ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 92 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1821 - 1840 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1821 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 26 | กต | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยตารางสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมและตารางติดตามสรุปผลการหารือทวิภาคี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สรุปการติดตามผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ๑.๑.๑ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การผลักดันให้การดำเนินการตาม Bali Package และการจัดทำ Post-Bali Work Program มีความคืบหน้า การเริ่มทำการศึกษาร่วมทางยุทธศาสตร์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การดำเนินการตามพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าโลก การดำเนินการตามข้อริเริ่ม เรื่อง การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลกในอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งไทยเป็นเขตเศรษฐกิจนำในสาขาธุรกิจเกษตร และการดำเนินการตามกรอบการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ด้านการวัดการค้ามูลค่าเพิ่มภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าโลก เป็นต้น ๑.๑.๒ การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต ประเด็นสำคัญ ที่ต้องติดตาม อาทิ ยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของเอเปค (ANSSR) ความร่วมมือในประเด็นการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ข้อริเริ่มเอเปคเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ต และข้อริเริ่มเอเปคด้านความร่วมมือทางมหาสมุทรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เป็นต้น ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การพิจารณาแนวทางขยายอายุบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปค (ABTC) เป็นเวลา ๕ ปี และการพิจารณาแนวทาง การจัดทำบัตรการเคลื่อนย้ายเสมือนจริงของภาควิชาการ (virtual academic mobility card) เป็นต้น ๑.๒ สรุปการติดตามผลการหารือทวิภาคีของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากประเทศต่าง ๆ ๑.๒.๑ จีน ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การเตรียมการจัดกิจกรรมครบรอบ ๔๐ ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน คำขอของจีนให้สนับสนุนข้อเสนอของจีนในกรอบอาเซียน เช่น คณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ Treaty of Friendship and Good Neighborliness และการประชุมแม่โขง-ล้านช้าง เป็นต้น ๑.๒.๒ ออสเตรเลีย ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียเยือนไทย และการจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศไทย การออกกฎหมายและการมี transitional arrangement เกี่ยวกับการรับจ้างตั้งครรภ์ เป็นต้น ๑.๒.๓ นิวซีแลนด์ ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การจัดจ้างการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-นิวซีแลนด์ ครั้งที่ ๓ ที่นิวซีแลนด์ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิรูปด้านต่าง ๆ โดยการจัด workshop ระหว่างผู้เชี่ยวชาญและองค์กรต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ เป็นต้น ๑.๒.๔ ปาปัวนิวกินี ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม อาทิ การขอรับการสนับสนุนเรื่องการสมัครรับเลือกตั้ง ใน UNSC ของไทยจากปาปัวนิวกินีเป็นลายลักษณ์อักษร การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปาปัวนิวกินีเยือนไทย การเยือนปาปัวนิวกินีของรองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และการจัดการประชุมหารือ ทวิภาคีไทย-ปาปัวนิวกินี ครั้งที่ ๑ (ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส) เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนัยตารางสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมและตารางติดตามสรุปผลการหารือทวิภาคี ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ได้ส่งเสริมการดำเนินการทางพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์เอเปคเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าโลก ตลอดจนการดำเนินการตามกรอบการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ด้านการวัดการค้ามูลค่าเพิ่มภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าโลกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ควรเน้นย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรมในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้เป้าหมายการขับเคลื่อนให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง การส่งเสริมการหุ้นส่วนความร่วมมือภาครัฐเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดการสร้างบรรยากาศแข่งขันและการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านบริการ และการสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานของ SMEs เป็นต้น ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1822 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี ๒๕๕๘ จำนวน ๔๓ รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ หมวดอาหาร จำนวน ๑๔ รายการ คือ กระเทียม ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร น้ำตาลทราย น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน นมผง นมสด แป้งสาลี อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก และผลปาล์มน้ำมัน ๑.๒ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน จำนวน ๕ รายการ คือ ผงซักฟอก ผ้าอนามัย กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู และสบู่ ๑.๓ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๖ รายการ คือ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ รถไถนา และรถเกี่ยวข้าว ๑.๔ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน ๓ รายการ คือ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น สายไฟฟ้า และท่อพีวีซี ๑.๕ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๓ รายการ คือ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน และเยื่อกระดาษ ๑.๖ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง และรถยนต์บรรทุก ๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการคือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และเม็ดพลาสติก ๑.๘ หมวดยารักษาโรค จำนวน ๑ รายการ คือ ยารักษาโรค ๑.๙ หมวดอื่น ๆ จำนวน ๑ รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน ๑.๑๐ หมวดบริการ จำนวน ๓ รายการ คือ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า และบริการทางการเกษตร ๒. ยกเว้นการเพิ่มรายการสินค้าควบคุมใหม่ ๒ รายการ คือ แชมพูและสบู่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีการผลิตจำนวนมากจากคู่แข่งหลายรายทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด ซึ่งสามารถใช้กลไกตลาดในการควบคุมระดับราคาได้
