ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 116 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2301 - 2320 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2301 | รายงานปัญหาอุปสรรคของการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI-1 | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมในฐานะผู้กำกับดูแลบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และกระทรวงพลังงานในฐานะผู้กำกับดูแลบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (Fuel Pipeline Transportation Limited : FPT) ร่วมเจรจากับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อเร่งรัดให้บริษัท FPT ปฏิบัติตามสัญญาเช่าที่ดิน (สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXXI-1) เพื่อดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการรื้อย้ายแนวฝังท่อน้ำมันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และให้กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสแรกต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2302 | การปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ภายใต้วงเงินลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง แผนงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ) ๑.๒ ให้โรงงานยาสูบฯ ใช้แหล่งเงินทุนจากเงินรายได้ของโรงงานยาสูบฯ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง แหล่งเงินทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่) ๒. ให้กระทรวงการคลังและโรงงานยาสูบรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหาแนวทางป้องกันความเสี่ยง เช่น การวางแผนการซ่อมบำรุงล่วงหน้า (Preventive Maintenance) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของโรงงาน และควรมีแผนการบริหารจัดการบุคลากรให้สอดคล้องกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการผลิต รวมทั้งพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมและความจำเป็นของวงเงินลงทุนของโครงการฯ ในรายการที่สำคัญให้เกิดความชัดเจนเพื่อเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เช่น การปรับกระบวนการผลิตด้านใบยาและยาเส้น (Primary Process) การเปลี่ยนแปลงระบบลำเลียงและควบคุมอัตโนมัติให้เป็นเทคโนโลยีใหม่ด้วยระบบ Automatic Racking ในขั้นตอนการมวนและบรรจุ การปรับผังอาคารโรงงานเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้งาน และการปรับแผนการก่อสร้างอาคารที่พัก โดยปรับขนาดการก่อสร้างอาคารที่พักจากสำหรับพนักงาน ๑,๐๐๐ คน พื้นที่ ๒๓,๐๐๐ ตารางเมตร เป็นสำหรับพนักงาน ๔๒๐ คน พื้นที่ ๙,๒๘๐ ตารางเมตร ในวงเงินลงทุนเท่าเดิม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2303 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเครือข่ายการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ปี 2555 - 2556 | ศธ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการเครือข่ายการศึกษาแห่งชาติ (NEdNet) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ โดยดำเนินการขยายโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้ครอบคลุมโรงเรียนประจำตำบล จำนวนไม่น้อยกว่า ๗,๐๐๐ แห่ง ทั่วประเทศ (ระยะทางการสร้างเคเบิลใยแก้วนำแสง ๓๐,๐๐๐ กิโลเมตร) ภายในกรอบวงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินการกับสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีแผนการดำเนินโครงการสร้างโครงข่ายฯ ที่มีความชัดเจนในภาพรวมการสร้างโครงข่ายฯ การบริหารจัดการ และการบำรุงรักษาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งหากหน่วยงานใดที่อยู่ในพื้นที่ของโครงข่ายฯ มีความจำเป็นต้องใช้บริการ ให้ประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณในการสร้างโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงเป็นไปโดยคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บูรณาการแผนงานโครงข่ายสื่อสารเพื่อกำหนดพื้นที่ดำเนินการให้ชัดเจนและมิให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน |
|||||||||||||||||||||||||||
2304 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงานศูนย์เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป | พม | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงานศูนย์เยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
๑. การช่วยเหลือเร่งด่วน ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ - ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานและให้ความช่วยเหลือไปแล้ว จำนวน ๑,๘๕๓ ราย แยกเป็น กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย ๑,๐๓๓ ราย กรณีบาดเจ็บ ๖๒๐ ราย กรณีบาดเจ็บสาหัส ๙๐ ราย กรณีทุพพลภาพ ๑๓ ราย กรณีเสียชีวิต ๙๖ ราย และกรณีช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลเป็นกรณีพิเศษ ๑ ราย รวมเป็นเงิน ๑๐๙,๙๒๓,๒๐๙ บาท ๒. การช่วยเหลือต่อเนื่องกรณีทุพพลภาพและทายาทผู้เสียชีวิต ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องเป็นเงินยังชีพรายเดือนแก่ผู้ทุพพลภาพ จำนวน ๑๓ ราย บุตรผู้เสียชีวิต จำนวน ๖๓ ราย และบุตรผู้ทุพพลภาพ จำนวน ๑๔ ราย เป็นเงิน ๑,๑๓๐,๕๐๐ บาท ๓. การดำเนินโครงการสำรวจความเดือดร้อนของประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองและผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ระหว่างเดือนสิงหาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยผลการสำรวจพบว่า ความเดือดร้อนที่สำคัญของประชาชนคือ การขาดรายได้และการเป็นหนี้จากภัยธรรมชาติและความผันผวนทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้นคือ การสงเคราะห์ด้านอาชีพ หรือการเพิ่มรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ ส่วนในระยะปานกลาง ต้องเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นในการพึ่งตนเอง และในระยะยาว ต้องส่งเสริมและพัฒนาองค์กรชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2305 | ขอทบทวนค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี 2553/54 และงบประมาณดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 รอบที่ 2 | กค | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเหมาจ่ายต่อเกษตรกร ๑ ราย ในอัตรารายละ ๓๑๕ บาท กรณีเกษตรกรได้สิทธิชดเชยรายได้ และในอัตรารายละ ๒๘๙ บาท กรณีเกษตรกรไม่ได้สิทธิชดเชยรายได้ ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๕๓/๕๔ ของ ธ.ก.ส. ให้คำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการในอัตราเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๓/๕๔) และวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๓/๕๔) ที่กำหนดให้ใช้อัตราเหมาจ่าย ๒๐๐ บาท ต่อเกษตรกร ๑ ราย ๒. เห็นชอบให้ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. เพื่อจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับเกณฑ์กลางอ้างอิงให้แก่เกษตรกรตามสัญญาประกันรายได้เกษตรกรสำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๒ ระหว่างที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรที่จัดทำสัญญาประกันรายได้และใช้สิทธิตามสัญญาประกันรายได้ โดย ธ.ก.ส. คิดต้นทุนเงินเพื่อขอเบิกชดเชยจากรัฐบาลในร้อยละ ๒.๕๑๒๕ ต่อปี แทนอัตรา FDR + Spread ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดของงบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
2306 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 2/2554 | นร | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และความคืบหน้าในการเบิกจ่ายเงินโครงการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยคณะกรรมการฯ มีประเด็นความเห็น ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาความจำเป็นในการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย และยังไม่มีการดำเนินโครงการที่ชัดเจน โดยหากหน่วยงานเจ้าของโครงการเห็นว่ายังมีความจำเป็นในการดำเนินการ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) เพื่อพิจารณาแหล่งเงินลงทุนจากงบประมาณปกติต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการประเมินผลโครงการในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้เน้นประโยขน์และผลลัพธ์ของโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นโครงการต้นแบบแก่หน่วยงานในการจัดทำโครงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคต รวมทั้งให้ความสำคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ๒. สำหรับประเด็นความเห็นของคณะกรรมการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ จากการตรวจสอบพบว่า มีโครงการที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓ โครงการ ของกรมส่งเสริมการส่งออก กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกระทรวงการต่างประเทศ แต่ได้มีการดำเนินการโครงการที่ชัดเจนแล้วทั้ง ๓ โครงการ ดังนั้น ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการฯ เสนอมานี้ จึงไม่มีโครงการที่เข้าข่ายในลักษณะดังกล่าว ๒.๒ การให้หน่วยงานเจ้าของโครงการประเมินผลโดยเน้นประโยชน์และผลลัพธ์ของโครงการ นั้น อาจไม่ได้ผลการประเมินที่ชัดเจน ซึ่งตามหลักการ การประเมินในระดับผลลัพธ์นั้นควรให้หน่วยงานภายนอกหรือหน่วยงานอิสระเป็นผู้ประเมินผล ประกอบกับขณะนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างดำเนินการจ้างที่ปรึกษา ๔ ภาค เพื่อดำเนินการติดตามผลลัพธ์เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จ ผลประโยชน์ ความคุ้มค่าและประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยจะทำการประเมินผลในระดับผลกระทบของโครงการ ดังนั้น จึงจะมีการประเมินผลในระดับผลลัพธ์ของโครงการในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
2307 | ขออนุมัติดำเนินโครงการ "จัดหาอาคารที่พักอาศัยสำเร็จรูปพร้อมที่ดินโครงการสินทวีพุทธสาคร" เป็นอาคารที่พักอาศัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรตามโครงการพระราชดำริและสถานีตำรวจ | ตช | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการจัดหาอาคารที่พักอาศัยสำเร็จรูปพร้อมที่ดิน เป็นอาคารที่พักอาศัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรตามโครงการพระราชดำริและสถานีตำรวจ โดยไม่ระบุสถานที่และพื้นที่ดำเนินการ รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับความเหมาะสมของต้นทุนต่อหน่วย (Unit-cost) ของอาคารที่พักอาศัยของโครงการดังกล่าว และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาดำเนินการก่อน ส่วนที่ยังขาดอยู่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการ ๒. กรณีการจัดหาที่พักอาศัยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังขาดแคลนอยู่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำแผนในภาพรวม โดยระบุกรอบ สถานภาพ และความขาดแคลนที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน แล้วเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2308 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 16 (COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 6 (CMP6) ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก | ทส | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๑๖ (The 16th United Nations Climate Change Conference : COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๖ (The 6th Session of the Conference of the Parties serving as the meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP6) ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน - ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยสาระสำคัญของการประชุม COP16 ที่ประชุมเห็นชอบกับข้อตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงแคนคูน” (Cancun Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ (Long Term Cooperative Action under the Convention : LCA) โดยมีการเจรจาในประเด็นการดำเนินการในอนาคตร่วมกันของประเทศสมาชิก ส่วนการเจรจาในภาพรวมภายใต้แผนปฏิบัติการบาหลี (Bali action Plan) ได้กำหนดเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มของอุณหภูมิของโลกไม่เกิน ๒ องศาเซลเซียส โดยให้มีการจัดตั้งกองทุน “Green Clemate Fune” เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเพื่อรับมือจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้สนับสนุนการดำเนินงานด้านป่าไม้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะการสนับสนุน REDD+ ไปพัฒนาโครงการในลักษณะสมัครใจ โดยไม่มีการผูกมัดใด ๆ จากประเทศพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งกระบวนการ International Consultation and Analysis (ICA) และให้มีการดำเนินการตามมาตราการ Measurement, Reporting and Verification : MRV สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศและภายในประเทศ ส่วนผลการประชุม CMP6 ที่ประชุมมีความเห็นพ้องให้มีข้อตกลงตามพันธกรณีรอบที่สอง โดยประเทศกำลังพัฒนายืนยันให้มีการต่ออายุพิธีสารเกียวโตหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๒ และให้มีการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ ๒๕ - ๔๐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ สำหรับปีฐานการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงใช้ปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเอกสารผลการประชุม COP 16 ได้ละเว้นการกล่าวอ้างถึงหลักการสำคัญ ๆ ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะเรื่อง historical responsibility ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของประเทศกำลังพัฒนา จึงเห็นควรติดตามประเด็นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และควรเร่งรัดการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ และส่งเสริมการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพันธกรณีที่ไทยมีกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อสามารถร่วมกันกำหนดท่าทีของไทยในเชิงรุกทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีให้มากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของประเทศไทยเพื่อให้เกิดการปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๓.๑ เตรียมความพร้อมในการรับมือหากประเทศไทยต้องมีการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากพันธกรณีดังกล่าว เช่น ภาคการพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร โดยให้มีการจัดทำกรอบทิศทางและแนวทางการวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศอย่างเป็นระบบ ๓.๒ ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) และศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคต่าง ๆ (Nationalily Approplate Mitigation Actions : NAMAs) เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการวางแผนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๓.๓ ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) ของการดำเนินโครงการ REDD+ ในประเทศไทย ๓.๔ ให้มีการใช้ประโยชน์จากกลไก The ASEAN Working Group on Climate Change : AWGCC ในการผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาคให้เป็นรูปธรรม โดยให้มีการจัดประชุมคณะทำงานดังกล่าวเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับภูมิภาค ๓.๕ เร่งรัดการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน ๔. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2309 | การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด | พณ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ของคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีความคืบหน้าการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการที่ผ่านมา ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาและศึกษากฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดทำโครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดเพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่และเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ รวมถึงการทำการตลาด เพื่อจูงใจภาคเอกชนในการลงทุน และการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี โดยสำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัดตากได้ดำเนินการยื่นเรื่องเข้าสู่คณะอนุกรรมการพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด เพื่อตั้งคณะทำงาน ๒ คณะ ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์กับประชาชนในพื้นที่คณะหนึ่ง และสำรวจพื้นที่ ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน ระหว่างตำบลแม่ปะ - ตำบลท่าสายลวด ที่จะใช้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดอีกคณะหนึ่ง ๑.๒ การดำเนินงานขั้นต่อไป ได้แก่ การจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนออกแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ เพื่อให้ได้พื้นที่ที่ชัดเจนในการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ศูนย์บริการนำเข้า - ส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ วนอุทยานนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าทัณฑ์บน โลจิสติกส์พาร์ค ศูนย์ขนถ่ายกระจายสินค้า จุดตรวจปล่อยจุดเดียว พื้นที่สำหรับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่อาศัย และสวนสาธารณะ รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด องค์กร และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จำเป็น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาวิเคราะห์ของคณะอนุกรรมการฯ ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๔๐,๐๔๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยให้หน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรกำหนดขอบเขตของการดำเนินโครงการให้มีความชัดเจน โดยเน้นถึงผลที่จะได้รับการดำเนินโครงการ ๓ ด้านสำคัญ ได้แก่ การออกแบบการใช้พื้นที่เบื้องต้นของโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ลักษณะการลงทุนและการวิเคราะห์ความคุ้มค่าด้านการเงิน และรูปแบบการบริหารจัดการในส่วนของงบประมาณที่เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นควรเพิ่มเติมขอบเขตของการดำเนินโครงการครอบคลุมถึงการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และการเตรียมการรองรับผลกระทบดังกล่าว พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอทางเลือกในการพัฒนาที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ในการจัดตั้งองค์กรเพื่อบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จะต้องกำหนดขอบเขตภารกิจและอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้มีความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้โครงการจัดจ้างออกแบบการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดดำเนินการเมื่อได้ข้อยุติในเรื่องของพื้นที่ป่าไม้ที่จะใช้ดำเนินการแล้ว โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||
2310 | สรุปผลโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2553/54 | พณ | 22/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รายงานสรุปผลการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๓/๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของกรมส่งเสริมการเกษตร ณ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๙๒,๒๔๙ ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่ ๙,๕๘๑,๑๔๓ ไร่ ผ่านการทำประชาคม ๔๖๓,๗๘๙ ครัวเรือน และทำสัญญากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วจนถึงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ จำนวน ๔๒๑,๒๗๐ ราย และมีเกษตรกรมาขอใช้สิทธิประกันรายได้แล้ว จำนวน ๓๙,๐๒๐ สัญญา แต่ไม่มีการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรเนื่องจากเกณฑ์กลางอ้างอิงที่ประกาศสูงกว่าราคาประกันรายได้ ๒. คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้พิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรเป็น ๒ แนวทาง คือ การปรับลดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงที่คำนวณได้ในอัตราเดียวกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หรือจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างรายได้ให้เกษตรกรระหว่างรายได้ที่คำนวณจากปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต้นฤดูกาลคูณกับราคาประกัน กับรายได้ที่คำนวณจากผลผลิตต่อไร่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คำนวณใหม่คูณกับเกณฑ์กลางอ้างอิงงวดที่เกษตรกรขอใช้สิทธิ แต่เมื่อคำนวณดูแล้วปรากฏว่ายังไม่มีอัตราเงินชดเชยส่วนต่าง เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นต่ำกว่าราคาจำหน่ายที่ปรับตัวสูงขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
