ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 120 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2381 - 2400 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2381 | รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ตามมติคณะรัฐมนตรี (เมษายน - มิถุนายน 2553) | กษ | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและ
รับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ครั้งที่ ๒ ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๓ โดยเป็นข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ ๑. สถานการณ์การส่งออกสินค้าประมงไปยังสหภาพยุโรปและการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาทู น่าจากต่างประเทศเพื่อแปรรูปส่งออกสหภาพยุโรป ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๓ เทียบกับช่วงเดียวกัน ของปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ มีปริมาณการส่งออกคงที่ปกติ (ปริมาณการส่งออก จำนวน ๑๒๑,๔๖๑ ตัน มูล ค่า ๑๖,๑๒๗.๗๔ ล้านบาท) ส่วนการนำเข้าปลาทูน่าในภาพรวมจากต่างประเทศมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยสรุปกฎ ระเบียบ IUU ยังไม่มีผลกระทบต่อการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประมงของไทยไปยังสหภาพยุโรป ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ ๒.๑ สัตว์น้ำจากเรือประมงหลายลำไม่สามารถส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้เนื่องจากเรือประมงเหล่า นั้นยังไม่จดทะเบียนเรือและอาชญาบัตรทำการประมงให้ถูกต้อง ๒.๒ ผู้ประกอบการแพปลา ชาวประมงบางส่วนยังกรอกเอกสารสมุดบันทึกการทำประมงและหนังสือ กำกับการซื้อขายสัตว์น้ำไม่ถูกต้อง และส่วนใหญ่เกรงเรื่องภาษีทำให้ข้อมูลที่หน่วยงานบริการออกใบรับรองการจับ สัตว์น้ำได้รับไม่ครบถ้วน ๒.๓ ปัญหาผู้ส่งออกวัตถุดิบให้ไทยบางประเทศยังไม่มีความพร้อมในการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ ให้ผู้นำเข้าของไทย และผู้ส่งออกบางประเทศกำหนดแนวทางปฏิบัติตามที่ตนต้องการ เช่น ไม่ให้ต้นฉบับใบรับรอง การจับสัตว์น้ำแก่ผู้นำเข้าและไม่รับรองสำเนาให้ด้วย ๒.๔ ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่ส่งออกวัตถุดิบปลาทูน่าให้แก่ผู้ประกอบการของไทยบางประเทศไม่มีหน่วย งาน Competent Authority จึงไม่สามารถออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำให้ไทยได้
|
||||||||||||||||||||||||
2382 | สรุปผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ครั้งที่ 8 และการเยือนสหภาพพม่า | นร | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ครั้งที่ ๘ ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ ๓-๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ และการเยือนสหภาพพม่า เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เพื่อพบปะหารือเรื่องสำคัญ ๆ กับผู้นำหลายประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อเสนอของประเทศสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) และพำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน ๓๐ วัน ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับประเด็นข้อหารือกับผู้นำประเทศกัมพูชาเกี่ยวกับการพิจารณาปรับลดกำลังทหารบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย เพื่อเร่งสำรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับประเด็นข้อหารือกับผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เกี่ยวกับการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงในพื้นที่ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ ๒ (ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินโครงการฯ เป็นการสร้างสะพานเพื่อรองรับส่วนต่อขยาย ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการเจรจากับสหภาพพม่า เกี่ยวกับการปิดด่านแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดด่านโดยเร็ว รวมทั้งกรณีที่สหภาพพม่าห้ามนำเข้าสินค้าจากไทยกว่า ๕๐ รายการ ซึ่งรัฐบาลสหภาพพม่าแจ้งว่ามีนโยบายที่จะผ่อนผันในเรื่องดังกล่าวแล้ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการเจรจากับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับนโยบายกีดกันสินค้านำเข้าจากไทย เช่น ไก่แช่แข็ง เนื้อไก่สด เป็นต้น โดยให้รวมถึงการขยายระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2383 | ขออนุมัติใช้เงินกู้ SAL เพื่อสนับสนุนโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) และโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) วงเงินรวม ๑๓๐ ล้าน
บาท เพื่อสนับสนุนโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) และโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานตามข้อตกลง ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินโครงการที่ต้องมีการ จ้างบริษัทที่ปรึกษา ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้เหมาะ สมและมีความโปร่งใสเพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||
2384 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์) | พณ | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปจัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินงาน แผนการใช้จ่ายเงินและแหล่งเงินงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2385 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ | กค | 05/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบและเพิ่มศักยภาพการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รวม ๒ ข้อ ดังนี้
