ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 94 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1861 - 1880 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1861 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมโค เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ ๑.๐๐ บาท (จากเดิมราคา ๑๘.๐๐ บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็น ๑๙.๐๐ บาท/กิโลกรัม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้ ๑.๒ ปรับราคากลางนมโรงเรียน เพิ่มขึ้นจากราคากลางเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ ๐.๒๑ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยนมพาสเจอร์ไรส์ จากเดิมราคา ๖.๓๗ บาท/ถุง เป็นราคา ๖.๕๘ บาท/ถุง นม ยู.เอช.ที ชนิดกล่อง จากเดิมราคา ๗.๖๑ บาท/กล่อง เป็นราคา ๗.๘๒ บาท/กล่อง และชนิดซอง จากเดิมราคา ๗.๕๑ บาท/ซอง เป็นราคา ๗.๗๒ บาท/ซอง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของนมโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ และเห็นควรให้พัฒนาศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทุกแห่งผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งในด้านคุณภาพและการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมโคนมกับต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาแนวทางการดำเนินการของสหกรณ์โคนมของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและการจัดการเกษตร โดยเฉพาะด้านการบริหารสหกรณ์การเกษตรและการปศุสัตว์ ตลอดจนความร่วมมือและสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์สำหรับการดำเนินการอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทยต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1862 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลเกี่ยวกับการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณะของประชาชน กลุ่มนักศึกษา นักวิชาการต่าง ๆ โดยความเห็นหรือข้อเสนอแนะควรเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศและเสริมสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ ๑.๒ ตามที่รัฐบาลได้เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อทำหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้วนั้น ในระยะต่อไปให้ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จขยายการดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้ครอบคลุมถึงแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอกประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาคเอกชนของไทยที่มีความประสงค์และมีความพร้อมในการลงทุนในประเทศต่าง ๆ แล้วจัดทำเป็นข้อมูลส่งให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการหารือทวิภาคีร่วมกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาเกี่ยวกับ Bloom Energy Server (Bloom Box) เพื่อพิจารณานำมาเป็นทางเลือกหนึ่งของการผลิตพลังงานเพื่อใช้ในประเทศไทยต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและสาธารณะเกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในขณะนี้ และเร่งกำหนดมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลหรือคุ้มครองการดำเนินการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณากำหนดมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายโดยตรงต่อผู้บริโภคโดยทั่วไป และซื้อขายโดยผ่านช่องทางในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการจัดการโรคเอดส์ของไทยที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์ และแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรค ๓.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์และสร้างการรับรู้กับประชาชนเกี่ยวกับภัยของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ความรู้เกี่ยวกับการแยกประเภทขยะและวิธีการจำกัดขยะประเภทดังกล่าว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานของรัฐบาลเฉพาะเรื่องที่มีผลสัมฤทธิ์แล้วและเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็นให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยนำข้อมูลที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ดำเนินการสำรวจไว้มาใช้ประกอบการพิจารณา แล้วกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการที่ระบุเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ในช่วงเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑๒ เดือน รวมทั้งให้ขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓-๖ เดือน และเสนอผลความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๔.๓ ให้ทุกส่วนราชการควบคุมการก่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้ศึกษาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างละเอียดรอบคอบและเหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง ๔.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดประสิทธิภาพต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นการคงอยู่ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเร่งรัดเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หากมีประเด็นปัญหาในข้อกฎหมาย ให้เสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา แล้วจัดทำเป็นข้อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๔.๖ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและทุกส่วนราชการเชิญชวนให้พสกนิกรชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๘๗ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ด้วยการตั้งปณิธานที่จะทำความดีอย่างน้อย ๑ อย่างที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
