ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 115 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2281 - 2300 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2281 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 2 โครงการ | กษ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการคลองสียัด จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิมระยะเวลา ๑๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๗ - ๒๕๕๔) เป็นระยะเวลา ๑๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๗ - ๒๕๕๕) โดยไม่เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างของโครงการฯ ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพิษณุโลก จากเดิมระยะเวลา ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๔) เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๕) โดยไม่เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างของโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับงวดงานภายในวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเดิม และให้ดำเนินการทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่โครงการให้เกิดการยอมรับอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการอีก และสามารถดำเนินการโครงการชลประทานทั้ง ๒ โครงการต่อไปได้จนเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ ควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนพัฒนาการผลิตทางการเกษตรในพื้นที่เพื่อเพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการพัฒนาการตลาดสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2282 | แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง พร้อมขยายเขตพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมองค์การบริหารส่วนตำบลนาจอมเทียน อีก ๑ แห่ง พื้นที่จำนวน ๒๑ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๓,๑๒๕ ไร่ ซึ่งจะทำให้พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีพื้นที่รวม ๙๔๙.๔๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕๙๓,๔๑๘.๗๕ ไร่ โดยมีแผนงาน/โครงการและมูลค่าการลงทุนรวม ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง จำนวนเงิน ๑๓,๕๐๗.๓๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๑๐ ปี โดยให้องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เป็นหน่วยงานประสานงานและขอรับจัดสรรงบประมาณ แล้วโอนงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโครงการนำไปปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ต่อไป ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี การกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการถ่ายโอนหลังจากโครงการฯ สิ้นสุดลงแล้วเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับศักยภาพในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ทั้งเฉพาะแหล่ง และในภาพรวมของพื้นที่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและส่งเสริมแนวเชื่อมโยงระบบเส้นทางคมนาคมให้เกิดความร่มรื่น โดยปลูกต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เพื่อความสวยงามและเป็นแนวเส้นทางสีเขียว (Green Corridors) การป้องกันการบุกรุกและการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของแหล่งธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั้งภายในและโดยรอบพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทฯ ควรจะต้องบูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น โดยในส่วนของกรอบวงเงินลงทุนตามแผนแม่บทฯ จำนวน ๑๓๒ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ให้เมืองพัทยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณและให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรเป็นรายได้ให้แก่ อปท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
2283 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีในการเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | กษ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เริ่มดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ ประกอบด้วย แผนการดำเนินงานโครงการฯ ระยะ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐) กรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานดำเนินการเตรียมความพร้อมโครงการด้านการจัดหาที่ดินและก่อสร้างส่วนประกอบอื่นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ผ่อนผันให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) สามารถใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ได้ ๑.