2311 | รายงานผลการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 14/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการกู้เงินงวดสุดท้าย การเบิกจ่ายเงินกู้ และการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ สรุปได้ ดังนี้ กระทรวงการคลังได้ลงนามในสัญญาผูกพันเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดย ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๒๖๐,๙๙๒.๗๕ ล้านบาท จากวงเงินกู้ทั้งสิ้น ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ จากเงินกู้ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นเงินกู้ระยะยาวที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ในวงเงิน ๑๒๘,๘๓๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ทั้งสิ้น ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท เพื่อบริหารต้นทุนและความเสี่ยงในการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว โดยเป็นการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๘๒,๒๓๐ ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔๖,๖๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบแนวทางการบริหารเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ โดยกระทรวงการคลังต้องได้รับข้อมูลประมาณการเบิกจ่ายเงินกู้จากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ จากสำนักงบประมาณ เพื่อที่กระทรวงการคลังจะสามารถจัดทำแผนการบริหารเงินสดภายใต้บัญชีเงินคงคลังเพื่อกำหนดระดับการถือครองเงินสดที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและบริหารต้นทุนในการถือครองเงินสดของรัฐบาลในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้บันทึกข้อมูลเข้าระบบสารสนเทศโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (Projects Financial Monitoring System : PFMS) ให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
2312 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 1/2554 | นร | 08/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมได้พิจารณาสรุปผลการประเมินผลโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภาคสนาม ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก โครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และโครงการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และมีมติให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอผลการติดตามประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ภาคสนาม ของ สศช. เบื้องต้นให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้พิจารณาเร่งรัดผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ติดตามผลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องและรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายต่อไป ๒. ให้ สศช. รับข้อเสนอเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า สรุปผลการติดตามประเมินผลโครงการดังกล่าวมีข้อมูลบางเรื่องที่คลาดเคลื่อน เช่น ในการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่นได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และประชาชนก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในระหว่างดำเนินการด้วย ดังนั้น ในการประเมินผลโครงการควรมีการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็ดจจริง รวมทั้งสำรวจทัศนคติของประชาชนในพื้นที่ครอบคลุมครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ เมื่อได้มีการตรวจสอบข้อมูลแล้ว อาจนำข้อมูลที่ได้ประสานข้อมูลกับกระทรวงต้นสังกัด หากมีข้อมูลที่มีความแตกต่างกันในสาระสำคัญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2313 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประเด็นข้อชี้แจงของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๑,๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒ อนุมัติแนวทางการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๓ รับทราบการปรับปรุงแผนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิต การตลาด และการแปรรูปในสหกรณ์โคนม จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นการปรับแผนการใช้จ่ายเงินในแต่ละเดือนภายใต้แผนการใช้จ่ายเงินเดิม ๑.๔ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๕๓,๘๙๔,๒๖๑ บาท ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสู่มาตรฐาน วงเงิน ๑,๘๔๕,๗๐๘ บาท โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนราชการ วงเงิน ๓๐,๖๐๕,๔๕๔ บาท และโครงการปัจจัยสนับสนุนด้านการศึกษา วงเงิน ๒๑,๔๔๓,๐๙๙ บาท ๑.๕ อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวปัตตานี ๑.๖ อนุมัติการขอยกเลิกโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราพันธุ์ดีในพื้นที่ว่างเปล่า จำนวน ๕,๐๐๐ ไร่ วงเงิน ๙,๔๗๓,๓๐๐ บาท ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน โดยจังหวัดนราธิวาส เนื่องจากสภาวะราคาพันธุ์ยางพาราในท้องถิ่นได้ขยับตัวสูงขึ้นมากทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ประกอบกับรัฐบาลได้มีการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายให้กับโครงการส่งเสริมการปลูกยางพารา ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง วงเงิน ๑๐๗.๓๒ ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้ผ่านการทำประชาคมเรียบร้อยแล้ว ๑.