ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 117 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2321 - 2340 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2321 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยกรณีเกิดจลาจล (เพิ่มเติม) | กก | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการขยายกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในกรณีเกิดจลาจล ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ส่วนรายละเอียดในการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้แก้ไขตัวเลขกรอบวงเงินที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอขอ จำนวน ๓๑,๙๗๔,๐๐๐ บาท เป็น ๓๑,๙๗๓,๙๐๒.๕๙ บาท ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวในระยะเวลาที่เหลือของโครงการเพื่อพิจารณาความจำเป็นของการขอขยายกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกินกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ รวมทั้งให้มีการประเมินผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาและแนวทางการดำเนินงานในอนาคตเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2322 | ปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2554 ครั้งที่ 1 | กค | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๔,๙๒๓.๖๓ ล้านบาท จากวงเงินเดิม ๑,๒๙๖,๔๒๗.๙๐ ล้านบาท เหลือ ๑,๒๙๑,๕๐๔.๒๗ ล้านบาท ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) ที่ขอปรับเพิ่มวงเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการสร่างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ ๓ วงเงิน ๑๕,๘๕๐.๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากมีความต้องการใช้เงินเพื่อเร่งดำเนินโครงการฯ ให้เสร็จในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ อนุมัติให้ บมจ. ทีโอที เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานจากการประกวดราคาสากลเป็นการประกวดราคาทั่วไป ทำให้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการฯ จะเป็นเงินกู้จากในประเทศหรือต่างประเทศนั้นขึ้นอยู่กับผู้ที่ประมูลโครงการได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีความเห็นว่าควรเป็นการกู้เงินในรูปเงินกู้ระยะยาวเพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และกระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกันเพราะเป็นโครงการที่มุ่งหวังผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ ๓. อนุมัติการกู้เงิน การค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจตามรายการที่ได้บรรจุไว้ในแผนการบริหารความเสี่ยง (แผนงานย่อยที่ ๓) โดยในการกู้เงินเพื่อ Refinance ให้กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจสามารถปรับเปลี่ยนแหล่งเงินกู้จากเงินกู้สกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินกู้สกุลเงินบาท (Baht Refinance) ได้ ๔. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการค้ำประกัน การกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ โดยหากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2323 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี) | วท | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการน้ำชุมชน ได้ดำเนินโครงการ ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการสร้างแม่ข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในพื้นที่ ๑๕ ชุมชน และโครงการจัดการน้ำชุมชนเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่นอกเขตชลประทานโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ๘๔ แห่ง ๒. การศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ประสานกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อขยายขอบเขตการวิจัยและจัดทำฐานข้อมูลให้ครอบคลุมเรื่องแสง โดยได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติให้ดำเนินการศึกษาผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ภายใต้โครงการประเมินสมดุลรังสีดวงอาทิตย์อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งปกคลุมดินในจังหวัดเพชรบุรีและพื้นที่ที่สัมพันธ์กัน และมีความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ โครงการจัดทำฐานข้อมูลลมของประเทศไทย งานวิจัยด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำ และงานศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงน้ำท่วมน้ำแล้งเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการเกษตรในพื้นที่ศึกษาลุ่มแม่น้ำโขง ๓. การบริหารจัดการน้ำ การปิด เปิด ระบายหรือรับน้ำ มีการดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ โครงการแก้มลิงอเนกประสงค์ คลองสนามชัย - มหาชัย กรุงเทพมหานคร - สมุทรสาคร มีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการร้อยละ ๙๐ และได้จัดทำแปลงเพาะพันธุ์กล้าไม้ป่าชายเลนเพื่อใช้ในการดำเนินงานฟื้นฟูคลองหลวง และคลองสหกรณ์สาย ๓ ปรับปรุงประตูระบายน้ำที่มีอยู่เดิม และก่อสร้างประตูระบายน้ำขนาดเล็กเพิ่มเติม รวมถึงติดตั้งระบบโทรมาตรเพื่อติดตามระดับน้ำในแก้มลิงเอกชน ๓.๒ โครงการศึกษาและจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำจังหวัดนครนายก ได้ดำเนินงานร่วมกับกรมชลประทานศึกษาข้อมูลด้านน้ำสำหรับติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และมีแผนดำเนินงานในระยะที่ ๒ เพื่อต่อยอดการศึกษาผลักดันให้เกิดภาพบริหารจัดการในพื้นที่ระดับชุมชน รวมทั้งศึกษาระบบผังน้ำเพื่อเชื่อมต่อกับลุ่มน้ำบางปะกงต่อไป ๓.