๓ ให้กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เห็นควรชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรในลุ่มน้ำแม่แตงซึ่งเป็นลำน้ำที่ถูกใช้ในการผันน้ำ และดำเนินงานร่วมกับราษฎรในพื้นที่ในการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความเชื่อมั่นต่อราษฎรในพื้นที่ และเป็นตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาแหล่งน้ำที่คำนึงถึงระบบนิเวศต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของโครงการฯ ทั้งในแง่ของขนาดการลงทุนที่เหมาะสม (economy of scale) และลำดับความสำคัญในการพัฒนาระบบชลประทานในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2284 | การรายงานปิดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล | กษ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รายงานปิดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑๐๑ ราย สถานีบริการน้ำมัน จำนวน ๓ ราย และบริษัทน้ำมัน จำนวน ๒ ราย ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ทั้งหมดมีจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ ล้านลิตร โดยใช้งบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน ๘๔๖,๐๐๐.๐๐ บาท ทั้งนี้ กรมประมงได้ปิดบัญชีกองทุนรวมฯ และนำเงินเหลือจ่ายคืนให้แก่กรมบัญชีกลาง จำนวน ๒๓,๒๐๓,๖๐๐.๒๒ บาท ประกอบด้วย เงินคงเหลือจากการชดเชยค่าน้ำมันในโครงการฯ จำนวน ๒๓,๑๓๖,๐๐.๐๐ บาท และดอกเบี้ย จำนวน ๖๗,๖๐๐.๒๒ บาท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ อาทิ มีพลังงานทางเลือกชนิดอื่นและน้ำมันนอกระบบที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันในโครงการฯ อากาศร้อนจัดเป็นระยะเวลาหลายเดือนทำให้เกิดภาวะเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย เกษตรกรจึงชะลอการเลี้ยงกุ้งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่เกษตรกรซื้อน้อยกว่าที่ได้จัดสรรไปแล้ว ส่วนต่างของราคาน้ำมันไม่คุ้มต้นทุนค่าขนส่ง เกษตรกรหันไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นแทน และในบางพื้นที่มีจำนวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ น้อย ทำให้ยอดการจัดสรรน้ำมันไม่เพียงพอต่อการขนส่ง เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2285 | การเคลื่อนย้ายแรงงานกลับคืนสู่ภาคเกษตรและการออมของเกษตรกร | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงการเพิ่มขึ้นของการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับคืนสู่ภาคเกษตรและการออมของภาคเกษตร สรุปได้ ดังนี้
๑. การเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคการผลิตอื่นเข้ามาทำงานในภาคเกษตรกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ มีแรงงานจากภาคการผลิตอื่นเคลื่อนย้ายเข้ามาทำงานในภาคเกษตรกรรม เป็นจำนวน ๔๙๑,๗๗๔ คน และในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑๖๘,๒๕๖ คน รวมทั้งยังมีแรงงานที่ไม่มีงานทำ แต่ย้ายถิ่นมาได้งานทำในภาคเกษตรกรรม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ กว่า ๓๐๐,๐๐๐ ราย โดยการย้ายกลับคืนถิ่นเพื่อทำการเกษตรเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะค่าครองชีพในเมืองที่สูงขึ้น การถูกเลิกจ้างจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ และการโยกย้ายตามฤดูกาลผลิต รวมทั้งการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรและราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นปัจจัยในการตัดสินใจย้ายถิ่นมาทำอาชีพเกษตรกร ๒. เกษตรกรมีการออมเงินและมีการลงทุนทางการเกษตรเพิ่มขึ้น โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ทำให้ยอดเงินฝากของเกษตรกรกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มสูงกว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ค่อนข้างมาก โดยมียอดเงินฝากระหว่างปี เพิ่มขึ้นเป็น ๗๑,๒๔๐ ล้านบาท และสามารถชำระหนี้คืนระหว่างปี เพิ่มขึ้นเป็น ๒๘๔,๖๐๕ ล้านบาท แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๑ กว่าร้อยละ ๕ ได้ทำให้ยอดเงินฝากระหว่างปีลดลง แต่ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และเกษตรกรยังสามารถชำระหนี้ได้เพิ่มขึ้น และตัดสินใจลงทุนเพิ่มขึ้นในการผลิตทางการเกษตร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ได้ชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกร ๓,๙๕๖,๑๗๗ ราย ในปีการผลิต ๒๕๕๒/๒๕๕๓ (รอบแรก) ในวงเงินรวม ๓๖,๔๙๘ ล้านบาท และราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2286 | โครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ปุ๋ยเคมี และสามารถลดต้นทุนการผลิตข้าวนาปี จากการใช้ปุ๋ยเคมีประมาณร้อยละ ๒๐ ของต้นทุนปุ๋ยทั้งหมด โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยตามศักยภาพของชุดดินและผลการวิเคราะห์ดินที่เป็นปัจจุบัน และการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกรณ์ จาติกวณิชย์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายธีระ วงศ์สมุทร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) เป็นที่ปรึกษา โดยมีนายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานกรรมการ และเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นกรรมการและเลขานุการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ และที่เสนอเพิ่มเติมให้เพิ่มนายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการดำเนินโครงการฯ ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินโครงการฯ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในคราวประชุมครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2287 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ และขออนุมัติผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีในการขอใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ | กษ | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายใต้แผนการดำเนินงานโครงการ ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๑) กรอบวงเงินของโครงการรวมทั้งสิ้น ๔,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ กรณีการขอเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อให้กรมชลประทานสามารถเข้าใช้พื้นที่สำหรับการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ ๑.