ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 119 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2361 - 2380 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2361 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 6/2553 | นร | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทาง
เศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติของคณะทำงานร่วม ภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๔๘ และส่งเสริมอุตสาห กรรมแปรรูปไม้ยางพารา ในการปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนด ระเบียบ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบ มาตรการระยะยาวที่ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแนวทางการยกเลิก อัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาล ที่กำหนดให้กองทุนฯ ชำระหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มราคาอ้อยฤดูกาลผลิตปี ๒๕๔๑/๒๕๔๒-๒๕๕๑/๒๕๕๒ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้เสร็จสิ้นภาย ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ที่เหมาะสมใหม่สำหรับช่วงหลังเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ได้ข้อสรุปผลการศึกษาเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ๓. มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) รับไปพิจารณาเพิ่มเติมและปรับปรุงข้อมูลเพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนา อุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๔. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคงอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลที่ ๘.๕๐ บาท/ลบ.ม. และเร่งรัดการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายเงินสำหรับโครงการที่จะได้รับการช่วยเหลือ และอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล พ.ศ. .... โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๖๐ วัน ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการประกาศนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ปี ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และพิจารณาความเหมาะสมในการปรับ ลดอัตราภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐ และการกำหนดระยะเวลาการประกาศนโยบาย และมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง) ที่มีอายุมากกว่า ๑ ปี แล้วเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในคราวประชุมวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๖. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแต่งตั้งผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แห่งชาติ และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาประกอบการจัดตั้งสำนักงานเฉพาะกิจด้าน การเจรจาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในเรื่องโครงสร้างและรูปแบบ การทำงานของสำนักงานฯ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งทำความ เข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในเรื่องการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป ๗. มอบหมายให้ประธานผู้แทนการค้าไทยประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องของแนวทางการ ปฏิบัติตามประกาศ ฉบับที่ ๖ ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับภาคเอกชน ส่วนการจัดตั้งคณะ ทำงานร่วมระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อดำเนินการทบทวนบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ให้ใช้ช่องทางของคณะ อนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวง สาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรวิเคราะห์ประเด็นปัญหาอย่างรอบคอบ ชัดเจน เพื่อให้สามารถ กำหนดแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๘. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) ประชาสัมพันธ์ชี้แจงแผนการดำเนินโครงการให้ ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ผู้ประกอบกิจการและธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วม โครงการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2362 | ผลการเยือนราชอาณาจักรสเปนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่างวันที่ 6 - 9 ตุลาคม 2553) | กต | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับ
ผลการเยือนราชอาณาจักรสเปนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๖-๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ไปพิจารณาดำเนินการให้เหมาะสมตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ดังนี้ ๑. การดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับราช อาณาจักรสเปน (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๘) ๒. การบังคับใช้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรสเปนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจ ลงตราระหว่างกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต ๓. การส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงกับภาครัฐสเปน ๔. กรณีนางมาเรีย เนเวซ การ์เซีย อัลคาราซ (Maria Nieves Gracia Alcaraz) นักโทษหญิงชาวสเปนที่ ถูกจับกุมในคดียาเสพติดในไทยเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ ๕. การส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับองค์การการท่องเที่ยวโลก ๖. การส่งเสริมความร่วมมือเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์กับบริษัท Iberdrola Renovables ๗. การส่งเสริมภาคเอกชนสเปนในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ๘ การส่งเสริมความร่วมมือเรื่องอุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือ กับบริษัท Navantia S.A.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2363 | โครงการโรงเรียนดีประจำตำบล | ศธ | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการโรงเรียนดีประจำ
ตำบล ดังนี้ ๑. วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อพัฒนาโรงเรียนในชนบทระดับตำบลให้เป็น “โรงเรียนคุณภาพ” มี ความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านวิชาการ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การพัฒนาสุขภาพอนามัย การเรียนรู้ อาชีพ และกิจกรรมบริการชุมชนอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับนัก เรียนในท้องถิ่นชนบท และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ หรือการมีส่วนร่วมจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานนำไปสู่ความเข้มแข็งของโรงเรียนและรองรับการกระจายอำนาจ ๒. เป้าหมายการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ละ ๑ โรงเรียน (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) รวม ๑๘๒ โรงเรียน และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาคมร่วมคัดเลือก โรงเรียน ๑ โรงเรียน ๑ ตำบล รวมประมาณ ๗,๐๐๐ ตำบล (โดยจะคัดเลือก ๑,๐๐๐ ตำบล เป้าหมายของการพัฒนา ปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และพัฒนาโรงเรียนที่เหลือในปีต่อ ๆ ไป ๓. ภารกิจสำคัญของการพัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล อาทิ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และจัด การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของนักเรียนด้านวิชาการ พื้นฐานอาชีพ ดนตรี กีฬา ศิลปะ และเทคโนโลยี การปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์และพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับภูมิทัศน์และสิ่งแวด ล้อมให้สะอาด ร่มรื่น และปลอดภัย การจัดระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาอย่างเข้มแข็ง การบริหารจัด การศึกษาแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในชุมชนและในท้องถิ่น รวมทั้งพัฒนาครูและบุคลากรตามแผนพัฒนาราย บุคคล (D-Plan) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2364 | โครงการพัฒนาโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อการกระจายโอกาสสำหรับนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ | ศธ | 25/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการพัฒนาโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเพื่อการกระจายโอกาสสำหรับนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ยกเว้นในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับนักเรียนประจำและค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอน เห็นควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวในอัตราคนละ ๘๔,๐๐๐ บาทต่อปี ตามอัตราที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ได้ให้การสนับสนุนห้องเรียนวิทยาศาสตร์โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยในปัจจุบัน สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ (พฤษภาคม-กันยายน ๒๕๕๔) ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จากโครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๑๕ ปี ที่ได้รับมาดำเนินการก่อน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการเชื่อมโยงกับสถาบันอุดมศึกษาหรือหน่วยงานทางวิชาการในพื้นที่เพื่อให้การสนับสนุนด้านการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรมทางวิชาการ การพัฒนาศักยภาพ และเสริมสร้างความสามารถทางวิชาชีพของบุคลากรผู้สอนของโรงเรียน รวมทั้งการเชื่อมโยงกับโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ฯ นอกจากนี้ ควรสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ที่ตั้งโรงเรียนหรือในพื้นที่ใกล้เคียง และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจัดทำเป็นบันทึกข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมีคุณภาพและเป็นการกระจายโอกาสสำหรับนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นการพัฒนาครูผู้สอนในโรงเรียนนั้นด้วย ไปพิจารณาด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จากผลการเรียนของนักเรียนเป็นหลักโดยไม่มีระบบโควตา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2365 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓) ที่ให้มีเอกชนเข้าร่วมลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและบริหารจัดการเดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP Gross Cost นั้น ให้สามารถดำเนินการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ สำหรับช่วงบางใหญ่-เตาปูน ๑ ราย ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ส่วนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการศึกษาให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเด็นกฎหมาย และข้อดี-ข้อเสียในการดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ หาก รฟม. และกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วได้ข้อยุติว่ามีรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) อื่นที่มีความเหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระทางการเงินของภาครัฐแล้ว ก็ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ได้พร้อมกันกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ตามเป้าหมายเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ของรูปแบบในการลงทุนและการให้บริการผู้โดยสารแต่ละรูปแบบ รวมทั้งปรับกรอบระยะเวลาและการดำเนินงานแต่ละกิจกรรมให้ชัดเจน และควรศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือกต่าง ๆ ให้รอบคอบและชัดเจนโดยให้ครอบคลุมถึงการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2366 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะ กรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓) ที่ให้มีเอกชนเข้าร่วมลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและบริหารจัดการ เดินรถของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP Gross Cost นั้น