ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 98 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1941 - 1960 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1941 | การแก้ไขปัญหาเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 22/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบขั้นตอนและระบบการรายงานผลการเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) และผลการจ่ายเงินตามโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ให้เกษตรกรที่ค้างจ่าย จำนวน ๓,๔๙๒ ราย ปริมาณ ๔๒,๐๘๓.๖๒๙ ตัน จำนวนเงิน ๖๒๑.๗๔๘ ล้านบาท ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้จ่ายเงินเสร็จสิ้นแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเกษตรกรให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการแก้ไขปัญหาความคลาดเคลื่อนในการออกเอกสารต่าง ๆ แก่เกษตรกรให้ถูกต้อง และให้เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำระบบฐานข้อมูลให้มีความเชื่อมโยงกันเพื่อให้สามารถตรวจสอบข้อมูลในโครงการฯ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำผลการตรวจสอบขั้นตอนและระบบการรายงานผลมาปรับใช้ในการดำเนินแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่มีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานได้อย่างรวดเร็ว ตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ รวมทั้งลดขั้นตอนการรับข้อมูลนำเข้าในรูปแบบเอกสาร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1942 | การแจ้งบทบัญญัติที่ไทยพร้อมปฏิบัติภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าขององค์การการค้าโลก | พณ | 22/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบทบัญญัติที่พร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement : TFA) มีผลใช้บังคับ (Category A) และการแจ้งบทบัญญัติ Category A ดังกล่าว ต่อองค์การการค้าโลก ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการประสานงานอย่างต่อเนื่องกับหน่วยงานที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติที่พร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ (Category A) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเตรียมความพร้อมเสร็จได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งการเตรียมการที่ต่อเนื่องในการปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ต้องการระยะเวลาปรับตัวก่อนการปฏิบัติ (Category B) และบทบัญญัติที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อสร้างความพร้อมในการปฏิบัติ (Category C) และควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยทราบถึงแนวปฏิบัติซึ่งมีข้อผูกพันภายใต้บทบัญญัติฯ เพื่อให้สามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับตัวให้สอดคล้องกับเงื่อนไข ระเบียบข้อปฏิบัติ และมาตรฐานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับ Article 6 เรื่องระเบียบในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก ข้อ ๓ บทลงโทษ ข้อย่อย ๓.๔ ประเทศจะต้องแน่ใจว่าคงไว้ และ Article 10 เรื่องพิธีการศุลกากร การนำเข้า ส่งออก และการผ่านแดน ข้อ ๘ การคืนสินค้า (Rejected Goods) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่ควรกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและการดำเนินธุรกิจยาสูบอยู่ในรายการสินค้าและบริการของข้อตกลงหรือกรอบการเจรจาการค้าฯ ใด ๆ ในทุกมิติ และหากผลิตภัณฑ์ยาสูบอยู่ในรายการสินค้าที่ต้องเจรจา ประเทศไทยไม่ควรยอมรับการกำหนดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบให้เป็นร้อยละศูนย์ หรือลดอัตราภาษีพิเศษ ให้น้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1943 | การขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ | พณ | 22/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มวงเงินค่าเช่าอาคารสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น จากเดิมปีละ ๑๕,๙๗๔,๙๐๔ เยน หรือเท่ากับ ๕,๑๑๒,๐๐๐ บาท เป็นปีละ ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ เยน หรือเท่ากับ ๕,๒๘๐,๐๐๐ บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ เยน เท่ากับ ๐.๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ให้พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าสำนักงานในต่างประเทศ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง โครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ) ที่ให้ดำเนินการบูรณาการงานบริหารภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ และสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว รวมทั้งนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครนิวยอร์ก) ไปพิจารณาดำเนินการในโอกาสต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
1944 | ร่างพระราชบัญญัติที่ควรเร่งรัดให้มีผลใช้บังคับตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (เพิ่มเติม) รวม 12 ฉบับ | สลธ.คสช. | 22/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติที่ควรเร่งรัดให้มีผลใช้บังคับตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (เพิ่มเติม) รวม ๑๒ ฉบับ ตามที่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และเมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วให้เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. .... (กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการดำเนินการผลิตการพัฒนาและการเผยแพร่สื่อที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ดีของเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาสื่อ) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ. .... (ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ เพื่อบูรณาการการถวายความปลอดภัยของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทัพไทย กองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกำลังตำรวจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ให้มีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. .... (กำหนดหลักเกณฑ์การรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ การรับขนทางอากาศภายในประเทศ การรับขนร่วมกัน การรับขนทางอากาศโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช้คู่สัญญา และการฟ้องเรียกค่าเสียหาย เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการรวบรวมกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๙๙) ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... (ปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการออกใบรับรองระบบการประกันคุณภาพอาหารสัตว์ และใบรับรองอื่นที่เกี่ยวข้องกับอาหารสัตว์ การเลิกกิจการและการโอนกิจการ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องการขออนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบรับรอง และการขึ้นทะเบียนอาหารสัตว์เพื่อประโยชน์ด้านคุณภาพอาหารสัตว์และคุ้มครองผู้บริโภค) ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... (กำหนดมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยห้ามผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองหรือความดูแลของตน เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคล) ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... (ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยลดขั้นตอนการจัดรูปที่ดินให้สามารถดำเนินการได้เร็ว และส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินการ รวมทั้งนำหลักการของกฎหมายว่าด้วยคันและคูน้ำมากำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้และยกเลิกกฎหมายดังกล่าว) ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขโครงสร้างผู้ถือหุ้นเพื่อแก้ไขปัญหากรณีบริษัทประกันชีวิตให้สามารถหาผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลและมีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดได้ และกำหนดให้กองทุนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผู้เอาประกันภัยแทนบริษัทประกันชีวิตที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย) ๑.๘ ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สาระสำคัญทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ๑.๙ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ยกฐานะสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ขึ้นเป็นกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยให้เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรับผิดชอบงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) ๑.๑๐ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย พ.ศ. .... (กำหนดมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับวัตถุลามก เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก) ๑.๑๑ ร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับมาตราชั่งตวงวัด ให้เหมาะสมและปรับปรุงให้ทันสมัย เหมาะสมกับสภาวการณ์และความจำเป็นทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น) ๑.๑๒ ร่างพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... (กำหนดการกำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ให้สอดคล้องกับหลักจรรยาบรรณและมาตรฐานของสากล เพื่อคุ้มครองชีวิตและสวัสดิภาพของสัตว์ ส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาการของประเทศ ตลอดจนส่งเสริมนักวิจัยให้มีผลงานอันเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศต่อไป) ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. .... ควรระบุสถานะกองทุนเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายในการสนับสนุนการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... ควรเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้เกิดการยอมรับและเกิดความยั่งยืนในการปฏิบัติงาน ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เนื่องจากธุรกิจประกันภัย อยู่ในบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ กระทรวงการคลังควรประสานกระทรวงพาณิชย์ให้ทราบเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทางเดียวกัน ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรบูรณาการความร่วมมือระหว่างประเทศของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของประเทศไทย โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือการพัฒนาระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคี และกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อมุ่งเน้นบทบาทของประเทศไทยในการเป็นประเทศผู้ร่วมพัฒนา (Development Partner) ในการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาและจะต้องสอดคล้องกับผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับด้วย และร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรให้ความสำคัญกับเรื่องประสิทธิภาพและมาตรฐานของเครื่องชั่งตวงวัดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบถึงการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานและผู้ประกอบการทั้งในเรื่องหลักเกณฑ์ ค่าธรรมเนียม การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจชั่งตวงวัด การควบคุมเครื่องชั่งตวงวัด และสินค้าหีบห่อ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ มีระยะเวลาในการเตรียมการ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ถึงโทษทางการปกครองและอาญาเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1945 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 22/07/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินมาตรการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรที่จะทยอยออกตามฤดูกาล เช่น ลำไย อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความสำคัญในการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิดอย่างทั่วถึง มิใช่ดูแลเฉพาะข้าวเท่านั้น ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานระบบประกันสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบสวัสดิการข้าราชการ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และระบบประกันสังคม เพื่อพิจารณาหาแนวทางบูรณาการทั้ง ๓ ระบบให้เกิดประสิทธิภาพและสามารถให้บริการสุขภาพแก่ข้าราชการและประชาชนทุกกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการข้างต้น รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับการบริการสาธารณสุขของรัฐภายใต้นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่าประชาชนทุกคนสามารถได้รับบริการตามปกติเช่นเดิม และไม่มีการปรับลดเงินงบประมาณหรือปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การเข้ารับบริการใด ๆ ตามแนวทางของมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาความเหมาะสม ผลดี ผลเสียในกรณีที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการโดยปรับเปลี่ยนสถานภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาได้เกิดปัญหา เช่น เพิ่มภาระงบประมาณแผ่นดิน ค่าธรรมเนียมทางการศึกษาที่สูงขึ้น เป็นต้น ๓. ด้านแรงงาน ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้เปิดศูนย์การบริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จตามจังหวัดต่าง ๆ นั้น พบว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งต่อนายจ้างและแรงงานต่างด้าวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานมีขั้นตอนดำเนินการต่าง ๆ ที่ใช้ระยะเวลามาก เช่น การขอหนังสือเดินทางจากประเทศต้นทางเพื่อนำมาขอใบอนุญาตทำงาน จึงให้ฝ่ายความมั่นคงร่วมกับกระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางการผ่อนปรนเพื่อให้ขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงานแก่แรงงานต่างด้าวมีระยะเวลาที่เหมาะสมสามารถตอบสนองความต้องการใช้แรงงานในประเทศได้ ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมมาตรการดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีเกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ซึ่งอาจประสบภัยธรรมชาติที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมมีรายงานว่าจะมีพายุหลายลูกพัดผ่านประเทศไทย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดอุทกภัย และในขณะนี้มีข้อมูลว่าปริมาณน้ำในเขื่อนสำคัญ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ อยู่ในระดับต่ำ อาจนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและภัยแล้งในระยะต่อไป จึงขอให้ติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับมาตรการรองรับแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนโดยเร็วด้วย ๔.