๓ ให้กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาจัดหางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด ๒. งบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอน ตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีมาตรการลดผลกระทบจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีให้เหมาะสมตามสภาพความเป็นจริงและเป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินสำหรับราษฎรที่เข้าไปทำกินในบริเวณหัวงานและอ่างเก็บน้ำที่ต้องอพยพจากพื้นที่ ให้เร่งดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อป้องกันการอ้างสิทธิโดยไม่ได้มีการครอบครองที่ดินและทรัพย์สินอย่างแท้จริง และให้มีการจัดทำข้อตกลงเรื่องค่าชดเชยให้ชัดเจนเพื่อป้องกันการเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มในภายหลัง รวมทั้งดำเนินการตามแผนป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2288 | การออกสลากการกุศลงวดพิเศษ | กค | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สนับสนุนการออกสลากการกุศลงวดพิเศษ จำนวน ๓ หน่วยงาน ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการจัดหารายได้สมทบทุนมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ วงเงินจำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ของมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ๑.๑.๒ โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร วงเงินจำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ของมูลินิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ๑.๑.๓ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วงเงินจำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ)ยามยาก สภากาชาดไทย ๑.๒ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายรางวัลสลากการกุศลงวดพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ ในการจัดจำหน่าย ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพิจารณาแนวทางการจำหน่ายสลากการกุศลในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ๒. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๑ (เรื่อง การออกสลากการกุศลงวดพิเศษ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. หน่วยงานใดที่ได้รับรายได้จากการออกสลากการกุศลงวดพิเศษเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินโครงการใด ๆ แล้ว ไม่ควรเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในโครงการเดียวกันอีก โดยให้แจ้งข้อมูลการได้รับรายได้ดังกล่าวให้สำนักงบประมาณทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาและตรวจสอบความซ้ำซ้อนของการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2289 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ | คค | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ (สัญญาที่ ๑ - ๕) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยมีรองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวงเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ตรวจสอบในประเด็นต่าง ๆ แล้ว และรายงานว่าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ ได้มีการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี และดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนการประกวดราคาสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ๒. รฟม. ได้รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่มีอัตราแข็งขึ้นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ โดยได้ประชุมเจรจากับบริษัทผู้รับจ้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ - ๕) ปรากฏผลว่าผู้รับจ้างของทุกสัญญายืนยันว่าไม่สามารถปรับลดราคาลงได้ อย่างไรก็ตาม รฟม. พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ค่าเงินบาทที่มีอัตราแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ยังไม่มีผลกระทบกับราคาค่าจ้างงานโยธา และหากมีความผันผวนของค่าเงินบาทก็จะมีกลไกการปรับราคาค่าจ้างด้วยดัชนีเพื่อใช้ประกอบการคำนวณหา Escalation Factors (K) สำหรับสัญญาแบบปรับราคาได้ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ ๓. รฟม. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างงานโยธาทั้ง ๕ สัญญา เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และได้มีหนังสือถึงสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ชี้แจงผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ และขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมและค้ำประกันเงินกู้ สำหรับค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2290 | โครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ 3 พ.