ให้สามารถดำเนิน การคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ สำหรับช่วงบางใหญ่-เตาปูน ๑ ราย ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการตาม มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ส่วนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการศึกษาให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเด็นกฎหมาย และข้อดี-ข้อเสีย ในการดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน -บางซื่อ หาก รฟม. และกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วได้ข้อยุติว่ามีรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) อื่นที่มีความเหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระ ทางการเงินของภาครัฐแล้ว ก็ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถเปิด ให้บริการรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ได้พร้อมกันกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ตาม เป้าหมายเวลาที่กำหนดไว้ต่อไป รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณา คัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนฯ ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ของรูปแบบใน การลงทุนและการให้บริการผู้โดยสารแต่ละรูปแบบ รวมทั้งปรับกรอบระยะเวลาและการดำเนินงานแต่ละกิจกรรม ให้ชัดเจน และควรศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือกต่าง ๆ ให้รอบคอบและชัดเจนโดยให้ครอบคลุมถึงการ บริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2367 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกและการจัดตั้งสถาบันพลาสติก | อก | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติก เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแปร รูปผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในภูมิภาคอาเซียน และสนับสนุนการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ต่าง ๆ ของไทยอย่างยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยมีแผนงานโครงการเร่งด่วน ระยะ ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕- ๒๕๕๙) งบดำเนินโครงการรวม ๗๒๐ ล้านบาท และการจัดตั้งสถาบันพลาสติก ในรูปแบบองค์กรอิสระ ภายใต้ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกไทย ตามที่กระทรวงอุตสาห กรรมเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดในระดับโครงการที่ชัดเจน การบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานที่อาจมีแผนงาน/โครงการในลักษณะเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิด ความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และการใช้งบประมาณ การเพิ่มบทบาทหน้าที่ของสถาบันพลาสติกให้ครอบคลุม อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ และให้มีแผน/มาตรการรองรับกรณีที่สถาบันฯ อาจมีรายได้จากแหล่งอื่นไม่เป็นไป ตามเป้าหมายเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานของสถาบันฯ ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้แก่สถาบันพลาสติก เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2368 | ความคืบหน้าโครงการ "เร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย)" | กค | 16/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการ “เร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย” สรุปได้ดังนี้
๑. การจ้างที่ปรึกษาฯ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้ดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง เพื่อคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาที่เหมาะสมกับโครงการนี้ และคณะกรรมการฯ ได้เลือกบริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และผลงานการดำเนินโครงการตรงกับเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของการจ้างที่ปรึกษา และอยู่ในวงเงินที่เหมาะสม ๒. กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมการดำเนินการโครงการและอำนวยการโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) เพื่ออำนวยการโครงการภายหลังลงนามสัญญาจ้างกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสำเร็จลุล่วงตามนโยบายของรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2369 | การขอยุติโครงการศูนย์รวบรวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออก (POSSEC) | พณ | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบการยุติโครงการศูนย์รวบรวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออก (POSSEC) เนื่องจากปัจจัยแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สถานที่ตั้งของศูนย์ POSSEC ณ ตลาดไท ไม่สอดคล้องกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ในการจัดตั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่าไม่มีประเด็นที่ จะต้องพิจารณาในเรื่องความเสียหายที่คู่สัญญาควรได้รับการชดเชย และให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จัดทำทะเบียนวัสดุครุภัณฑ์ที่ได้ดำเนินการจัดหามาใช้บริการภายในศูนย์ฯ เพื่อดำเนินการจัดสรร และ/หรือจำหน่าย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป รวมทั้งความเห็นของกระทรวง สาธารณสุ ขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีการยุติโครงการแล้ว จะต้องกำชับผู้ผลิตผักและผลไม้เพื่อการส่งออกให้ผลิตผักและผลไม้ที่มีคุณภาพเพื่อรักษาชื่อเสียงของประเทศ และให้มี การชำระบัญชีจัดการแบ่งแยกทรัพย์สินของทางราชการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามข้อเสนอของสำนักงานการตรวจ เงินแผ่นดิน นอกจากนี้ ควรเร่งพิจารณากำหนดกรอบระยะเวลาการยุติการให้บริการให้ชัดเจนและเตรียมมาตรการ ป้องกันผลกระทบสำหรับผู้ประกอบการที่ใช้บริการของศูนย์ POSSEC อยู่ในปัจจุบัน และพิจารณาทบทวนการดำเนิน งานในโครงการอื่น ๆ ที่มีการดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันทั้งในด้านประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และผลกระทบจากการ ดำเนินงาน เพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการต่อไป สำหรับกรณีที่จะมีการจัดเตรียมโครงการใน ลักษณะเดียวกัน เห็นควรให้ความสำคัญกับการศึกษาความเป็นไปได้และความอ่อนไหวของโครงการให้ครอบคลุมถึง การเปลี่ยนแปลงจากบริบทภายในและภายนอกที่จะส่งผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการให้มากขึ้น ไป พิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2370 | รายงานการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 2/2553 | รง | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ ดังนี้