๒ ให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงพิจารณาปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัยให้มีความเหมาะสม และให้สำนักงบประมาณประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เพื่อจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับการดูแลผู้ลี้ภัยในประเทศด้วย ๔.๓ ให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อดูแลการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นการเฉพาะด้วย ๔.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นแนวทางชั่วคราวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารงานและให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง ๔.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงบประมาณเตรียมจัดทำคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ต่อรัฐสภา โดยให้เน้นในเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละภูมิภาคตามยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้วย ๔.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำร่างนโยบายรัฐบาล โดยประสานงานคณะกรรมการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง เพื่อนำยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการมาประกอบในร่างนโยบายรัฐบาล โดยให้มีสาระครอบคลุมการดำเนินการในทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ (โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าการลงทุน การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) แรงงาน การศึกษา สาธารณสุข พลังงาน โดยให้ครอบคลุมมิติของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นด้วย ๔.๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงโดยกระทรวงการต่างประเทศจัดทำสรุปผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามแผนการจัดตั้งประชาคมอาเซียนว่าได้ดำเนินการเรื่องใดไปแล้วทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะต้องดำเนินการในเรื่องใดต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามกรอบเวลาของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย
|
||||||||||||||||||
1946 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 15/07/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เรื่องเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาการปรับปรุงบทบาทหน่วยงานด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ซึ่งมีหน่วยงานด้านนโยบายคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และหน่วยงานหลักในการปฏิบัติคือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) นั้น โดยปรับปรุงให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กสทช. มีบทบาทในการกำกับดูแลการสื่อสารเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการดูแลสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นภัยต่อเยาวชน สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งปรับปรุงให้บริษัท ทีโอทีฯ และบริษัท กสทฯ มีการจัดองค์กรที่เหมาะสม มีศักยภาพในการหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเอง มีกระบวนการทำงานที่ประสานกับหน่วยงานด้านนโยบายโดยเฉพาะกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ทั้งสองบริษัทและเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วย ๑.๒ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงแรงงาน กำหนดมาตรการเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนจัดตั้งโรงงานขนาดเล็กหรือขนาดย่อมตามแนวชายแดน เพื่อสร้างงานให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยอาจพิจารณาใช้พื้นที่ทหารหรือพื้นที่ราชพัสดุเพื่อจัดทำเป็นโครงการนำร่อง ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. เรื่องพลังงาน ๒.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภาพรวมทั้งระบบ โดยเฉพาะโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ๘๐๐ เมกะวัตต์ ที่ยังมิได้ดำเนินการเนื่องจากมีปัญหาในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้โครงการสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ติดตามการดำเนินการของโครงการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใสต่อไปด้วย ๒.๒ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมกันพิจารณากระบวนการในการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง และนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาโดยเร็ว โดยหากมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องจัดทำเป็นประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ให้เร่งดำเนินการ แล้วเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๒.๓ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ติดตามและตรวจสอบเกี่ยวกับการประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer : IPP) แล้วรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๓. เรื่องอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้มีการจัดตั้งศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรในระดับจังหวัด เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบริการช่วยเหลือเกษตรกร และเฝ้าระวังภัยพิบัติเพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรนั้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า ควรขยายขอบเขตหน้าที่ของศูนย์เพื่อให้บริการด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น ด้านการพาณิชย์ ด้านแรงงาน ด้านอุตสาหกรรม และด้านกฎหมาย จึงให้ฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยดำเนินการยกระดับศูนย์ดำรงธรรมให้เป็นศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service Centre) ในระดับจังหวัด เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือเกษตรกรตามที่กำหนดไว้ในมติข้างต้น รวมถึงการให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบริการภาครัฐแก่ประชาชนและให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่าง ๆ ข้างต้น โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าศูนย์ และมีผู้แทนจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่มาปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์นี้ รวมทั้งให้ขยายการดำเนินการของศูนย์ไปสู่ระดับอำเภอและตำบล ทั้งนี้ ให้ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนมาใช้บริการศูนย์ดังกล่าวต่อไปด้วย นอกจากนั้น ในส่วนของการส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืนโดยสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและรณรงค์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๓.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงสาธารณสุขเร่งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า ประชาชนทุกคนสามารถเข้ารับการบริการสาธารณสุขของรัฐภายใต้นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ตามปกติเช่นเดิม โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังมิได้มีการปรับลดเงินงบประมาณหรือปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การเข้ารับบริการใด ๆ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์
