินค้าที่ส่งทางไปรษณีย์และส่งแบบเร่งด่วน และการดำเนินโครงการนำร่อง (Pathfinder) ซึ่งเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมต้องกำหนดมูลค่าขั้นต่ำที่มากกว่าหรือเท่ากับ ๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งเห็นชอบ “APEC Guidelines for Customs Border Enforcement of Counterfeiting and Piracy” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ศุลกากรของเขตเศรษฐกิจเอเปค ในการบังคับใช้มาตรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับสินค้าปลอมแปลงและละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านพรมแดน ๑.๑.๓ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบให้เอเปคแสดงบทบาทนำในการผลักดันให้มีการเปิดเจรจาภายใต้กรอบ WTO เพื่อขยายขอบเขตของสินค้าในความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA) เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนและผลักดันการสร้างนวัตกรรมในภูมิภาคเอเปค ๑.๑.๔ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าของ SMEs เพื่อช่วยเหลือ SMEs ในการทำธุรกิจและการส่งออกได้สะดวกขึ้น ๑.๒ การสร้างความเติบโตโดยรักษาสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ๑.๒.๑ ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคมีข้อสรุปเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนด้านสินค้าและบริการที่รักษาสิ่งแวดล้อม โดยในปี ๒๕๕๕ เขตเศรษฐกิจจะกำหนดรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบเอเปคที่ส่งผลโดยตรงและในทางบวกต่อการเติบโตสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อนำมาซึ่งการลดภาษีนำเข้าลงเหลือไม่เกินร้อยละ ๕ หรือน้อยกว่า ภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจ และไม่กระทบท่าทีการเจรจาของเขตเศรษฐกิจภายใต้ WTO และให้เขตเศรษฐกิจยกเลิกการกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศที่บิดเบือนการค้าสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค ให้สอดคล้องกับข้อผูกพันใน WTO ภายในสิ้นปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ รัฐมนตรีเอเปคเห็นชอบแนวทางการสร้างความโปร่งใสเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้าใช้แล้วที่นำมาผลิตใหม่ (remanufactured goods) โดยให้เขตเศรษฐกิจเผยแพร่ข้อมูลมาตรการด้านภาษีและที่มิใช่ภาษีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าประเภทนี้ เปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงข้อคิดเห็นต่อร่างกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และนำความเห็นมาพิจารณาในการออกกฎหมายและกฎระเบียบ รวมทั้งเห็นชอบโครงการนำร่อง (Pathfinder) ซึ่งเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมจะต้องไม่นำมาตรการใด ๆ ที่ใช้กับสินค้าใช้แล้ว (used goods) มาปฏิบัติกับสินค้าใช้แล้วที่นำมาผลิตใหม่ ๑.๓ การปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory reform) ผู้นำเศรษฐกิจเอเปคเห็นชอบมาตรการที่จะดำเนินการภายในปี ๒๕๕๖ อาทิ แผนความร่วมมือด้านกฎระเบียบของเอเปค โดยส่งเสริมการปฏิบัติตาม Good Regulatory Practices (GRPs) และตาม APEC - OECD Integrated Checkliston Regulatory Reform รวมทั้งการพัฒนาและการส่งเสริมความร่วมมือด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และไวน์ ๒. ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเอเปค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้พบปะหารือทวิภาคีกับผู้แทนสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เปรู และ World Bank เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ได้หารือคือสถานการณ์น้ำท่วมในไทย ซึ่งการหารือทวิภาคีเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายไทยได้แสดงความขอบคุณต่อความสนับสนุนช่วยเหลือ และได้สร้างเสริมความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลไทย
|
||||||||||||||||||||||||
2206 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี วุฒิสภา | สว | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี วุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นแนวทางการพัฒนาโครงการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ฯ ๑.๑ ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล โดยมี ศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นเจ้าภาพหลัก พร้อมทั้งกำหนดแผนโลจิสติกส์และสิทธิประโยชน์พิเศษ ๑.๒ พิจารณาเร่งรัดการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนเชื่อมเส้นทางหลักหมายเลข ๔๒ ๑.๓ พิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการไก่สดแช่แข็ง โดยขอให้ บริษัท สหฟาร์ม จำกัด จัดทำข้อเสนอโครงการไก่สดแช่แข็ง ๒. ประเด็นมาตรการในการรักษาความปลอดภัยความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ได้กำหนดมาตรการในการรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ได้แก่มาตรการก่อนเหตุ และมาตรการขณะเกิดเหตุ ๓. ประเด็นการจัดกิจกรรมส่งเสริม กระทรวงพาณิชย์มีแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าฮาลาลอยู่เป็นประจำทุกปี โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการจัดนิทรรศการฮาลาลในงาน THAIFEX-World of Food Asia 2012 การจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าอาหารไปเยือนตะวันออกกลาง การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ๔. ประเด็นระดับความรับผิดชอบของหน่วยงาน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในระดับนโยบาย ที่ปัจจุบันดำเนินการภายใต้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๖/๒๕๔๙ เรื่อง นโยบายเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้ระบุการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ของท้องถิ่น ส่วนรายละเอียดการดำเนินการจะเป็นเรื่องของส่วนราชการที่รับผิดชอบโดยตรง
