ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 114 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2261 - 2280 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2261 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System: CCTV System) และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร | กค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร ซึ่งประกอบด้วยผลการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ และการดำเนินโครงการในระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการโครงการระยะที่ ๑ ในครั้งต่อไปเมื่อการดำเนินโครงการระยะที่ ๒ แล้วเสร็จหรือภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
2262 | โครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนมายกก | พน | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนมายกก ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงินลงทุนรวม ๒,๗๔๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้ กฟผ. สามารถก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนมายกกในสหภาพพม่าได้ทันตามกำหนด และเพื่อเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคเหนือ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนมายกก ให้คำนึงถึงข้อผูกพันที่รัฐบาลไทยมีต่อรัฐบาลสหภาพพม่าในอันที่จะต้องส่งเสริมและให้ความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสหภาพพม่า ตามบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยและสหภาพพม่าได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ และการลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๓ การจัดเวทีให้ภาคประชาชนและประชาสังคมของทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมรับรู้และแสดงความคิดเห็นต่อโครงการฯ การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ หากโครงการฯ มีส่วนที่อยู่ในหรือพาดผ่านพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้เป็นพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ และการเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นหรือจัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) หากสายส่งไฟฟ้าของโครงการฯ มีส่วนที่อยู่ในหรือพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (กก.สศช.) เกี่ยวกับการเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ถ่านหินนำเข้าโดยใช้เทคโนโลยีสะอาด (Clean Coal Technology) และเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น ตลอดจนข้อดีข้อเสียของแต่ละแหล่งผลิตพลังงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2263 | โครงการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนน้ำในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ทส | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินงานแก้ไขปัญหาความขาดแคลนน้ำในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จำเป็นเร่งด่วนต้องให้ความช่วยเหลืออีกจำนวน ๑๓ แห่ง ตามแนวทางปฏิบัติงานโครงการสำรวจและพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) เป็นผู้ดำเนินการ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน ๑๘,๐๐๕,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขอทำความตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินโครงการฯ กับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ ซึ่งมีโรงเรียน ๑ แห่งอยู่นอกพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ โรงเรียนจริยศาสน์อิสลาม หมู่ ๕ ตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา รวมทั้งประสานกับจังหวัดสงขลาอย่างใกล้ชิดในกรณีที่ตรวจสอบพื้นที่แล้วไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากอยู่นอกพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของโรงเรียนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2264 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ของกรมชลประทาน จำนวน ๓๗๐ โครงการ วงเงิน ๘๕๕.๒๙๒๗ ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินงานของกรมชลประทาน ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ภายในกรอบวงเงิน ๘๕๕.๒๙๒๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายสำหรับโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มเติม วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘๓ ล้านบาท โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดทำรายละเอียดแผนการบูรณาการโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแผนการกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พิจารณาก่อนขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และเห็นชอบการยกเว้นดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เพื่อให้สามารถอนุมัติจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายสำหรับโครงการของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้โครงการที่มีระยะเวลาดำเนินงาน ๑ ปี ทั้งในส่วนที่เป็นงบลงทุนที่มีการลงนามในสัญญาแล้วและงบดำเนินงานสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายได้ต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของโครงการ ทั้งนี้ หน่วยงานจะต้องดำเนินการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับส่วนที่เกินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้จัดหาแล่งเงินอื่นมาสนับสนุนการดำเนินโครงการต่อไป สำหรับโครงการที่ขอขยายระยะเวลาลงนามในสัญญาหรือโครงการที่ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายแต่ยังไม่ลงนามในสัญญาหรือยังไม่เริ่มดำเนินงาน ให้หน่วยงานเสนอระยะเวลาเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งระยะเวลาดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการฯ พิจารณาประกอบด้วย เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หากไม่สามารถดำเนินการได้ทันเห็นควรยกเลิกโครงการ และรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายใต้สาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ๑.๔ เห็นชอบการระงับโครงการศึกษาฟื้นฟู อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ๑.๕ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงวงเงินโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเครือข่ายบริการทุกระดับ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ บ้านพักข้าราชการ ระดับ ๗ - ๘ โรงพยาบาลเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และบ้านพักข้าราชการ ระดับ ๗ - ๘ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยใช้เงินบำรุงสมทบวงเงิน ๑๒๐,๖๐๐ บาท สำหรับรายการจัดซื้อจัดจ้างที่สูงกว่าวงเงินที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับอนุมัติ ๑.๖ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ วงเงินไม่เกิน ๗๐,๑๖๙.๗๑ ล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารหนี้และกระจายภาระการชำระหนี้ของรัฐบาล ๑.๗ อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๑๘,๐๕๓.๗๐๙๐ ล้านบาท ประกอบด้วย สาขาขนส่ง สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาการศึกษา สาขาสาธารณสุขโครงสร้างพื้นฐาน และสาขาสาธารณสุขพัฒนาบุคลากร ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๘ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๒,๔๗๕.๔๓๓๔ ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนภาครัฐที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศและโครงการที่จะสนับสนุนการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๙ รับทราบแนวทางการจัดสรรเงินกู้ DPL ให้แก่หน่วยงาน ๒. ให้ส่วนราชการที่ขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ และส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรเงินกู้ DPL เร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
2265 | ยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาการประกันภัยพืชผลและโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2554 | กค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการพิจารณากรอบแนวทางการประกันภัยพืชผลอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติเสนอ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาการประกันพืชผล (ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕) ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากรอบแนวทางการประกันภัยพืชผลอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ มีสาระสำคัญคือ เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยเพื่อจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๒ ประเด็นยุทธศาสตร์หลัก คือ การจัดการโครสร้างพื้นฐาน และการสร้างดุลยภาพของตลาดประกันภัยพืชผล โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการดำเนินงาน ๗ โครงการ วงเงิน ๔๕,๔๐๐,๙๔๕ บาท และในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีการดำเนินการ ๓ โครงการ วงเงิน ๘,๓๐๐,๐๐๐ บาท ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ๓ ชนิดหลัก ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง อย่างน้อย ๑ ล้านครัวเรือน มีหลักประกันความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และได้รูปแบบการประกันภัยที่เหมาะสม ๑.๒ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญคือ คงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของรัฐในปัจจุบัน โดยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับเงินช่วยเหลือในอัตรา ๖๐๖ บาท ต่อไร่ และสร้างระบบประกันภัยสำหรับเกษตรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ได้รับความคุ้มครองเมื่อผลผลิตได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ รวม ๒,๐๐๖ บาท ต่อไร่ รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับประกันภัยในส่วนที่เพิ่มเติมจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของรัฐ โดยใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยมีอัตราเบี้ยประกันภัยที่สมาคมประกันวินาศภัยเสนออยู่ที่ ๑๒๐ บาทต่อไร่ สำหรับวงเงินความคุ้มครอง ๑,๔๐๐ บาท ต่อไร่ (อัตราเบี้ยประกันสุทธิ รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์อยู่ที่ ๑๒๙.๔๗ บาทต่อไร่) ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีจำนวนมากเพียงพอที่ทำให้ความเสี่ยงภัยกระจายทั้งประเทศ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดลองจ่ายไปก่อน และเสนอขอเงินชดเชยจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานงานให้ ธ.