|
||||||||||||||||||||||||
1823 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2558 | กษ | 20/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ปี ๒๕๕๘ ตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้าระหว่างประเทศ และให้มีการบริหารการนำเข้าตามความตกลงทุกกรอบการค้าระหว่างประเทศเช่นเดียวกับกรอบ WTO คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร และการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. โดยมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. ดำเนินการต่อไป รวมทั้งมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. พิจารณาการเพิ่มเติมกรรมการ กนป. โดยตำแหน่งให้มีผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันจากจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า ๕ แสนไร่ ๒. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ โดยให้กระทรวงพลังงานปรับลดข้อกำหนดการใช้ไบโอดีเซล B100 ผสมในน้ำมันดีเซลจากไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖ แต่ไม่เกินร้อยละ ๗ เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓.๕ แต่ไม่เกินร้อยละ ๗ รวมทั้งการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไข (Crude Palm Olein) ในปริมาณจำกัด โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) นำเข้าในปริมาณ ๕๐,๐๐๐ ตัน ให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
1824 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/01/2558 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิดและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกของไทย นั้น เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย จึงให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าของไทยที่มีศักยภาพโดดเด่นในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมการประกวดกล้วยไม้โลก การจัดหาเที่ยวบินพิเศษเพื่อส่งออกกล้วยไม้ หรือผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหาแนวทางสร้างท่าเทียบเรือยอร์ชและท่าเทียบเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ โดยให้สามารถรองรับเรือยอร์ชได้กว่า ๑,๕๐๐ ลำ และให้มีท่าเรือน้ำลึกเพื่อรองรับเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ได้ โดยให้เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ และสร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและชาวต่างประเทศทราบด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้เพื่อเป็นข้อมูลให้ธนาคารของรัฐใช้ประกอบการสนับสนุนด้านสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษา เช่น สนับสนุนครูที่มีความสามารถให้ได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาระบบการเรียนการสอนที่สามารถตอบสนองความต้องการของครู นักเรียน และผู้ปกครองไปพร้อมกัน ตลอดจนเร่งรัดโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กในถิ่นทุรกันดารด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาตรวจสอบบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยสุรา ว่ามีบทบัญญัติที่ครอบคลุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ในการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศในเวทีต่าง ๆ ขอให้ทุกส่วนราชการนำเรื่องที่ประเทศไทยสามารถมีบทบาทเป็นผู้นำในภูมิภาค เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เสนอต่อที่ประชุมระดับนานาชาติด้วย เพื่อเป็นการสร้างบทบาทในเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศประสานส่วนราชการต่าง ๆ ในการส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นข้อมูลประกอบการเยือนด้วย ๓.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงโดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณากำหนดช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม/สัมมนานานาชาติในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการจัดประชุม/สัมมนานานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว รวมทั้งประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการขอยกเว้นหรือการลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับผู้เดินทางมายังประเทศไทยในกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีการทำการวิจัยหรือสำรวจซึ่งมีประโยชน์ในเชิงถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีแก่คนไทย กรณีการมาร่วมประชุมหรืองานนิทรรศการ และกรณีการท่องเที่ยว โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ๓.๔ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาด้านการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผ่านแดนบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณากำหนดวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเวลาทำการเปิด-ปิดด่านที่เหมาะสม แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง นั้น เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่มีความคืบหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน จึงให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางให้มีคณะกรรมการชำนาญการระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการลงทุน หรือพื้นที่ที่ต้องเร่งพัฒนาหรือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้โครงการและกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๔.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ๔.