๓ การดำเนินงานเกี่ยวกับแหล่งน้ำใต้ดิน ได้ดำเนินการร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำบาดาล มหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการประยุกต์ใช้ไอโซโทปและเคมีเทคนิคเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาล พื้นที่ลุ่มน้ำซีตอนบน ส่วนที่ ๑ และ ๒ จังหวัดชัยภูมิ โดยการประยุกต์ใช้แบบจำลองน้ำผิวดินและแบบจำลองน้ำบาดาล เพื่อใช้อธิบายวงจรน้ำใต้ดินต้นน้ำชี และประยุกต์ใช้ไอโซโทปศึกษาแหล่งที่มาและการกระจายตัวของน้ำฝน และกระบวนการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำยม - น่าน ๔. การบริหารจัดการพื้นที่ที่มีการกัดเซาะชายฝั่ง ได้ดำเนินการติดตามระดับน้ำทะเลบริเวณอ่าวไทยและติดตามอุณหภูมิพื้นผิวทะเล รวมทั้งจัดทำแบบจำลองลม และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ประกอบกับภาพถ่ายจากดาวเทียมการกัดเซาะชายฝั่งของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อนำไปสู่มาตรการเพิ่มแนวป้องกันการปะทะและกัดเซาะชายฝั่งทะเล (Soft Break)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2324 | การดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 | กษ | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย กรอบระยะเวลาการดำเนินการ (การปลูก การเก็บเกี่ยว การขึ้นทะเบียน การประชาคม การออกใบรับรอง การทำสัญญา การใช้สิทธิของเกษตรกร และการประกาศเกณฑ์กลางอ้างอิง) ชนิดข้าวที่จะเข้าร่วมโครงการ ราคาประกันรายได้เกษตรกร ปริมาณรับประกัน และผลผลิตต่อไร่ โดยในส่วนของผลผลิตต่อไร่โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้ยังคงใช้ผลผลิตต่อไร่รายจังหวัดเป็นเกณฑ์ในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อกำหนดเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เกษตรกรในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ที่มีความจำเป็นต้องปลูกข้าวรอบที่ ๑ (นาปี) เร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำท่วมในฤดูฝน โดยมีการปลูกข้าวในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ซึ่งยังอยู่ในช่วงเวลาปลูกข้าวรอบที่ ๒ ตามที่กำหนด ให้ขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ปี ๒๕๕๔/๕๕ รอบที่ ๑ เป็นต้นไป ๑.๒ เกษตรกรที่ปลูกข้าวในสภาพดินแห้งเพื่อรอฝน โดยวิธีการหว่านข้าวแห้ง (หว่านสำรวย) หรือหยอดข้าวแห้ง ถึงแม้จะปลูกข้าวในช่วงเวลาปลูกข้าวรอบที่ ๒ ตามที่กำหนด แต่จัดเป็นการปลูกข้าว รอบที่ ๑ (นาปี) ให้ขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ปี ๒๕๕๔/๕๕ รอบที่ ๑ เป็นต้นไป ๑.๓ หากพื้นที่ใดในจังหวัดภาคใต้ มีวันปลูกข้าวตรงกับช่วงเวลาปลูกข้าวรอบที่ ๒ ตามที่กำหนดของภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ให้ใช้กรอบเวลาเดียวกับภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ๒. เห็นชอบผลการทบทวนผลผลิตต่อไร่ของจังหวัดสุรินทร์ ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการทบทวนผลผลิตต่อไร่ โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักไปทำการสำรวจข้อมูลผลผลิตต่อไร่เพิ่มเติมโดยวิธีตั้งแปลงเก็บเกี่ยวผลผลิต หากปรากฏว่าข้อมูลผลผลิตต่อไร่ที่ได้จากการสำรวจใหม่สูงกว่าที่ประกาศใช้เดิม ให้ใช้ข้อมูลใหม่แทน แต่หากข้อมูลผลผลิตต่อไร่ที่ได้จากการสำรวจใหม่ต่ำกว่าที่ประกาศใช้เดิม ให้ใช้ข้อมูลที่ประกาศใช้เดิม ๒.๒ เห็นชอบการปรับข้อมูลผลผลิตต่อไร่ข้าวเปลือกหอมมะลิของจังหวัดสุรินทร์ ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ เป็น รวมในเขตและนอกเขตชลประทาน ไร่ละ ๔๐๓ กิโลกรัม ในเขตชลประทาน ๔๒๒ กิโลกรัม นอกเขตชลประทน ๔๐๒ กิโลกรัม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2325 | โครงการเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ชะอำ-หัวหิน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | มท | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการพัฒนาเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ชะอำ - หัวหิน โดยมีนายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และปลัดกระทรวงมหาดไทยและปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานโครงการเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนฯ จัดทำแผนแม่บทการดำเนินโครงการและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งเสนอโครงการหรือกิจกรรมที่จะดำเนินการในพื้นที่โครงการที่เกินอำนาจหน้าที่และขีดความสามารถที่ท้องถิ่นจะสนับสนุนดำเนินการได้ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้เพิ่มผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติไปใช้ในกิจกรรมของโครงการ ให้นำไปใช้ด้วยความระมัดระวัง เหมาะสมและสมพระเกียรติ และในการจัดทำรายละเอียดโครงการ ควรให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต วัฒนธรรม สู่ความเป็นเอกลักษณ์ของเมือง และให้น้ำหนักกับการบริหารจัดการมากกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาใช้ โดยเฉพาะโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนาในรูปแบบการบูรณาการอย่างสมดุลและยั่งยืน นอกจากนี้ เพื่อให้การดูแลบำรุงรักษาสิ่งสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิมเข้าสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ควรมีการจัดทำแผนถ่ายโอนภารกิจและทรัพย์สินที่ชัดเจนและมีการนำแผนไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2326 | โครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี (วงจรที่ 3) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้งสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี (วงจรที่ ๓) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวงเงินลงทุนรวม ๓,๙๙๔ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๒,๙๙๔ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยในส่วนของการกู้เงินในประเทศกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ๑.