ก.ส. พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับเกษตรกรลงอีกเพื่อลดภาระงบประมาณสำหรับการชดเชยดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2266 | การรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่างประเทศและการกำหนดระดับราคาปุ๋ยเคมีของโครงการ | กษ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีนำเข้าจากต่างประเทศและการกำหนดระดับราคาปุ๋ยเคมีของโครงการ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำเข้าปุ๋ยยูเรียตามโครงการฯ ได้มีการนำเข้าจำนวน ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน ราคาตันละ ๑๔,๐๐๐ บาท ครั้งที่ ๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน ราคาตันละ ๑๒,๖๐๐ บาท ๒. การจำหน่ายปุ๋ยรอบแรก จำหน่ายปุ๋ยรวม ๘,๘๑๔.๒๕ ตัน ราคาตันละ ๑๕,๘๐๐ บาท มีรายได้จากการจำหน่ายรวม ๑๓๙,๒๖๕,๑๕๐ บาท หักต้นทุนการจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแล้ว ไม่มีผลกำไร/ขาดทุน ส่วนการจำหน่ายรอบที่สอง จำหน่ายปุ๋ยรวม ๑๑,๑๘๕.๗๕ ตัน ราคาตันละ ๑๐,๐๐๐ บาท มีรายได้จากการจำหน่ายรวม ๑๑๑,๘๕๗,๕๐๐ บาท หักต้นทุนการจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแล้วประสบผลขาดทุน ๕๔,๗๑๓,๗๗๖.๐๙ บาท ๓. การดำเนินการตามข้อ ๑ และ ๒ ใช้งบประมาณจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2267 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชนด้านสุขภาพอนามัยและพัฒนาการของเด็ก | สธ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชนด้านสุขภาพอนามัยและพัฒนาการของเด็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ ระหว่างเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ - กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนงานที่ ๑ หนังสือเล่มแรก ๑.๑ การมอบหนังสือเล่มแรก ๑.๑.๑ เด็กแรกเกิด จำนวน ๗๙๐,๐๐๐ คน ได้รับหนังสือเล่มแรก ชื่อ ตั้งไข่ล้ม ๑.๑.๒ เด็กอายุ ๖ เดือน จำนวน ๒๖๔,๐๐๐ คน ได้รับหนังสือเล่มที่ ๒ ชื่อ ติ๊กต่อก ๑.๑.๓ เด็กอายุ ๑๒ เดือน จำนวน ๑๓๒,๐๐๐ คน ได้รับหนังสือเล่มที่ ๓ นิทานอิสป ๑.๒ อบรมพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกจังหวัดให้มีทักษะสอนพ่อแม่ใช้หนังสือกับลูกได้ถูกต้อง จำนวน ๑๒,๕๕๖ คน สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑๒,๐๐๐ คน ๒. แผนงานที่ ๒ การพัฒนาคุณภาพศูนย์เด็กเล็ก ๒.๑ ครูพี่เลี้ยง จำนวน ๖,๔๑๙ คน ได้รับการอบรมการให้บริการเด็กในศูนย์เด็กเล็ก เน้นการส่งเสริมสุขภาพอนามัยพัฒนาการ ส่งเสริมโภชนาการ และการเจริญเติบโต ๓. แผนงานที่ ๓ การพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขและชุมชน ๓.๑ อบรมอาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน ๙,๔๑๒ คน เป้าหมาย ๖,๔๑๙ คน ให้มีความรู้และสามารถแนะนำพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็กให้ใช้หนังสือเล่มแรกกับลูกได้ถูกต้อง ๓.๒ อาสาสมัครสาธารณสุข จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ คน ได้รับคู่มือปฏิบัติงานสำหรับอาสาสมัคร เพื่อการปฏิบัติงาน และเยี่ยมบ้าน ส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด ๔. แผนงานที่ ๔ การบริหารจัดการ ๔.๑ จังหวัดมีคณะกรรมการกำกับติดตามงานระดับจังหวัด ๔.๒ เผยแพร่ความรู้ ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนทั่วไปทราบ ๔.๓ ผลิตสื่อการสอนให้ความรู้กับพ่อแม่ทุกโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
|
||||||||||||||||||||||||
2268 | ขออนุมัติโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม | คค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ประกอบด้วย การจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เป็นหน่วยงานภายใต้ สนข. การดำเนินงานตามแผนงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม [Program Management Services (PMS)] และการดำเนินงานจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินงานของสำนักงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ต่างประเทศเพื่อดำเนินงานตามแผนงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และการดำเนินงานทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง ตามโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมดังกล่าวต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการเร่งพิจารณาโครงสร้างการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางรางในภาพรวมโดยกำหนดกลไกการกำกับดูแลเพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และกำกับการให้บริการระบบขนส่งมวลชนให้ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งคุ้มครองผู้ใช้บริการและสร้างความเป็นธรรมระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ การเร่งพิจารณากำหนดรูปแบบองค์กรบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมในระยะต่อไปที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนทางรางในภาพรวม การกำหนดแนวทางการถ่ายโอนภารกิจจากสำนักงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมไปสู่องค์กรที่ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบตั๋วร่วมในระยะต่อไปที่ชัดเจน การพิจารณาทบทวนรูปแบบการจัดตั้งหน่วยงาน การกำหนดประเภทอัตรากำลังและรูปแบบการจ้างงานให้เหมาะสมกับบทบาท ภารกิจ และวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการฯ และให้ความสำคัญกับการกำหนดอัตราค่าโดยสารและค่าเชื่อมต่อที่เหมาะสมและเป็นธรรม ตลอดจนเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งและระบบเชื่อมต่อกับสาขาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมที่เสนอขอใช้งบประมาณแผ่นดินในปีที่เปิดดำเนินการในปีที่ ๕ เมื่อได้ข้อยุติที่เกี่ยวกับองค์การที่จะทำหน้าที่บริหารจัดการแล้ว ให้กระทรวงคมนาคมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