๑. กระทรวงแรงงานได้กำหนดแผนการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยหลังน้ำลดตาม “โครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔” โดยการจ้างให้ทำงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ พร้อมทั้งขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เพิ่มเติม โดยกำหนดเป้าหมายให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น จำนวน ๑๓๘,๗๐๐ คน ประมาณการค่าใช้จ่ายต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเป็นเงิน ๔๐๖,๗๕๙,๖๐๐ บาท ๒. การให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน มีดังนี้ ๒.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการจัดกิจกรรมคาราวานฟื้นฟูผู้ประสบภัย กระทรวงแรงงาน “ถึงที่ ถึงใจ เราไม่ทิ้งกัน” เพื่อให้การช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด ภายใต้กิจกรรมต่าง ๆ เช่น มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย กิจกรรมซ่อมแซมบ้านเรือน ยานพาหนะ เครื่องจักรการเกษตร และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ กิจกรรมจัดบริการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น ๒.๒ สำนักงานประกันสังคมได้ออกประกาศ เรื่อง ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทนของสถานประกอบกิจการที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งได้จัดให้มีโครงการ “ประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย” เพื่อให้ผู้ประกันตนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่ประสบอุทกภัยกู้เพื่อนำไปซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยของครอบครัว รายละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ๒.๓ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยส่งชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ประสบภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ๒.๔ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ออกประกาศขอความร่วมมือสถานประกอบการช่วยเหลือลูกจ้างผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และสั่งการให้จังหวัดสำรวจสถานประกอบการและลูกจ้างผู้ประสบอุทกภัยเพื่อทราบความเดือดร้อน ความต้องการความช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาด้านแรงงาน ตลอดจนขอรับบริจาคเงินและสิ่งของจากสถานประกอบการที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๒.๕ กรมการจัดหางานได้สั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดในภูมิภาคให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามกรอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกรมการจัดหางานในช่วงระหว่างเกิดอุทกภัย และระยะหลังเกิดภัย (น้ำลด)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2371 | รายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 12 การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+3 ครั้งที่ 9 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทส | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Informal Asian Ministerial Meeting on the Environment - 12th IAMME) และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๙ (The 9th ASEAN plus Three Environment Ministers Meeting - 9th EMM+3) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องระหว่าง วันที่ ๑๐ - ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ ณ เมือง Jerudong บรูไนดารุสซาลาม สรุปได้ดังนี้ ๑. การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ (12th IAMME) ที่ประชุม เห็นควรให้มีการจัดการประชุมหารือ (pre - consultation meeting) ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียม การสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ ๑๖ (16 th Session of the Conference of the Parties to the UNFCCC - COP16) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียว โต ครั้งที่ ๖ (the 6th session of the Conference of the Parties serving as the Meeting of the Parties to the Kyoto Protocol - CMP6) และรับทราบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการจัดการ ทรัพยากรน้ำ (ASEAN Strategic Plan on Water Resources Management) ความก้าวหน้าในการดำเนิน งานตามแผนสิ่งแวดล้อมศึกษาของอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕ (ASEAN Environmental Education Plan 2008 - 2012) และความคืบหน้าการจัดทำร่างกลไกของอาเซียน เพื่อส่งเสริมการเฝ้าระวังและติดตามการลัก ลอบทิ้งของเสียที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการทิ้งของเสียจากการเดินเรือทะเล (ASEAN Mechanism to Enhance Surveillance against Illegal Desludging and Disposal of Tanker Sludge at Sea) ๒. การประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๙ (The ASEAN plus Three Environment Ministers Meeting - 9th EMM+3) รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนได้พบปะหารือกับประเทศคู่เจรจา+๓ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ในเรื่อง การดำเนินงานของ China - ASEAN Environmental Cooperation Centre และการปฏิบัติตาม China - ASEAN Strategy on Environmental Protec tion Cooperation การสนับสนุนจากกองทุน Japan ASEAN Integratde Fund (JAIF) ในการดำเนินโครงการ Promotion of Environmentally Sustainable Cities (ESC) in ASEAN Countries และ Taxonomic Capacity Building and Governance for Conservation and Sustainable Use of Biodiversity