ศ. 2553 - 2555 ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา 21 ทวิ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง มาตรา ๒๑ ทวิ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรชะลอโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ ๓ ฯ ไว้ก่อน ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสนอและดำเนินการโครงการไปศึกษาทบทวนกระบวนการส่งเสริมการปลูกยางพาราและผลจากการส่งเสริมการปลูกยางพาราระยะที่ ๒ ที่ผ่านมาว่ามีปัญหาในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เกิดปัญหายางตาย และด้านการเจริญเติบโตของต้นยางที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และแนวทางหรือกระบวนการในการช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับปรุงสวนยางให้ได้มาตรฐาน รวมทั้งข้อกำหนดในการบริหารความเสี่ยงในการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นเพื่อป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการ ๑.๓ หากมีการเสนอโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ ๓ ฯ จะต้องเสนอผลการศึกษาทบทวนผลการดำเนินการโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราระยะที่ ๒ และข้อกำหนดในการบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันการทุจริตตามข้อเสนอแนะ ข้อ ๑.๒ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ส่วนความเดือดร้อนเสียหายของเกษตรกรเนื่องจากการตายของต้นยางอันเกิดจากภัยธรรมชาติ ทั้งที่อยู่ในและนอกโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราระยะที่ ๒ รัฐสมควรที่จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายดังกล่าว ให้เป็นมาตรฐานเช่นเดียวกันกับการตายของสวนยางอันเกิดภัยธรรมชาติอื่น ๆ เช่น อุทกภัย เป็นต้น เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรมแก่เกษตรกรผู้ปลูกยางทั่วประเทศ ๑.๔ รัฐควรนำงบประมาณที่จะใช้ในการส่งเสริมการปลูกมาเป็นการศึกษาวิจัยเพื่อแก้ปัญหาสวนยางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควบคู่กับการพัฒนาการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าจะเกิดประโยชน์ต่อเกษตรมากกว่า ๒. การดำเนินโครงการปลูกยางพาราในที่แห่งใหม่ ระยะที่ ๓ ฯ ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ไร่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปได้ แต่ในส่วนของโครงการที่จะเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และปีต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมา และกำหนดแนวทางการดำเนินการให้เหมาะสม โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการให้เหมาะสมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2291 | ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีใช้เงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ตามโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มเกษตรกร | กษ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้จัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืม จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย กำหนดชำระคืนภายใน ๕ ปี เพื่อดำเนินการโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มเกษตรกร และเงินจ่ายขาดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน ๖,๖๖๒,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดรายละเอียดการดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะขั้นตอนการพิจารณาจัดสรรเงินให้แก่กลุ่มเกษตรกรต้องครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและการติดตามเร่งรัดการชำระหนี้ให้ครบถ้วน หากกลุ่มเป้าหมายยังมีหนี้คงค้างชำระโครงการฯ เดิมอยู่ ก็เร่งรัดติดตามให้ชำระหนี้ให้ครบถ้วนก่อนการพิจารณาให้กู้ยืมตามโครงการฯ รวมถึงกำกับการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่าย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2292 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 เรื่อง ขออนุมัติจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และอนุมัติเงินทุนจดทะเบียนในการจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อให้บริการโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และขอรับจัดสรรเงินกู้จำนวน 1,860 ล้านบาท เพื่อมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด | คค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. เห็นชอบการจัดสรรเงินกู้ จำนวน ๑,๘๖๐ ล้านบาท ให้แก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัทฯ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินการโครงการ Airport Rail Link โดยให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นในการกู้เงินแทนบริษัทฯ ทั้งนี้ ให้รัฐบาล (กระทรวงการคลัง) เข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ ตามภาระการชดเชยที่สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการกู้เงินในแต่ละปีทันที ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ส่วนข้อเสนอการแปลงหนี้สินที่มีอยู่กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จำนวน ๗,๐๓๕ ล้านบาท ให้เป็นทุนของบริษัทฯ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ ร.