๑. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน จากเดิม “ให้ลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงจากร้อยละ ๒.๐๐-๒.๗๕ ลงเหลือประมาณร้อยละ ๑.๗๕ ของวงเงินค้ำประกันในระยะแรก และจะมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยจะคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงินที่ใช้บริการ” เป็น “ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้า และคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงิน” ๒. เกณฑ์การจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิม “ปรับปรุงเกณฑ์การชดเชยความเสียหายให้รวดเร็วขึ้นจากที่จะต้องจ่ายเมื่อคดีถึงที่สุด และมีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันครบถ้วนแล้ว เป็นจ่ายเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้” เป็น “จ่ายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เฉพาะการค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้การค้ำประกันสินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยให้ ธ.ก.ส. และ บสย. ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางและขั้นตอนของการจ่ายค่าประกันชดเชยต่อไป”
|
||||||||||||||||||||||||
2386 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ) และให้หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ยังไม่ได้รวบรวมหรือรายงานวงเงินเหลือจ่ายไม่ครบถ้วนเร่งดำเนินการแจ้งวงเงินเหลือจ่าย มาที่กรมบัญชีกลางโดยด่วน 2. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 17 โครงการ วงเงิน รวม 5,621.24 ล้านบาท รวมทั้งการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ เงินฯ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจและกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินฯ วงเงิน 5,743.24 ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ ระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยว ข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย 3. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 4. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยโครงการ Creative Green Park ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี วงเงิน 76.8085 ล้านบาท โครงการของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม วงเงิน 710.35 ล้านบาท และโครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน วงเงิน 85.76 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ไม่สามารถดำเนินการ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2553 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นสมควรผ่อนผันให้แล้ว เสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 5. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ซึ่งมีหน่วยงานที่ขอ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยให้หน่วยงานดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ
|
||||||||||||||||||||||||
2387 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 เรื่อง โครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 | ทก | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ.ทีโอที) ทบทวนแผนธุรกิจโครงการสร้างโครงข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 และเปลี่ยนแปลงวิธีการประกวดราคาสากลเป็นวิธีการประกวดราคาทั่วไป ภายในประเทศ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2553 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสา รเร่งรัดติดตามให้ บมจ.ทีโอที จัดทำแผน บริหารความเสี่ยงให้ชัดเจน เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและติดตามประเด็นปัญหาที่ อาจจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต 2. ให้ บมจ.ทีโอที รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพิจารณาข้อเสนอเพื่อจูงใจให้เอกชนมา ใช้บริการโครงข่ายของ บมจ.ทีโอที แทนที่เอกชนจะลงทุนเอง การกำหนดแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการหาพันธมิตร ทางธุรกิจหรือผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนเครือข่ายเสมือน (Mobile Virtual Network Operator : MVNO) มาใช้ โครงข่ายได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการคำนึงถึงนโยบายการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะระบบ สื่อสัญญาณประเภทโครงข่าย Fiber Optic ที่สามารถใช้ร่วมกับรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ได้ เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนของ รัฐวิสาหกิจ และการสร้างโครงข่ายให้ทันกับการเปิดให้บริการของผู้ได้รับใบอนุญาตของคณะกรรมการกิจการโทร คมนาคมแห่งชาติ (กทช.) สำหรับแหล่งเงินทุนของโครงการ ควรพิจารณาจัดหาแหล่งเงินลงทุนในรูปของเงินกู้ระยะ ยาวเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินโครงการ และอัตราผลตอบแทนทางการเงินของโครงการโดยกระทรวง การคลังจะไม่ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว เนื่องจาก บมจ.ทีโอที เป็นรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินกิจการด้านบริการสื่อสารโทร คมนาคมแบบครบวงจรตอบสนองความต้องการครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและการลงทุนโครงการส่วนใหญ่มุ่งหวัง ผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ บมจ. ทีโอที เร่งปรับโครงสร้างองค์กร จัดเตรียมความพร้อมของบุคลากร รวมทั้งพิจารณารูปแบบการบริหารจัดการโครง ข่ายให้มีประสิทธิภาพรวมทั้งเน้นการใช้ประโยชน์และสร้างรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและสิ่งอำนวยความ สะดวกด้านโทรคมนาคมที่มีอยู่ ตลอดจนลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการ แข่งขันซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ บมจ.ทีโอที สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะต่อไป และช่วยลดการลงทุนซ้ำซ้อนในโครงข่าย 3G ในภาพรวมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2388 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 8/2553 | นร | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผล
การประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 8/2553 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2553 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรเงินกู้ ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และการประเมินผลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 สาขาการศึกษา และมีมติดังนี้ 1. กระทรวงการคลังควรพิจารณาความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินกู้ในส่วนวงเงินเหลือจ่ายอย่างรอบคอบ เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัวสู่สภาวะปกติแล้ว จึงควรใช้เงินเหลือจ่ายในการลงทุนโครงการที่มี ความจำเป็นเร่งด่วนต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงเท่านั้น และอาจพิจารณาใช้งบประมาณแผ่นดินสำหรับ โครงการทั่วไปที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนมากนัก รวมทั้งควรกำหนดขอบเขตเวลาที่ส่วนราชการจะสามารถขอขยาย เวลาในการลงนามสัญญา หรือเสนอโครงการเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ มีกรอบ ระยะเวลาที่ชัดเจน 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในประเด็น ดังนี้ 2.1 พิจารณากำหนดแนวทางดำเนินโครงการและเตรียมจัดหาแหล่งเงินรองรับการดำเนินการภาย หลังจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 สิ้นสุดลง เพื่อให้การดำเนินโครงการในการยกระดับมาตรฐานการ ศึกษามีความต่อเนื่องและยั่งยืน 2.2 พิจารณากำหนดแนวทางการสร้างความร่วมมือในการยกระดับมาตรฐานการศึกษาร่วมกับชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพมีส่วนร่วมในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในชุมชน ซึ่งจะทำให้การยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษามีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
2389 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 5 และครั้งที่ 6 | ศธ | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนากำลังด้าน
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 5 และครั้งที่ 6 สรุปได้ดังนี้ 1. รายงานครั้งที่ 5 (พฤษภาคม-พฤศจิกายน 2552) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้พิจารณาจัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะ เวลาที่ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ (โดยเฉพาะทุนการศึกษาในต่างประเทศที่จะต้องได้ผู้ผ่านการคัดเลือกให้ทัน การสมัครเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ) ได้ดำเนินการพิจารณาทุนพัฒนาศักยภาพในการทำงานวิจัย ของนิสิต นักศึกษา ระดับปริญญาโท-เอก จำนวน 50 ทุน และได้จัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการพัฒนากำลังคน ด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) และมอบให้มหา วิทยาลัยศิลปากรรับเป็นหน่วยดำเนินการ รวมทั้งได้ดำเนินการเพื่อจัดสอบแข่งขันเข้ารับทุนโครงการฯ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นทุนระดับปริญญาตรีในประเทศ จำนวน 16 ทุน มีผู้สนใจสมัคร จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 75 และมีผู้สอบได้ จำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 68.75 แต่มีผู้ทำสัญญารับทุน 8 คน (เนื่องจาก สละสิทธิ์ 2 คน และตกทุน 1 คน) คิดเป็นร้อยละ 50 สำหรับงบประมาณที่ใช้จ่ายในการดำเนินการ จำนวน 10,000,000 บาท 2. รายงานครั้งที่ 6 (พฤศจิกายน 2552-พฤษภาคม 2553) สกอ. ได้ดำเนินการประกาศสอบแข่งขัน เข้ารับทุนโครงการฯ ประจำปีการศึกษา 2553 ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน-9 ธันวาคม 2552 มีผู้สมัครสอบแข่ง ขันทั้งหมด 815 คน โดยมีผู้สอบผ่านเพื่อเข้ารับทุนโครงการฯ จำนวน 85 คน และสำรอง 5 คน โดย สกอ. ได้รับ รายงานตัวนักเรียนทุนโครงการฯ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2553 มีผู้ไม่มารายงานตัว 2 คน [สาขาวิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา (วิชาเอก/เน้นทางโลกาภิวัตน์และนโยบายสังคม) และสาขาวิชาปรัชญาและศาสนา (วิชาเอก/ เน้นทางอินเดีย)] จึงถือว่าสละสิทธิ์เป็นผู้รับทุน และได้เรียกสำรองมารายงานตัว 1 คน [สาขาวิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา (วิชาเอก/เน้นทางโลกาภิวัตน์และนโยบายสังคม)] และมีผู้สละสิทธิ์เพิ่มอีก 1 คน เนื่องจาก ปัญหาการโอนไปสถาบันต้นสังคม (สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์) คงเหลือผู้รับทุนจริง 83 คน และสำรอง 4 คน สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จำนวน 169,345,112.50 บาท
|
||||||||||||||||||||||||
2390 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติม) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการสาขาการลงทุนในระดับชุมชนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 วง เงินรวม 302.9704 ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการ คลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ให้แก่โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครง การภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ วงเงิน 302.9704 ล้านบาท ทั้งนี้ กรณีโครง การใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย 2. อนุมัติการดำเนินโครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ของกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 35.3561 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางและไฟฟ้าส่องสว่าง ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน 21.9970 ล้านบาท ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติจัดสรร เงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ สำหรับโครงการซ่อมแซมเรือนแถวชั้นประทวน ของกอง ทัพบก กระทรวงกลาโหม วงเงิน 400 ล้านบาท โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 35.3561 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทาง และไฟฟ้าส่องสว่าง ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน 21.9970 ล้านบาท ทั้งนี้ กรณีโครงการใด เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้น ตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนธันวาคม 2553 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ ให้การจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นสมควรผ่อนผันให้แล้วเสร็จในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 3. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หาก หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำ มารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 4. อนุมัติแนวทางการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ตามทาง เลือกที่ 1 การดำเนินโครงการโดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ ทั้งจำนวน เป็นลำดับ แรก และพิจารณาทางเลือกที่ 2 การดำเนินโครงการโดยใช้วงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการ คลังฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2555 และขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2556-2557 หรือทางเลือกที่ 3 การดำเนินโครงการในรูปแบบ PPPs เป็นลำดับถัดมา 5. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยกระทรวง มหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดเชียงรายและ จังหวัดฉะเชิงเทรา) และกระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) โดยให้หน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้ สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จ ภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบ ประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามใน สัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 6. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการขอโอนเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
2391 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา | ศธ | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการนำเรื่อง ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติ
การไทยเข้มแข้ง 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครง การภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานเพื่อพิจารณาตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2392 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 17 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย | นร | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2553 และการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ 7 ของแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2553 สรุปได้ดังนี้ 1.1 ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 17 ที่ประชุมฯ ได้ติดตามการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การทบทวนกลางรอบแผนที่นำทางปี 2550-2554 ซึ่งได้เสนอการปรับยุทธศาสตร์ความร่วมมือรายสาขา และได้คัดเลือก จัดลำดับความสำคัญและแผนการดำเนินโครงการใน 6 สาขาความร่วมมือ ประกอบด้วย โครงสร้างพื้นฐาน การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และสิ่งแวดล้อม ที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. 2553-2554 จำนวน 12 แผนงาน (Flagship Programmes) พร้อมทั้งโครงการสำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งรัดการเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT จำนวน 10 โครงการ โดยมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือไทยด้านฝั่งทะเลอันดามัน และโครงการพัฒนาทางพิเศษสะเดา-หาดใหญ่ รวมทั้งการปรับปรุงเสริมสร้างกระบวนการและองค์กรในกรอบ IMT-GT ซึ่ง ADB และ IMT-GT Eminent Persons ได้ยกร่างขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญระดับสูงกับประเด็นความร่วมมือระหว่าง IMT-GT และญี่ปุ่นในด้านความมั่นคงด้านอาหารและการเกษตรที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนรับทราบความเห็นของผู้แทนสำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEC) ต่อโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนา CIQ และอื่น ๆ ในกรอบการทบทวนกลางรอบพร้อมทั้งโครงการเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจในกรอบ IMT-GT ว่าจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตามวิสัยทัศน์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2015 และเป็นโอกาสในการเปิดกว้างสู่ตลาดและการบูรณาการระบบเศรษฐกิจภูมิภาค 1.2 ผลการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ครั้งที่ 7 ที่ประชุมฯ ได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการที่สำคัญใน 9 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT (2) การพัฒนาโครงข่ายการค้าชายฝั่ง IMT-GT (3) การพัฒนาธุรกิจที่บูเก๊ะตา จังหวัดนราธิวาส-บูติกบุหงา รัฐกลันตัน (4) การจัดตั้ง IMT-GT Plaza เพิ่มเติมที่พอร์ทกลางและมะละกา (5) การปรับลดกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุนบริเวณชายแดน โดยสามประเทศร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้าน CIQ (6) การจัดทำคู่มือธุรกิจ IMT-GT (7) การจัดงานแสดงสินค้า (Trade Fair) ที่หาดใหญ่ เมดาน ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ด่านนอก/สะเดา ปัตตานี (8) การพัฒนาท่าอากาศยานเป็นประตูการค้าที่มะละกา และ (9) การเพิ่มการบินเชื่อมโยงในพื้นที่ในเส้นทางภูเก็ต-มะละกา กับประเด็นที่ที่ประชุมฯ รับทราบข้อเสนอจากสภาธุรกิจ IMT-GT ให้จัดตั้งคณะทำงานพิเศษ (Special Working Committee) ในระดับรัฐ/จังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการในพื้นที่กับการจัดตั้งศูนย์ IMT-GT เพื่อสนับสนุนและกลั่นกรองแผนงานในระดับรัฐ/จังหวัด 2. มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2393 | การจัดตั้งศูนย์ดาราศาสตร์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสพระชนมายุ 84 พรรษา | ศธ | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการโครงการศูนย์ดาราศาสตร์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ โดยกระจายความรู้ในเรื่องดังกล่าวไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าไปในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนของประเทศหันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญของการศึกษาทางด้านดาราศาสตร์และอวกาศเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายสร้างศูนย์ดาราศาสตร์ ฯ จำนวน 1 แห่ง ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมในเวลากลางคืน การเลือกสถานที่ตั้งต้องคำนึงถึงมลภาวะทางแสงและสภาพทางอุตุนิยมวิทยาด้วย รวมทั้งพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางเพื่อเป็นวิทยากรบรรยาย ฝึกอบรม หรือจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ ส่วนกล้องโทรทรรศน์และอุปกรณ์รับสัญญาณสำหรับหอดูดาว ควรใช้อุปกรณ์ที่มีขีดความสามารถในการวิจัยขั้นพื้นฐานได้ด้วย ไปพิจารณา ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2394 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2554 | นร | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ เห็นชอบ และเห็นชอบในหลักการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบงบประมาณทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ ประมาณ 72,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2553 ร้อยละ 5 โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ 223,391 ล้านบาท และรับทราบแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่ คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม 274,782 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 91,594 ล้านบาท และการ เบิกจ่ายลงทุนรวม 928,209 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 309,403 ล้านบาท 1.2 เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงินดำเนินการ จำนวน 554,994 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 322,612 ล้านบาท 1.3 ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแยะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณา ดำเนินกา ร รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ 5 ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความ ก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและ การลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง 1.4 เห็นชอบในหลักการให้ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ให้สอด คล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และ การอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี 2. มอบหมายให้กระทรวงการคลั ง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และส่วนราชการ ต่าง ๆ ที่มีรัฐวิสาหกิจในสังกัดรับไปพิจารณา เพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศและของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถรักษาประโยชน์และการให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างเหมาะสม เป็นธรรม โดยไม่มุ่งแสวงหาผล กำไรจนเกินควร รวมทั้งไม่ประกอบการใด ๆ อันอาจขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติให้รัฐ ต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับภาคเอกชน เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษา ความมั่นคงของรัฐ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการจัดให้มีสาธารณูปโภค 3. มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปประสานสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อ เร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... .ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 2 มีนาคม 2553 [เรื่อง ขอถอนร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ให้แล้วเสร็จ โดยเร็วเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2395 | ขอความเห็นชอบโครงการเร่งเสริมความยั่งยืนของระบบการจัดการพื้นที่คุ้มครอง (Catalyzing Sustainability of Thailand's Protected Areas System : CATSPA) | ทส | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบโครงการเร่งเสริมความยั่งยืนของระบบการจัดการพื้นที่คุ้มครอง (Catalyzing Sustainability of Thailand''s Protected Areas System : CATSPA) ซึ่งได้มีการคัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อดำเนินการ จำนวน 5 พื้น ที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานแห่ง ชาติคลองลาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชลงนามเข้าร่วมโครงการฯ ร่วมกับผู้แทน UNDP (United Nations Development Programme) ประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบ ประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า ในการดำเนินงานตาม โครงการฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะต้องสนับสนุนงบประมาณที่ไม่อยู่ในรูปของเงินสด เป็น ระยะเวลา 4 ปี มูลค่า 14.