ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 112 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2221 - 2240 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2221 | การดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยมอบผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้จนถึงเทศกาลปีใหม่ โดยยึดหลักประหยัด หลีกเลี่ยงการจัดมหรสพและกิจกรรมรื่นเริง ตลอดจนงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็น แต่ให้เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ประสบอุทกภัยที่ยังคงมีความเดือดร้อนให้เร็วขึ้นด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการกำกับติดตามการระดมเครื่องสูบน้ำ เพื่อเร่งสูบน้ำออกจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ยังคงมีน้ำท่วมขังในบริเวณจังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี รวมประมาณ ๘๐ - ๑๐๐ แห่ง โดยให้บูรณาการในการดำเนินการร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการสูบน้ำออกจากหมู่บ้านเหล่านี้โดยเร็ว โดยให้ตั้งเป้าหมายที่จะสูบน้ำให้แห้งทั้งหมดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ให้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแผนดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปจัดทำโครงการเกี่ยวกับการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยร่วมกับสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ กองกิจการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยให้เรียนเชิญราชเลขานุการในพระองค์ฯ (พลอากาศเอก สถิตพงษ์ สุขวิมล) เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินโครงการและมอบให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายเลขานุการ โดยจัดทำเป็นโครงการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และในเบื้องต้นให้จัดสรรเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบว่าด้วยการใช้งบประมาณไปพลางก่อน ในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและยานพาหนะต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น เพื่อดำเนินการให้ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การเจรจากับบริษัทประกันภัยในเรื่องของการจ่ายสินไหมชดเชยให้ครอบคลุมความเสียหายมากที่สุด การประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการซ่อมแซมที่พักอาศัยและยานพาหนะและกลุ่มบุคคลผู้มีจิตอาสาเพื่อดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกับหน่วยงานดังกล่าว และจัดทำเป็นโครงการและแผนงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและสนับสนุนเงินงบประมาณโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2222 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2555 - 2559 | รง | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบมีหลักประกันทางสวัสดิการสังคมควบคู่กับหลักประกันทางด้านรายได้ในยามชราภาพ ภายในระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือและคุ้มครองให้มีความปลอดภัยในการทำงานเช่นเดียวกับแรงงานในระบบ โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การขยายขอบเขตการคุ้มครองและสร้างหลักประกันทางสังคม การเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาสมรรถนะแรงงานนอกระบบเพื่อขยายโอกาสการมีงานทำ และการเพิ่มสมรรถนะการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ปรากฏในแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบฯ ได้ดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบตามแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบพัฒนาตนเป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ในระยะยาว โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้มีทักษะและคุณภาพ ตลอดจนช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งทุนในรูปแบบต่าง ๆ และเห็นควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายแรงงานนอกระบบตามความรุนแรงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกลุ่ม รวมทั้งกำหนดมาตรการแนวทางให้สอดคล้องกับศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์สามารถตอบสนองต่อกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการโครงการที่มีวัตถุประสงค์หรือลักษณะกิจกรรมที่มีความคล้ายคลึงกัน หรือมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินโครงการกิจกรรมตามแผนยุทธศาสตร์ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดร่วมกันที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หน่วยงานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบดังกล่าวควรมีการบูรณาการการทำงานและงบประมาณร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2223 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 9) | วท | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) (ครั้งที่ ๙) ช่วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๔ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔) รวม ๑๖ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนที่เป็นมหาวิทยาลัย - โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้อง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัยในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียน - มหาวิทยาลัยที่ขยายเพิ่ม ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๒ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๑ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) - มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๑ ห้องเรียน ๒. จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๔ ของวิทยาลัยโครงการ วมว. ทั้ง ๗ แห่ง ๓. จัดกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย - โรงเรียนในโครงการ วมว. ได้แก่ กิจกรรมปฐมนิเทศนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ (รุ่นที่ ๔) ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๔ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยเขตกำแพงแสน และสนับสนุนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดการเรียนรู้แบบ Inquiry Based Learning” ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๔. การติดตามและประเมินผลโครงการ วมว. เมื่อสิ้นปีที่ ๓ โดยจัดจ้างสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นที่ปรึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายงานฉบับสมบูรณ์ ๕. งบประมาณในการบริหารโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนทั้งสิ้น ๙๖,๘๒๒,๓๑๑.๒๙ บาท และกันเงินเหลื่อมปี จำนวน ๒,๖๔๒,๓๘๓.๓๗ บาท เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วมว. สืบเนื่องในปี พ.ศ. ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2224 | การขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์โดยคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ | นร | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานและปัญหาการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านมา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ต่อไป ๑.๑.๑.๒ การศึกษาวิจัย การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การถ่ายทอดความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ๑.๑.๑.๓ การส่งเสริมการผลิตและสร้างเครือข่ายสู่การพึ่งตนเองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปสู่การทำเกษตรที่มีความมั่นคงและยั่งยืน การผลักดันโครงการนำร่องเพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ปี ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ การดำเนินโครงการบูรณาการพัฒนาการผลิตและการตลาดเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ เพื่อผลักดันให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และการสนับสนุนแผนพัฒนาและส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ของกระทรวงพาณิชย์ ๑.๑.๒ ปัญหาการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ได้แก่ การที่ผู้บริโภคยังขาดความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าอินทรีย์ ส่งผลให้ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศยังมีขนาดเล็ก เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนมาสู่วิถีการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ การปรับเปลี่ยนจากเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์มีขั้นตอนการจัดการและกระบวนการผลิตที่ยุ่งยาก ช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีน้อย ราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ไม่จูงใจในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต และการรวมกลุ่มของเกษตรในลักษณะเครือข่ายเพื่อให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการตลาดมีจำกัด ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในระยะต่อไป โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานและขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยให้มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน เกษตรกรและเครือข่ายเกษตรกรต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เห็นควรมีการจัดเก็บข้อมูลภาคการผลิตภายในประเทศตลอดทั้งวงจรเพื่อนำไปวิเคราะห์เปรียบเทียบกับข้อมูลการดำเนินการในเรื่องเดียวกันของต่างประเทศ เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและจัดทำแผนการดำเนินงานพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับขั้นตอนและแนวทางดำเนินการเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร การระดมความคิดเพื่อตั้งโจทย์วิจัยเกษตรอินทรีย์ในระดับชาติ โดยอาศัยที่ประชุม ๕ ส. ๑ ว. เป็นเวทีขับเคลื่อนหลัก รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง (Thailand Advanced Institute of Science and Technology : THAIST) ในการขับเคลื่อนความร่วมมือและสร้างบุคลากรเสริมจากกลไกเดิมที่อิงกับคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอเพิ่มเติมว่า จากการเกิดอุทกภัยในครั้งนี้ทำให้เกิดการสะสมของหน้าดินที่สมบูรณ์ไปด้วยสารอินทรีย์เป็นจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลางซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการเพาะปลูก จึงเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษา วิเคราะห์ และประเมินปริมาณสารอินทรีย์เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกร และพิจารณากำหนดปีเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2225 | โครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | วท | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย และเพื่อรณรงค์ฟื้นฟูสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาส จำนวน ๘,๔๐๐ ราย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการดำนินการ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนให้ตามความเหมาะสมและความจำเป็นในแต่ละปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มจังหวัดบึงกาฬในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้บริการครอบคลุมผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาสในทุกจังหวัด และขยายสิทธิประโยชน์ในการใส่รากฟันเทียมไว้ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและความยั่งยืนในการดำเนินการในระยะต่อไป รวมทั้งเร่งนำผลงานการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางทันตกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ เพื่อลดการนำเข้ารากฟันเทียมและพัฒนาไปสู่การส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกลุ่มอาเซียน เพื่อเป็นการรองรับการเปิดเสรีทางด้านบริการสุขภาพภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2226 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร ซึ่งเป็นการติดตั้งกล้องที่จุดผ่านแดนถาวร ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ที่ว่าการศุลกากร เพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์บริเวณพื้นที่ที่มีการเข้า - ออกของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ โดยเชื่อมโยงข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (ระยะที่ ๑) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๓ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบโทรทัศน์วงจรปิด (ระยะที่ ๒) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2227 | ขออนุมัติดำเนินโครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ | กษ | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินงานโครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๔ เมษายน - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ในกรอบวงเงินจำนวน ๔๐.๙๒๘๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการด้านต่าง ๆ ได้แก่ การก่อสร้างศาลาไทย (Thai Pavilion) ในส่วนพืชสวนเพื่อสุขภาพ (Relax and Heal Zone) ศาลากล้วยไม้ไทย (Thai Orchid Pavilion) ในส่วนนวัตกรรมและการศึกษา (Innovation and Education Zone) และก่อสร้างซุ้มแสดงนิทรรศการในส่วนพืชสวนเพื่อพลังงานสีเขียว (Green Engine Zone) พร้อมตกแต่งนิทรรศการในแต่ละส่วน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการโอนหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่เกิดจากการดำเนินโครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ให้หน่วยงานในต่างประเทศ และการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผัก ผลไม้ และสมุนไพรของไทยได้มีส่วนร่วมในการศึกษาดูงาน รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านการผลิตที่ได้มาตรฐานของประเทศไทย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องจัดเตรียมงบประมาณสำหรับการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยจำนวนมาก จึงควรใช้งบประมาณอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ควรมีการบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชนให้มากขึ้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสมุนไพรไทยเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2228 | การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และอนุมัติในหลักการให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ภายในวงเงินไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ส่วนรายละเอียดขั้นตอนและวิธีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2229 | การปรับปรุงแผนการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำของประเทศไทยสำหรับขอรับการสนับสนุนทางการเงินจาก Clean Technology Fund (CTF) | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๔) ฉบับปรับปรุง สำหรับจัดสรรวงเงินในส่วนของภาครัฐ จำนวน ๒๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนในปีแรก จำนวน ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะพิจารณาจัดสรรวงเงินที่เหลือ จำนวน ๑๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะต่อไป และให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนเพื่อเทคโนโลยีสะอาด Clean Technology Fund (CTF) ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนโครงการของภาครัฐด้านพลังงานทดแทนและการขนส่ง รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะในอาคารแต่ละประเภท ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการลงทุนฯ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ฉบับเดิม และในการดำเนินโครงการดังกล่าว ควรขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรภาครัฐในด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและคาร์บอนต่ำ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2230 | ความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในโครงการสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยสหภาพยุโรป | กต | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในโครงการสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยสหภาพยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการรวมตัวของอาเซียน โดยสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยมีงบประมาณโครงการทั้งหมด ๑๕,๓๐๐,๐๐๐ ยูโร ประชาคมยุโรปให้การสนับสนุนสูงสุดจำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ ยูโร และอาเซียนให้การสนับสนุน ๓๐๐,๐๐๐ ยูโร ทั้งนี้ ความตกลงฯ จะนำไปสู่การดำเนินโครงการเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรของอาเซียน ในรูปแบบการให้คำแนะนำ การศึกษา ทัศนศึกษา การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือ สร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารจัดการกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยรวม สร้างความเข้มแข็งให้กับการเคลื่อนย้ายสินค้าในอาเซียนอย่างเสรี และสร้างความเข้มแข็งให้กับสำนักเลขาธิการอาเซียนในการสนับสนุนการดำเนินการและการรวมตัวตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการอาเซียนสำหรับลงนามในความตกลงฯ ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2231 | โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ หลักการดำเนินโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ หลักการดำเนินโครงการพักหนี้ครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท อย่างน้อย ๓ ปี เฉพาะหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งมีผู้มีสิทธิประมาณ ๗๗๕,๐๙๐ บัญชี มูลหนี้คงค้าง ๙๐,๕๐๒.