1863 | การปรับปรุงโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2557/58 ของ ธ.ก.ส. | พณ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ปรับเพิ่มปริมาณเป้าหมายโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อีกจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ตัน จากเดิม ๑,๕๐๐,๐๐๐ ตัน รวมเป็น ๒,๐๐๐,๐๐๐ ตัน และอนุมัติวงเงินชดเชยดอกเบี้ย ค่าเช่า และค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก ค่าบริหารสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายในการส่งมอบข้าวคิดเป็นวงเงิน จำนวน ๒,๗๙๖.๐๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้ ธ.ก.ส. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบรายจ่ายอื่น รายการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยโครงการสินเชื่อที่ชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ ๓๙๒.๙๕๐๗ ล้านบาท สำหรับส่วนที่เหลือให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ พร้อมทั้งตรวจสอบติดตามและกำกับดูแลการเก็บรักษาข้าวเปลือกของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรอย่างใกล้ชิด และให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวจัดทำแผนปฏิบัติการในการระบายข้าวเปลือกโดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางอย่างชัดเจน และพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานของทางราชการ นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงาน ได้แก่ ยุ้งฉางของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร และความพร้อมของบุคลากรในการติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลปริมาณและคุณภาพข้าวเปลือกในยุ้งฉางของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและการรักษาวินัยการเงินการคลังของเกษตรกร การเตรียมมาตรการรองรับไว้ล่วงหน้าในกรณีที่ระยะเวลาโครงการฯ ครบกำหนดแล้ว แต่ราคาตลาดไม่สูงกว่าราคาที่ให้สินเชื่อ และในระยะยาวควรเน้นการผลิตข้าวคุณภาพดีตามท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังนำมติของคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเพื่อพิจารณาหาข้อสรุปก่อนที่จะนำมาเป็นข้อทักท้วงในการประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน ระเบียบ ข้อกฎหมาย และตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1864 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (จำนวน 6 ราย) (1. นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ฯลฯ) | พณ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสมศักดิ์ พณิชยกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางกุลณี อิศดิศัย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นางสาวนพพร ลิ้นทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นางนิศา ศรีสุวรนันท์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๖. นางดวงกมล เจียมบุตร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||
1865 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร | พณ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร มีสาระสำคัญโดยสรุป คือ ในปี ๒๕๕๘ รัฐบาลจีนพร้อมที่จะลงนามสัญญาการซื้อข้าวจากไทย โดยเป็นข้าวใหม่ จำนวน ๑ ล้านตัน และข้าวในสต็อกของรัฐบาลไทยอีก จำนวน ๑ ล้านตัน ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ ถึง ๒๕๕๙ นอกจากนี้ จีนยังได้ตกลงในหลักการที่จะซื้อยางพาราจากไทย จำนวน ๒ แสนตัน และในช่วงระยะเวลาของการปฏิบัติตามความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของไทย จีนตกลงที่จะเพิ่มการซื้อข้าวและ/หรือสินค้าเกษตรอื่น ๆ จากไทยในแต่ละปี ที่ราคาตลาดโลก เพิ่มมากกว่าปริมาณการค้าเฉลี่ยต่อปีที่มีอยู่ในรอบห้าปีย้อนหลัง ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการปรับแก้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่มีผลเปลี่ยนแปลงหลักการและสาระสำคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนสำหรับการลงนามดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
1866 | ร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขนิยามคำว่า “ส่งออก” และ “นำเข้า” ให้มีความหมายรวมถึงการนำผ่านโดยวิธีการผ่านแดนและการถ่ายลำ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนเพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า ส่งออก และนำเข้า ให้รวมถึงการผ่านแดนและการถ่ายลำตามกฎหมายศุลกากร เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการกำหนดให้สินค้าผ่านแดนและสินค้าถ่ายลำต้องปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่สอดคล้องกับการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่อาเซียนรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจเดียวกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณากำหนดมาตรการชั่วคราวเพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างในการนำวิธีการผ่านแดน และการถ่ายลำมาใช้กับสินค้าต้องห้ามและต้องกำกัด ในระหว่างที่การแก้ไขพระราชบัญญัติฯ ยังไม่แล้วเสร็จ |