2269 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 3/2554 | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่อง แนวทางการดำเนินงานของเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) และผลการศึกษาเบื้องต้นการติดตามประเมินผลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ตามแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการเงินกู้ DPL ตามวัตถุประสงค์ที่ ๓ (การสนับสนุนโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕) ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่เห็นว่า การพิจารณาโครงการเงินกู้ DPL ควรพิจารณากลั่นกรองจากโครงการใหม่ทั้งหมด โดยให้ความสำคัญกับโครงการตามวัตถุประสงค์ ๑ (เพื่อใช้ในการสนับสนุนโครงการลงทุนภาครัฐที่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว) และ ๒ (เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของประเทศ) เพื่อให้ได้โครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการพิจารณากลั่นกรองโครงการเงินกู้ DPL สอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำกับการดำเนินการศึกษาโครงการวางระบบติดตามประเมินผลแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำข้อสังเกตของคณะกรรมการติดตามฯ ในเรื่องการกำหนดตัวชี้วัดโครงการที่เหมาะสม ความสอดคล้องระหว่างตัวชี้วัดในแผนงานรวมกับแผนงานย่อย การปรับปรุงข้อความให้เหมาะสมและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และการสุ่มตัวอย่างโครงการในการติดตามประเมินผล ไปปรับปรุงรายงานการศึกษา เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ที่รับผิดชอบแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2270 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน | พณ | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชนระยะเวลา ๓ เดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยคัดเลือกผู้ผลิตสินค้า เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน (OTOP) ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (SEMs) นำสินค้าที่มีคุณภาพมาจำหน่ายโดยตรงให้แก่ผู้บริโภคในราคาลดพิเศษ โดยกำหนดกลุ่มสินค้าเป้าหมาย ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าคนจน เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย เนื้อสัตว์ น้ำปลา เป็นต้น กลุ่มสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก แชมพู เป็นต้น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น อาหารสำเร็จรูป เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น และกลุ่มสินค้าเกษตรและสินค้าท้องถิ่น เช่น ผัก ผลไม้ สินค้า OTOP เป็นต้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตัดรายการค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดงานจำหน่ายสินค้าออก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่ดำเนินการควรพิจารณาให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน เช่น พื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ และควรคำนึงถึงความสะดวกในการเดินทางของกลุ่มเป้าหมายเพื่อมิให้เป็นภาระต่อผู้มีรายได้น้อย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดงานดังกล่าวอนุมัติให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑๖๙,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
2271 | โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พนม.) ในพื้นที่ ๑๒ อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน ๖๒๐ หมู่บ้าน ตามที่ ศอ.บต. เสนอ ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ พนม. ในพื้นที่เป้าหมาย ๖๒๐ หมู่บ้าน ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๔ - กันยายน ๒๕๕๔ รวมระยะเวลา ๖ เดือน นั้น เนื่องจากระยะเวลาได้ล่วงเลยมาแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามระยะเวลาที่ดำเนินการได้จริง เห็นควรให้ ศอ.บต. ดำเนินการในระยะเวลา ๕ เดือน จากกรอบวงเงิน ๑๘๐,๖๘๘,๐๐๐ บาท ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