๒ ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี (วงจรที่ ๓) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุยในอัตราพิเศษที่แตกต่างจากอัตราที่เรียกเก็บในพื้นที่อื่น โดยอาจพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากบ้านอยู่อาศัยที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน ให้เรียกเก็บในอัตราปกติเช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน และผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้เรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ โดยรวมต้นทุนการก่อสร้างโครงการและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยการเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการให้ประชาชนในพื้นที่ทราบผ่านเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ระยะเวลาอย่างน้อย ๗ วัน รวมทั้งให้ กฟภ. ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานแห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการและทำการเลือกแนวหรือที่ตั้งระบบโครงข่ายพลังงานได้ แล้วให้จัดทำแผนผังแสดงรายละเอียดของลักษณะทิศทางและแนวเขตในการวางระบบโครงข่ายพลังงานเสนอต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๐๖ ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2327 | ผลกระทบจากโครงการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้า และน้ำเย็น จำกัด ที่มีต่อการไฟฟ้านครหลวง | กค | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอว่า การดำเนินโครงการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น จำกัด (บริษัท DCAP) ในครั้งนี้ ยังไม่ทำให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เกิดค่าเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจ โดย กฟน. จะได้รับผลกระทบก็ต่อเมื่อมีการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ แล้วเสร็จ ซึ่งก็จะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชดเชยความเสียหายใด ๆ ให้แก่ กฟน. ในขณะนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2328 | แหล่งเงินสนับสนุนแผนการดำเนินงานของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณภาพเยาวชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นำเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ส่วนที่เหลือจากการดำเนินโครงการตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ เพื่อสนับสนุนภารกิจของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔๒๕ ล้านบาท โดยให้ สสค. นำไปใช้เพื่อดำเนินโครงการก่อน และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สสค. ยังมีภารกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย เพื่ออนาคตคนไทยที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ด้านการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน จึงเห็นควรผนวกภารกิจดังกล่าวไว้ในแผนการดำเนินงานในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ด้วย โดยขอรับการจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจมาสนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายและมีรายได้เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็ให้ สสค. นำรายได้มาชดใช้คืนให้แก่กระทรวงการคลังในโอกาสแรกต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอในทางเลือกที่ ๒ โดยต้องจัดสรรผ่านกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวมทั้งการดำเนินงานต้องอยู่ภายในกรอบวัตถุประสงค์ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพอย่างเคร่งครัด และเป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินให้กับกองทุน เงินทุนหมุนเวียน และหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้ SAL อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2329 | การแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | ทก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สัญญาร่วมลงทุนจัดตั้งโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟ ระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท คอม - ลิงค์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (จำนวน ๒ ครั้ง) ๑.๑.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง เปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการส่งหนังสือ หรือคำบอกกล่าว และการแก้ไขปรับปรุงจุดเชื่อมโยงระบบของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อลดความหนาแน่นของปริมาณ Traffic (เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ๑.๑.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๒ เรื่อง การติดตั้งวงจรเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงตามเส้นทางรถไฟภายในท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณส่วนแบ่งรายได้เฉพาะส่วนท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔) ๑.๒ สัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับบริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม/การจัดทำข้อตกลงแนบท้ายสัญญา (ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๔ และสัญญาร่วมดำเนินการฯ) ๑.๒.๑ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๑ เรื่อง ย้ายจุดเชื่อมโยง และจุดขึ้นฝั่ง สำหรับวงจรท้องถิ่น (เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗) ๑.๒.๒ การจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาฯ ครั้งที่ ๔ เรื่อง การปรับปรุงโครงข่าย จาก ๔ ระดับ เป็น ๒ ระดับ เพื่อให้มีวงจรใช้งานเพิ่มขึ้น (เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๕) ๑.๒.๓ การจัดทำสัญญาร่วมดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงข่ายเคเบิลใยแก้วใต้น้ำฝั่งทะเลด้านตะวันออก (เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๗) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่เห็นควรให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เตรียมความพร้อมในการรับมอบทรัพย์สิน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กำหนดในสัญญา และเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและแผนการให้บริการในระยะต่อไป เพื่อให้การบริการโครงข่ายมีความต่อเนื่อง และให้รัฐวิสาหกิจที่ทำสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถติดตามกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามสัญญา โดยเฉพาะการตรวจสอบส่งมอบทรัพย์สินและการแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ภาครัฐ เพื่อดำเนินงานเป็นไปตามสัญญา ทั้งนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินโครงการหรือแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเสนอคณะกรรมการประสานงานตามมาตรา ๒๒ พิจารณา หากคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยจะต้องรายงานต่อรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดตามมาตรา ๒๓ (๒) และหากการแก้ไขดังกล่าวมีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐ รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดก็ชอบที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานเจ้าของโครงการจึงจะลงนามแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2330 | ผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงมหาดไทย โดยสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการบริหารจัดการระบบตามโครงการฯ รายงานว่า ขณะนี้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ทำสัญญาจ้างโครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับบริษัท ไทยทรานสมิชชั่น อินดัสทรี จำกัด เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2331 | โครงการเคเบิลใต้น้ำใยแก้วอ่าวไทย | ทก | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) ดำเนินโครงการเคเบิลใต้น้ำใยแก้วอ่าวไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้วที่เป็นเส้นทางหลักในอ่าวไทย โดยมีสถานีจุดขึ้นบกที่สถานีเคเบิลใต้น้ำ ชลี ๒ จังหวัดสงขลา และสถานีเคเบิลใต้น้ำ ชลี ๓ จังหวัดชลบุรี และมีเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างเคเบิลใต้น้ำใยแก้วทางหลักกับแท่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของผู้ใช้บริการในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานในอ่าวไทย รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์โทรคมนาคมเพื่อรองรับความจุไม่น้อยกว่า 160 Gbps โดยใช้เทคโนโลยี DWDM (การส่งข้อมูลบนเส้นไฟเบอร์ออฟติก) วงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒,๗๓๐ ล้านบาท จากเงินรายได้ แบ่งเป็น เงินลงทุนค่าก่อสร้างระบบและอุปกรณ์ระบบ จำนวน ๒,๖๐๐ ล้านบาท และเงินสำรองโครงการ จำนวน ๑๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้ บมจ. กสท โทรคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรระมัดระวังในขั้นตอนการติดตั้งโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนิเวศน์พื้นทะเลซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องมือประมงของชาวประมง โดยมีมาตรการชดเชยตามความเหมาะสมหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำกับดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถบริการได้ภายใน ๒ ปีหลังจากลงนามในสัญญา เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหายในกรณีการจ่ายค่าปรับที่เกิดจากความล่าช้าของการดำเนินงานตามสัญญา นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2332 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 7 | ศธ | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ ๗ (พฤษภาคม - พฤศจิกายน ๒๕๕๓) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สกอ. ได้ดำเนินการโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน แยกเป็น ทุนในประเทศ โดยประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับ และทุนในต่างประเทศ โดยประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนเพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับนักเรียนทุนโครงการฯ ที่พร้อมจะเดินทางไปศึกษาได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - กันยยาน ๒๕๕๓ จำนวน ๓๗ คน ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี ๔ คน และระดับปริญญาโท - เอก ๓๓ คน จากนักเรียนทุน ๖๑ คน ๑.