๕๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ กลุ่มเป้าหมายโครงการพักหนี้ฯ ๒ กลุ่ม ได้แก่ ๑.๑.๒.๑ ลูกค้าบุคคลธรรมดาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่กู้เงินแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อการประกอบอาชีพ จัดหาที่อยู่อาศัย การศึกษา และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีหนี้ค้างชำระ และ/หรือหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) โดยไม่รวมลูกหนี้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างดำเนินคดีโดย ธ.ก.ส. และมีหนี้ต้นเงินกู้คงเหลือรวมทุกสัญญาในทุกสถาบันการเงินรวมกันรายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ โดยเป็นสถานะหนี้ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๑.๑.๒.๒ ลูกค้าบุคคลธรรมดาของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ที่กู้เงินแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อการประกอบอาชีพ จัดหาที่อยู่อาศัย การศึกษา และรักษาพยาบาล ฯลฯ ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Loans - NPLs) และ/หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยไม่รวมลูกหนี้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างดำเนินคดีโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น มีหนี้ต้นเงินกู้คงเหลือรวมทุกสัญญาในทุกสถาบันการเงินรวมกันรายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นสถานะหนี้ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ และเป็นผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๓ ระยะเวลาพักหนี้ ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ๑.๑.๔ ระยะเวลาเริ่มต้นโครงการ สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องจะเริ่มดำเนินโครงการโดยเปิดลงทะเบียนลูกค้าที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๓ เดือน ๑.๒ กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง ๖ แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธพว. ธอส. ธอท. และ บตท. ประสานกับสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณต่อไป ๑.๓ หลักการปรับปรุงระบบข้อมูลเครคิตของลูกค้าในฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และมีมติให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตแก้ไขเพิ่มเติมประกาศเรื่องรหัสสถานะบัญชี ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการควรครอบคลุมเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกรอื่น และควรกำหนดแนวทางและมาตรการในการตรวจสอบลูกหนี้ผู้เข้าร่วมโครงการให้ตรงตามคุณสมบัติอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในประเด็นการไม่สามารถชำระหนี้ด้วยเหตุสุดวิสัยและจำเป็น เพื่อมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงตามกำหนดเวลา และมิให้ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเน้นให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์โครงการและได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีแรก รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรของแผนการฟื้นฟูและพัฒนาลูกหนี้ให้ครอบคลุมเนื้อหาการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน ตลอดจนแนวทางการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ การสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือน เพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืนสอดคล้องตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2232 | กรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ - บางซื่อ) ระยะที่ 3 | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ - บางซื่อ) ระยะที่ ๓ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรอบการเจรจากู้เงินฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์การกู้เงิน เป็นโครงการเพื่อเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล บริเวณสถานีบางซื่อ โดยนำผู้โดยสารจากพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเข้าสู่โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนภายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดและความสูญเสียด้านพลังงานจากการจราจรติดขัด เพิ่มการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ลดมลพิษจากการจราจรบนถนน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ถนน ๑.๒ กรอบวงเงินกู้ ๓๑,๗๗๒.๓๕ ล้านเยน หรือเทียบเท่า ๑๑,๗๕๕.๗๗ ล้านบาท ๑.๓ กรอบต้นทุนและระยะเวลาในการกู้ กำหนดกรอบการกู้เงินและระยะเวลาผูกพันเงินกู้ให้สอดคล้องกับลักษณะโครงการ รวมทั้งมีระยะเวลาของเงินกู้ที่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต กรณีการกู้เงินจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) การพิจารณาต้นทุนการกู้เงินจะใช้ต้นทุนที่ได้ทำการแปลงหนี้ต่างประเทศเป็นเงินบาท (Cross Currency Swap) แล้วเปรียบเทียบกับต้นทุนการกู้เงินในประเทศของรัฐบาล ๑.๔ กรอบการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ดำเนินการภายใต้ระเบียบของแหล่งเงินกู้ ๑.