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและสัตว์โดยเฉพาะช้างที่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติ เช่น การจัดทำป้ายสัญลักษณ์ติดตั้งในเส้นทางที่ช้างใช้ในการสัญจร การให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ช้างสัญจรและข้อพึงปฏิบัติที่สำคัญ การกำชับให้เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1825 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวให้เกิดขึ้นภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะรายการที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และกำหนดมาตรการในการดูแลระดับราคา ๒. ด้านสังคม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประสานงานเพื่อให้มีการศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ของจีนเกี่ยวกับงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและการพัฒนา (R&D) และนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการวิจัยร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ ปี ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศสำหรับปี ๒๕๕๘ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลเป็นรูปธรรม จึงมอบให้ทุกส่วนราชการพิจารณาว่าจะมีบทบาทหน้าที่ใดที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้การดำเนินการเกิดผลเป็นรูปธรรม บรรลุยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับให้ทุกส่วนราชการที่อยู่ในการกำกับดูแลพิจารณาทบทวนและประเมินผลการดำเนินการในรอบ ๓ เดือนที่ผ่านมา และจัดทำแผนปฏิบัติการในระยะ ๓ เดือนข้างหน้าโดยมุ่งเน้นใน ๓ ประเด็น คือ ด้านความมั่นคงและการรักษาความปลอดภัย ด้านการปฏิรูป และด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ แผนดังกล่าวจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ เช่น เป้าหมายที่เป็นรูปธรรม ลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนในการดำเนินการ แนวทางการใช้จ่ายงบประมาณและการหารายได้ ๓.๒ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ที่ผ่านมาพบว่า สถิติความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การลดความสูญเสียเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงยังต้องศึกษาข้อมูลและวางแผนการปรับปรุงการดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป จึงให้กระทรวงมหาดไทย (ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) จัดทำข้อมูลและสถิติการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่มาจากสาเหตุในกรณีต่าง ๆ และให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และจัดทำข้อมูลว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ทั้งนี้ ให้รายงานผลการรวบรวมข้อมูลและสถิติต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๓.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ๓.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่มีกำหนดกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติดำเนินการจัดงาน โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศแก่เด็กและเยาวชน ๓.๕ ในปัจจุบันพบว่ามีอาคารที่หยุดการก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนใหญ่อาคารเหล่านี้ไม่สามารถปรับปรุง ทุบทิ้ง หรือดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้ เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมาย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้สามารถนำอาคารหรือพื้นที่เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมความปลอดภัยของอาคารเหล่านี้ด้วย ๓.๖ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมและจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับความต้องการและแนวทางการใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศร่วมกัน โดยให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานของแต่ละหน่วยงานได้ เช่น การจัด Zoning พื้นที่ทางการเกษตร การจำแนกพื้นที่สำหรับการจัดเก็บภาษี และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๓.๗ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลในความรับผิดชอบและติดตามข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับภารกิจหรือการดำเนินงานในความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตามข่าวสารที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยหากข้อมูลใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงให้เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็วด้วย ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีข้างต้นใช้เป็นแนวทางในการบริหารราชการให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้น ในขั้นตอนปฏิบัติ หน่วยงานจะต้องดำเนินการโดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||
1826 | การสมัครเป็นสมาชิกสามัญขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด | พณ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แจ้งยืนยันว่า ในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด (International Organization of Legal Metrology : OIML) ประเทศไทยได้ขอสงวนสิทธิ์แล้วว่า จะไม่ยอมรับสถานภาพทางกฎหมายและให้เอกสิทธิ์แก่สำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานฯ ตามข้อ ๒๓ ของอนุสัญญาก่อตั้งองค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเปลี่ยนชื่อภาษาไทยของ International Organization of Legal Metrology จาก “องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด” เป็น “องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรวิทยาเชิงกฎหมาย” ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กรมการค้าภายในได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมภายหลังจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML ให้กรมการค้าภายในเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานและงานด้านชั่งตวงวัดภายในประเทศให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์การเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML พร้อมทั้งพิจารณากฎระเบียบภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาการก่อตั้งองค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้รับทราบถึงสถานะ ข้อกำหนด และมาตรฐานชั่งตวงวัดตามกฎหมายชั่งตวงวัดของ OIML เพื่อให้การกำกับดูแลและการพัฒนางานด้านชั่งตวงวัดภายในประเทศเป็นไปตามมาตรฐานสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญของ OIML ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1827 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) (แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง) | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทางของกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||