๒ สกอ. ได้พิจารณาจัดสรรทุนที่เหลือจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยนำทุนที่เหลือจากการสอบแข่งขันฯ และงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มารวมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาจัดสรรทุนและประกาศสอบแข่งขันเพื่อรับทุนโครงการฯ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ - -๒๕๕๔ ในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท - เอก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และทุนระดับปริญญาตรี - โทในต่างประเทศ โดยการพิจารณาจัดสรรทุนในปีการศึกษา ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ เพื่อให้ได้สาขาวิชาที่มีความจำเป็น หรือขาดแคลน หรือเป็นสาขาวิชาที่ตอบสนองการพัฒนาศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษา รวม ๑๙๖ ทุน ซึ่งผลการสอบแข่งขัน มีผู้สนใจสมัครสอบ จำนวน ๗๐๕ คน มีผู้สอบผ่านเพื่อรับทุนโครงการฯ จำนวน ๘๕ คน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีทุกสิ้นปีงบประมาณจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2333 | ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ | มท | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้โอนจัดสรรงบประมาณโดยเบิกจ่ายจากงบเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่คนพิการหรือทุพพลภาพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นเงิน ๑๖๖,๓๐๑,๕๐๐ บาท และเบิกจ่ายจากเงินกันเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ รายการเงินอุดหนุนสำหรับสิทธิประโยชน์ข้าราชการและลูกจ้างถ่ายโอน (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓) เป็นเงิน ๗๔,๗๕๒,๕๐๐ บาท เพื่อจ่ายเป็นเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่คนพิการหรือทุพพลภาพในงวดที่ ๒ (งวดสุดท้าย) จำนวน ๑ เดือน (เดือนกันยายน ๒๕๕๓) จำนวน ๔๘๒,๑๐๘ คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๔๑,๐๕๔,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2334 | การดำเนินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้วยวิธีการเพิ่มบทบาทภาคเอกชน (Public Private Partnerships : PPPs) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ Build - Transfer - Operate กรอบวงเงินลงทุนประมาณ ๒๗,๐๒๒ ล้านบาท ประกอบด้วยประมาณการวงเงินลงทุนของภาคเอกชน จำนวน ๑๗,๔๕๘ ล้านบาท และประมาณการวงเงินลงทุนของภาครัฐโดยเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการ จำนวน ๙,๕๖๔ ล้านบาท ตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เสนอ โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การพัฒนาระบบการขนส่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลในระยะต่อไปจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเป็นลำดับแรก เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นระบบขนส่งมวลชนหรือไม่ โดยหากยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงข่ายถนนและทางพิเศษควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน อาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง และควรพิจารณาออกแบบจุดเชื่อมต่อของโครงการกับทางพิเศษศรีรัชให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เดินทางเชื่อมต่อระหว่างโครงการและทางพิเศษขั้นที่ ๒ เพื่อป้องกันปัญหาการกระจุกตัวบริเวณทางเชื่อม รวมทั้งจะต้องพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายถนนและสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และโครงข่ายทางพิเศษในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเป็นลำดับแรก เพื่อให้การลงทุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระยะต่อไปมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันและมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความประสงค์ที่จะให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการลงทุนในโครงการตามขั้นตอนพระราชบัญญัติฯ ในระยะต่อไป ดำเนินการทดสอบความสนใจของนักลงทุน (Market Sounding) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการและกำหนดรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนที่มีความเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางร่วมกันพิจารณาแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยอาจพิจารณาปรับใช้เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ และเห็นควรให้มีการตรวจสอบการดำเนินโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของโครงการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม กทพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักบประมาณเกี่ยวกับการนำหลักเกณฑ์การวิเคราะห์ความเสี่ยงตามหลักธรรมาภิบาลมาใช้เป็นแนวทางการตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งการกำหนดกลไกในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพจากทุกภาคส่วน เพื่อทำหน้าที่พิจารณาตรวจสอบและกลั่นกรองความเหมาะสมและวงเงินของโครงการฯ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2335 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กศส. เสนอ โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามข้อเสนอของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้ไขคำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (สศส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้แก้ไขแล้ว และให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๓ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กบศส.