๕ กรอบระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินกู้ กำหนดให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการโดยจะเจรจาให้ได้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์สูงสุด ๑.๖ กรอบในการกำกับติดตามและการตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน กำหนดให้มีการตรวจสอบและกำกับติดตามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแหล่งเงินกู้ของโครงการ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้ามาตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายเงินของโครงการ ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอสัญญาเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า สัญญาเงินกู้ฯ เข้าข่ายเป็นสัญญาระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายภายในของต่างประเทศ จึงเห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ตามมาตรา ๒๓ (๒) ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ระบุว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีอำนาจหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและตรวจร่างสัญญา หรือเอกสารทางกฎหมายให้แก่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จัดทำแผนการดำเนินงานก่อสร้างโครงการ แผนการเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารจัดการแผนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องตามแผนการใช้จ่ายจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2233 | ขอความเห็นชอบในการเพิกถอนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระเพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลหนองปรือ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี | กษ | 08/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเพิกถอนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระบางส่วน จำนวนเนื้อที่ประมาณ ๗๐๐ ไร่ เพื่อการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลหนองปรือ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อสร้างและขอเพิกถอน พร้อมทั้งพิกัดที่ถูกต้องชัดเจนให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อดำเนินการตามมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ การวางแผนการบริหารจัดการไว้เพื่อรองรับผลกระทบอันอาจจะเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ การบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ร่วมกับการบริหารอ่างเก็บน้ำลำตะเพินซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางบริเวณตอนบนของลุ่มน้ำห้วยตะเพิน อ่างเก็บน้ำบนลำน้ำสาขาอื่น ๆ และฝายทดน้ำ ตลอดจนการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ และการวางแผนการใช้ที่ดิน เพื่อให้การจัดการน้ำส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน การจัดหาและบริหารแหล่งน้ำขนาดเล็กในระดับชุมชนภายในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการ การกำหนดให้มีมาตรการปลูกป่า/ฟื้นฟูป่าไม้ทดแทนพื้นที่ป่าที่สูญเสียไปจากการก่อสร้าง และการดำเนินการตามข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนเริ่มดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการพัฒนาบนพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว รวมทั้งความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหามวลชนซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2234 | โครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า | วท | 08/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) โดยการพัฒนาและก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระรามเก้ามีพื้นที่ใช้สอยในอาคารประมาณ ๓๖,๕๐๐ ตารางเมตร ในพื้นที่ ๔๒ ไร่ บริเวณองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ด้านเชื่อมต่อกับสระเก็บน้ำพระรามเก้า เทคโนธานี ตำบลคลองหลวง อำเภอคลองห้า จังหวัดปทุมธานี ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๔ ปี ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ โดยจะจัดแสดงเกี่ยวกับระบบนิเวศกับความหลากหลายทางชีวภาพทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก รวมทั้งการจัดการทรัพยากรน้ำและดินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้หัวข้อหลักว่า “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน” ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดแผนการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าที่ชัดเจน การพิจารณาแนวทางการให้เอกชนมีส่วนร่วมในโครงการลงทุนของรัฐ (Public Private Partnership : PPPs) เพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ การปรับรูปแบบการก่อสร้างหรือลดขนาดโครงการฯ และวิธีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการลงทุน การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการดำเนินงาน การพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนที่เข้ามาเยี่ยมชมเกิดความประทับใจและเดินทางกลับมาเยี่ยมชมอีก รวมทั้งการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเพิ่มบริการรถขนส่งสาธารณะเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและพัฒนาความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในลักษณะเครือข่ายของแหล่งท่องเที่ยวเชิงความรู้ (Edutainment Cluster) ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2235 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี (วงจรที่ 3) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี (วงจรที่ ๓) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) (สถานะเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ระบบ ๑๑๕ เควี ๑.๑ ประกวดราคาเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๑.๒ ลงนามในสัญญาจ้างกับบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔ กำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาภายใน ๕๔๐ วัน (กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖) ๑.๓ บริษัทฯ อยู่ระหว่างทำการสำรวจ ออกแบบ แนววางสายเคเบิลใต้น้ำ ๑.๔ การขออนุญาตใช้พื้นที่ เมื่อดำเนินการสำรวจออกแบบแนววางสายเคเบิลใต้น้ำแล้วเสร็จ จะดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมเจ้าท่า กรมอุทกศาสตร์ กรมประมง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เทศบาลอำเภอเกาะสมุย และองค์การบริหารส่วนตำบลขนอม ๒. การก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ๑๑๕ เควี Switching Station ปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติข้อกำหนดขอบเขตและรายละเอียดของงานก่อสร้าง (TOR, Terms of Reference) และหลังจากได้รับอนุมัติ TOR ในการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแล้ว จะทำการประกวดราคาจ้างเหมาเพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๓. กฟภ. อยู่ระหว่างจัดทำ TOR สำหรับจ้างที่ปรึกษาในการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังดำเนินการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2236 | รายงานประจำปีของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยรายงานฯ มีเนื้อหาสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี การพัฒนากระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การดำเนินภารกิจเพื่อพัฒนาครู การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย และการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจให้สาธารณชนตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ๒. การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ได้แก่ การดำเนินโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) การพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ การพัฒนาครูที่มีศักยภาพสูงทดแทนครูที่จะเกษียณอายุและการขาดแคลนครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ในสถานศึกษา ๓. การปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ได้แก่ การจัดโครงการอบรม พัฒนาและประชุมปฏิบัติการให้กับพนักงาน การดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในการติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และการดำเนินกิจกรรมการบริหารจัดการความรู้ในองค์กรและอบรมบุคลากร เพื่อวางแผนและรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้และพัฒนาระบบบฐานข้อมูลองค์ความรู้ ๔. ทิศทางและเป้าหมายการดำเนินงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี อย่างเต็มตามศักยภาพ และการปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ๕. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว โดยผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสวท. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ ตามหลักการบัญชีกระทรวงการคลังกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2237 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 เกี่ยวกับโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช | นร | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน (กบพร.) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการตัดสินผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการประกวดแบบลานเฉลิมพระเกียรติฯ คือ นายพัชระ วงศ์บุญสิน และ บริษัท ภูมิสถาปนิกกรุงเทพ จำกัด โดยแบบที่ชนะการประกวดมีแนวความคิดสื่อถึงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยแสดงถึงความงาม ความมีเอกลักษณ์และความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมผ่านแนวคิด “ลานธรรมชาติ.....ที่มีความธรรมดา” ๒. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กบพร. ได้นำเสนอแบบที่ชนะเลิศต่อคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ๓. นำเสนอแบบที่ชนะเลิศโครงการลานเฉลิมพระเกียรติฯ ต่อราชเลขาธิการเพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอพระราชวินิจฉัย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2238 | ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน | พณ | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA Council) ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน เพิ่มอีก ๑ ปี จากเดิม ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เป็น ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศได้มีโอกาสเข้าร่วมในโครงการนำร่องฯ และทดลองการใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองก่อนที่จะนำระบบนี้มาใช้จริงต่อไป ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน ออกไปอีก ๑ ปี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2239 | การจัดทำคำของบประมาณแบบบูรณาการ โครงการต่อต้านการค้ามนุษย์ | พม | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดทำคำของบประมาณแบบบบูรณาการโครงการต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๐๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้สำนักงบประมาณเพิ่มเติมโครงการต่อการค้ามนุษย์ในแผนงานบูรณาการงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน หากเห็นว่าไม่เพียงพอกับการบริหารงาน ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดมาตรการหรือแผนการดำเนินงานที่เหมาะสม