1828 | ขอยุติการเสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1829 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้
๑. คณะกรรมการตรวจสอบมาตรฐานข้าวหอมมะลิบรรจุถุง ๒. คณะกรรมการบริหารการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง
|
||||||||||||||||||||||||
1830 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้ามยุทธศาสตร์หรือไม่อยู่ในวัตถุประสงค์เดียวกัน แล้วขอทำความตกลงในรายละเอียดรวมทั้งปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณภายใต้แผนงานดำเนินการตามกรอบข้อตกลงอาเซียน โครงการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน จากงบรายจ่ายอื่น ไปตั้งจ่ายงบลงทุนและงบรายจ่ายอื่น จำนวน ๖ รายการ เป็นเงิน ๓๔,๓๐๐,๒๐๐ บาท ๑.๒ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากแผนงานส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าภาคการเกษตร และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นระบบ โครงการตรวจสอบคุณภาพ/ปริมาณผลิตสินค้าทางการเกษตร งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๗,๘๔๐,๐๐๐ บาท สมทบกับงบประมาณในแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน ผลผลิตการค้าได้รับการส่งเสริม ปกป้อง และอำนวยความสะดวก งบรายจ่ายอื่น จำนวน ๘,๑๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปตั้งจ่ายแผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน ผลผลิตการค้าได้รับการส่งเสริม ปกป้อง และอำนวยความสะดวก งบลงทุน จำนวน ๑ รายการ เป็นเงิน ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล ประมวลผลข้อมูลการค้าผ่านแดน/ชายแดน โครงการปรับปรุงระบบสื่อสารสำหรับ Trade Solution Center และโครงการจัดทำระบบบริหารจัดการการระบายข้าว กระทรวงพาณิชย์ควรให้ความสำคัญต่อการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับหน่วยงานและระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงานทั้งในด้านระบบการจัดการและด้านการปฏิบัติงาน รวมทั้งการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้สามารถรับทราบอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินโครงการอย่างทันท่วงทีและสามารถปรับปรุงแก้ไขให้การดำเนินโครงการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1831 | แนวทางการดำเนินการรวมตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า | กค | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการการรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กับบริษัทตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TFEX) ตามรายละเอียดและแผนการดำเนินการด้านธุรกิจและปฏิบัติการ (Business & Operation Model) ที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อดำเนินการให้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ต่อไป ๒. รับทราบเกี่ยวกับการเตรียมการแผนการโอนบุคลากรและแผนการดำเนินการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (คณะกรรมการ ก.ส.ล.) AFET TFEX และบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการรวมตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) การดูแลบุคลากรทั้งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ให้รับพนักงานของสองหน่วยงานดังกล่าวไว้ทั้งหมด และให้รับสิทธิประโยชน์ไม่น้อยกว่าที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ การรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ขอให้มีการพิจารณาแนวทางการดำเนินการที่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่เกษตรกรส่วนใหญ่จะได้รับ และระดับความเหมาะสมในการแทรกแซงสินค้าเกษตรที่สำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณามาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมควบคู่ไปกับการควบรวมด้วย เพื่อให้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นกลไกที่เข้มแข็งและเป็นประโยชน์ต่อภาคเกษตรกรรมของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1832 | การปรับกฎเฉพาะรายสินค้าจากพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2007 เป็นฉบับปี 2012 ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - จีน | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๐๗ เป็นฉบับปี ๒๐๑๒ สำหรับกฎเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-จีน ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) ดำเนินการต่อไป เพื่อให้กฎเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSR) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-จีน พิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๑๒ มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อผนวกกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าฉบับปี ๒๐๑๒ เข้าไปในความตกลงการค้าสินค้าภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ ให้แจ้งเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและกรมศุลกากรดำเนินกระบวนการภายในแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ประกอบการทราบถึงการปรับพิกัดศุลกากรระบบฮาโมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๐๗ เป็นฉบับปี ๒๐๑๒ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติในการระบุประเภทพิกัดใน Form E และการดำเนินการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การปรับพิกัดศุลกากรจากระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี ๒๐๐๗ เป็นฉบับปี ๒๐๑๒ เป็นการดำเนินการขององค์การศุลกากรโลก ซึ่งจะมีการปรับทุก ๕ ปี ส่งผลให้การดำเนินการภายใต้กรอบความตกลงต่าง ๆ ต้องมีการปรับ PSR ให้สอดคล้องกับระบบดังกล่าว ดังนั้น จึงให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและรวบรวมเกี่ยวกับการปรับกฎเฉพาะรายสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงที่ไทยมีพันธกรณี ซึ่งได้มีผลการประชุมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วจนถึงปี ๒๕๕๗ โดยให้วิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับ PSR ต่อความตกลงแต่ละฉบับ รวมทั้งมีผลเป็นการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนสาระของความตกลงหรือไม่อย่างไรด้วย แล้วเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในคราวเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||