|
||||||||||||||||||
1947 | การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) | สลธ.คสช. | 15/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการติดตามและตรวจสอบโครงการของภาครัฐ รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตามที่ประธาน คตร. เสนอ โดย ๑.๑ การดำเนินการของงบลงทุนผูกพันรายการใหม่ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๘ โครงการ ซึ่งให้ดำเนินการต่อไปได้ จำนวน ๒๔ โครงการ และให้พิจารณาทบทวน จำนวน ๔ โครงการ ๑.๑.๑ โครงการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการเพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแผนโครงการ เช่น การแก้ไขขอบเขตของงาน (TOR) การปรับราคากลาง และการปรับแบบการก่อสร้าง เป็นต้น ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๑.๓ สำหรับรายการค่าก่อสร้างอาคารและชิ้นงานนิทรรศการศูนย์รวบรวมและถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมชั้นสูงเพื่อการท่องเที่ยว ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติซึ่งไม่สามารถดำเนินการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ มอบหมายให้ คตร. และส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ โครงการที่ คตร. เข้าติดตามและได้สรุปผลการตรวจแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ มอบหมายให้ คตร. แจ้งข้อเสนอแนะของ คตร. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเร่งดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะฯ โดยหากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๑.๓ โครงการที่ คตร. เข้าติดตามและอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๔ โครงการ ๑.๓.๑ มอบหมายให้ คตร. แจ้งข้อเสนอแนะของ คตร. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเร่งดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะฯ ๑.๓.๒ ให้ชะลอการดำเนินโครงการ (๑) กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๖ (๒) การเบิกค่าเบี้ยประชุมของรัฐสภา (๓) การก่อสร้างอาคารที่พักสวัสดิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง โดยหากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๑.๔ โครงการที่ คตร. จะเข้าติดตามและตรวจสอบในห้วงต่อไป จำนวน ๗ โครงการ มอบหมายหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ประจิน จั่นตอง) คณะรักษาความสงบแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปดำเนินการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างอาคาร One Stop Service ณ จังหวัดนครราชสีมา ของกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ของส่วนราชการดังกล่าวเพื่อเป็นการลดขั้นตอน บรรเทาความเดือดร้อน และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการติดต่อราชการ และให้พิจารณาถึงความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ตามภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย ๑.๕ รายการหรือโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ แต่ไม่มีรายละเอียดชัดเจน (งบแปรญัตติ) จำนวน ๓๓ โครงการ มอบหมายให้ คตร. ประสานกับฝ่ายต่าง ๆ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดรายการหรือโครงการที่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน ให้มีความชัดเจน แล้วนำเสนอฝ่ายที่อยู่ในความรับผิดชอบและ คตร. ตามลำดับต่อไป ๒. หากโครงการใดที่ คตร. เข้าติดตามและตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นและ/หรือไม่มีความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ ก็ให้ยุติการดำเนินโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่ได้ตรวจสอบแล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการ หากพบข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับไปติดตามและตรวจสอบต่อไป
|
||||||||||||||||||
1948 | ผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2557 | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๗ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๗ โดยไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List-PWL) เช่นเดียวกับในปี ๒๕๕๐-๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับภาพรวมการที่ประเทศไทยได้ถูกจัดไว้ในบัญชี PWL อีกครั้งน่าจะส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย และเจตนารมณ์ทางการเมืองของไทยที่จะคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง รวมทั้งอาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนบางรายขาดความเชื่อมั่นในการได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน การที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญต่อการรักษาผลประโยชน์ของผู้ประกอบการสหรัฐฯ ด้วยการนำประเด็นเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาบรรจุไว้ในเวทีเจรจาการค้าระหว่างประเทศ การเร่งพัฒนาและบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้เป็นรูปธรรม การเจรจากับสหรัฐฯ โดยพิจารณาใช้หลักการที่ว่าการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาควรมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทุกภาคส่วนโดยอาศัยความรู้จากความคิดสร้างสรรค์ร่วมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม และควรคำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสาธารณชนอย่างสมดุล ตลอดจนการดำเนินการโดยสอดคล้องกับพันธกรณีสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ของไทยและสหรัฐฯ รวมทั้งกรมทรัพย์สินทางปัญญาควรพิจารณาการเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบของการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นต้น เพื่อให้กระบวนการปฏิบัติงานมีความรวดเร็ว สามารถครอบคลุมประเด็นปัญหา ความท้าทายด้านต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ผลการปราบปรามในภาพรวมของประเทศที่สอดคล้องตามเงื่อนไขของข้อตกลงและสนธิสัญญาในมาตรฐานสากล รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบสิทธิบัตรและจดทะเบียนสิทธิบัตรให้รวดเร็วขึ้น และเร่งรัดดำเนินการแก้ไขกฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังค้างอยู่ให้สำเร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ตามร่างกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาที่อยู่ระหว่างดำเนินการนั้น มีบทบัญญัติในส่วนใดบ้างที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ควรจะดำเนินการออกเป็นประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อให้มีผลใช้บังคับได้โดยเร็วในระยะแรก ก่อนมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การจัดอันดับประเทศไทยตามกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ในระยะต่อไปดีขึ้น เช่น การกำหนดฐานความผิดสำหรับผู้ที่บันทึกภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานความผิดสำหรับเจ้าหน้าที่ของพื้นที่ที่อนุญาตให้บุคคลอื่นใช้พื้นที่เพื่อการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า เป็นต้น และเร่งดำเนินการเพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยด่วน ทั้งนี้ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดกวดขันการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาด้วย |