2272 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global positioning System: GPS) มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ 1 | คค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System : GPS) มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ ๑ และเห็นชอบในหลักการแนวทางและมาตรการในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยแนวทางและมาตรการในการดำเนินงาน มีดังนี้ ๑.๑ แนวทางในการดำเนินงาน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ระยะที่ ๑ รวบรวม ศึกษา วิเคราะห์สภาพการใช้รถสาธารณะ กำหนดกลุ่มและจัดลำดับความสำคัญ รวมทั้งแนวทางการปรับแก้กฎหมาย ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินโครงการนำร่องตามกลุ่มรถที่จัดลำดับแล้วภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑.๒ ระยะที่ ๒ปรับแก้ไขกฎหมาย ข้อบังคับ และประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการนำระบบ GPS มาติดตั้งกับรถสาธารณะ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๑.๑.๓ ระยะที่ ๓ จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการการเดินรถสาธารณะด้วยระบบ GPS และศูนย์ฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบ GPS ทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐและผู้ประกอบการขนส่งภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ๑.๑.๔ ใช้ระบบ GPS ในการกำกับดูแลการเดินรถสาธารณะเต็มรูปแบบภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ มาตรการในการดำเนินงานในระยะแรกภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๑ ให้บริษัท วิทยุการบิน แห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เร่งรัดการศึกษาออกแบบสถาปัตยกรรมศูนย์บูรณาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบแห่งชาติ (NMTIC) ซึ่งจะเป็นภาพรวมการบริหารจัดการคมนาคมขนส่งของประเทศ ๑.๒.๒ ให้กรมการขนส่งทางบกขยายผลการศึกษาโครงการศึกษาเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลรถโดยสารประจำทางโดยใช้เทคโนโลยีให้ครอบคลุมการกำหนดแนวทางและมาตรการในการนำระบบ GPS มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะทั้งระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม ตรวจสอบ และยกระดับความปลอดภัยทางถนน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินงานในระยะที่ ๑ ควรศึกษารูปแบบการลงทุนและการดำเนินงานที่เหมาะสม คุ้มค่า ตลอดจนรูปแบบและโครงสร้างองค์กรที่จะเป็นกลไกในการดำเนินงานและความสัมพันธ์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการติดตามควบคุมการเดินรถ การวางแผน และการให้บริการต่อสาธารณะได้อย่างแท้จริง ส่วนการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการการเดินรถสาธารณะด้วยระบบ GPS ตามที่กำหนดในระยะที่ ๓ ควรพิจารณาดำเนินการภายหลังจากการศึกษารูปแบบ โครงสร้างองค์กร การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบข้อบังคับแล้วเสร็จ และควรพิจารณาการใช้ประโยชน์ข้อมูลสารสนเทศจากการดำเนินโครงการทั้งในเชิงสาธารณะและเชิงพาณิชย์เพื่อลดภาระงบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรต่อไป นอกจากนี้ การลงทุนในการนำระบบ GPS มาใช้กับรถสาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เห็นควรให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของระบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2273 | โครงการศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ | รง | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ เพื่อจัดทำระบบสารสนเทศเชิงบูรณาการด้านแรงงานให้รองรับการใช้ข้อมูลที่หลากหลาย ให้สามารถนำเสนอข้อมูลในหลากหลายมิติในเชิงการวิเคราะห์ และเชิงพื้นที่ สามารถรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้านแรงงานและการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี ๗ สาขาวิชาชีพที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างทันที รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้กระทรวงแรงงานมีศูนย์ปฏิบัติการด้านแรงงานที่ตอบสนองความต้องการสำหรับการบูรณาการด้านแรงงานของประเทศ และมีการคงอยู่ที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เท่าที่จำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้กระทรวงแรงงานเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามขั้นตอนต่อไป โดยอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ และให้กระทรวงแรงงานขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานจัดหาระบบ การออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บข้อมูลที่หน่วยงานอื่นจัดเก็บตามอำนาจหน้าที่ในกฎหมายแล้ว รวมทั้งหลักเกณฑ์การจัดหาครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์และโปรแกรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2274 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 งบกลาง โครงการกรุงเทพฯ เมืองปลอดภัย ห่างไกลอาชญากรรมตามโครงการปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ แผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย | ตช | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๒๓,๖๗๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการกรุงเทพฯ เมืองปลอดภัยห่างไกลอาชญากรรม ทั้งนี้ ในการติดตามประเมินผลโครงการฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการโครงการฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการโครงการฯ ในระยะต่อไป รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามปกติของเจ้าหน้าที่ตำรวจและการบริหารจัดการองค์กร เพื่อเตรียมการรองรับภารกิจภายหลังจากโครงการฯ สิ้นสุดลงด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนากลไกในการบูรณาการกำลังพลจากหน่วยงานอื่นในการร่วมป้องกันและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรม การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีต่าง ๆ ในการร่วมป้องกันและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ การพิจารณาคัดเลือกผู้ที่มีจิตสาธารณะในการเฝ้าระวังอาชญากรรมที่มีความพร้อมจริง การจัดลำดับความสำคัญของการให้บริการในพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงสูง รวมทั้งการติดตามประเมินผลโดยมีตัวชี้วัดที่สะท้อนประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลสัมฤทธิ์ในมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากจำนวนคดีอาชญากรรม เช่น ความรู้สึกปลอดภัยของประชาชนในมิติต่าง ๆ จำนวนภาคีการเฝ้าระวังอาชญากรรมและการช่วยลดปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น เพื่อจะได้ตัวชี้วัดที่มีความเหมาะสมกับสภาพของปัญหาอาชญากรรมในปัจจุบันและสภาพพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2275 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2554 | นร | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่ กพต. เสนอ โดยที่ประชุม กพต. มีมติในเรื่องต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กพต. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๓ เรื่อง ประกอบด้วย ระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๓ ฉบับ แผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ และความก้าวหน้าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมโครงการในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๘ โครงการ ๒. รับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (อชต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ประกอบด้วย เรื่องที่ อชต. พิจารณา จำนวน ๑๒ เรื่อง เรื่องที่ อชต. รับทราบ ๕ เรื่อง ๓. รับทราบผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการค้า การลงทุน และการพัฒนาด่านชายแดนไทย - มาเลเซีย ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๔ ประกอบด้วย การกำหนดแนวทางและขั้นตอนการจัดทำแผนการส่งเสริมด้านการค้า และการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน ๔ ประเด็น คือ การประเมินสถานการณ์ปัญหาและแนวโน้ม การประเมินศักยภาพและโอกาสการพัฒนา การกำหนดประเด็นท้าทาย และการทบทวนและจัดทำแผนงาน โครงการและมาตรการ และโครงการสร้างงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๔. รับทราบความก้าวหน้าการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัว มรดก และการพิจารณาคดี พ.ศ. .... ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับรองแล้ว รวม ๓ ฉบับ ๕. รับทราบเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ส่วนราชการได้รับจัดสรรตามแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับแจ้งยืนยันการจัดสรรงบประมาณจาก ๑๒ หน่วยงาน งบประมาณ ๕,๐๘๓.๔๖๗๒ ล้านบาท ที่เหลืออีก ๘ หน่วยงาน อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ในส่วนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๑,๓๗๙.๗๑๙ ล้านบาท ๖. รับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยปรับถ้อยคำในระเบียบฯ ข้อ ๒๕ เรื่อง การโอนเปลี่ยนแปลงโครงการหรือใช้เงินเหลือจ่ายจากโครงการ จากอำนาจของคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) มาเป็นของ กพต. ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ ได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการปรับแก้ร่างระเบียบฯ เพื่อให้มีความถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น และให้จัดส่งร่างระเบียบฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไป ๗. เห็นชอบโครงการที่ อชต. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ พิจารณาให้ความเห็นชอบ จำนวน ๓ โครงการ ประกอบด้วย โครงการศูนย์ครูใต้ (การขยายเวลาการลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลา และศูนย์ครูใต้จังหวัดนราธิวาส) โครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา วิทยาเขตสตูล และโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองยะลา พร้อมบ้านพักตุลาการและข้าราชการ ๘. เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินโครงการปรับปรุงหออภิบาลผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการปรับปรุงหออภิบาลฯ จำนวน ๑๕๐.๐๐ ล้านบาท ๙. เห็นชอบร่างระเบียบ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างระเบียบว่าด้วยการมอบอำนาจให้แก่เลขาธิการ ศอ.บต. และการมอบอำนาจของเลขาธิการ ศอ.บต. พ.ศ. .... ร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุมัติให้เลื่อนเงินเดือนประจำปีเป็นกรณีพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. .... และร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุมัติให้เลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. .... ๑๐. เห็นชอบระบบฐานข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ ศอ.บต. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ อชต. รับผิดชอบในการติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการตามแผนดังกล่าวที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้น สำหรับการติดตามและรายงานผลการดำเนินการ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รับผิดชอบในการบันทึกข้อมูลผลการดำเนินงานและผลการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการเพื่อรายงาน อชต. ตามระยะเวลาที่กำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2276 | โครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า | วท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับเรื่อง โครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ไปเพื่อนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณา ตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ต่อไปให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งจัดทำข้อมูลตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการฯ จากการวิเคราะห์ความเสี่ยง โดยการทดสอบความไวของผลตอบแทนทางการเงินต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่สำคัญ เช่น การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าก่อสร้าง และความล่าช้าของการเกิดผลประโยชน์อย่างเต็มที่ รวมทั้งจัดทำรายละเอียดประมาณการรายได้ แนวทางการหารายได้ และการพิจารณาความเหมาะสมในการให้เอกชนซึ่งมีความเป็นมืออาชีพเข้าร่วมดำเนินการ/ลงทุนในบางกิจกรรม เพื่อลดภาระการอุดหนุนงบประมาณรายปีของภาครัฐ รวมถึงการประเมินผลการดำเนินงานพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา และการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งให้คณะกรรมการฯ เพื่อประกอบการพิจารณาโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
2277 | การดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการการเดินอากาศของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด | คค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการการเดินอากาศของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) และให้กระทรวงคมนาคม และ บวท. ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้
๑. ให้คงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๕ เกี่ยวกับการให้ผู้ใช้ประโยชน์ (สายการบิน) เป็นผู้รับภาระการดำเนินงานและการลงทุนของ บวท. โดยยังคงยึดหลักการและวัตถุประสงค์ของการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ไม่แสวงหากำไร ทั้งนี้ ให้ บวท. เป็นผู้รับภาระการลงทุนตามโครงการ โดยเร่งจัดเก็บค่าบริการรอเรียกเก็บสะสมจากสมาชิกสายการบินผู้ถือหุ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน ๘๒๘ ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบการลงทุนตามโครงการและจัดหาแหล่งเงินกู้เพื่อการลงทุนในส่วนที่เหลือ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าบริการควบคุมจราจรทางอากาศให้สะท้อนต้นทุนการดำเนินการและภาระการลงทุนด้านการให้บริการจราจรทางอากาศ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ใช้บริการควบคุมจราจรทางอากาศและบริการการบินทดสอบต้องชำระค่าบริการให้กับ บวท. ๓. ให้ บวท. จัดทำแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว โดยพิจารณาการเพิ่มรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและอื่น ๆ โดยอาจปรับโครงสร้างหน่วยธุรกิจเพื่อให้สามารถแยกบัญชีให้ชัดเจนระหว่างกิจกรรมที่ให้บริการเชิงสังคมและกิจกรรมที่สร้างรายได้ในเชิงธุรกิจให้กับ บวท. ควบคู่กับการพิจารณาแนวทางการลดรายจ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายบุคลากร ๔. ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน และแนวทางการพัฒนาส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องให้มีความเชื่อมโยงและบูรณาการอย่างเป็นระบบ สามารถแข่งขันได้ และสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค รวมทั้งสร้างความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจสาขาขนส่งทางอากาศในการเป็นพันธมิตรและสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน ๕. ให้กระทรวงคมนาคมปรับโครงสร้างและพัฒนากลไกการกำกับดูแลสาขาการขนส่งทางอากาศ โดยกรมการบินพลเรือนควรพัฒนาองค์กรให้มีความพร้อมเพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศ และยกระดับการเป็นองค์กรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานด้านการขนส่งทางอากาศที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นสากล |
||||||||||||||||||||||||
2278 | ขอรับความเห็นชอบโครงการลงทุนด้านรถจักรและล้อเลื่อน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการลงทุนด้านรถจักรและล้อเลื่อน วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑๔,๙๐๓.๕๕ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน วงเงิน ๔,๙๘๑.๐๕ ล้านบาท แทนการจัดหาขบวนรถโดยสารรูปแบบชุด (Train Set) สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๖ ขบวน โครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน วงเงิน ๖,๕๖๒.