|
||||||||||||||||||||||||
2207 | สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) | มท | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๒๖.๖๐๗ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เสนอ ๒. ให้คณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (กบภ.) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการตรวจติดตามการดำเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่ได้ขออนุมัติงบประมาณไปแล้วอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินการตามแผนงาน/โครงการดังกล่าวบรรลุผลและเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และประหยัด ทั้งนี้ ให้รายงานผลให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติแผนงาน/โครงการเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปแล้วเป็นเงินรวมประมาณ ๙๓,๐๐๐ ล้านบาท (ไม่รวมที่เสนอครั้งนี้) รวมทั้งยังมีแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอีก ซึ่งทำให้มียอดวงเงินโดยรวมใกล้เคียงกับกรอบวงเงินที่จะสามารถอนุมัติสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย จำนวนประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาทได้ จึงอนุมัติเป็นหลักการว่าโครงการใด ๆ ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว หากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณได้พิจารณาทบทวนในรายละเอียด รวมทั้งจากผลการตรวจติดตามการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ แล้วเห็นว่า สมควรยกเลิก เปลี่ยนแปลง หรือชะลอไปดำเนินโครงการในระยะยาว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณปกติได้ ก็ให้นำเสนอ กฟย. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2208 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเครือข่ายเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) | ศธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการโครงการเครือข่ายเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ภายในกรอบวงเงิน ๒,๙๘๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยดำเนินการแบ่งตามพื้นที่ ๕ พื้นที่/โซน คือ พื้นที่/โซนที่ ๑ ภาคเหนือ (N) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคเหนือ จำนวน ๑,๓๑๖ แห่ง พื้นที่/โซนที่ ๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (NEN) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน ๑,๖๑๐ แห่ง พื้นที่/โซนที่ ๓ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (NES) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จำนวน ๑,๕๔๐ แห่ง พื้นที่/โซนที่ ๔ ภาคกลาง/ตะวันออก/ตะวันตก (C-E-W) ครอบคลุมโรงเรียนในจังหวัดภาคกลาง/ตะวันออก/ตะวันตก จำนวน ๑,๙๑๒ แห่ง และพื้นที่/โซนที่ ๕ ภาคใต้ (S) ครอบคลุมโรงเรียนจังหวัดภาคใต้ จำนวน ๑,๒๒๘ แห่ง โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท จากวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่เสนอตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๖๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๒๕๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการเครือข่ายเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ซึ่งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาระบบเครือข่ายสารสนเทศที่มีอยู่เดิม (โครงการ UniNet) ที่ได้มีการลงทุนไปแล้ว แต่จากการติดตามและประเมินผลโครงการ UniNet พบว่ามีปัญหาในการดำเนินการที่สำคัญ ๓ ด้านคือ (๑) ด้านกายภาพในการสร้างโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงและติดตั้งอุปกรณ์มีความล่าช้าในการดำเนินงานจากแผนที่กำหนดไว้ เนื่องจากปัญหาในการปรับเปลี่ยนแนวเสาไฟฟ้า และการขออนุญาตพาดสายไฟฟ้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๒) ด้านการพัฒนาบุคลากรสำหรับบริหารจัดการระบบเครือข่ายยังไม่มีความพร้อม และ (๓) ด้านเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอน (Content) ยังขาดการส่งเสริมและพัฒนาเนื้อหาให้มีการใช้งานให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า และยังไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง จึงเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปปรับปรุงการดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ให้เพียงพอและสามารถรองรับการเชื่อมต่อสัญญาณเครือข่าย รวมทั้งควรมีความเชื่อมโยงกับนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2209 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 139) | พน | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๙) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) และแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ตามลำดับ กับเห็นชอบนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย (Thailand Energy Policy) ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) และแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2012 - 2021) ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศเป็นร้อยละ ๒๕ ๑.