||||||||||||||||||
1949 | การปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก 3 และข้อ 10 วรรค 1 ของภาคผนวก 8 ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อการปรับปรุงแก้ไขบัญชีกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้าของอาเซียน เป็นฉบับระบบฮาร์โมไนซ์ HS 2012 ซึ่งเป็นภาคผนวก ๓ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) โดยมี ๑๖ รายการ มีเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ ได้แก่ รายการในพิกัดศุลกากร ตอนที่ ๐๒ (ปลา สัตว์น้ำจำพวกครัสตาเชีย) ตอนที่ ๑๒ (เมล็ดถั่วลิสง) ตอนที่ ๒๘ (สารประกอบอนินทรีย์) และตอนที่ ๙๖ (ผลิตภัณฑ์เบ็ดเตล็ด ประเภทผ้าอนามัย) ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขข้อ ๑๐ วรรค ๑ เรื่องการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นภาคผนวก ๘ ของความตกลง ATIGA จากเดิม อนุญาตให้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ ๒ กรณี คือ (๑) ณ วันที่ส่งออก หรือ (๒) หลังจากวันที่ส่งออกสินค้า เป็น การเพิ่มเติมให้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ล่วงหน้าก่อนวันที่ส่งออกสินค้าได้อีกกรณีหนึ่ง โดยผู้ส่งออกจะต้องยื่นเอกสารต่อหน่วยงานผู้มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามหนังสือแจ้งให้ความเห็นชอบไปยังเลขาธิการอาเซียนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูล และการชี้แจงทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประกอบการ รวมทั้งการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1950 | การจัดทำพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (First Protocol to Amend the Agreement Establishing the ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area) ๑.๒ อนุมัติการลงนามร่างพิธีสารฯ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารดังกล่าว ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในพิธีสารดังกล่าว ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศภาคีความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ว่าประเทศไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารดังกล่าวมีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมศุลกากรเพื่อให้สามารถดำเนินการตามพันธกรณีได้ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนทราบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นควรพิจารณาระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ให้เป็นไปตามหลักการตามกระบวนการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) ซึ่งมีกำหนดการจัดทำโครงการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองรวม (ASEAN-wide Implementation of Self-Certification) ให้แล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์ประสานภาคเอกชนและสมาคมการค้าของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เพื่อชี้แจงให้เข้าใจถึงนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนของต่างประเทศด้วย |
||||||||||||||||||
1951 | ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าบริการอาเซียน | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าบริการอาเซียน เพื่อกระทรวงพาณิชย์จะได้เข้าร่วมการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าบริการอาเซียน เพื่อรักษาผลประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุนของประเทศไทยในกรอบอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศไทยต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ภายใต้เงื่อนไขว่าด้วยผู้ดำเนินการสถานพยาบาลนั้น ๆ จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพในประเทศไทย และการกำหนดให้บุคคลธรรมดา สาขาแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล ต้องขึ้นทะเบียนการประกอบวิชาชีพในประเทศไทยกับสภาวิชาชีพนั้น ๆ ภายใต้เงื่อนไข limited practice ใน ๒ ลักษณะ ได้แก่ (ก) ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพถาวรสำหรับผู้ที่สอบผ่านโดยการรับรองของสภาวิชาชีพ และ (ข) ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพชั่วคราวสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเชิญให้มาสอนหรือฝึกอบรมที่จัดขึ้นในประเทศไทย การไม่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและการดำเนินธุรกิจยาสูบอยู่ในรายการสินค้าและบริการของกรอบการเจรจาในทุกมิติ การให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดในสาขาบริการที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสาขาที่จะส่งผลให้เกิดการลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ หรือมีเทคโนโลยีเฉพาะ เพื่อสร้างโอกาสและยกระดับมาตรฐานธุรกิจบริการ การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพรองรับภาคบริการที่สำคัญ การหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการกำหนดท่าทีของประเทศไทยต่อประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อผูกพันการเปิดตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการมีระยะเวลาในการปรับตัวที่เหมาะสมในกรณีที่จะได้รับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการประเมินผลลัพธ์จากการทำความตกลงในกรอบต่าง ๆ ให้เป็นระบบและมีความต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางและการเจรจาการค้าในรายละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการศึกษา และสถาบันวิชาชีพที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทาง มาตรการ รวมทั้งแผนการผลิตและพัฒนาทักษะของบุคลากรของประเทศในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ให้สามารถรองรับความต้องการและแข่งขันในด้านการค้าบริการกับประเทศอื่น ๆ ได้ โดยสอดคล้องกับข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคีต่าง ๆ รวมทั้งการเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ด้วย แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||