ฟ.ท. และบริษัทฯ ร่วมกันหารือเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการรับภาระการลงทุนของโครงการ Airport Rail Link ทั้งในส่วนโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเดินรถให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนเฉพาะในส่วนโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ Airport Rail Link และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงคมนาคม ร.ฟ.ท. และบริษัทฯ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการให้บริการและให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของพื้นที่ในบริเวณสถานีและการส่งเสริมการขายบัตรโดยสารในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงให้มีข้อตกลงร่วมระหว่างบริษัทฯ ร.ฟ.ท. และกระทรวงการคลัง ในกรณีที่บริษัทฯ มีฐานะการเงินดีขึ้นและมีเงินสดปลายงวดคงเหลือในกิจการเพียงพอ จะต้องนำเงินสดดังกล่าวมาชำระหนี้สินที่มีอยู่ให้แก่ ร.ฟ.ท. และหนี้ที่จะเกิดขึ้นจากการกู้เงินของกระทรวงการคลังในครั้งนี้เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับแผนการใช้ประโยชน์จากขบวนรถ Express Line ไปเสริมขบวนรถ City Line เพื่อให้การบริหารจัดการเดินรถที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้บริษัทฯ หาพันธมิตรร่วมทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า การดำเนินโครงการเกี่ยวกับระบบขนส่งทางรถไฟ ภาครัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น ส่วนการบำรุงรักษา (maintenance) โครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวรวมทั้งระบบรางเป็นความรับผิดชอบของ ร.ฟ.ท. และบริษัทที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||
2293 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการส่งเสริมและสาธิตการลดการใช้พลังงานในอาคารธุรกิจในประเทศไทย | พน | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการส่งเสริมและสาธิตการลดการใช้พลังงานในอาคารธุรกิจในประเทศไทย (Model Project for Reducing Energy Consumption in a Commercial Building in Thailand) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization) หรือ NEDO ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่กระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบในหลักการให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์อุปกรณ์ของโครงการฯ จาก NEDO เมื่อการดำเนินโครงการเสร็จสิ้นลง ทั้งนี้ เมื่อได้รับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวให้แก่โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ (Amari Watergate Bangkok) ต่อไปได้ ๒. สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ของอุปกรณ์ของโครงการให้แก่โรงแรมอมารี วอเตอร์เกทฯ นั้น ให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานนำเรื่องเสนอคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาอนุมัติยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อ ๑๕๗ (๓) เพื่อให้โอนกรรมสิทธิ์ในอุปกรณ์ของโครงการให้แก่โรงแรมอมารี วอเตอร์เกทฯ ได้ ตามข้อ ๑๒ (๒) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ เรื่อง การลงนามบันทึกความเข้าใจของโครงการต้นแบบเตาหลอมประสิทธิภาพสูงที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (The Model Project for An Environmentally Conscious High - Efficiency Arc Furnace) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเก็บรักษาและดูแลอุปกรณ์ในช่วงระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้โรงแรมอมารี วอเตอร์เกทฯ เป็นผู้รับผิดชอบภาระภาษีอากรที่เกิดจากการนำเข้าอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อดำเนินโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2294 | การขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีกระแสไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่องการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เฉพาะการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังและหามาตรการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งควรดำเนินการติดตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในช่วงก่อน ระหว่างภายหลังการดำเนินการวางสายเคเบิลใต้น้ำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยควรประสานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของเกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง ในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ ท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายหลังการพัฒนาโครงการฯ ในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเพื่อให้การดำเนินโครงการอยู่บนฐานของการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2295 | ขออนุมัติงบกลาง ประจำปีงบประมาณ 2554 เพื่อดำเนินการตามปฏิบัติการ "ประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน ระยะที่ 3" ในห้วงเดือนเมษายน - กันยายน 2554 | ยธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามปฏิบัติการ “ประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกัน ระยะที่ ๓” ในห้วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๔ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓ โครงการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในหน่วยงานพหุภาคี จำนวน ๗๕,๙๓๖,๐๐๐ บาท และการก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารเรือนนอนและสิ่งจำเป็นที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมตัวผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน ๙,๔๗๗,๓๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๘๕,๔๑๓,๓๐๐ บาท ๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อเป็นค่าปฏิบัติงานด้านการข่าว จำนวน ๓๐,๓๑๐,๐๐๐ บาท ค่าวัสดุวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ จำนวน ๒,๐๙๒,๕๐๐ บาท และเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำด่านตรวจ/จุดตรวจ จำนวน ๖,๘๐๑,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๙,๒๐๓,๕๐๐ บาท ๑.๓ โครงการอำนวยการประสานงานสกัดกั้นและแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกำลังพลชุดปฏิบัติการของศูนย์อำนวยการประสานงานสกัดกั้นและแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ (ศอ.ปชน.) จำนวน ๑๖,๐๕๘,๙๐๐ บาท ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ส. บูรณาการแผนงาน/โครงการและงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินงบกลาง ตามปฏิบัติการ “ประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกัน ระยะที่ ๓” ให้สำนักงบประมาณทราบทุกเดือนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2296 | การจัดตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี | นร | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานผลการประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ในการจัดตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ ๑,๖๒๕ ตารางเมตร เพื่อเก็บรักษาและอนุรักษ์เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเพื่อการจัดแสดง ส่งเสริม เผยแพร่ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ภารกิจของงานอาลักษณ์ และงานพระราชพิธี โดยขอให้กรมธนารักษ์จัดสรรพื้นที่ของอาคารสำนักบริหารเงินตรา (เดิม) ซึ่งจะทำการปรับปรุงใหม่ จำนวนประมาณ ๒,๐๐๐ ตารางเมตร รวมทั้งงบประมาณในการออกแบบตกแต่ง โดยขอให้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๑๘ เดือน เพื่อจะได้รวบรวมวัตถุและเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อนำไปจัดเก็บและจัดแสดงในพื้นที่ดังกล่าวภายใน ๖ เดือน เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมกับโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินของกรมธนารักษ์ ๑.๒ กรมธนารักษ์รับที่จะดำเนินการจัดหาพื้นที่ประมาณ ๑,๕๐๐ - ๒,๐๐๐ ตารางเมตร ภายในพิพิธภัณฑ์ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน เพื่อทำเป็นหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยจะดำเนินโครงการภายในระยะเวลา ๒ ปี โดยกรมธนารักษ์จะเป็นผู้ออกแบบปรับปรุงอาคารกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้มีความต้องการที่ตรงกันต่อไป ทั้งนี้ ผู้แทนกระทรวงกลาโหมเห็นด้วยและยินดีให้สนับสนุนในด้านกำลังพล ๒. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการจัดตั้งหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ดำเนินการจัดหาพื้นที่ประมาณ ๑,๕๐๐ - ๒,๐๐๐ ตารางเมตร ภายในพิพิธภัณฑ์ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินเพื่อทำเป็นหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินโครงการภายในระยะเวลา ๒๔ เดือน ซึ่งกรมธนารักษ์จะเป็นผู้ออกแบบปรับปรุงอาคาร โดยประสานงานกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้มีความต้องการสอดคล้องตรงกัน ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2297 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สผ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจ ควรดำเนินการประเมินการรายได้ของรัฐบาลให้มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และปรับปรุงเกณฑ์การคำนวณเงินเฟ้อให้สามารถสะท้อนระดับราคาสินค้าและการบริการในตลาดได้อย่างเหมาะสม ๑.๒ รายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ควรมีการตรวจสอบข้อมูลเอกสารประกอบคำขอรับการสนับสนุนงบประมาณอย่างถูกต้องรอบคอบ และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า รวมทั้งดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณให้ถูกต้องตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยไม่สามารถแบ่งการดำเนินโครงการเป็นโครงการย่อยได้ ๑.๓ รายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรจัดสรรงบประมาณให้ อปท. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนผู้สูงอายุและผู้พิการหรือทุพพลภาพให้ได้รับเบี้ยยังชีพอย่างครบถ้วน ๑.