๓ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) ที่กระทรวงพลังงานปรับปรุงตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี ๑.๔ เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี โดยปรับลดจำนวนหน่วยการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน จากไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือน เป็นไม่เกิน ๕๐ หน่วยต่อเดือน และกระจายภาระค่าใช้จ่ายไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนิการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยพิจารณาถึงวันเริ่มต้นการใช้มาตรการค่าไฟฟ้าฟรีที่ปรับปรุงใหม่ให้มีความเหมาะสม ๑.๕ เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานรับไปแก้ไขปัญหาการผลิตและการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-Base) และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป ๒. ที่ประชุมมีมติรับทราบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดำเนินโครงการแผนการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด ภายในวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรระบุเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประสบภัยในการฟื้นฟู ซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2210 | โครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 1 เมกกะวัตต์ | วท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด ๑ เมกกะวัตต์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และอนุมัติงบประมาณจำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นงบดำเนินการในการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ เช่น ชนิดและความพอเพียงของชีวมวล พื้นที่ดำเนินโครงการ รูปแบบการลงทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ เทคโนโลยีการผลิต ความคุ้มค่าและผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมและการยอมรับของชุมชน และรูปแบบการบริหารจัดการ เป็นต้น สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบนั้น ให้พิจารณาใช้แหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่มีภารกิจที่สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดหาเชื้อเพลิงที่จะใช้ป้อนโรงไฟฟ้าและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ และมีการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าใหม่ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้โรงไฟฟ้าใหม่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการนอกเหนือจากงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อขอใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานหรือแหล่งทุนอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2211 | รายงานผลการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. โครงการที่ดำเนินการได้ทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐,๑๑๐.๕๕๗๒ ล้านบาท จัดสรรเงินงบกลางฯ ให้แล้ว จำนวน ๑๙,๒๓๗.๗๐๓๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ด้านฟื้นฟูคุณภาพชีวิต จำนวน ๑,๕๓๓.๕๘๔๙ ล้านบาท ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน ๔,๕๒๘.๕๖๘๑ ล้านบาท ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมฯ จำนวน ๑๓,๑๗๕.๕๕๐๐ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๘๗๒.๘๕๔๒ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณคงเหลือดังกล่าว เป็นโครงการฟื้นฟู บูรณะโบราณสถาน จำนวน ๕๙๙.๗๗๕๕ ล้านบาท นอกนั้นเป็นการปรับลดค่างานตามเกณฑ์และโครงการที่มีความซ้ำซ้อน รวมทั้งไม่มีความพร้อม ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และของบประมาณไม่เต็มกรอบ จำนวน ๒๗๓.๐๗๘๗ ล้านบาท ๒. โครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินไว้ วงเงิน ๔๐,๘๗๒.๖๔๕๕ ล้านบาท ได้แก่ ๒.๑ แผนงาน/โครงการที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณารายละเอียดร่วมกัน และได้นำเสนอประธานคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เห็นชอบวงเงิน ๙,๕๕๘.๒๐๘๓ ล้านบาท เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ จัดสรรเงินงบกลางฯ ให้แล้ว จำนวน ๗,๑๒๙.๓๗๐๕ ล้านบาท ประกอบด้วย ด้านฟื้นฟูคุณภาพชีวิต จำนวน ๔,๙๑๔.๖๕๓๕ ล้านบาท ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน ๒,๑๒๐.๒๘๔๘ ล้านบาท ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมฯ จำนวน ๙๔.๔๓๒๒ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๒,๔๒๘.๘๓๗๘ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณคงเหลือดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาความซ้ำซ้อนของการดำเนินโครงการระหว่างหน่วยงานและค่าใช้จ่าย ๒.๒ แผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการขุดลอกคลอง และปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำ จำนวน ๓,๗๖๔.๘๔๐๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณารายละเอียดร่วมกันแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๓ กรอบวงเงินส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๙,๙๗๘.๔๓๔๘ ล้านบาท (๔๐,๘๗๒.