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการสนับสนุนในรูปบุคลากรที่ได้รับงบประมาณปกติเพื่อ ร่วมปฏิบัติงานในโครงการ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อประสิทธิผลการปฏิบัติภารกิจปกติของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอาจมีผลให้ต้องจ้างบุคลากรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว และในการกำหนดพื้นที่โครง การศึกษา 5 พื้นที่นำร่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการบริหารจัด การอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมรดกโลกอยู่แล้วจึงควรพิจารณาพื้นที่คุ้มครองหรืออุทยานแห่งชาติแห่งอื่นที่เปิด ให้มีการเข้าใช้ประโยชน์อยู่แล้วแต่ยังมีปัญหาด้านการบริหารจัดการเช่นเดียวกับพื้นที่นำร่อง เพื่อให้โครงการฯ มี ส่วนในการขจัดอุปสรรคและผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ พื้นที่อนุรักษ์ของประเทศอย่างมีรูปธรรม นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของ Agreemen between the UN Special Fund and the Government of Thailand Concerning Assistance from the Special Fund อย่างเคร่งครัด โดยโครงการฯ ต้องดูแลความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมและ ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ดำเนินงานให้เป็นไปอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2396 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมความร่วมมือแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 10 | กต | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรี (Council of Ministers) สมาคมความร่วมมือแห่งมหาสมุทรอิน เดีย ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-5 สิงหาคม 2553 ณ กรุงซานา ประเทศ เยเมน โดยมีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะ ผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ สรุปผลการประชุมฯ ได้ดังนี้ 1.1 ที่ประชุมฯ ได้รับรอง (adopt) กฎบัตรฉบับแก้ไขของ IOR-ARC (Charter of IOR-ARC) และเอก สารภาคผนวก 3 ฉบับ ได้แก่ กฎว่าด้วยขั้นตอนการดำเนินงาน (Rules of Procedure) ระเบียบปฏิบัติสำหรับเจ้า หน้าที่สำนักเลขาธิการ (Staff Regulations for the Secretariat) และระเบียบปฏิบัติด้านการเงินของ IOR-ARC (Financial Regulations for IOR-ARC) โดยเอกสารดังกล่าวมีสาระเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กร หลักการและวัตถุ ประสงค์ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารองค์กร เพื่อปฏิรูปการดำเนินงานให้มีผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมาก ขึ้น โดยประเทศสมาชิกเห็นชอบให้คงสถานะของคณะทำงานที่มีอยู่ทั้ง 3 คณะ ได้แก่ คณะทำงานด้านวิชาการ (IOR Academic Group หรือ IORAG) เวทีภาคธุรกิจ (IOR Business Forum หรือ IORBF) และคณะทำงานด้านการ ค้าและการลงทุน (Working Group on Trade and Investment หรือ WGTI) เป็นกลไกภายใต้ IOR-ARC ต่อไป นอก จากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของไทยที่ให้ตัดข้อบทเรื่อง Rights and Obligations ออกจากกฎบัตรฉบับแก้ ไขเนื่องจากเป็นข้อบทที่มักปรากฏในสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมายและมีการปรับถ้อยคำเพื่อไม่ให้ร่างกฎ บัตรมีลักษณะเป็นเอกสารความตกลง ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของไทยที่ต้องการให้กฎบัตรฉบับแก้ไขเป็นเอก สารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองโดยไม่สร้างเงื่อนไขผูกพันทางกฎหมาย 1.2 ที่ประชุมฯ ได้ทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการของ Flagship Projects 3 โครงการ ได้แก่ 1.2.1 Fisheries Support Unit (FSU) เป็นโครงการความร่วมมือภายใต้คณะทำงานการค้าและ การลงทุน โดยโอมานยืนยันที่จะให้การสนับสนุนงบประมาณในส่วนที่เป็น operational budget รวมทั้งขอให้ ประเทศสมาชิกพิจารณาสนับสนุนงบประมาณหากศูนย์ FSU จะมีการดำเนินโครงการสำคัญในอนาคต 1.2.2 Maritime Transport Council (MTC) เป็นโครงการความร่วมมือภายใต้เวทีภาคธุรกิจ โดย ที่ประชุมฯ เห็นชอบร่างเอกสารจัดตั้ง MTC ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการเดินเรือของประเทศ สมาชิกซึ่งครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านปฏิบัติการการค้นหาและการให้ความช่วยเหลือ (search and rescue) การควบคุมมลพิษทางทะเล การรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และการอำนวยความสะดวกการบริการโลจิส ติกส์และการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ เป็นต้น 1.2.3 Regional Centre for Science and Transfer of Technology (RCSTT) เป็นโครงการความ ร่วมมือภายใต้คณะทำงานด้านวิชาการ โดยที่ประชุมฯ ได้ทบทวนความคืบหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ รวม ถึงแผนงานในอนาคต ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และได้ให้ความ เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจ และ Draft Statute โดยเสนอให้มีการทบทวนร่างบันทึกความเข้าใจทุก ๆ 5 ปี 1.3 ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการที่จะให้มีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (Committee of Senior Officials) เพิ่มเป็น 2 ครั้งต่อปี และในกรณีจำเป็นอาจเสนอให้จัดการประชุมสภารัฐมนตรีในระหว่างการประชุม สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก เพิ่มเติมจากการประชุมสภารัฐมนตรีตามปกติที่จัดขึ้นทุกปี เพื่อติด ตามความคืบหน้าในการดำเนินโครงการความร่วมมือได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1.4 ที่ประชุมฯ เสนอให้สำนักเลขาธิการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการสมัครเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์ ของ IOR-ARC ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ 1.5 ที่ประชุมฯ เห็นชอบต่อแถลงการณ์ซานา (Sana’a Communique) ซึ่งมีลักษณะเป็นเอกสารแสดง เจตนารมณ์ทางการเมือง (Political Statement) เช่นเดียวกับเอกสารผลการประชุมครั้งที่ผ่านมา 2. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งผู้ประสานงาน (Focal Point) ในคณะทำงานด้านต่าง ๆ ได้แก่ คณะทำงานด้านวิชาการ (กระทรวงศึกษาธิการ) เวทีภาคธุรกิจ (คณะกรรมการร่ว ม 3 สถาบันเอกชน) และคณะ ทำงานด้านการค้าและการลงทุน (กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