||||||||||||||||||||||||
1867 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) กับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ยุทธศาสตร์ ACMECS | พณ | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. โดยที่ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ขอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมาย “คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน” เป็นผู้พิจารณาจัดทำแผนงานการดำเนินโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวจัดตั้งโดยคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการภายในระดับกระทรวง มิได้อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะมอบหมายคณะกรรมการดังกล่าวได้ ประกอบกับเพื่อให้การปฏิบัติงานในเรื่องนี้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นขึ้น จึงควรตัดคำว่า “ในแต่ละปี” ออก ดังนั้น จึงเห็นควรแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ จาก “การพิจารณาแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) ในแต่ละปี มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดำเนินการโดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” เป็น “การพิจารณาแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดำเนินการโดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีทุกปี” ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน) พิจารณาแนวทางให้ศูนย์ขายสินค้าเกษตรตามแนวชายแดนเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดในพื้นที่ชายแดนเนื่องจากการผลิตของเกษตรกรรายย่อยในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่นอกแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญา |
||||||||||||||||||||||||
1868 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (จำนวน 6 คน) (1. นางบุญทิพา สิมะสกุล ฯลฯ) | พณ | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน จำนวน ๖ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบตามวาระ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นางบุญทิพา สิมะสกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ ๒. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชี ๓. นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร ๔. นายศักดา ธนิตกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ๕. นายเสน่ห์ นิยมไทย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม ๖. นางวริชนันท์ ต่อวงศ์ไพชยนต์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
1869 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จำนวน 14 คน) (นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ ฯ) | พณ | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ชุดใหม่ จำนวน ๑๔ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสี่ปีตามวาระแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๑.๑ นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ สาขาวิทยาศาสตร์ ๑.๒ นางปัจฉิมา ธนสันติ สาขานิติศาสตร์ ๑.๓ นายชัยปิติ ม่วงกูล สาขานิติศาสตร์ ๑.๔ นางลัดดาวัลย์ กรรณนุช สาขาเกษตรศาสตร์ ๑.๕ นางมยุรา มานะธัญญา สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑.๖ นายอัคคพันธ์ ลีวุฒินันท์ สาขาเศรษฐศาสตร์ ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๒.๑ นายทศพร นุชอนงค์ สาขาภูมิศาสตร์ ๒.๒ นายธนิต ชังถาวร สาขานิติศาสตร์ ๒.๓ นางมะลิ รักเปี่ยม สาขาวิทยาศาสตร์ ๒.๔ นายวุฒิพงษ์ อินทรธรรม สาขาวิทยาศาสตร์ ๒.๕ นางวรนุช กิจสุขจิต สาขาวิทยาศาสตร์ ๒.๖ นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ สาขาเกษตรศาสตร์ ๒.๗ นางสาวศิริพร บุญชู สาขาเกษตรศาสตร์ ๒.๘ นายทรงพล สมศรี สาขาเกษตรศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
1870 | ข้อหารือในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 | นร04 | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อหารือในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอความเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕) อนุมัติในหลักการการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรถไฟตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ นั้น ในระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้พูดคุยถึงเรื่องการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ขณะนี้ได้เจรจากับทางฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดเส้นทางรถไฟแล้ว โดยร่างเอกสารบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดขั้นสุดท้ายและจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ (วันศุกร์ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจด้านการค้าสินค้าเกษตร โดยได้มีการกำหนดชนิดของสินค้าทางการเกษตรด้วยแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์นำร่างบันทึกความเข้าใจทั้ง ๒ ฉบับเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