๔ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ควรพิจารณาเรื่องการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนครบกำหนดโดยวิเคราะห์ด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เพื่อระมัดระวังมิให้เกิดการขาดทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๒.๑ ปรับลดงบประมาณในร่างมาตรา ๔ ร่างมาตรา ๗ และร่างมาตรา ๑๐ โดยแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดงบประมาณ รวมทั้งได้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้จ่ายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อน ๒.๒ นโยบายและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ควรคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศต่างๆ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การจัดสรรงบประมาณควรดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และกำหนดมาตรการป้องกันมิให้เกิดการทุจริต ๒.๓ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามรายการค่าใช้จ่าย ดังนี้ ๒.๓.๑ รายจ่ายเพื่อการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการร่วมกันในการกำหนดแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓.๒ รายจ่ายเพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้ อปท. เพื่อจัดสรรเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ ควรกำหนดแนวทางและมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินตามโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุและโครงการสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่ผู้พิการหรือทุพพลภาพเพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ๒.๓.๓ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ต้องมีการตรวจสอบเงินที่กระจัดกระจายในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้แทนการกู้เงินต่างประเทศ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2298 | การค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 3 ในปี 2554 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๓ ๒. กำหนดวงเงินค้ำประกันโครงการ PGS ระยะที่ ๓ ไว้ที่ ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท ๓. ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๓ ให้กับ บสย. ไม่เกินร้อยละ ๓.๐ ต่อปีของภาระค้ำประกันเฉลี่ยในปีนั้น หรือไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของภาระค้ำประกันทั้งโครงการโดยคิดเป็นวงเงินไม่เกิน ๒,๒๕๐ ล้านบาท [(๑๕% - ๘.๗๕%)*๓๖,๐๐๐] โดยให้ทบส่วนต่างไปปีถัดไปได้ และให้ บสย. ประสานกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายต่อไป ๔. กรณี บสย. พิจารณาลดค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรกลงต่ำกว่าอัตราปกติ ให้ บสย. รับภาระค่าธรรมเนียมดังกล่าวเอง ทั้งนี้ บสย. ต้องคำนึงถึงฐานะทางการเงินของ บสย. โดยรัฐไม่รับภาระชดเชยในส่วนที่ บสย. พิจารณาลดค่าธรรมเนียมลง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2299 | การประชุมคณะมนตรีขององค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (ครั้งที่ 4) | ทก | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการประชุมคณะมนตรีขององค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia - Pacific Space Cooperation Organization - APSCO) ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔ ณ จังหวัดชลบุรี โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการแบบจ้างเหมาเบ็ดเสร็จจากนานาประเทศของโครงการ APSCO Applied High Resolution Satellite System ซึ่งเป็นกิจกรรมทางเลือก และจะเปิดโอกาสให้รัฐสมาชิกองค์การ APSCO มีส่วนร่วมลงทุนและการแบ่งปันเทคโนโลยีก่อนเปิดโอกาสให้รัฐอื่น ๆ แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ ต่อไป และเห็นชอบรายการศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินโครงการ APOSOS ในระยะแรกในฐานะกิจกรรมหลักขององค์การ APSCO โดยเห็นควรปรับเปลี่ยนชื่อโครงการใหม่เป็น Asia Pacific Ground Based Optical Space Objects Observation System (APOSOS) ๒. เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนากิจกรรมด้านอวกาศขององค์การ APSCO และเห็นควรให้มีการปรับเปลี่ยนแผนงานให้เหมาะสมกับช่วงเวลาและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และให้มีการพิจารณาทบทวนอย่างน้อยทุก ๆ ๒ ปี ๓. เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาการศึกษาและฝึกอบรมขององค์การ APSCO โดยปรับปรุงแผนพัฒนาดังกล่าวให้เหมาะสมและนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในคราวต่อไป ๔. เห็นชอบแนวทางการแต่งตั้งคณะกรรมการประมูลโครงการ APSCO Data Sharing Platform การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาทบทวนสัดส่วนค่าบำรุงสมาชิก และจัดตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยจากรัฐสมาชิกเพื่อจัดทำกรอบการดำเนินงานของโครงการดาวเทียมเพื่อการสื่อสารและโครงการดาวเทียมขนาดเล็ก รวมทั้งเห็นชอบให้จัดการประชุมคณะมนตรีองค์การ APSCO ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ ณ สำนักงานใหญ่องค์การ APSCO กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2300 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 2/2554 | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กพบ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กพบ. เสนอ โดยผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กพบ. มี ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๓ (นครพนม - คำม่วน) ซึ่งมีผลงานการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ ๘๑.