มีการตั้งงบประมาณสนับสนุน ค่าตรวจ วินิจฉัย และรักษาพยาบาลให้แก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่เป็นคนต่างชาติ มีการเก็บข้อมูลค่ารักษาพยาบาลผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่มารับบริการทุกราย เพื่อวิเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลในแต่ละปีว่าใช้งบประมาณมากน้อยเพียงใด รวมทั้งให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2240 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา | ทส | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา วุฒิสภา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นปัญหามลพิษทางน้ำ ระบบการจัดการน้ำเสียและระบบการจัดการขยะในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครสงขลา และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองสะเดา การสนับสนุนส่งเสริมรูปแบบและแนวทางในการบำบัดน้ำเสียให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยคลองอู่ตะเภา การตรวจสอบคุณภาพน้ำจากลำน้ำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการพัฒนาระบบข้อมูลคุณภาพน้ำ : หนึ่งท้องถิ่น หนึ่งจุดเก็บตัวอย่างน้ำ และการจัดทำประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง เกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ การออกแบบการก่อสร้างและจัดการสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนโดยการฝังกลบ การเผาในเตาเผา และการหมักทำปุ๋ย เป็นต้น ๒. ปัญหาการประมงจากการใช้เครื่องมือที่มีจำนวนมากเกินศักยภาพและการกีดขวางการสัญจรทางน้ำของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การดำเนินการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ การจัดตั้งชุมชนเพื่อดูแลและอนุบาลสัตว์น้ำให้แข็งแรงก่อนที่จะใช้ประโยชน์ การจัดตั้งฟาร์มสัตว์น้ำชุมชนและควบคุมไม่ให้มีเครื่องมือประมงประเภทไซนั่งและโพงพางเพิ่มมากขึ้น และการเข้าร่วมในการกำหนดและจัดระเบียบเครื่องมือประมงในบริเวณทะเลสาบสงขลาตอนล่างเพื่อการสัญจรทางน้ำของกรมเจ้าท่า เป็นต้น ๓. ปัญหาความเสื่อมโทรมของป่าต้นน้ำและความตื้นเขินของทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การผนวกพื้นที่บริเวณป่าผาดำและป่าสงวนแห่งชาติบริเวณใกล้เคียงให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง และดำเนินการปลูกป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และบำรุงป่าในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๑ รวมเนื้อที่ ๑,๒๐๐ ไร่ การดำเนินการตามโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และโครงการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่นาร้างเพื่อการเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง และการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ ได้แก่ การตรวจสอบการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและพรุควนเคร็ง รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดินของรัฐในระบบภูมิสารสนเทศ การตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างหนังสือสิทธิในที่ดินทั้งหมด ๓ จังหวัด ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย การตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดสงขลา และการจัดทำโครงการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๕. การขาดการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การสนับสนุนให้เครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเสนอยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... การดำเนินการบริหารจัดการเมืองโบราณหัวเขาแดง พร้อมพื้นที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ๒,๔๖๐ ไร่ การจัดทำระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการให้องค์กรเอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อรองรับการทำงานขององค์กรภาคเอกชน และการตราพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมีกลไกรองรับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดเขตพื้นที่พัฒนา เป็นต้น ๖. ปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดเอกภาพและความต่อเนื่อง และการจัดสรรงบประมาณที่ขาดการบูรณาการ ได้แก่ การจัดทำโครงการเร่งรัดการบังคับใช้ผังเมืองครอบคลุมพื่นที่รอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การจัดทำกรอบแผนงบประมาณประจำปีของลุ่มทะเลสาบสงขลา โดยใช้แผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบเป็นหลัก และจัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ๗. ปัญหาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้แก่ การนำยุทธศาสตร์ที่ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแผนนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดทำแผนงบประมาณสนับสนุน ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเพื่อจัดตั้งเขตพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดให้แก่จังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช และการดำเนินโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการดำรงชีวิตของชุมชนโบราณในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ๘. ปัญหาศักยภาพของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ได้แก่ การจัดทำโครงการและศึกษาข้อมูลด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และการดำเนินการเตรียมการประกาศพื้นที่ที่มีระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ และพื้นที่ที่มีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และเตรียมการเสนอพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เป็นต้น
|
.....