๗ อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วนยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ อนุมัติการขอปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๑๖๙ ตอนทางรอบเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๔๕๐ ล้าบบาท จากเดิมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยจัดสรรวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๕ ส่วนวงเงินส่วนที่เหลือให้กรมทางหลวงขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามทางเลือกที่ ๑ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตระยะเวลาการลงนามสัญญาและการเบิกจ่ายเงินให้ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ บรรลุวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ควรพิจารณาความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ โดยอาจใช้แหล่งเงินลงทุนอื่นในการดำเนินโครงการ รวมทั้งเร่งพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้แก่โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่มีศักยภาพและเป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2314 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา | อก | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาบุคลากร ห้องทดสอบ และการสร้างและพัฒนาฐานข้อมูล ในระยะ ๕ ปี ๑.๒ การจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราและไม้ยางพารา ในรูปแบบสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ โดยให้ได้รับงบสนับสนุนการจัดตั้งจากภาครัฐ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยเป็นหน่วยงานหลักในการวิจัยและพัฒนา ถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางเป็นระบบ และมีความหลากหลายต่อเนื่อง ๒. ยกเว้นในส่วนของการนำเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (CESS) มาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ให้พิจารณาดำเนินการเมื่อร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว เพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่เห็นควรให้มีการกำหนดสัดส่วนของงบประมาณจาก CESS สำหรับนำมาใช้ในการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เช่น ภายใน ๕ ปี ต้องสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกร้อยละ ๕ จำนวนงานวิจัยที่มุ่งสู่เชิงพาณิชย์และที่สามารถนำไปลงทุนต่อยอดเป็นธุรกิจนวัตกรรม รวมถึงจำนวนนักวิจัยและบุคลากรด้านเทคนิค การสร้างกลไกร่วมรับความเสี่ยงด้านการเงิน เพื่อเป็นมาตรการในการสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีการวิจัยและพัฒนาด้านยางและไม้ยางพาราให้ภาคเอกชนสามารถหักรายจ่ายในการทำวิจัยและพัฒนาได้ ๓ - ๔ เท่า รวมถึงการสนับสนุนเงินให้เปล่าบางส่วนในการพัฒนาต้นแบบ (prototype) หรือการผลิตนำร่อง (pilot plant production) โดยการต่อยอดจากงานวิจัย หรือการสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยสำหรับการลงทุนในธุรกิจ นวัตกรรมด้านยาง หรือไม้ยางพารา และการกำหนดแนวทางวิจัยและพัฒนาที่ชัดเจน โดยเฉพาะการวิเคราะห์เทคโนโลยีจากสิทธิบัตร รวมถึงการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ นอกจากนี้ ในขั้นตอนการแปลงยุทธศาสตร์สู่ระดับปฏิบัติ โดยการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เห็นควรให้มีการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดในระดับโครงการที่ชัดเจนและสะท้อนกับยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในการติดตามประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการ รวมทั้งเพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผนงาน/โครงการของสำนักงบประมาณ และเห็นควรให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานที่อาจมีแผนงาน/โครงการในลักษณะเดียวกัน เช่น สถาบันวิจัยยางและสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง (THAIST) เป็นต้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และเป็นการประหยัดงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2315 | รายงานการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 46 และ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 6 | ศธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ ๔๖ และการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔ ที่ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงในนามหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและองค์การซีมีโอ โดยเฉพาะความร่วมมือในการจัดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้บริหารในศตวรรษที่ ๒๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ และการดำเนินโครงการการจัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส การดำเนินโครงการทวิภาษา และการดำเนินโครงการการมีส่วนร่วมของชุมชนของซีมีโอ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยและอินโดนีเซียได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวสารและสิ่งพิมพ์วิชาการ การแลกเปลี่ยนครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ การรับรองคุณวุฒิการศึกษา การให้ทุนแก่นักเรียน การดำเนินโครงการวิจัยร่วม การจัดฝึกอบรมด้านการอาชีวศึกษาและเทคนิค เป็นต้น ๒. ที่ประชุมรับทราบการปาฐกถาเรื่อง A Transformtion in Vocational Technical Education - The Way Forward โดย Dr. Law Song Seng ที่กล่าวถึงความสำเร็จในการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาของสิงคโปร์ ซึ่งนับเป็นต้นแบบการพัฒนาการดำเนินงานด้านอาชีวศึกษาของประเทศซีมีโอ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้เสนอข้อคิดเห็นในการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงยุทธศาสตร์ของซีมีโอ ได้แก่ การสนับสนุนการขยายเวลาของการดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค จากเดิม ๑ ปี เป็นระยะเวลา ๒ ปี การส่งเสริมความร่วมมือกับซีมีโอในการพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารร่วมกัน ความร่วมมือในการพัฒนาด้าน ICT เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และการจัดตั้งสถาบันความเป็นเลิศของซีมีโอเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในภูมิภาค ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของประธานสภาซีเมค เป็น ๒ ปี ให้ลดระยะเวลาจัดการประชุมสภาซีเมค เหลือเพียง ๒ วัน พร้อมทั้งมอบให้สำนักเลขาธิการซีมีโอศึกษาแนวทางการดำเนินการดังกล่าวเพื่อจัดทำเป็นข้อมติเสนอต่อสภาซีเมคเพื่ออนุมัติต่อไป ๔. สาระสำคัญของการจัดประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๖ ประกอบด้วย การรายงานการยกร่างแผน ๕ ปี ด้านการศึกษาของอาเซียน การรับทราบการจัดการแข่งขันกีฬาประถมศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๔ ณ ประเทศอินโดนีเซีย และการจัดค่ายเยาวชนมัธยมศึกษาอาเซียน ปี ๒๕๕๓ ที่ประเทศไทย และเห็นชอบร่างขอบเขตการดำเนินงานของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียน + ๓ ๕. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการประสานงานเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียนในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อพิจารณารายละเอียดการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน รวมทั้งการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
|
|||||||||||||||||||||||||||
2316 | การดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ | กต | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการโครงการ/กิจกรรมสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในต่างประเทศดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ สอดคล้องกับแนวทางของยุทธศาสตร์ เช่น การจัดกิจกรรมสนับสนุนการศึกษาและการอบรมทักษะพิเศษ การสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพให้แก่นักศึกษา การมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐกับนักศึกษา การจัดกิจกรรมเปิดโลกทัศน์และดูงานให้แก่นักศึกษา การสนับสนุน การจัดตั้งชมรมหรือสมาคมนักศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กลุ่มนักศึกษาเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการจัดกิจกรรมสันทนาการการกีฬา หรือในโอกาสเทศกาลสำคัญของท้องถิ่น ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และนักศึกษาได้แสดงความประสงค์ขอให้มีการดำเนินโครงการ/กิจกรรมในปีต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสรรงบประมาณจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒๓ ทุน ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ณ ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย อียิปต์ และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีนักศึกษา ๑ ราย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว และอีก ๑ ราย คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทยภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในด้านการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของครูและผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ยังได้แสวงหาความร่วมือจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาบุคลากรการศึกษา ได้แก่ โครงการของรัฐบาลออสเตรเลียร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการฝึกอบรมครูจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
2317 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล [(ครั้งที่ 5) ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2553)] | ศธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ครั้งที่ ๕) ข้อมูล ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้มอบหมายให้ศูนย์การศึกษาพิเศษร่วมมือกับโรงพยาบาลจัดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล จำนวน ๒๙ ศูนย์การเรียน สามารถให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลระหว่างเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๓ เฉลี่ยเดือนละประมาณ ๒,๓๐๐ คน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (แผนฟื้นผูเศรษฐกิจระยะที่ ๒ : ๒๕๕๓) แผนงานยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งระบบให้ทันสมัย โครงการพัฒนาครูทั้งระบบ เฉพาะค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ จำนวน ๗,๙๐๓,๔๗๖ บาท ส่วนงบประมาณการอบรมสัมมนาครูอัตราจ้างที่ทำหน้าที่สอนที่โรงพยาบาล/บุคลากร นิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล และสื่อการเรียนการสอน วงเงิน ๓,๒๒๖,๔๖๐ บาท ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการนี้ต่อคณะรัฐมนตรีทุกสิ้นปีงบประมาณจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||