๕๙ เร็วกว่าแผนงานร้อยละ ๑๐.๐๒ และความก้าวหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๔ (เชียงของ - ห้วยทราย) ซึ่งมีความก้าวหน้าของงานร้อยละ ๘.๕๓ เร็วกว่าแผนงานการก่อสร้างเล็กน้อย รวมทั้งความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมในฝั่งไทยเพื่อรองรับการเปิดสะพานมิตรภาพฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ติดตาม และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปิดใช้สะพานได้ตามกำหนดเวลา พร้อมรับความเห็นของคณะกรรมการ กพบ. เกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สะพานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน และการหารือเพื่อกำหนดการเก็บค่าธรรมเนียมในการใช้สะพาน และการจัดสรรตอบแทน (ค่าธรรมเนียม) ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาเส้นทางเชื่อมโยงบ้านภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) - เมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว ซึ่งมีขั้นตอนการศึกษา ๒ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่ การศึกษาด้านวิศวกรรม การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ของโครงการ การศึกษาด้านผลกระทบทางสังคม และการศึกษาความคุ้มค่าต่อการลงทุน ขณะนี้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และระยะที่ ๒ การสำรวจและออกแบบรายละเอียด ซึ่งเริ่มในวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และกำหนดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๑๕๐ วัน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในส่วนของไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ซึ่งสหภาพพม่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุมัติการให้เป็นไปตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (เป็นกฎหมายแยกต่างหากเฉพาะเรื่องผ่านแดนของ GMS) และร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถให้สัตยาบันเอกสารที่ยังค้างอยู่อีก ๖ ฉบับ เพิ่มเติมได้ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ ๔ รวมทั้งผลักดันกระบวนการภายในประเทศและประสานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ไทยสามารถลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยนำร่องการอำนวยความสะดวกการข้ามพรมแดนของคนและสินค้าระหว่างไทย - ลาว - จีน ณ ด่านเชียงของ - ห้วยทราย และด้านบ่อเต้น - โมฮั่น ร่วมกันภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรระหว่างไทย - กัมพูชาได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ไทยสามารถลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระบบโครงข่ายทางด่วนสารสนเทศและข้อมูลข่าวสารร่วมกับประเทศสมาชิกได้ในการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านโทรคมนาคม ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ๔. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการการตรวจลงตราเดียวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เป็นไปได้ระหว่าง ๔ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนก่อน ได้แก่ ไทย - จีนตอนใต้ - พม่า - ลาว และให้ใช้ต้นแบบของไทย - กัมพูชา ที่ดำเนินการนำร่องการตรวจลงนามเดียวในกรอบ ACMECS และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการ กพบ. พร้อมทั้งผลักดันให้บรรจุเรื่องการตรวจลงตราเดียวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเป็นวาระการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ๕. ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินงานในส่วนของไทยตามผลการประชุมเพื่อขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำแผนงาน IMT - GT ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๐ - ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของผู้นำแผนงาน IMT - GT ทั้งในด้านการจัดประชุมคณะทำงานและการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรายงานต่อที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT - GT ในโอกาสการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๘ ที่อินโดนีเซีย ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานและติดตามความก้าวหน้าเสนอคณะกรรมการ กพบ. และให้จัดประชุมระดมความเห็นของฝ่ายไทยกับภาคีที่เกี่ยวข้องในการปรับรูปแบบการดำเนินงานแผนงานโดยพิจารณาจากข้อเสนอตามผลการประชุมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อหาข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๑๘ ก่อนเสนอที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ ที่อินโดนีเซียต่อไป รวมทั้งเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำร่างกรอบความร่วมมือระหว่าง IMT - GT กับรัฐบาลญี่ปุ่น และระหว่าง IMT - GT กับ ERIA แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ กพบ.
|
.....