1952 | ขอความเห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ของไทย และการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย เพื่อใช้ผนวกกับพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ โดยมีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มสาขาบริการที่ประเทศไทยจะเปิดให้อาเซียนถือหุ้นได้ถึงร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ๑.๒ อนุมัติการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารดังกล่าว ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในพิธีสารดังกล่าว ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารดังกล่าวมีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทยชุดที่ ๑๐ ต่อไป เพื่อให้มีระยะเวลาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมทั้งการปรับตัวและกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการทั้งในทางบวกและลบได้อย่างมีประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ในการทำความตกลง โดยยึดผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับเป็นสำคัญเพื่อรักษาสถานะของไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการสาธารณสุข การศึกษา ระบบโลจิสติกส์ของการค้าส่ง-ค้าปลีก ทั้งนี้ เมื่อได้ลงนามในพิธีสารดังกล่าวแล้วให้กระทรวงพาณิชย์กลับมาพิจารณาทบทวนสาขาบริการที่ได้เปิดตลาดไป ในข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๑ ถึงชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียนว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอย่างไร โดยให้พิจารณาร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งรายงานความคืบหน้าการดำเนินการต่าง ๆ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อมูลดังกล่าวต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1953 | การลงนามความตกลงด้านการค้าบริการ และความตกลงด้านการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดีย | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามความตกลงด้านการค้าบริการ และความตกลงด้านการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดีย ที่ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าหมายให้มีการลงนามความตกลงทั้งสองฉบับในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๒ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามความตกลงทั้งสองฉบับ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงดังกล่าว ขอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นลงนามความตกลงทั้งสองฉบับ ๑.๔ ภายหลังจากการลงนาม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศ เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามความตกลงทั้งสองฉบับ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้ความตกลงทั้งสองฉบับมีผลใช้บังคับ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. โดยที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดียมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาแน่นแฟ้นยาวนาน และสาธารณรัฐอินเดียได้ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานของฝ่ายไทยเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความมีเสถียรภาพของประเทศไทยทั้งด้านความมั่นคง การค้า เศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว ดังนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดขยายความร่วมมือกับสาธารณรัฐอินเดียในด้านต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และขยายตลาดสินค้าของประเทศไทยเพราะสาธารณรัฐอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากและเป็นตลาดที่มีปริมาณการบริโภคสินค้าที่สำคัญในภูมิภาค |
||||||||||||||||||
1954 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 08/07/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูให้เศรษฐกิจปี ๒๕๕๗ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ ๑.๕ โดยได้ดำเนินการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งผลักดันให้เกิดการเจรจาและจัดทำความตกลงตามพันธกรณีระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนการค้าและการลงทุน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้ทุกหน่วยงานควบคุมดูแลงานที่รับผิดชอบให้เป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูแลระดับราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากตามฤดูกาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น ลำไยอบแห้ง เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น ข้าว กล้วยไม้ มะพร้าว เป็นต้น ๑.๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามและประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง ในการดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้นำเข้าและส่งออกของไทย รวมทั้งเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีลักษณะของการเก็งกำไร ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน และอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ให้รายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบเป็นระยะด้วย ๑.๑.๓ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังเร่งจัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มเติม จากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เป็นต้น ๑.๑.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งรัดพิจารณาคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ยังคงค้างการพิจารณา และเป็นโครงการที่มีความสอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับไปตรวจสอบและพิจารณาทบทวนสิทธิของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่มีอายุเกินกว่า ๒ ปี แต่มิได้ลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจจริง และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบในประเด็นดังกล่าวเป็นระยะด้วย ๑.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาเร่งรัดหามาตรการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งหารือกับฝ่ายความมั่นคง ในการกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนงานและมาตรการเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาโดยด่วน ๒. พลังงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพลังงานดำเนินการจัดตั้งศูนย์ติดตามข้อมูลด้านพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทำหน้าที่ติดตาม รวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านพลังงาน โดยเฉพาะประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ตลอดจนวิเคราะห์และตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้การชี้แจงข้อมูลข่าวสารด้านพลังงานแก่ประชาชนมีความเป็นเอกภาพและน่าเชื่อถือ ๓. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำเนินการตามแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการกำหนดท่าทีและยุทธศาสตร์ในการเจรจาและจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ โดยยึดถือผลประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งพิจารณาการขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างไทย-จีน ภายใต้กลไกคณะกรรมการร่วม เป็นลำดับแรกด้วย ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ ซึ่งขณะนี้มีความต้องการช่างเทคนิคในสาขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยอาจจัดทำเป็นวิทยาลัยเทคนิคตัวอย่าง ที่เน้นความเป็นเลิศในด้านช่างฝีมือ รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพและรายได้ที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมทั้งจะช่วยลดปัญหาของกลุ่มวัยรุ่นที่มั่วสุม ทะเลาะวิวาท และปัญหายาเสพติดด้วย ๔.