2318 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรป EU White Paper (ระยะที่ 2) | อก | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของสหภาพยุโรป EU White Paper (ระยะที่ ๒) (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินโครงการเร่งด่วนตามกลยุทธ์การดำเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของ EU ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย ๑๓ โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๓๖๘.๓๔ ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพิ่มโอกาสทางการค้าของสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อมในตลาดโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง ๓ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในการผลิตสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยในส่วนของการดำเนินการตามมาตรการและกรอบงบประมาณ นั้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการจัดทำแผนแม่บทที่กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด ตลอดจนรายละเอียดแผนการดำเนินงาน พร้อมวงเงินค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน โดยนำผลการประเมินในเบื้องต้นที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของมาตรการระยะที่ ๑ มาประกอบการจัดทำแผนดังกล่าวและเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงอตุสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้กฎระเบียบของ EU ระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ควรคำนึงถึงมติคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งครอบคลุมเรื่องการจัดทำคลังข้อมูลเพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ การพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องมาตรฐานสิ่งแวดล้อม การพัฒนาห้องปฏิบัติการสู่มาตรฐานสากล และการพัฒนากฎระเบียบและมาตรฐานของไทยเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ สำหรับโครงการที่นำเสนอเพื่อขอรับงบประมาณในการดำเนินการ ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับโครงการที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมมากกว่าโครงการที่มีกิจกรรมในลักษณะเป็นการศึกษา และในการดำเนินโครงการเป็นการดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อภาคเอกชน เช่น การจัดซื้อเครื่องมือทดสอบ การฝึกอบรมผู้ประกอบการ เป็นต้น เห็นควรให้มีการพิจารณาแนวทางการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนประกอบด้วย เพื่อให้การใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมควรจัดทำแผนแม่บทที่กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดตลอดจนรายละเอียดแผนการดำเนินงาน พร้อมวงเงินค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||
2319 | โครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ 4 และโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 2 | พน | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๒๓,๗๒๔.๕ ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าวังน้อย ชุดที่ ๔ วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๔๗๔ ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ ๒ ให้ดำเนินการได้เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว และให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การให้ความสำคัญในการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ยังไม่เห็นด้วยและมีข้อกังวลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องด้วย การใช้เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ มาดำเนินการ รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความเหมาะสมในระยะต่อไป และข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2320 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งมีผลการดำเนินโครงการฯ ดังนี้ ๑.๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้ดำเนินงานเตรียมการเบื้องต้น ได้แก่ งานก่อสร้างถนนเข้าโครงการและถนนภายในโครงการ งานก่อสร้างอาคารที่ทำการและบ้านพักชั่วคราว และงานขยายเขตไฟฟ้าแรงสูง มีผลการดำเนินงานร้อยละ ๑๐๐ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๗๖,๔๔๓,๐๐๐ บาท ๑.๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีแผนเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดหาผู้รับจ้าง โดยกำหนดวันเสนอราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และคาดว่าเริ่มปฏิบัติงานได้ในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งในการดำเนินงานได้ใช้งบประมาณจากเงินงบประมาณปกติ จำนวน ๒,๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการนำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน และการศึกษาและกำหนดมาตรการลดผลกระทบจากการดำเนินโครงการและติดตามตรวจสอบอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบและการจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันการแย่งน้ำและการทำการเกษตรจนเกินศักยภาพของน้ำต้นทุนที่โครงการฯ จะสามารถจัดหาได้ รวมทั้งการจัดทำเกณฑ์การจัดสรรน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำที่เป็นที่ยอมรับได้จากผู้ใช้น้ำในทุกกิจกรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบด้วยในการรายงานครั้งต่อไป |
.....