๖๔๕๕ - ๗,๑๒๙.๓๗๐๕ - ๓,๗๖๔.๘๔๐๒ ล้านบาท) สำนักงบประมาณได้ประสานให้ส่วนราชการตรวจสอบกับจังหวัด หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นและมีความพร้อมในการดำเนินโครงการ ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องขอรับจัดสรรงบประมาณมายังสำนักงบประมาณโดยเร็ว เพื่อสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้พิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการร่วมกัน และเสนอ กฟย. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2212 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑.๑ อนุมัติในหลักการให้โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณหรือได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญา รวมทั้งกรณีโครงการที่ไม่ต้องมีการลงนามในสัญญา (ใช้เงินอุดหนุน/งบประจำ) ที่หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งยืนยันมาที่คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้สามารถดำเนินการลงนามในสัญญาและเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ อนุมัติการยกเลิกโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี รายการจัดซื้อรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๑๐ รายการ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕,๐๑๙,๔๘๐ บาท และโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า รายการการจัดซื้อรายการปืนไรเฟิล ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ๑.๑.๔ รับทราบโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้วแต่ยังไม่ลงนามในสัญญา วงเงิน ๑๑๙.๕๓ ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้แจ้งผลการทบทวนความจำเป็นคุ้มค่าของการดำเนินโครงการมายังคณะกรรมการฯ ๑.๑.๕ รับทราบโครงการที่หน่วยงานจะขอยกเลิกโครงการเดิมและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ วงเงิน ๑,๒๙๙.๕๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้วิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มเติม ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๑๒.๕๙ ล้านบาท และโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้วยวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๗๘๗.๐๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ อนุมัติให้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๙ โครงการ วงเงิน ๙,๒๓๕.๖๘ ล้านบาท สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบในหลักการให้โครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๔,๒๕๘.๖๔ ล้านบาท (รวมโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๕,๐๒๒.๙๖ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ด้วย) สามารถลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ไม่เกินเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานเร่งจัดส่งข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ รับทราบการแจ้งยืนยันความจำเป็นเหมาะสมและคุ้มค่าในการดำเนินโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๓ การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๓.๑ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายโครงการถนนไร้ฝุ่น ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๓,๙๔๗,๐๗๑ บาท โครงการฝายหัวงานและอาคารประกอบ โครงการฝายชั่วคราวกั้นแม่น้ำปิง (หัวงานที่ ๑) จังหวัดนครสวรรค์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑,๘๒๐,๕๒๖ บาท และโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปอ ตำบลนาบอน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙๙๕,๒๖๓.๔๘ บาท ๑.๓.๒ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓.๓ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนป่าแดด ระยะที่ ๑ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๑.๓.๔ รับทราบการขอรับการจัดสรรเงินเพิ่มเติมภายใต้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการปรับปรุงโรงเรียนให้เป็นมาตรฐาน รายการพัฒนาห้องสมุด (E - library) โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ของกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕,๗๒๔,๕๐๐ บาท ๑.๔ รับทราบความเห็นเบื้องต้นของกระทรวงการคลังในประเด็นการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ที่จะนำไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2213 | รายงานการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ ๑.๑ การลงทะเบียนผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยเพื่อขอรับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยการอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยและค้ำประกันโดยรัฐ จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ๓% ต่อปี โดยธนาคารออมสินนำเงินเข้าฝากธนาคารพาณิชย์ที่เข้าโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย ๐.