๒ ในช่วงที่ผ่านมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งจัดระเบียบสังคมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง การจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ การแก้ปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังคงมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น การจัดระเบียบพื้นที่ค้าขาย (แผงลอย) บนทางเท้า เป็นต้น จึงมอบหมายให้กรุงเทพมหานครเร่งกำหนดมาตรการและจัดทำแผนงานในการจัดระเบียบเรื่องดังกล่าว โดยยึดหลักความเป็นธรรมและคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้ค้าขายซึ่งมีรายได้น้อยด้วย และเสนอต่อเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ๕. การประชาสัมพันธ์ ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและประชาชน โดยเฉพาะประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม โดยให้นำเสนอผลการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นหลัก รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานปรับปรุงข้อมูลรายละเอียดในเว็บไซต์ของแต่ละหน่วยงานทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ๖. ทั่วไป ๖.๑ ให้ฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการรวบรวมแผนงานและกิจกรรมของทุกภาคส่วน รวมทั้งจัดประชุมคณะกรรมการเพื่อเตรียมการจัดงานในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้ ให้รายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย ๖.๒ เนื่องจากขณะนี้มีปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ภาคใต้ จึงมอบหมายให้ฝ่ายเศรษฐกิจดำเนินการ ดังนี้ ๖.๒.๑ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงานระยะยาวในแต่ละภูมิภาคของประเทศ โดยให้คำนึงถึงการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ถ่านหินสะอาด เป็นต้น ๖.๒.๒ ประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อดำเนินการจัดหาพื้นที่สำหรับสร้างโรงไฟฟ้าในที่ห่างไกลชุมชนเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยให้พิจารณาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทหาร หรือที่ราชพัสดุเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยอาจพิจารณาแนวทางการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เป็นลำดับแรก และให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
1955 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/07/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการ เพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๒ ให้ทุกฝ่ายเร่งรัดติดตามส่วนราชการในกำกับให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๓ ให้ทุกฝ่ายพิจารณารายการงานสำคัญในเอกสารแนวทางปฏิบัติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒๑ รายการ ที่ได้แจกในที่ประชุมไปแล้ว และให้เพิ่มเติมงาน/โครงการสำคัญ รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการว่าจะดำเนินการในช่วงเวลาใด กล่าวคือ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว แล้วแจ้งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ เพื่อนำมาจัดทำแผนปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๒. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่มีภารกิจในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ จัดทำแผนงานการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ล่วงหน้าระยะเวลา ๖ เดือน เสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๒.๑.๒ ในการขออนุมัติเพื่อไปเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ให้ส่วนราชการจัดทำบทสรุปวิเคราะห์ สาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตในประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้แจ้งให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบไปดำเนินการต่อไป ๒.๑.๓ กรณีที่การเจรจาหรือการจัดทำความตกลงฯ เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ให้หน่วยงานหลักในการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ รายงานความคืบหน้าในการหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ๒.๒ ให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและระมัดระวังในการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวในประเทศไทย ๓. เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการส่งออกสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น และให้พิจารณาหาแนวทางการขยายตลาดการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ทวีปแอฟริกา เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนการดำเนินการในงานคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในส่วนของผลงานที่ได้รับการคุ้มครองแล้วว่ามีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ อย่างไร และผลงานที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองว่าควรคุ้มครองในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม แล้วกำหนดแนวทางคุ้มครองสิทธิในงานทรัพย์สินทางปัญญาทั้งสองประเภทให้ชัดเจน และนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. พลังงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ เป็นต้น การใช้พลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น ถ่านหินสะอาด เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการส่งเสริมพลังงานทดแทนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๕. กฎหมาย ให้ส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การค้า เศรษฐกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน โดยเสนอให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายที่กำกับดูแลพิจารณากลั่นกรองก่อน แล้วจึงเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||
1956 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางดวงพร รอดพยาธิ์ ฯ) | อื่นๆ | 02/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. นางอัมพวัน พิชาลัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๗ ๓. นายอดุลย์ ยุววิทยาพานิชย์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||