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป รวมทั้งออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สศส. ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเห็นชอบรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน สศช. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน ๑.๕ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๖ รับทราบแนวทางการบริหารจัดการ สศส. ๒. เห็นชอบในหลักการตามผลการพิจารณาและมติของ กศส. ในเรื่อง การขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้คำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างสำหรับการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ และให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย ดังกล่าว ควรต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมบทนิยามในข้อ ๓ คำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพิ่มเติมขึ้นด้วย เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้ถึง ๑๖ ประเภท จึงเห็นควรกำหนดบทนิยามดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2336 | การลงนามบันทึกความเข้าใจของโครงการต้นแบบเตาหลอมประสิทธิภาพสูงที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (The Model Project for An Environmentally Conscious High-Efficiency Arc Furnace) | อก | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการร่างบันทึกความเข้าใจของโครงการต้นแบบเตาหลอมประสิทธิภาพสูงที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (The Model Project for An Environmentally Conscious High-Efficiency Arc Furnace) ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization : NEDO) ประเทศญี่ปุ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเตาหลอมที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในโรงงานอุตสาหกรรม โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้โดยประสานกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) ให้อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๔ เห็นชอบหลักการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร อุปกรณ์ของโครงการฯ จากองค์การ NEDO และเมื่อได้รับการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวในโครงการฯ ให้กับภาคเอกชนผู้ร่วมโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำเรื่องเสนอคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำการตรวจวัดการระบายมลพิษที่เกิดขึ้นภายหลังการติดตั้งเตาหลอมและระบบบำบัด เพื่อจะเป็นข้อมูลเปรียบเทียบกับก่อนติดตั้งเตาหลอมดังกล่าว ส่วนการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตและระบบควบคุมมลพิษเป็นการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโรงงานเดิม ทำให้โรงงานมีกำลังการผลิตมากกว่า ๑๐๐ ตัน/วัน จึงเข้าข่ายต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การจัดทำความร่วมมือกับต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศเพื่อดำเนินโครงการต้นแบบในทำนองเดียวกับโครงการฯ ตามข้อ ๑ กระทรวงอุตสาหกรรมหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการในแต่ละกรณีควรพิจารณาดำเนินการด้วยความละเอียด รอบคอบ และคำนึงถึงปัญหาอันอาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับการจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ที่ได้จากการดำเนินโครงการฯ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2337 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการทุกบ้านปลอดภัย : การสนับสนุนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 | พม | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อตกลงเพื่อการดำเนินโครงการทุกบ้านปลอดภัย : การสนับสนุนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ [Every Home a Safe Home : Supporting Thailand Towards Effective Implementation of Protection of Domestic Violence Victims Act B.E. 2550 (2007)] ระหว่างสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑.๒ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงนามในหนังสือข้อตกลงกับผู้ประสานงานสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารข้อมูลด้านความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ควรดำเนินการในเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น เนื่องจากข้อมูลความรุนแรงต่อเด็กและสตรีเป็นข้อมูลรายบุคคลซึ่งมีความละเอียดอ่อน และเป็นข้อมูลความลับของผู้ป่วย โดยเฉพาะกรณีที่ถูกกระทำรุนแรงทางเพศ รวมทั้งการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ต้องมีคณะกรรมการดูแลฐานข้อมูลระดับชาติทำหน้าที่ดูแลระบบฐานข้อมูลตั้งแต่การกำหนดแนวทางในการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน ระบบการเข้าถึงข้อมูล การส่งต่อข้อมูลและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัย และการมอบหมายผู้รับผิดชอบข้อมูลแต่ละหน่วยงาน ควรมอบหมายให้ตรงกับภารกิจของหน่วยงานนั้น ๆ นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง ควรประสานกับส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การวางแผน การกำกับดูแล และการตรวจสอบติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกระยะ เนื่องจากโครงการฯ มีรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการร่วมกันระหว่างส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในหลายมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2338 | โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง โครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร) กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรไว้แล้วนั้น ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรเป็นจำนวนมากถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หากล่าช้าไปมากอาจเกิดปัญหาบานปลายนำไปสู่การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรอีกได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานและเร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2339 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 2090 และเรื่อง รายงานผลกระทบและความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายวิเชียร กีรตินิจกาล ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการก่อสร้างขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ระหว่าง กม. ที่ ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทาง เสนอรายงานผลการพิจารณาความเห็นของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และผู้แทนภาคประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๒๐๙๐ และเรื่อง รายงานผลกระทบความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ (ถนนธนะรัชต์) สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปถึงผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระหว่าง กม. ที่ ๒ ถึง กม. ที่ ๑๐ (ถนนธนะรัชต์) พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว โดยในการพิจารณาตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการด้วยความรอบคอบโดยเฉพาะในประเด็นปัญหาตามมติคณะรัฐมนตรี (๘ มิถุนายน ๒๕๕๓) ว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ต้องยุติการดำเนินโครงการฯ ทั้งหมดทันทีหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้พิจารณาตรวจสอบแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือขอหารือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือตอบข้อหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว ๒. ผู้แทนกรมทางหลวงแจ้งเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในช่วง กม. ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) เป็นถนน ๔ ช่องจราจร พร้อมช่องทางรถจักรยานและไหล่ทางตามแผนฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์และระบบนิเวศน์ที่ได้พิจารณาร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดนครราชสีมา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการปลูกต้นไม้ตามแผนฟื้นฟูต่อไป โดยการดำเนินโครงการฯ ของกรมทางหลวงดังกล่าวประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินการของกรมทางหลวงโดยไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2340 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 10/2553 | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรื่อง ความก้าวหน้าของเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) และความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ตรวจสอบความชัดเจนของข้อกฎหมายที่รองรับหรือให้อำนาจการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเสนอวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ โครงการที่ได้ดำเนินการและเบิกจ่ายแล้ว ติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในด้านผลลัพธ์หรือผลสำเร็จของโครงการตามดัชนีชี้วัดที่กำหนดไว้ ๑.๒.๒ โครงการที่ยังไม่ได้ขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการควรพิจารณายกเลิกโครงการและนำเงินมาใช้ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน ๑.๒.๓ โครงการที่ขอขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ และขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการออกไปเกินกว่าปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรตรวจสอบว่าโครงการดังกล่าวได้มีการผูกพันสัญญาไว้แล้วหรือไม่ หากยังไม่มีการผูกพันสัญญาควรพิจารณานำเงินมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยซึ่งมีความเร่งด่วนก่อน และหากเป็นโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูงควรพิจารณาทางเลือกในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนหรือจัดสรรงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต วงเงิน ๒,๖๐๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงชื่อโครงการที่หน่วยงานเสนอเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ อนุมัติไว้แล้ว ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๓.๑ จาก “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๘๖๓ รายการ” เป็น “โครงการช่วยเหลือและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย” ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๔๒๗.๒๓ ล้านบาท ๓.๒ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๒๑๙.๙๕ ล้านบาท ๓.๓ จาก “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย ๙๘ รายการ (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” เป็น “รายการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานจากเหตุอุทกภัย (ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสำนักงานบ้านพักข้าราชการ)” ของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วงเงิน ๑๔.๔๖ ล้านบาท
|