|
||||||||||||||||||||||||
2397 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) และโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับ
ปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) และโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือ พัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการ เงินกับ สปป.ลาว วงเงินรวม 655 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน 2 โครงการ ดังนี้ 1. โครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) วงเงินให้ความช่วยเหลือ 405 ล้านบาท โ ดยแยกสัญญาฯ ออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาฯ สำหรับการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) วงเงิน 205 ล้านบาท และสัญญาฯ สำหรับค่าปรับปรุงราคาวัสดุก่อสร้าง (Price Adjustment) วงเงิน 200 ล้านบาท เนื่องจากเงื่นอไขทางการเงิน ของทั้ง 2 สัญญา มีอายุสัญญาและระยะเวลาปลอดหนี้ที่แตกต่างกัน 2. โครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ วงเงินให้ความช่วยเหลือ 250 ล้านบาท โดย สพพ. ได้กำหนดขอบเขตของงานก่อสร้าง จำนวน 5 รายการ ได้แก่ 2.1 ปรับปรุงผิวถนน T2 ช่วงที่ 1 ก่อสร้างทางเท้าและท่อระบายน้ำระยะทาง 3.2 กิโลเมตร 2.2 ปรับปรุงผิวถนน T2 ช่วงที่ 2 ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร 2.3 ก่อสร้างถนน T2 ช่วงที่ 3 ระยะทาง 300 เมตร โดยเป็นถนน 4 ช่องจราจรพร้อมทางเท้าและท่อ ระบายน้ำ 2.4 ปรับปรุงร่องระบายน้ำคลองทุ่งสร้างนาง 2.5 ปรับปรุงบึงหนองด้วงและร่องระบายน้ำคลองหนองด้วง
|
||||||||||||||||||||||||
2398 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย | นร | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
1. กรณีการแต่งตั้งนายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ซึ่งระหว่างที่เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเพื่อให้ข้าราชการดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งเดิม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ ได้มีผู้ถวายฎีกาคัดค้านการแต่งตั้งข้าราชการในครั้งนี้ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำคำชี้แจงตามประเด็นต่าง ๆ ในฎีกา และกระทรวงมหาดไทยก็ได้ดำเนินการแล้ว 2. กรณีการดำเนินโครงการจัดทำระบบให้บริการประชาชนทางด้านการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งอธิบดีกรมการปกครองได้ดำเนินการจัดทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างโครงการดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 และชี้แจงว่าได้ดำเนินการจัดทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างไปโดยไม่ทราบว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือทักท้วง ขณะนี้เรื่องอยู่ที่กระทรวงมหาดไทยแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำคำชี้แจงของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งอาจมีผลกระทบเกี่ยวข้องกับอธิบดีกรมการปกครองโดยตรง จึงเป็นการสมควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและความถูกต้องของการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แจ้งข้อทักท้วงไว้ โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน 3. สำหรับการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกับสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอรับเรื่องคืน และให้ชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะทราบผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
2399 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 3/2553 | นร | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รชต. เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ รชต. มีมติในเรื่อง ต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีผล การเบิกจ่ายอยู่ในเกณฑ์ต่ำเร่งรัดดำเนินโครงการและรายงานผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำเสนอประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้น ที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (อชต.) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน 1.2 อนุมัติโครงการพัฒนาอาชีพตามผลประชาคม 696 หมู่บ้าน เพิ่มเติม จำนวน 7 โครงการ วงเงิน 41.99 ล้านบาท โดยใช้เงินเหลือจ่ายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากโครงการตามแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2553 ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 1.3 อนุมัติโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในพื้นที่ 26 หมู่บ้านของจังหวัดสตูล รวม 4 โครงการย่อย ว งเงิน 17.00 ล้านบาท โดยใช้เงินเหลือจ่ายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากโครงการตามแผนการพัฒนาฯ 1.4 อนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินการตามผลการประชาคมหมู่บ้านปี 2554 ของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรร วงเงิน 2,394.00 ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำความตกลงกับ สำนักงบประมาณเพื่อปรับลดความซ้ำซ้อน ปรับต้นทุนค่าก่อสร้างให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของสำนักงบ ประมาณ และยืนยันเป้าหมายตามผลการประชาคมหมู่บ้าน และนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครง การภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร่งด่วน 1.5 อนุมัติโครงการผลิตแพทย์เพิ่มของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ วงเงิน 950.00 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ 1.6 อนุมัติตามข้อเสนอของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของจังหวัดสตูล 1.7 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างและการปรับแบบรูปรายการก่อสร้างโครงการศูนย์ครูใต้ จังหวัดยะลา ภายในวงเงิน 160.80 ล้านบาท 1.8 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดแผนงานและงบประมาณโครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและ พัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัดชายแดนภารใต้ โดยปรับลดระยะเวลาดำเนินการให้เหลือ 4 เดือน (กันยายน-ธันวาคม 2553) งบประมาณดำเนินการ 85.76 ล้านบาท โดยใช้เงินสำรองจ่ายตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ข้อ 16 (8,500 ล้าน บาท) 1.9 ให้องค์การสะพานปลาจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการปรับปรุงสุขภาพ อนามัยท่าเทียบเรือประมงสตูลเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนก่อนเสนอขออนุมัติ โครงการ 1.10 ให้คณะอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ (อปต.) ปรับปรุงแผนประชาสัมพันธ์ฯ ให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ การใช้กิจกรรมที่เป็นภารกิจปกติของ หน่วยงานเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดงานประเพณีวัฒนธรรม เป็นต้น การประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนในพื้นที่โดยใช้สื่อและภาษาที่เข้าถึงประชาชน และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนนอกพื้นที่รับรู้และ เข้าใจข้อเท็จจริงของสถานการณ์และการแก้ปัญหาอย่างสมดุล 1.11 ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในเรื่องของการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น การรับเงินพิเศษสู้รบ (พ.ส.ร.) และการปรับวิทยฐานะเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้ง การตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับการจัดระบบการรักษาความ ปลอดภัย ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยดำเนินการตามมาตรการรักษา ความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด 2. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการตามผลประชาคมหมู่บ้าน ปี 2555 ของกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ตามข้อ 6.5 ของหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร 1103/2555 ลงวันที่ 13 กันยายน 2553 หน้า 4) ออกไปสิ้น สุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และให้ปรับลดวงเงินที่จะจัดสรรให้จากเดิม วงเงินรวม 2,394 ล้านบาท เป็นวงเงิน 1,880 ล้านบาท โดยวงเงินส่วนที่เหลือจากการปรับลดดังกล่าว ให้นำไปจัดสรรเพิ่มเติมให้แก่โครงการอื่น ๆ ตาม ลำดับความสำคัญและเร่งด่วน ดังนี้ 1) โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเติมของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาส ราชนครินทร์ (ตามข้อ 6.6) 2) โครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ (ตามข้อ 6.9) และ 3) โครงการด้านการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (อปต.) (ตามข้อ 6.11) โดยมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. กรม ประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
2400 | การดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 รอบที่ 1 | พณ | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 รอบที่ 1 ตามมติคณะกรรม การนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ 9/2553 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2553 และครั้งที่ 10/2553 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 2. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการประชา สัมพันธ์หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง และควรใช้ประโยชน์ ฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์โดยปรับปรุงฐานข้อมูลให้ถูกต้องกับความเป็นจริง และจัด ให้มีระบบตรวจสอบทะเบียน การทำสัญญา และการทำประชาคมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรเตรียมมาตรการรักษา เสถียรภาพราคาข้าวควบคู่ไปกับโครงการฯ เช่น รัฐควรมีแผนการระบายข้าวที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว ให้มีการส่งออกมากขึ้น เพื่อช่วยพยุงราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำ พัฒนาระบบตลาดกลางสินค้าเกษตรให้เป็นศูนย์กลางใน การซื้อขายสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง ส่งเสริมการซื้อขายข้าวในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า และติดตามตรวจสอบ การรับซื้อผลผลิตของผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการกดราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกร และความเห็น ของคณะกรรมการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับ กระบวนการทำประชาคมและการสุ่มตรวจสอบพื้นที่ของคณะกรรมการตรวจสอบระดับตำบลให้มีมาตรฐานและ กระบวนการที่ชัดเจน และมีการนำฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในปีที่ผ่านมาร่วมกับข้อมูลแผนที่ภาพถ่าย ดาวเทียมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้สอบทานข้อมูลการแจ้งพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร ไป พิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรเกี่ยวกับการขึ้นราคาค่าเช่านาของผู้ให้เช่าอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งกำกับดูแล ให้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ด้วย |
.....