1957 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี 2557 | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade Meeting : MRT) ปี ๒๕๕๗ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ เมืองชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม MRT ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุม MRT เห็นชอบแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade Statement) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต รวมทั้งการเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๒ ที่ประชุม MRT เห็นชอบแถลงการณ์แยกเฉพาะ (Standalone Statement) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การต่อต้านการกีดกันทางการค้า การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement : TFA) ภายใต้ WTO การจัดทำแผนงานเจรจาหลังบาหลี การสนับสนุนให้การเจรจาขยายความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) และการยืนยันการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมภายใต้เอเปค ๑.๓ หัวหน้าผู้แทนไทยได้หารือทวิภาคีกับ ๒ เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ชิลีและเปรู รวมทั้งการหารือกับคณะนักธุรกิจสหรัฐอเมริกา โดยสหรัฐอเมริกาขอให้รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน และการสนับสนุนให้การเจรจาขยายขอบเขต ITA สรุปผลได้โดยเร็ว โดยไทยเน้นย้ำการดำเนินกระบวนการภายในประเทศอย่างเต็มที่ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด สำหรับความตกลง TFA ภายใต้ WTO ยืนยันสนับสนุนการเจรจา ITA Expansion และให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในการเปิดเสรีการค้าบริการเพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีทักษะ อีกทั้งได้ให้ความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าการส่งเสริมการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกอย่างใกล้ชิด การผลักดันให้การดำเนินการของเอเปคเป็นไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ทั้งในแผนการดำเนินงานและการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การให้ความสำคัญกับการยกระดับผลิตภาพการผลิต การปฏิรูปด้านกฎระเบียบและนโยบายด้านการแข่งขันในตลาดโดยรวมถึงกฎระเบียบที่จะสนับสนุนให้ความเชื่อมโยงทางกายภาพสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง การส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือภาครัฐเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการที่ดีในทุกระดับ การเสริมสร้างบรรยากาศการดำเนินธุรกิจที่คล่องตัวมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโดยการสร้างบรรยากาศการแข่งขันและการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านการบริการ การสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานของ SMEs รวมทั้งการขับเคลื่อนการดำเนินการในด้านต่าง ๆ สู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1958 | การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้ในบทบัญญัติที่ ๒ ของเอกสารแนบท้ายอนุสัญญากรุงเบิร์นฯ ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ออกไป ๑๐ ปี จากวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ และสิ้นสุดในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิในการแปลฯ ดังกล่าว เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมและพัฒนางานด้านศิลปวิทยาการและเทคโนโลยีของไทยซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอนุสัญญากรุงเบิร์นฯ ที่เปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถบังคับใช้สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์บางประการได้เท่าที่จำเป็นเพื่อลดอุปสรรคในการถ่ายโอนเทคโนโลยีและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมณ์ถึงองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ ทราบอย่างทั่วถึง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิในการแปลฯ ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) รับไปตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทย และเร่งดำเนินการปกป้อง คุ้มครองการจดลิขสิทธิ์ในเรื่องดังกล่าว ไม่ให้ถูกแสวงประโยชน์จากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลิขสิทธิ์ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนได้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย |
||||||||||||||||||
1959 | การลงนามใน Memorandum of Agreement และ Side Letter ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดคลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบสารัตถะของร่าง Memorandum of Agreement (MOA) ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ และร่าง Side Letter ยืนยันว่า เมื่อใดที่ฟิลิปปินส์มีการให้ Tax Expenditure Subsidy (TES) กับการนำเข้าข้าวจะปฏิบัติต่อข้าวของไทยไม่น้อยไปกว่าข้าวที่นำเข้าจากแหล่งอื่น ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนลงนามใน MOA ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายฯ และ Side Letter ๓. ให้ผู้แทนไทยพิจารณาใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาและแสวงหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าข้าวของไทยในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการระบายข้าว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพข้าวก่อนการส่งออก และกำหนดชนิดและระดับคุณภาพของข้าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศที่เป็นตลาดใหม่ด้วย |
||||||||||||||||||
1960 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง [โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อควบคุมและลดความสูญเสียของสินค้ากุ้งทะเลจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS)] | กษ | 27/06/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ดำเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อควบคุมและลดความสูญเสียของสินค้ากุ้งทะเลจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) ภายในกรอบวงเงิน ๙๖,๐๙๕,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาดำเนินการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และให้กรมประมงดำเนินการตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่เห็นควรพัฒนาระบบคัดกรองพ่อแม่พันธุ์กุ้งที่ปลอดโรคเพื่อการผลิตลูกกุ้งปลอดโรคที่มีประสิทธิภาพ การจัดตั้งเครือข่ายวิจัย เฝ้าระวัง และกักกันโรคกุ้งในประเทศไทยดำเนินการในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและมีความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยในต่างประเทศ การพัฒนาระบบควบคุมและตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ รวมถึงการพัฒนาเกษตรกรผู้ตรวจสอบคุณภาพ การกำหนดเขตเหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะในการกระจายพันธุ์กุ้งที่ผลิตได้ให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง โดยให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมกับสถานภาพของเกษตรกร การให้ความสำคัญในการร่วมมือและกำกับดูแลและตรวจสอบพันธุ์กุ้งที่ผลิตจากภาคเอกชนให้มีคุณภาพ ปลอดจากกลุ่มอาการตายด่วน (EMS) นอกจากนี้ การอบรมสัมมนาให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งและผู้ประกอบการโรงเพาะฟักในทุกพื้นที่ ควรคำนึงถึงความพร้อมของกลุ่มเป้าหมายและเจ้าหน้าที่โครงการ รวมทั้งการจัดหาครุภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และการซ่อมแซมโรงเพาะฟัก ควรมีการตรวจสอบความพร้อมทุกด้านเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เร่งรัดการเพาะพันธุ์ลูกกุ้งทะเลในประเทศเพื่อรองรับการผลิตในปีต่อไปด้วย |
.....