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2372 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 09/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบ ประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัย วงเงิน ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท ของคณะกรรมการกลั่น กรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (คณะกรรมการฯ) ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาทรัพยากรน้ำและ การเกษตร สาขาสวัสดิภาพประชาชน จำนวน ๘ โครงการ วงเงินรวม ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรร วงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐ กิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้หน่วยงานทบทวนรายละเอียดโครงการตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ๑.๔ เห็นชอบหลักเกณฑ์การใช้เงินเหลือจ่ายวงเงิน ๒,๓๘๓.๘๒ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ แล้ว มาใช้สนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยโดยให้แจ้งยืนยัน ผลการทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมี มติ ๑.๕ อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อน มีการผูกพันสัญญาโครงการสำหรับโครงการมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย โดย กระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๑.๖ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการให้แก่หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้น ฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามมาตรการเร่งรัดการ ดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็น ควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับ โครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และอาคารเรียน) ให้ขยายเวลาลงนาม ในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด โดยหากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครง การได้ทัน เห็นควรยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ๑.๗ รับทราบและอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติ งานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วยังคงยืนยันความจำเป็นในการดำเนินโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนและปรับแผนการดำเนินงานของโครงการใด ๆ ที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาเพื่อใช้ในการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นการทดแทน โดยให้แจ้ง ข้อมูลการพิจารณาทบทวนฯ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วัน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2373 | การปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ) | นร | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ) เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ แทนนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2374 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมและลำดับความเร่งด่วนทั้งในส่วนของงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ๒. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสรุปดังนี้ ๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าและแนวทางการดำเนินการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับโครงการเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท) ให้ขยายเวลาลงนามในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๒.๓ อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดน่าน แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สกลนคร มุกดาหาร พังงา ตาก ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ) กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๒.๔ ในส่วนของการดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงินรวม ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท และโครงการเดิมที่กระทรวงการคลังกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดส่งคำขอการจัดสรรเงินพร้อมเอกสารรายละเอียดประกอบที่ครบถ้วนให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ นั้น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ราชการต่าง ๆ ตามนัยหลักการที่นายกรัฐมนตรีเสนอ และให้แจ้งยืนยันผลการพิจารณาทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๓ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้สำนักงบประมาณเร่งพิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ โครงการใดที่หน่วยงานเจ้าของโครงการยังคงยืนยันขอจัดสรรเงินตามโครงการเดิมให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2375 | ร่างรายงานการปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม | อส | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างรายงานการปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ฉบับภาษาไทย ๑.