1871 | รายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 22 | กต | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับรายงานการเดินทาง ผลการเยือน และการประชุมเจรจาหารือของนายกรัฐมนตรี) สำหรับสาระสำคัญของการประชุมฯ จีนในฐานะเจ้าภาพการประชุมได้กำหนดหัวข้อหลักของการประชุม คือ “การสร้างอนาคตด้วยความเป็นหุ้นส่วนในเอเชีย-แปซิฟิก (Shaping the Future through Asia-Pacific Partnership) โดยเน้นการหารือความร่วมมือภายใน ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (๒) การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต และ (๓) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในส่วนของการหารือทวิภาคี นายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับผลกระทบของการเปิดเสรีทางการค้าต่อวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดเล็ก (SMMEs) รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมให้ SMMEs สามารถได้รับประโยชน์ในการเปิดเสรีทางการค้าได้อย่างแท้จริง โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMMEs โดยกำหนดให้เป็นวาระของชาติ ให้มีการลงทะเบียน SMMEs และตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและช่วยแก้ปัญหาที่ SMMEs ประสบ เช่น การเข้าถึงเงินทุน และแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ การเปิดเสรีต้องคำนึงถึงความแตกต่างในระดับการพัฒนาของแต่ละประเทศด้วย อีกทั้งย้ำถึงนโยบายการปฏิรูปของไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน ซึ่งจะส่งเสริมให้ SMMEs และทุกภาคส่วนของสังคมมีศักยภาพ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนได้อย่างเต็มที่ สำหรับการดำเนินการของเอเปคในปี ๒๕๕๘ ฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี ๒๕๕๘ โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ๖ สาขา ได้แก่ การค้า การคลัง การคมนาคม การปฏิรูปโครงสร้าง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พลังงาน และมีกำหนดจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๗ ณ กรุงมะนิลา ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งมีความคืบหน้า ๓ ประการ คือ ๒.๑ การผลักดันการจัดตั้งเขตการค้าเสรี FTAAP (Free Trade Area of the Asia Pacific) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๐๑๖ (๒๕๕๙) จะเพิ่มรายได้ประมาณร้อยละ ๔.๙ ของมูลค่า GDP ของไทยในปี ๒๐๒๕ (๒๕๖๘) ๒.๒ ไทยเสนอตัวเป็นผู้นำผลักดัน SME เข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในการผลิต (Global Value Chain) ในสาขาเกษตร ที่เชื่อมโยงผลผลิตเกษตรและอาหาร ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถกำหนดทิศทางนโยบายของเอเปคเพื่อดึงเกษตรกรและนักธุรกิจการเกษตรของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มของโลก อันจะส่งผลพัฒนาภาคเกษตรของไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาว ๒.๓ ไทยสนับสนุนการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Connectivity) โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือให้เข้าสู่ระบบท่าเรืออิเล็กทรอนิกส์ของภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การอำนวยความสะดวกทางการค้าของไทย
|
||||||||||||||||||||||||
1872 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ๑.๑ ในการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานผู้รับผิดชอบพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการตามข้อผูกพันในสาระของความตกลงและความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ทั้งนี้ หากการลงนามในความตกลงใดจะเป็นการผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการที่อาจมีความเสี่ยงอันก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ก็ควรกำหนดข้อสงวนหรือชะลอการลงนามในความตกลงนั้น ๆ ไปก่อน ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย และการปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัย ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ โดยหากจำเป็นอาจตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับและเร่งรัดแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๒. ด้านพลังงาน ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนแก่ประชาชนเกี่ยวกับการให้สัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย และให้เร่งพิจารณาทบทวนโครงการที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้มีการดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดว่าสมควรดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อให้มีการผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบตามเป้าหมาย แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้เพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายปรับขึ้นราคาของสินค้าอุปโภคและบริโภค นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและกำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน สำหรับการดำเนินการในปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๓.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย โดยจัดแยกตามประเภทของธุรกิจเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการให้การสนับสนุนและพัฒนาประสิทธิภาพ SMEs ไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และสามารถเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงธุรกิจขนาดใหญ่และพัฒนาไปถึงระดับภูมิภาคได้ในอนาคต ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งติดตามและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการคัดค้านการดำเนินการของศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและแก้ปัญหาเช่นเดียวกันนี้ในพื้นที่อื่นที่มีการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย เช่น จังหวัดปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปัญหาขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔.๒ ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งดำเนินการจัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยโดยเร็ว และให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการในระยะแรกให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๕. ด้านอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) กำหนดแนวทางในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาที่ใกล้เคียงกันได้ เช่น การปรับปรุงวิธีการกำหนดราคาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลต้นทาง การจัดจำหน่ายในรูปแบบสหกรณ์ เป็นต้น ๕.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในระดับพื้นที่กำหนดแผนลงตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ โดยจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่และการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนั้น ๆ เช่น การให้บริการด้านสุขภาพ การจัดระเบียบที่ดิน การบริหารจัดการสินค้าเกษตร และนำไปชี้แจงและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในระหว่างการลงพื้นที่ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและปัญหาจากประชาชนในพื้นที่เพื่อนำกลับมาแก้ไขต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1873 | การหารือแนวทางการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล | นร | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับแนวทางการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล สรุปผลได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยแจ้งความเห็นให้กระทรวงพาณิชย์ทราบแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗ ว่า การระบายสินค้าเกษตรแบบ G to G เป็นดุลพินิจของกรมการค้าต่างประเทศ ดังนั้น การอนุมัติให้ขายข้าวดังกล่าวจึงสามารถดำเนินการได้ ๒. เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ช. ชี้แจงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะให้ความสนใจเฉพาะเรื่องปริมาณของข้าวที่เหลืออยู่ ส่วนคุณภาพของข้าวจะยึดถือตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐที่มีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอนุกรรมการ ดังนั้น ข้าวจำนวน ๑๗ ล้านตัน สามารถระบายได้ แต่ควรเก็บหลักฐาน เช่น ภาพถ่ายและการตรวจดีเอ็นเอไว้ และการขายให้ยึดหลักสุจริตโปร่งใส รวมทั้งคำนึงถึงกฎหมายว่าด้วยการสมยอมราคาด้วย ๓. การขออนุมัติขายข้าว จำนวน ๐.๒๐๕ ล้านตัน ไม่มีผลกระทบต่อรูปคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากข้าวในสต็อกของรัฐบาลไม่ใช่ของกลางในคดี ส่วนคดีแพ่งที่มีต่อผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวให้ดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญา
|
||||||||||||||||||||||||
1874 | รายงานผลการประชุมทบทวนผลการเปิดตลาดการค้าบริการตามข้อผูกพันชุดที่ 1 - 9 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของ อาเซียน | พณ | 12/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมทบทวนผลการเปิดตลาดการค้าบริการตามข้อผูกพันชุดที่ ๑-๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
๑. การผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการที่ผ่านมาของไทยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทยตั้งแต่ชุดที่ ๑-๙ ไทยได้เลือกผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการเฉพาะกิจกรรมย่อยที่ไทยมีความพร้อมภายใต้สาขาบริการหลักหรือในสาขาที่หน่วยงานของไทยเคยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย พร้อมทั้งระบุเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดต่อการเข้ามาประกอบธุรกิจบริการของต่างชาติในไทย ๒. ที่ประชุมตั้งข้อสังเกตว่า การสร้างข้อจำกัดการใช้สิทธิลงทุนของต่างชาติภายใต้กรอบอาเซียน ทำให้ไทยอยู่ในฐานะที่ไม่ได้เปิดตลาดบริการอย่างแท้จริง อาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของตลาดในประเทศ การจำกัดการแข่งขันอาจส่งผลให้ผู้ประกอบการภายในประเทศไม่มีความตื่นตัวที่จะพัฒนาตนเอง เป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคภายในประเทศที่จะเลือกใช้บริการที่มีคุณภาพ มีความหลากหลาย และไทยจะขาดโอกาสในการเป็น Hub ได้อย่างแท้จริง |
||||||||||||||||||||||||
1875 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียนการปรับปรุงค่าธรรมเนียม) | พณ | 12/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)] และร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม) รวม ๒ ฉบับ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาตัดบทบัญญัติที่ซ้ำซ้อนและให้รวมร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน โดยให้เชิญกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
1876 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)] | พณ | 12/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocal)] และร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม) รวม ๒ ฉบับ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาตัดบทบัญญัติที่ซ้ำซ้อนและให้รวมร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน โดยให้เชิญกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