1833 | มาตรการการดำเนินการปรับลดค่างานก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐ | นร07 | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการการดำเนินการปรับลดค่างานก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ทราบมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ กรณีที่หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ และได้ดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างโดยได้เปิดซองประกวดราคา สอบราคา หรือรับการเสนอราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แล้วก่อนวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ และอยู่ระหว่างการลงนามในสัญญาก่อสร้าง ให้หน่วยงานภาครัฐเจรจาต่อรองราคาค่างานก่อสร้างกับผู้เสนอราคารายต่ำสุด ตามราคากลางงานก่อสร้างที่ปรับลดตามราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับการจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนค่างานสิ่งก่อสร้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้ใช้วันที่เจรจาต่อรองจนได้ข้อยุติเป็นฐานในการคำนวณค่า K แทนเดือนเปิดซองประกวดราคา ๑.๒ กรณีที่หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการก่อนวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ และอยู่ระหว่างกระบวนการเปิดซองประกวดราคา สอบราคา หรือรับการเสนอราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ภายหลังวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้หน่วยงานภาครัฐเจรจาต่อรองราคาค่างานก่อสร้างกับผู้เสนอราคารายต่ำสุด ตามราคากลางงานก่อสร้างที่ปรับลดตามราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับการจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนค่างานสิ่งก่อสร้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้ใช้วันที่เปิดซองประกวดราคา สอบราคา หรือรับการเสนอราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นฐานในการคำนวณค่า K แทนเดือนเปิดซองประกวดราคา ๑.๓ กรณีหน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการก่อนวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ และยังไม่ได้ประกาศประกวดราคา สอบราคา หรือประกาศร่างขอบเขตงาน (Terms of Reference : TOR) ให้หน่วยงานภาครัฐยกเลิกการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างเดิม และให้กำหนดราคากลางงานก่อสร้างใหม่ตามราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับปรุงใหม่เป็นฐานในการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างดังกล่าว ๑.๔ กรณีหน่วยงานภาครัฐดำเนินการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการภายหลังวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้กำหนดราคากลางโดยใช้ราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับปรุงใหม่เป็นฐานในการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างดังกล่าว ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับตั้งแต่วันที่หน่วยงานภาครัฐทราบมติคณะรัฐมนตรี สำหรับการจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนค่างานสิ่งก่อสร้าง (ค่า K) ตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดดัชนีราคาที่ใช้คำนวณตามสูตรที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้เป็นรายวันตั้งแต่วันที่ ๑๖-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ด้วย ทั้งนี้ ยกเว้นกรณีการดำเนินการตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ ให้หน่วยงานภาครัฐพิจารณาดำเนินการจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง) ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ราคากลางงานก่อสร้างที่ปรับลดตามราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับปรุงใหม่ให้หน่วยงานภาครัฐทราบโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการเจรจาต่อรองราคาค่างานก่อสร้าง หรือกำหนดราคากลางงานก่อสร้างใหม่ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐ และสามารถช่วยเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1834 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการส่งเสริมตลาดกล้วยไม้ภายในประเทศให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้นด้วย โดยอาจจะจัดแสดงและจำหน่ายกล้วยไม้ไทยในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีประชาชนเป็นจำนวนมาก เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหากรณีที่มีน้ำเค็มหนุนเข้าในสวนกล้วยไม้ และปัญหาการขาดแคลนน้ำในการปลูกกล้วยไม้ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและวิธีการในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยจัดกลุ่มประชาชนตามระดับรายได้ให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางจัดตั้งศูนย์รับซื้อยางพาราในประเทศ เพื่อเป็นจุดประสานระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อโดยตรง โดยให้เกิดเป็นรูปธรรมและให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันสำรวจปริมาณการใช้ยางพาราของแต่ละหน่วยงานโดยเร็ว และให้จัดทำแผนการใช้ยางพาราในประเทศด้วย เพื่อให้การใช้ยางพาราเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วนำเสนอผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทางการศึกษา วิธีการจัดการศึกษาให้มีมาตรฐาน และให้เด็กไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพโดยด่วน โดยให้เริ่มนำร่องในปี ๒๕๕๘ ด้วยการพัฒนาศักยภาพผู้สอนทั้งในด้านวิธีการสอน การใช้เอกสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบการสอน และให้พิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บเงินกินเปล่า (แป๊ะเจี๊ยะ) ของโรงเรียนทั้งของรัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงานชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับความแตกต่างของการให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และการออมตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะสิทธิการออมตามอายุและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงและสามารถตัดสินใจเลือกรับสิทธิประโยชน์จากทั้ง ๒ มาตรการ ได้อย่างถูกต้องและได้รับผลประโยชน์สูงสุดต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการและอื่น ๆ โดยที่ปริมาณน้ำฝนในปีนี้มีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันท่วงที ประกอบกับขณะนี้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ทันการณ์ และให้ติดตามสถานการณ์สภาพอากาศอย่างใกล้ชิดโดยให้ประสานงานกับกรมอุตุนิยมวิทยา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) พิจารณาหาแนวทางและแหล่งกักเก็บน้ำฝนซึ่งมีปริมาณมากในช่วงนี้ เพื่อเป็นการระบายน้ำดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงฤดูแล้งด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1835 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 2/2557 | นร11 | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กนพ. และมอบหมายหน่วยงานรับไปดำเนินการโดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒.๑ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายประธานและความเห็นของ กนพ. เกี่ยวกับเป้าหมายการดำเนินงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลในทางปฏิบัติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องการเตรียมระบบสาธารณูปโภค (ไฟฟ้าและประปา) การพัฒนาโครงข่ายถนนและการคมนาคมขนส่งกิจกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การวางผังเมือง การจัดการขยะและของเสีย การพัฒนาบริเวณพื้นที่ชายแดน การประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุน และการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด ไปประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ที่ประชุมพิจารณาแผนการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ โดยมีมติเห็นชอบการกำหนดขอบเขตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก การกำหนดสิทธิประโยชน์และมาตรการทางการเงิน การจัดระบบแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในลักษณะข้ามแดนไป-กลับ และให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน รวมทั้งเห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร และ มอบหมายหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินงานพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมีผลในทางปฏิบัติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้สามารถเริ่มเปิดให้มีการลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ๒.๓ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้จัดทำข้อเสนอโครงการบริหารจัดการผลิตผลการเกษตรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยสหกรณ์ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ไปหารือรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการผลิตผลการเกษตรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอีกครั้ง ตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้ภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ดำเนินการนำเข้าผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้วมารวมกลุ่มในรูปแบบของสหกรณ์เพื่อแปรรูปและส่งออก แล้วนำเสนอ กนพ. พิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1836 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) (คณะกรรมการการตรวจสอบมาตรฐานข้าวหอมมะลิบรรจุถุง) | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบมาตรฐานข้าวหอมมะลิบรรจุถุงของกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||
1837 | ขอรับการสนับสนุนข้าวสารเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ภาคใต้ | มท | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดหาข้าวสารขนาดถุงละ ๕ กิโลกรัม จำนวน ๒๗๒,๐๐๐ ถุง เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ในพื้นที่ภาคใต้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับสิ่งของไปดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ (อุทกภัย) ในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับหน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนเพื่อใช้ข้าวในคลังของกระทรวงพาณิชย์นำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ในพื้นที่ภาคใต้
|
||||||||||||||||||||||||
1838 | การบริจาคข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และมาเลเซีย | กต | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการบริจาคข้าวให้แก่รัฐบาลฟิลิปปินส์ จำนวน ๕๐๐ ตัน และรัฐบาลมาเลเซีย จำนวน ๕๐๐ ตัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนฟิลิปปินส์และมาเลเซียที่ประสบเหตุภัยพิบัติ โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบในการดำเนินการจัดส่งข้าวให้แก่ประเทศผู้รับ โดยประสานรายละเอียดการดำเนินการดังกล่าวกับกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศผู้รับเกี่ยวกับรายละเอียดในการจัดส่งและพิธีการส่งมอบข้าวต่อไป โดยในส่วนของฟิลิปปินส์ กระทรวงการต่างประเทศจะขอให้ทางการฟิลิปปินส์พิจารณายกเว้นภาษีการส่งข้าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนเพื่อใช้ข้าวในคลังของกระทรวงพาณิชย์ในการบริจาค
|
||||||||||||||||||||||||
1839 | แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน แทนชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งสองปีแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายพชร อนันตศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ๓. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ๕. นางวีรวรรณ ลือสุทธิวิบูลย์ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ๖. นางสาววรางคณา อิ่มอุดม ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ๗. นายชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายเอกชัย อริยมงคลชัย ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายไพบูลย์ ธิติศักดิ์ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายกัญจน์ ชินธรรมมิตร ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นางสาวจุฑามาศ อรุณานนท์ชัย ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นายณัฐพล อัษฎาธร ผู้แทนโรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||
1840 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ | พณ | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา เป็นกรรมการผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในคณะกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ แทนนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ที่ลาออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป
|
.....