๐๑% ต่อปี และธนาคารพาณิชย์สมทบเงินกู้อีก ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรม (บสย.) สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ๓% ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยรัฐชดเชยค่าธรรมเนียมและชดเชยความเสียหายไม่เกิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท จากการเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยลงทะเบียนขอความช่วยเหลือ ๒,๑๕๓ ราย มูลค่าการลงทุน ๒๘๔,๕๑๙ ล้านบาท มีแรงงาน ๑๗๖,๕๘๙ คน มูลค่าความเสียหาย ๙๕,๔๑๖ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบไว้นอกโรงงานกรณีฉุกเฉิน การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ที่นำมาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย และยืดหยุ่นในเรื่องวัตถุดิบนำเข้าซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า การเร่งอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาติดตั้งซ่อมแซมเครื่องจักร การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราว หรือลงทุนใหม่เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ ๑.๓ โครงการและมาตรการช่วยเหลือโดยทั่วไป ได้แก่ การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เป็นเวลา ๕ ปี การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ทดแทนเครื่องจักรที่เสียหายเป็นการทั่วไปสำหรับโรงงานที่ประสบอุทกภัยและมิได้เป็นโรงงานที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน การดำเนินโครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยจัดส่งทีมงานเข้าสำรวจ วินิจฉัย วางแผนการฟื้นฟูการผลิตและกระบวนการทางธุรกิจ มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ ๒,๑๘๑ ราย และได้เข้าช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว ๕๑๖ ราย มีผู้ประกอบการ ๕๕ ราย สามารถประกอบธุรกิจได้ตามปกติ และการดำเนินโครงการศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาเครื่องจักรกล สินค้าวัตถุดิบ และเป็นสถานที่เพื่อการผลิตชั่วคราว ซึ่งเบื้องต้นได้จัดพื้นที่ภายในหน่วยงานในจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น สุพรรณบุรี ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร ให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยให้ใช้เป็นสถานที่ในการประกอบการผลิตและยืมเครื่องจักรในการผลิต มีผู้ประกอบการเข้ารับบริการ ๘ ราย ๒. มาตรการให้ความช่วยเหลือของการนิคมแห่งประเทศไทย ได้แก่ ๒.๑ การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตใหม่ กรณีใบอนุญาตเดิมสูญหาย การยกเว้นค่าบริการการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ จนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๒.๒ การบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี โดยประสานกรมศุลกากรให้ผู้ประกอบการสามารถขนย้ายเครื่องจักร วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ออกนอกเขตประกอบการเสรีโดยด่วน พร้อมจัดทำมาตรการด้านพิธีการศุลกากรให้ผู้ประกอบการแจ้งสถานที่ชั่วคราวที่ขนย้ายเครื่องจักรอุปกรณ์ หรือสถานที่ชั่วคราวที่ประกอบกิจการ และสามารถประกอบกิจการและปฏิบัติพิธีการศุลกากรปกติ รวมทั้งการอนุญาตคนต่างด้าวเข้ามาอยู่และทำงานภายใต้กฎหมายการนิคมฯ โดยกรณีหนังสือสูญหายจะจัดทำสำเนาให้ใหม่ และกรณีผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยต้องการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในระดับผู้เชี่ยวชาญ จะยกเว้นให้เข้ามาได้จนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. การฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ การตรวจสอบเฝ้าระวังการระบายน้ำและการจัดการกากอุตสาหกรรมมิให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียง โดยผลการตรวจสอบวิเคราะห์น้ำที่ระบายออกจากนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่อยู่ในมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม ยกเว้นในบางพื้นที่มีคราบน้ำมันสูงกว่ามาตรฐาน ซึ่งได้ทำการล้อมให้คราบน้ำมันอยู่ในที่จำกัด และตักออกไปกำจัด และเมื่อมีการระบายน้ำแล้วเสร็จ จะส่งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมในโรงงานไม่ให้รั่วไหลออกไปสร้างผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ ซึ่งได้ทำการตรวจสอบโรงงานไปแล้ว จำนวน ๒๓๕ แห่ง จากจำนวนทั้งหมด ๘๘๘ แห่ง
|
||||||||||||||||||||||||
2214 | การค้ำประกันเงินกู้ โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกปี 2552/53 | กษ | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาและการค้ำประกันเงินกู้ วงเงิน ๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ บาท ออกไปจนกว่าสำนักงบประมาณจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกปี ๒๕๕๒/๕๓ จนเสร็จสิ้น โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะจำนวนสต็อกข้าวคงเหลือ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้รับทราบสถานการณ์เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและดำเนินการระบายข้าวได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งส่งเสริมการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรให้เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายสินค้าเกษตรอย่างจริงจังในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เพื่อกระตุ้นให้กลไกตลาดมีการแข่งขันกันมากขึ้น และเป็นทางเลือกในการจำหน่ายสินค้าเกษตรของเกษตรกรในอนาคต นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและแปรรูปจากสินค้าข้าวอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดข้าวระดับบนมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2215 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 33 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง | กษ | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry - AMAF) ครั้งที่ ๓๓ และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่างวันที่ ๕ - ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยสาระสำคัญของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ครั้งที่ ๓๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือทางวิชาการด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน และการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ๒. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบเอกสารต่าง ๆ อาทิ แนวทางปฏิบัติสำหรับการนำเข้ามันฝรั่งเพื่อการบริโภคภายในภูมิภาคอาเซียน (Intra - ASEAN Phytosanitary Guidelines for Importation of Potato - tuber for Consumption) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าภายในภูมิภาคอาเซียนค่าสารพิษตกค้างสูงสุดของอาเซียน (ค่า MRLs) สำหรับสารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มเติมอีก ๕ ชนิด (Pesticides) รวม ๘ ค่า (MRLs) ได้แก่ acephate ในน้ำมันปาล์ม methamidophos ในน้ำมันปาล์ม monocrotophos ในน้ำมันปาล์ม cypermethrin ในมะละกอ cypermethrin ในถั่วฝักยาว propiconazole ในข้าวโพดเมล็ดแห้ง propiconazole ในข้าวโพดหวาน และ propiconazole ในอ้อย, มาตรฐานพืชสวนของอาเซียน ได้แก่ กระเจี๊ยบเขียว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พริกหวาน หอมหัวใหญ่ และพริก (ASEAN Standards for Okra, Cashew Kernels, Sweet Pepper, Onion, Chilli Peppers), บันทึกความเข้าใจระหว่างสมาชิกอาเซียนกับองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศเรื่องระบบข้อมูลโรคระบาดสัตว์ของอาเซียน MOU between Members of the Association of South East Asian Nations (ASEAN) and the World Organisation for Animal Health (OIE) on Linkage of ASEAN Regional Animal Health Information System (ARAHIS) with World Animal Health System (WAHIS) เป็นต้น ๓. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามแผนนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (ASEAN Integrated Food Security (AIFS Framework) แผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน (Strategic Plan of Action on Food Security in the ASEAN Region : SPA - FS) โดยขอให้มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับคู่เจรจา องค์กรและประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ การพัฒนา รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศ เพื่อการประสานและเร่งดำเนินกิจกรรม ๔. ที่ประชุมรับทราบและสนับสนุนการดำเนินโครงการริเริ่ม และความร่วมมือกับธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตาม AIFS Framework โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสำรองข้าว การค้าข้าว และระบบสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ๕. ที่ประชุมรับทราบ Declaration of Joint Response to Climate Change อันเป็นผลมาจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ ซึ่งมอบหมายให้ภาคเกษตรและป่าไม้มีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา และการแลกเปลี่ยนความรู้ โดยที่ประชุมยืนยันที่จะดำเนินการตามกลไกเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า [Reduced Emission from Deforestation and Forest Degradation (REDD)-plus] ๖. ที่ประชุมสนับสนุนข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Regional Coordination Mechanism on Animal Health and Zoonoses (RCM) รวมทั้ง Terms of Reference of the Preparatory Committee to Implement the Preparatory Phase of the RCM ๗. ที่ประชุมรับทราบความสำเร็จของการประชุมอาเซียน - ซีฟเดค “การประมงอย่างยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารในทศวรรษหน้า” ซึ่งประเทศไทยร่วมกับซีฟเดคจัดขึ้น ณ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
2216 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงาน รวม ๒ ฉบับ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐ เพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กระจายการลงทุนด้านบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปยังส่วนภูมิภาคและชนบท และดำเนินโครงการลงทุนที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ รายละเอียดของการกู้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการกู้เงินจากสถาบันการเงิน รวม ๒ ครั้ง และได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๙๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท จากเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบ Term Loan เป็นเงินกู้ระยะยาวในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับภาคการเกษตรของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และก่อให้เกิดการจ้างงาน ฯลฯ ๒. รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ ฯลฯ ๒.๒ รายละเอียดของการกู้เงิน เป็นการดำเนินการตามแผนการก่อหนี้ใหม่ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนี้ในประเทศ และการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล และการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนี้ในประเทศ และแผนการบริหารความเสี่ยงและแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ ๒.๓ ประโยชน์ที่จะได้รับคือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง
|
||||||||||||||||||||||||
2217 | โครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค | วท | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค โดยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค ใน ๘ ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคใต้ เพื่อทำหน้าที่ประสานดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และประสานในเชิงพื้นที่เพื่อการกระจายตัวในการให้บริการงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ประชาชนได้มากขึ้น ระยะเวลาดำเนินงาน ๔ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึง กันยายน ๒๕๕๘) โดยให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาค) และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาคในลักษณะโครงการนำร่องก่อน โดยเลือกจังหวัดตัวอย่างที่มีความเหมาะสมและมีศักยภาพ รวม ๔ จังหวัด ใน ๒ ภาค โดยให้หารือในรายละเอียดการพิจารณาเลือกจังหวัดตัวอย่างกับสำนักงาน ก.พ.ร. ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เกี่ยวกับการพิจารณาเลือกจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความพร้อม และพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงมาเป็นผู้ดูแลศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค การประสานความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในแต่ละภูมิภาคในการดำเนินกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา การเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการประสานงานและเชื่อมโยงการทำงานรวมกับศูนย์อื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขในภูมิภาค เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการจัดสรรอัตรากำลังเพื่อดำเนินโครงการนำร่อง ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้วิธีการเกลี่ยอัตรากำลังภายในหน่วยงานไปก่อน โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงาน ก.พ. ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่อง ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการนี้ โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการโครงการนำร่องไปแล้ว ให้ประเมินผลโครงการเพื่อพิจารณาความเหมาะสมคุ้มค่าของการดำเนินการเพื่อประกอบการพิจารณาขออนุมัติดำเนินโครงการในระยะต่อ ๆ ไป |
||||||||||||||||||||||||
2218 | ขออนุมัติงบประมาณดำเนินโครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณข้าวสารตามโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 | พณ | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินโครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณข้าวสารตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในกรอบวงเงิน ๕๘,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการดูแลรักษาปริมาณและคุณภาพข้าวสารตามโครงการฯ ได้ทันต่อการเริ่มดำเนินการแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร เพื่อให้ได้คุณภาพข้าวสารที่สอดคล้องกับข้าวเปลือกที่รับจำนำ และข้าวสารที่ได้สามารถจำหน่ายได้ในประเทศและต่างประเทศ โดยให้กรมการค้าต่างประเทศขอตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลักเกณฑ์และกรอบระยะเวลาในการคำนวณค่าใช้จ่ายของโครงการ โดยให้คำนึงถึงจำนวนคน ค่าใช้จ่ายต่อหัว และราคาต่อหน่วยให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาคัดเลือกและจัดจ้างบุคลากรผู้ช่วยปฏิบัติงานที่อยู่ในพื้นที่ มีการสุ่มตรวจสอบคุณภาพข้าวอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจสอบความสอดคล้องของปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำและข้าวสารที่แปรสภาพเพื่อป้องกันการแจ้งปริมาณการรับจำนำที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรมีแผนการระบายข้าวที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับไปกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือก รวมทั้งจัดหาเครื่องมือในการตรวจสอบคุณภาพข้าว เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับจำนำและการนำข้าวเปลือกของโครงการไปสีเป็นข้าวสารเพื่อจัดจำหน่ายต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2219 | รายงานความก้าวหน้าในการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และการช่วยเหลือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าในการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และการช่วยเหลือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งดำเนินการฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๗ แห่ง ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ผลการดำเนินการประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม ระบายน้ำออกจากพื้นที่แล้วเสร็จ การซ่อมแซมสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำประปา ระบบสื่อสาร โทรคมนาคมส่วนใหญ่แล้วเสร็จ สามารถรองรับการฟื้นฟูโรงงานและเริ่มการผลิตสำหรับสายการผลิตบางส่วนได้ และปัจจุบันมีโรงงานเริ่มประกอบการแล้ว จำนวน ๑๑๕ แห่ง หรือร้อยละ ๑๓ ของโรงงานที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด จำนวน ๘๘๘ แห่ง คาดว่าภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ โรงงานส่วนใหญ่จะเริ่มประกอบการได้ และภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าโรงงานสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ๒. การป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการป้องกัน ตรวจสอบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยต่อนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง โดยประสานความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อตรวจสอบและควบคุมกำกับดูแลการระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เป็นไปอย่างปลอดภัย ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของคณะทำงาน พบว่าคุณภาพน้ำที่ระบายออกจากพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ในมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม และเมื่อมีการระบายน้ำแล้วเสร็จ กระทรวงอุตสาหกรรมจะทำตรวจสอบโรงงานที่มีสารเคมี และกากของเสียอันตรายทุกแห่ง ให้มีการจัดเก็บอย่างปลอดภัย ๓. การสนับสนุนและช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยให้สามารถฟื้นตัวและกลับมาประกอบการได้โดยเร็ว ได้แก่ การดำเนินโครงการคลินิกอุตสาหกรรม เพื่อการฟื้นฟูสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยจัดส่งทีมงานเข้าสำรวจวินิจฉัยสถานประกอบการเพื่อทราบปัญหา วางแผนการฟื้นฟูการผลิต และกระบวนการด้านธุรกิจ โดยมีเป้าหมายให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ จำนวน ๕,๐๐๐ ราย และการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ประกอบด้วย การอนุญาตให้วัตถุดิบที่ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกซึ่งได้รับความเสียหายและไม่มีเศษซากเหลืออยู่ ไม่ต้องชำระภาษีอากรในลักษณะเป็นส่วนสูญเสีย และยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรที่นำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย มาตรการช่วยเหลือในเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทซึ่งต้องการผู้ชำนาญการต่างชาติมาฟื้นฟูโรงงานจากเหตุอุทกภัย และการอนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ รวมทั้งการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปอยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว ๔. สำหรับข้อวิตกกังวลของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้รับความเสียหายในนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศที่จะป้องกันมิให้เกิดอุทกภัยอย่างรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นอีก และแผนการป้องกันพื้นที่นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม ในการสร้างคันทำนบที่มั่นคงแข็งแรง มีความปลอดภัยเชื่อถือได้ตามมาตรฐานทางวิศวกรรม นั้น ภาครัฐสมควรเร่งดำเนินการวางแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันควรให้การสนับสนุนการสร้างคันทำนบถาวรซึ่งเป็นการลงทุนที่มิได้ก่อให้เกิดรายได้ เพื่อให้นิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรม ดำเนินการได้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว โดยไม่เป็นภาระต่อนักลงทุนที่ได้รับความเสียหายจนเกินกว่าเหตุ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการดำเนินธุรกิจต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2220 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำพร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยปัจจุบันได้ติดตั้งและเดินเครื่องสูบน้ำในพื้นที่โรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา โครงการชลประทานภาษีเจริญ และดอนเมือง รวมจำนวน ๑๐๖ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำ จำนวน ๒๗๘,๒๖๒ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน เพื่อรวบรวมเครื่องสูบน้ำในพื้นที่และมอบบุคลากรดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างสูบระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัยในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๑๙ เครื่อง โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๑๓๙ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๘๒๖,๐๒๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด โดยมีผลการปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้แก่ การฟื้นฟูเก็บขยะและทำความสะอาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร บางเขน บางพลัด นนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา การจัดเตรียมอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การซ่อมแนวกระสอบทราย และสร้างแนวกระสอบทราย รวมทั้งการขนย้ายสิ่งของที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เป็นต้น ๓. แผนการเตรียมการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยภายหลังน้ำลด ประกอบด้วย ภารกิจหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย การระบายน้ำ ภารกิจสนับสนุน ได้แก่ การดำเนินโครงการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและจัดหาน้ำดื่มสะอาด การเตรียมการในการฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยนำเสนอโครงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมาตรการอื่นในการช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ การนำไม้ของกลางมาช่วยบูรณะซ่อมแซมบ้านพัก และการเว้นค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
|
.....