1877 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (พลเอก ดิฏฐพร ศศะสมิต) | พณ | 04/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง พลเอก ดิฏฐพร ศศะสมิต ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1878 | เอกสารสำคัญด้านเศรษฐกิจที่จะเสนอผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 | พณ | 04/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบเอกสารด้านเศรษฐกิจที่จะมีการนำเสนอต่อผู้นำอาเซียนในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อให้การรับรองและรับทราบ ได้แก่ ๑.๑ เสนอผู้นำรับรองเอกสารองค์ประกอบหลักของวิสัยทัศน์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายหลังปี ๒๕๕๘ ซึ่งจะเสนอร่วมกับองค์ประกอบหลักฯ ของอีก ๒ เสาของประชาคมอาเซียน โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ เสนอผู้นำรับทราบเอกสาร ASEAN Principle for PPP Frameworks โดยรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะให้การรับรองก่อนนำเสนอผู้นำ ๑.๓ เสนอผู้นำรับทราบเอกสาร Bridging the Development Gap : ASEAN Equitable Development ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนของประเทศไทยเป็นผู้ร่วมรับรองเอกสารตามข้อ ๑.๒ ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวตามข้อ ๑ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||
1879 | ขอความเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 04/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เมื่อวันที่ ๒๘-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือในการสั่งซื้อผลิตผลทางการเกษตรของไทย พร้อมทั้งหารือการเตรียมการเยือนของนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะผลักดันความร่วมมือในการสั่งซื้อผลิตผลทางการเกษตรของไทย รวมทั้งความร่วมมือด้านการพัฒนารถไฟระหว่างไทย-จีนให้มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น จึงได้มีการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างผู้แทนทั้งสองฝ่ายในการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ในระหว่างวันที่ ๙-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. อนุมัติในหลักการการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ประเด็นความร่วมมือ ให้แยกเป็น ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) การซื้อขายผลผลิตทางการเกษตร และ (๒) การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรถไฟตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ ๒.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะไม่มีการกำหนดเกี่ยวกับการชำระเงินโดยแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตร และในกรณีที่บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้มีผลขัดหรือแย้งกับบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับเดิมที่ทั้งสองฝ่ายเคยได้จัดทำไว้ก่อนหน้านี้ ก็ให้ถือว่าบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เหนือบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับเดิม หากจำเป็นต้องยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับเดิม เพื่อให้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ก็ให้ดำเนินการยกเลิกเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ หากร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง จะต้องได้รับความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๓. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดในการขายข้าวให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนตามข้อตกลงหรือการเจรจาที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1880 | ขออนุมัติวงเงินโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกปี 2557/58 เพิ่มเติม | พณ | 04/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ๖๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในการดำเนินการตามโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปี ๒๕๕๗ เพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการเก็บสต็อกข้าวเปลือกเพิ่มอีก จำนวน ๔ ล้านตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘) ในโอกาสแรกก่อน และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดแล้วปรากฏว่า มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตรวจสอบเอกสารหลักฐานให้ถูกต้อง และติดตามตรวจสอบปริมาณความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสต็อกข้าวของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการไม่ให้นำไปหมุนเวียนออกสู่ตลาด และดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย นอกจากนี้ ควรกำหนดประเภทข้าวและราคารับซื้อสำหรับข้าวแต่ละประเภทที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้ชัดเจนเพื่อป้องกันการนำข้าวเปลือกคุณภาพต่ำเข้าสู่โครงการฯ และจัดทำแผนการระบายสต็อกข้าวเปลือกสำหรับผู้ประกอบการค้าข้าวแต่ละราย เพื่อป้องกันการระบายสต็อกข้าวเปลือกปริมาณมากในช่วงเวลาเดียวกันกับการระบายข้าวเปลือกในสต็อกของรัฐบาล ตลอดจนให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการค้าข้าวและเกษตรกรได้รับทราบ และมีความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของการดำเนินโครงการฯ อย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....