๕๐ ล้านบาท และโครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตอม จำนวน ๕๖ คัน วงเงิน ๓,๓๖๐ ล้านบาท โดยให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายจากเงินกู้ และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ประเด็นความเห็นเกี่ยวกับโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน ได้แก่ การจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมด้านเทคนิคและราคาต่อหน่วยของโครงการฯ โดยเปรียบเทียบความแตกต่างทางเทคนิคของตู้รถโดยสารที่เสนอในครั้งนี้กับโครงการจัดหาขบวนรถโดยสารรูปแบบชุด (Train Set) และความเหมาะสมของประมาณการวงเงินลงทุนเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี การศึกษาผลกระทบจากการพัฒนากิจการรถไฟร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้ในการกำหนดแผนธุรกิจของ รฟท. และแผนพัฒนาระบบรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการจัดหารถโดยสารและรถสินค้าในระยะต่อไป การเร่งรัดแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ การจัดหาแหล่งเงินดำเนินการ โดยเฉพาะในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางราง การปรับปรุงตารางการเดินรถให้สอดคล้องกับประมาณการการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และการเร่งสำรวจพฤติกรรมการเดินทางและความต้องการของผู้โดยสารทางรถไฟ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนส่งเสริมการขายและการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้โดยสาร ๒.๒ ประเด็นความเห็นเกี่ยวกับโครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน และโครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตรอม จำนวน ๕๖ คัน ได้แก่ การพิจารณาศึกษาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการพัฒนากิจการรถไฟ และการเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ จำนวน ๕๐ คัน การศึกษาผลกระทบจากการพัฒนากิจการรถไฟร่วมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้ในการกำหนดแผนธุรกิจของ รฟท. และแผนพัฒนาทางรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบัน การเร่งพัฒนาระบบการบริหารจัดการรถจักร (Fleet Management) ที่ครอบคลุมทั้งด้านแผนการใช้งานของรถจักร แผนการจัดหาหรือซ่อมบำรุงรถจักร รวมทั้งแผนการปลดระวางรถจักรอย่างเป็นระบบ การจัดทำแผนการส่งเสริมการตลาดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและผู้ประกอบการมาใช้บริการขนส่งทางรถไฟเพิ่มมากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลที่ดินของ รฟท. เพื่อให้ทราบจำนวนพื้นที่ ที่ตั้ง และการใช้ประโยชน์ที่ดินของ รฟท. ในปัจจุบัน และการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาและค้ำประกันเงินกู้เพื่อรองรับการดำเนินโครงการลงทุนด้านรถจักรและล้อเลื่อนของ รฟท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
2279 | การกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) | วท | 03/05/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนฯ มีดังนี้
๑. การนำทุนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการวัตถุประสงค์ของสำนักงานฯ โดยไม่มุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก แต่ไม่รวมถึงการนำองค์ความรู้ไปดำเนินการกับนิติบุคคลอื่น ๒. ในแต่ละปีงบประมาณ การเข้าร่วมทุนมีวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ แต่ต้องไม่เกินห้าสิบล้านบาท ๓. สำนักงานฯ เข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ ๔. คณะกรรมการบริหารสำนักงานฯ มีอำนาจพิจารณาอนุมัติการเข้าร่วมทุนในวงเงินไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท ๕. กรณีการเข้าร่วมทุนมีวงเงินเกินกว่าห้าสิบล้านบาทให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ๖. ในการร่วมทุนหากปรากฏว่าเข้าลักษณะการร่วมทุนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ๗. การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานฯ ต้องพิจารณารายละเอียดการดำเนินโครงการการวิเคราะห์หรือแสดงแผนธุรกิจ รายละเอียดอื่นอันจำเป็นกรณีนิติบุคคลนั้นเป็นเอกชน ๘. สำนักงานฯ จะแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการก่อนเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ |
||||||||||||||||||||||||
2280 | โครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา ตามผลการศึกษาของกรมธนารักษ์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามมาตรา ๙ (๒) เพื่อกรมธนารักษ์จะได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ เพื่อดำเนินการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานโครงการนี้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๑.๒ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา โดยเฉพาะกรมเจ้าท่าให้ขอตั้งงบประมาณทุกปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานขุดลอกและรักษาความลึกของร่องน้ำสงขลาให้อยู่ที่ระดับ ๙ เมตร ตลอดเวลา และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง และเป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการกิจการของรัฐ และการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคม จัดเตรียมข้อมูลในประเด็นสำคัญที่จำเป็นต้องสร้างความชัดเจนก่อนการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยาของทะเลสาบสงขลา การกัดเซาะพื้นชายฝั่งจากการขุดลอกร่องน้ำ บทบาทของท่าเรือสงขลาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงกับท่าเรือ ความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือสงขลาและท่าเรือในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งระบบโลจิสติกส์ของประเทศโดยรวม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ค่าใช้จ่ายในการขุดลอกและรักษาความลึกของร่องน้ำสงขลาให้อยู่ที่ระดับ ๙ เมตร ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) จัดทำรายละเอียดตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่สำนักงบประมาณกำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
.....