๒ ให้คณะกรรมการตรวจทานคำแปลที่สำนักงานอัยการสูงสุดจักได้แต่งตั้งต่อไปตรวจทานคำ แปลรายงานฉบับภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับร่างรายงานฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดส่งรายงานประเทศไทยฉบับสมบูรณ์ไปยังเลขาธิ การสหประชาชาติหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรม การสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับสิทธิ ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในประเทศ ซึ่งยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงฐานทรัพยากรและ ปัญหาผลกระทบจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐได้นำไปสู่ความขัดแย้งและการชุมนุมทางการเมือง หลายครั้ง ดังนั้น ความพยายามของรัฐบาลในการปฏิรูปประเทศไทย จึงควรมุ่งแก้ไขประเด็นความเหลื่อมล้ำดัง กล่าว และควรให้ความสำคัญกับข้อเสนอในการปฏิรูปประเทศไทยที่มาจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจาก ประชาชนโดยนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและควรมีการกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวในร่างรายงานฯ ของประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ในร่างรายงานฯ ของประเทศไทยควรกล่าวถึงความท้าทายในการที่รัฐบาลจะประกันสิทธิทางเศรษฐ กิจ สังคม และวัฒนธรรมแก่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อกติการะหว่างประเทศฯ อย่างทั่วถึง รวมทั้งกล่าวถึงสิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อไปในอนาคตเพื่อให้รับมือกับความท้าทายดังกล่าวซึ่งจะ ทำให้ร่างรายงานฯ ของประเทศไทยมีความสมบูรณ์และมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2376 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก | กษ | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะ
รัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียว เตี้ย และโรคใบหงิก สรุปได้ดังนี้ ๑. การดำเนินงานตามแนวทางเร่งด่วนเพื่อยุติการระบาด ประกอบด้วย ๑.๑ ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นเงินสดในอัตราไร่ละ ๒,๒๘๐ บาท มีเกษตรการเข้าร่วมโครง การจำนวน ๙,๓๖๘ ราย คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๖๐.๖๘๖ ล้านบาท ๑.๒ ดำเนินการไถกลบต้นข้าวในอัตราไร่ละ ๓๕๐ บาท มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน ๙,๔๗๗ ราย พื้นที่ ๑๕๙,๖๔๐ ไร่ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๕,๗๘๗ ล้านบาท ๑.๓ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดในอัตราไร่ละ ๑๕ กิโลกรัม จำนวน ๙๙,๑๕๓ ราย โดยใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวจำนวน ๘,๙๐๓.๖๑ ตัน คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๖๐.๒๖๕ ล้านบาท ๒. การดำเนินงานต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาด ประกอบด้วย ๒.๑ การดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายทอดเทคโนโลยีการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดด สีน้ำตาล โดยประชุมชี้แจงและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาด จัด ทำแปลงสาธิต แปลงพยากรณ์การจัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน เป็นต้น ซึ่งผลจากการดำเนินงานเกษตรกรมี ความรู้ความเข้าใจในการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลตามคำแนะนำของทางราชการเพิ่มขึ้น ๒.๒ การดำเนินโครงป้องกันการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างยั่งยืน โดยผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลชั้นพันธุ์คัด พันธุ์หลัก จำนวน ๘ พันธุ์ รวมทั้งชั้นพันธุ์ขยายและชั้นพันธุ์จำหน่าย ซึ่งผลจากการดำเนินงานจะได้เมล็ดพันธุ์ที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ชั้นพันธุ์คัด ๒๐ ตัน ชั้นพันธุ์หลัก ๒๐๐ ตัน ส่วนเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายและพันธุ์จำหน่ายคาดว่าจะได้เมล็ดพันธุ์ต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากประสบปัญหา อุทกภัย นอกจากนี้ เกษตรกรมีความรู้เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการระบบนิเวศในนาข้าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2377 | รายงานสรุปผลการดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติ "แม่ของแผ่นดิน แม่ทั้งประเทศปลูกต้นไม้ถวาย 77 แสนต้น" เมื่อสิ้นสุดโครงการ | มท | 02/11/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปผลการดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติ
“แม่ของแผ่นดิน แม่ทั้งประเทศปลูกต้นไม้ถวาย ๗๗ แสนต้น” โดยจำนวนต้นไม้ที่ปลูกตามโครงการตั้งแต่เริ่มโครงการ เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ ถึงสิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ ทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๐๓.๑๖ แสนต้น หรือ จำนวน ๓๐,๓๑๕,๙๕๖ ต้น คิดเป็นอัตราร้อยละ ๓๙๓.๗๑ ของเป้าหมายที่กำหนดไว้ (เป้าหมาย จำนวน ๗,๗๐๐,๐๐๐ ต้น)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2378 | การสรุปผลโครงการพัฒนาวิสัยทัศน์และสมรรถนะผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในการบริหารราชการจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ | มท | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอสรุปผลโครงการพัฒนาวิสัยทัศน์และสมรรถนะ
ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในการบริหารราชการจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เพื่อสนับสนุนนโยบายด้านต่าง ๆ ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบ บูรณาการ ซึ่งการดำเนินโครงการได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเดินทางไป ประชุมเจรจาและศึกษาดูงานแบบอย่างการพัฒนาเป็นเลิศจากประเทศที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาในด้าน ต่าง ๆ ในระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม ๓ ด้านหลักของการพัฒนา ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ณ ราชอาณาจักรสเปน กลุ่มที่ ๒ ด้านการส่งเสริมการลงทุนและอุตสาหกรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มที่ ๓ ด้านการส่งเสริมการเกษตรและผลผลิตทางการเกษตร ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ร่วมกันถอดบทเรียนจากการประชุมฯ และได้เสนอข้อคิด เห็นและแนวทางการดำเนินงานซึ่งสามารถนำไปเป็นบทเรียนสำคัญต่อการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในด้านการ ท่องเที่ยว ด้านการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรม และด้านการเกษตรและพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการ แนะนำหรือมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมหรือการขับ เคลื่อนนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติให้สัมฤทธิ์ผลตามที่แถลงต่อรัฐสภา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2379 | การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนไทย - พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 19/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยการก่อสร้างสะพานมิตร ภาพไทย-พม่า แห่งที่สอง จุดก่อสร้างที่บริเวณบ้านวังตะเคียน ฝั่งไทย และบ้านเยปู ฝั่งพม่า ระยะทางประมาณ ๒๒ กิโลเมตร อยู่ในฝั่งไทย ๑๖ กิโลเมตร และอยู่ในฝั่งพม่า ๖ กิโลเมตร ความยาวสะพานที่ข้ามแม่น้ำเมย ๔๐๐ เมตร และการดำเนินโครงการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ระหว่างตำบลแม่ปะ -ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พื้นที่จำนวน ๕,๖๐๓ ไร่ ๕๖ งาน อยู่ติดริมแม่น้ำเมย ทั้งนี้ เพื่อ เป็นการส่งเสริมการขยายตัวของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมชายแดนและเพื่อเป็นการรองรับการเชื่อมโยง ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ในอนาคต ตามความเห็นชอบของ คณะกรรมการพัฒนาธุรกิจการค้าชายแดนไทย-พม่า ๑.๒ เห็นชอบการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด โดยมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดให้เป็นไปอย่างบูรณาการ และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนัก งบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควร กำหนดเป้าหมาย แนวทางการพัฒนาพื้นที่และรูปแบบการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ชัดเจนเป็นรูป ธรรม การกำหนดกิจรรมให้สอดคล้องกับเขตเศรษฐกิจเมียวดีในฝั่งพม่า การกำหนดมาตรการในการอำนวย ความสะดวกและบริหารจัดการแรงงานพม่า และให้ความสำคัญกับการกำหนดแผนแม่บทการใช้ที่ดินและแผน พัฒนาเมืองที่มีประสิทธิภาพและมีการบังคับใช้อย่างจริงจังบนพื้นฐานแนวคิด Green-city/Eco-city เพื่อสร้าง ความสมดุลในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นอกจากนี้ ควร จัดระบบการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในลักษณะเป็นทีมบูรณาการของประเทศไทย และให้ หน่วยงานในระดับท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการให้เร่งรัดคณะกรรมการพัฒนาที่ดินดำเนินการในเรื่องการใช้พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับ ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่ง ที่ ๒ และจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วย งานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการใช้พื้นที่ รวมทั้งจำนวนพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ให้ชัดเจน เหมาะสม โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนพื้นที่ป่าไม้ ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นเรื่องคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทยหารือในรายละเอียดในเรื่องนี้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2380 | วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทยและโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความ ซื่อสัตย์และต่อต้านการทุจริตของคนไทย ที่เสนอโดยกระทรวงวัฒนธรรม และโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติ มิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ที่เสนอโดยสำนักงาน ก.พ.ร. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ โดยให้บูรณาการแผนตามวาระแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นแผนในภาพรวมควบคู่กับการบูรณาการแผน ตามโครงการความร่วมมือส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อประเทศไทยใสสะอาด ซึ่งเป็นแผนเฉพาะและจำเป็นเร่ง ด่วน ๓ เรื่อง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง การแต่งตั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการรณรงค์ค่า นิยมความซื่อสัตย์สุจริต ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับแผนงาน/โครง การตามวาระแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ปลูกจิตสำนึกคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริตและการต่อต้านการทุจริต ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์และต่อต้าน การทุจริต และยุทธศาสตร์ที่ ๓ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่บุคลากรและองค์กรที่ส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริตและป้องกันปราบปรามการทุจริต นั้น เห็นควรเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัด ผู้รับผิดชอบหลัก ผู้รับ ผิดชอบร่วมและระยะเวลาให้ครอบคลุมกลยุทธ์ทุกกลยุทธ์ในทั้ง ๓ ยุทธศาสตร์ รวมทั้งเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมยุทธ ศาสตร์ที่ ๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สอดคล้องตามมติที่ประชุมกำหนดกรอบแนวทางและกล ยุทธ์ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ และเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ ไปพิจารณา ดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง โดยเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ควรพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดหาพัสดุให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยให้ความ สำคัญกับพัสดุที่จะจัดมากกว่าวงเงินสำหรับการจัดหา (ตามระเบียบฯ กำหนดวงเงินไว้ตั้งแต่ ๒ ล้านบาทขึ้นไป) ๓.๒ การกำหนดราคากลาง ควรพิจารณาให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับราคาตลาด และให้สามารถปรับ เปลี่ยนได้ตามเป็นจริงด้วย ๓.๓ การจัดจ้างที่ปรึกษา ควรพิจารณาให้มีระบบหลักเกณฑ์การจ้างที่ปรึกษาที่โปร่งใสเป็นธรรมและ สามารถตรวจสอบได้ โดยมิให้ที่ปรึกษาเข้ามามีบทบาทที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อการดำเนินโครงการ โดย เฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินลงทุนสูง |