ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 93 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1841 - 1860 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1841 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรายงานผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบ ควรกำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อควบคุมกำกับการใช้ดุลพินิจในการตรวจสอบของนายตรวจ ชั่งตวงวัด พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๔๑ ดังนี้
๑. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมนายตรวจชั่งตวงวัด และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการควบคุมกำกับดูแลการใช้ดุลพินิจของนายตรวจชั่งตวงวัดและผู้ตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย ๒. การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัดมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ๓. การกระจายอำนาจให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๔๑ เป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม ต้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||
1842 | ผลการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป | พณ | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (Memorandum of Understanding on Bilateral Co-operation between the Department of Intellectual Property of Thailand and the European Patent Office) โดยประธานสำนักงานสิทธิบัตรยุโรปและอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามลำดับ โดยการแลกเปลี่ยนทางไปรษณีย์ เนื่องจากหัวหน้าหน่วยงานทั้งสองฝ่ายไม่มีภารกิจที่จะต้องพบประชุมร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านสิทธิบัตรระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทยและสำนักงานสิทธิบัตรยุโรป ครอบคลุมกิจกรรมหลัก ๆ ได้แก่ กระบวนการตรวจสอบและบริหารจัดการสิทธิบัตร การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การดำเนินงานในระบบอัตโนมัติ ฐานข้อมูลสิทธิบัตรและการแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งกิจกรรมระดับภูมิภาค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส และเรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ที่ให้ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทย ทั้งในส่วนของผลงานที่ได้รับการคุ้มครองแล้วว่ามีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ อย่างไร และผลงานที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองว่าควรคุ้มครองในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะด้านศิลปะและวัฒนธรรมของไทย และเร่งดำเนินการปกป้อง คุ้มครอง และจดลิขสิทธิ์ในเรื่องดังกล่าวไม่ให้ถูกแสวงหาประโยชน์จากต่างชาติ และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1843 | ข้อเสนอแนะจากการประชุมวิชาการ การค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ ปี 2556 - 2557 | สช | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะจากการประชุมวิชาการ การค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ต่อกระบวนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและนโยบายสุขภาพ โดยมีข้อเสนอแนะในประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบยา การเข้าถึงยา การคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญาและประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องในการเจรจาการค้าเสรี และระบบบริการสุขภาพ รวมทั้งข้อเสนอแนะภาพรวมด้านข้อมูล ด้านการเจรจา และด้านการวางแผนระยะยาว ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1844 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ของนายกรัฐมนตรี และผลการหารือทวิภาคีในระหว่างการประชุมฯ | นร | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ (ASEAN-ROK Commemorative Summit) ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ในการนี้ ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดภาคธุรกิจอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (ASEAN-ROK CEO Summit) ด้วย ซึ่งในการประชุมดังกล่าวนายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและบทบาทของเอเชีย พร้อมกับเน้นย้ำนโยบายของรัฐบาลไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยใช้แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและการส่งเสริมการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ รวมทั้งมีการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี และภาคเอกชนชั้นนำของสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับประเทศไทย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานว่า ในการหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐเกาหลีได้มีการหารือเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การพิจารณาให้ภาคเอกชนของสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาลงทุนในสาขาต่าง ๆ ในประเทศไทย และการให้สาธารณรัฐเกาหลีดูแลสินค้าส่งออกของไทยที่ยังมีปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะไก่แช่แข็งและผลไม้ไทย รวมทั้งเพิ่มการนำเข้าจากเดิม และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1845 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 75) พ.ศ. 2533 พ.ศ. .... | พณ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๗๕) พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกมาตรการควบคุมเครื่องแต่งกายตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๗๕) พ.ศ. ๒๕๓๓ ที่กำหนดให้เครื่องแต่งกายตามพิกัดศุลกากรประเภทที่ ๖๑.๐๑ ถึง ๖๑.๑๔ ๖๑๑๗.๙๐, ๖๒.๐๑ ถึง ๖๒.๑๑ และ ๖๒๑๗.๙๐ เฉพาะที่ยังไม่สำเร็จรูปไม่ว่าจะสมบูรณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม และส่วนต่าง ๆ ของเครื่องแต่งกายดังกล่าวตามพิกัดอัตราศุลกากรดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากมาตรการที่มิใช่ภาษี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีกรณีการลดหรือยกเลิกมาตรการซึ่งเป็นอุปสรรคทางการค้าควรพิจารณาด้วยว่า การลดหรือยกเลิกมาตรการนั้น ๆ จะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ส่งออกสินค้าไทยด้วยหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1846 | การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เพื่อให้การบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น จึงขอปรับปรุงสัดส่วนที่ภาครัฐจะเข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จากเดิมร้อยละ ๑๐-๒๕ เป็นร้อยละ ๑๐-๕๐ ๑.๒ ให้มีคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จำนวนไม่เกิน ๗ คน เป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs และให้คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อบริหารกองทุน จำนวน ๒ ชุด ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณานโยบายการลงทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) ๑.๓ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ทำหน้าที่ดำเนินงานของกองทุน ๒. เห็นชอบการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs มีลักษณะเป็นกองทุนเปิดและเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ขนาดของกองทุน ๑๐,๐๐๐-๒๕,๐๐๐ ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมลงทุนจากภาครัฐร้อยละ ๑๐-๕๐ ส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมลงทุน โดยจะแบ่งการลงทุนเป็นกองทุนย่อย ๆ และเรียกระดมทุนครั้งละไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาทต่อกองทุนย่อย และกองทุนย่อยแต่ละกองทุนจะมีนโยบายในการลงทุนตามแต่ละประเภท/กลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโตทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก ๓. เห็นชอบแหล่งเงินลงทุนในส่วนของภาครัฐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในฐานะภาครัฐจะลงทุนเริ่มแรก เป็นจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เกินกว่านี้จะขอจัดสรรจากงบประมาณประจำปีหรือจากแหล่งอื่นตามความจำเป็นในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาถึงความพร้อมในการใช้แหล่งเงินทุนของ ธพว. รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการและการติดตามการดำเนินงานของกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs สำหรับกรณีการใช้แหล่งเงินทุนอื่นที่นอกเหนือจาก ธพว. เห็นควรที่จะพิจารณาจากหน่วยงานหรือกองทุนของรัฐอื่น ๆ ที่มีภารกิจในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจการ SMEs เป็นลำดับแรกก่อน ส่วนการใช้แหล่งเงินทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายผ่านหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกลุ่ม/ประเภท SMEs ที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินให้ตรงกับกลุ่มธุรกิจและสอดคล้องกับห่วงโซ่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเน้นการพัฒนา SMEs ให้มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา SMEs ที่มีการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาชุมชนที่มีเอกลักษณ์ แต่มีเงินทุนไม่เพียงพอ เช่น เครื่องสำอาง สปา น้ำหอม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้นำกลุ่ม SMEs ที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมมาเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการร่วมทุนภายในปีนี้ ๕. มอบรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (The Research & Development) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1847 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนมหามงคล ธันวาคม 2557 และเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน | พณ | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนมหามงคล ธันวาคม ๒๕๕๗ และเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดงานร่วมทำบุญปีใหม่ มอบความสุขแก่คนไทย น้อมใจถวายในหลวง ในวันที่ ๒๐-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ เทศบาลนครนนทบุรี โดยจัดกิจกรรมถวายราชสักการะ และลงนามถวายพระพร ทำบุญตักบาตร จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การบริการต่าง ๆ กับประชาชน การจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาถูก ๒. จัดงานลดราคาจำหน่ายสินค้าเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ในวันที่ ๒๔-๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ รวม ๗ วัน โดยผู้ผลิต ผู้จำหน่ายสินค้ารายใหญ่ ห้างค้าปลีกค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ จัดกิจกรรมลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกชนิด ทุกแผนก ทุกสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งร้านค้าส่งค้าปลีกรายย่อยในท้องถิ่นที่เข้าร่วมกิจกรรม โดยลดราคาสินค้าสูงสุดร้อยละ ๗๐ ๓. Thailand Online Mega Sale 2015 ในวันที่ ๑๕-๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และพันธมิตรจัดกิจกรรมผ่านเว็บไซต์ www.ThailandMegaSale.com เพื่อจำหน่ายสินค้าออนไลน์ในราคาพิเศษ ลดราคาสินค้าร้อยละ ๒๐-๙๐ ๔. Thai Commerce Store ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน และผลิตภัณฑ์จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์ www.thaicommercestore.com ๕. จัดงานเปิดระบบ “คลังข้อมูลทางการค้าของไทย” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชนในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านภาษีศุลกากร กฎระเบียบและมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศของไทยได้ ณ จุดเดียว ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตก่อนจะเชื่อมโยง “คลังข้อมูลทางการค้าของไทย” ไป “คลังข้อมูลทางการค้าของอาเซียน” ๖. จัดกิจกรรมซื้อขายเพิ่มสภาพคล่องของขวัญปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป โดยตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยปรับเวลาเปิดตลาดให้เร็วขึ้นเป็น ๐๘.๐๐ น. และลดค่าธรรมเนียมลง ๑๕ บาท/สัญญา เพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ๗. จัดกิจกรรมมอบความสุขปีใหม่ด้วยบริการจากใจให้แก่ผู้ประกอบการ ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยขยายเวลาให้บริการการขอหนังสือรับรองเพื่อนำไปใช้ประกอบพิธีการศุลกากรได้ทันความต้องการของผู้ประกอบการ ๘. จัดหน่วยเคลื่อนที่ (Mobile Unit) และสนับสนุนค่าธรรมเนียมยื่นในการขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๗-กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยจัดหน่วยบริการให้คำปรึกษาแนะนำและรับคำขอจดทะเบียนและแจ้งข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาเคลื่อนที่ ในจังหวัดเป้าหมาย ๑๖ จังหวัด และสนับสนุนค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
|
|||||||||||||||||||||
1848 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำ Roadmap ในเรื่องที่เป็นการดำเนินการตามพันธกรณีกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น กรณีการจัดส่งแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทยไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) การส่งรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) เป็นต้น โดยระบุถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานผู้รับผิดชอบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง งบประมาณในการดำเนินงาน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และแผนการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการในเรื่องที่มีผลกระทบสำคัญและมีเงื่อนไขเวลาที่จำกัดก่อน เช่น การแก้ไขปัญหาเรือประมง ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดกลุ่มความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับแต่ละกลุ่มประเทศและประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น อาเซียน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐรัสเซีย รวมถึงประเทศหมู่เกาะต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดแนวทางการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอื่น ๆ ในอนาคต ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบรายการสินค้านำเข้าเพื่อพิจารณาความจำเป็นและปริมาณในการนำเข้า รวมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อจูงใจให้ลดการนำเข้ารายการสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางในการแปรรูปยางเป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้เป็นส่วนผสมต่าง ๆ เช่น พื้นลู่วิ่ง พื้นช่องทางจักรยาน พื้นสนามฟุตซอล เป็นต้น ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น และเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการหาแนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเพื่อการส่งออกให้สามารถรักษาคุณภาพความสดใหม่ให้คงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะส่งเสริมการส่งออกกล้วยไม้ไทยให้เป็นที่แพร่หลายในตลาดต่างประเทศยิ่งขึ้น และรายงานผลความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
1849 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ขณะนี้สภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายปรับอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนโลก และอาจมีการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกของไทย จึงให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิด รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสถาบันการศึกษาหารือหน่วยงานทางวิชาการดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของไทยและเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดมาตรการประหยัดพลังงานและแนวทางการใช้พลังงานทดแทนต่าง ๆ เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในสาขาซ่อมแซมและบำรุงรักษารถไฟฟ้า โดยให้ได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้เกิดความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งเตรียมศูนย์ซ่อมบำรุงเพื่อรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๕ ประเทศไทยได้ลงนามในความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยจะให้มีการเปิดเสรีทางการค้าและการเชื่อมโยง (Connectivity) ด้านการคมนาคมและการขนส่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งทางบกที่อาจจะส่งผลให้มีการขนส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยจากประเทศที่มีต้นทุนทางการผลิตต่ำกว่าประเทศไทย จึงให้กระทรวงพาณิชย์และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย ๑.๖ ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบข้อมูลการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และรูปแบบอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และนำเสนอข้อมูลดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางการระบายข้าวในระยะต่อไปต่อสาธารณชน และตรวจสอบการขายข้าวของบริษัทเอกชนในกรณีที่มีข่าวว่าบริษัทเอกชนบางรายนำข้าวของเวียดนามหรือกัมพูชามาสวมสิทธิขายในโควตาของข้าวไทยด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ทราบเกี่ยวกับการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี ๑.๘ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) โดยในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องกำกับให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติเร่งดำเนินการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมืออาเซียนและเตรียมความพร้อมให้หน่วยงานต่าง ๆ ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนในแต่ละแผนงานย่อย ให้เร่งดำเนินการต่อไป ๓. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์เครื่อง X-Ray ร่วมกันในงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และด่านตรวจตามแนวชายแดน หากพบว่า ยังไม่เพียงพอให้หน่วยงานเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เพื่อพิจารณาต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงคมนาคมจัดให้มีการให้บริการรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะถนนในช่วงเขาซึ่งมีทางแคบและลาดชันซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และให้ส่วนราชการด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงมหาดไทยดูแลควบคุมสถานประกอบการให้ดำเนินกิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๔.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการอันเป็นสาธารณูปโภค เพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน หรือเพื่อประโยชน์แก่การชลประทานในการเก็บกักน้ำ โดยให้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับ รวมทั้งพิจารณาให้ความเป็นธรรมในการชดเชยหรือเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ๔.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายควบคุมในการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น ๔.๕ ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารและภูมิทัศน์บริเวณบ้านพิษณุโลกและบ้านมนังคศิลา เพื่อใช้เป็นสถานที่ประชุมและเลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญในระดับผู้นำของประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาสถานที่เพื่อให้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานแทนบ้านมนังคศิลา และให้ฝ่ายความมั่นคงทบทวนแนวทางในการชี้แจงทำความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการบริเวณตลาดมหานาคให้ย้ายสถานที่ขายสินค้าไปยังบริเวณฝั่งตรงข้าม ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้จัดเตรียมพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
1850 | ข้อเสนอแนะในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ | ปช | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการศึกษาทั้งระบบอย่างยั่งยืน ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการระยะสั้น ๑.๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีการจำแนกประเภทที่ชัดเจนเพื่อเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในการจัดเก็บภาษี ๑.๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ และดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวง และ/หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เหมาะสมสอดคล้อง ๑.๒ มาตรการระยะยาว ๑.๒.๑ รัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมด้านโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยต้องมุ่งเน้นการขยายให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึง ปรับเปลี่ยนวิธีการวัดผลการเรียนและการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษาเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชา ๑.๒.๒ กระทรวงศึกษาธิการต้องพัฒนาเรื่องระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และจัดโครงการสอนเสริมโดยจัดหาครูเก่ง ๆ ที่สอนดี พร้อมเผยแพร่การสอนหรือการติวผ่านทางสื่อต่าง ๆ แก่โรงเรียนทั่วประเทศอย่างทั่วถึง ๑.๒.๓ การสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาต้องออกข้อสอบให้อยู่ในขอบเขตของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และควรปรับระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในแต่ละระดับให้สอดคล้องกับการเรียนในระบบโรงเรียนตามปกติเท่านั้น และในการออกข้อสอบต้องไม่เกินจากหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ๒. รับทราบคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะทั้งมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาวของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้วสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีจากโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับติดตามการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานในการจัดการเรื่องการสอนของสถานศึกษาต่าง ๆ ให้มีความทัดเทียมกัน เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชาเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับต่ำ ถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของสถานศึกษาแต่ละแห่งที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
|
|||||||||||||||||||||
1851 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าของความตกลง TNZCEP | พณ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSRs) ของความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ [Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership (TNZCEP)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ภาคผนวก ๒ ของความตกลงฯ ฉบับแก้ไขตาม HS 2012 ที่แนบกับหนังสือแลกเปลี่ยนฯ แทนที่ภาคผนวก ๒ ฉบับเดิม ภายใต้ความตกลง TNZCEP และกำหนดให้หนังสือแลกเปลี่ยนและหนังสือยืนยันของประเทศนิวซีแลนด์จะประกอบเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการแก้ไขความตกลง TNZCEP และให้มีผลใช้บังคับในวันแรกของเดือนที่สอง นับจากวันที่หนังสือที่มีหนังสือยืนยันตอบของประเทศนิวซีแลนด์ ๒. มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนรับรองการเปลี่ยนแปลงกฎเฉพาะรายสินค้าของความตกลง TNZCEP ๔. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยภายหลังการลงนามแล้ว ให้ดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ผ่านช่องทางทางการทูตต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1852 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาเช่าที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก | พณ | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ได้มีการลงนามในสัญญาเช่าที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ไปก่อนการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วรายงานผลการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๖๐ วัน ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1853 | รายงานแผนปฏิบัติราชการระยะ 1 ปี (ประจำปี พ.ศ. 2558) | นร11 | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนปฏิบัติราชการระยะ ๑ ปี (ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ประกอบด้วย (๑) ภาพรวมวงเงินงบประมาณตามแผนปฏิบัติราชการ ได้แก่ วงเงินสำหรับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งสิ้น ๔,๘๙๕,๕๕๗.๔๙ ล้านบาท การใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ วงเงิน ๔,๘๙๕,๑๐๗.๒๙ ล้านบาท และการใช้จ่ายตามนโยบายรัฐบาล ๑๑ ด้าน วงเงิน ๒,๖๙๕,๘๙๔.๓๖ ล้านบาท และ (๒) โครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล (Flagship Project) มีโครงการที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและสามารถเห็นผลเป็นรูปธรรมในระยะ ๑ ปี จำนวน ๒๐๔ โครงการ/เรื่อง และมอบหมายส่วนราชการเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นประจำทุกไตรมาส ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรปรับตัวชี้วัดระดับนโยบาย ภายใต้นโยบายที่ ๖ การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตัวชี้วัดที่ ๖ อัตราการขยายตัวมูลค่าส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ จากที่ได้กำหนดเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ ๕.๐ เป็นร้อยละ ๔.๐ และเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลให้เกิดผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นประจำทุกไตรมาส นอกจากนี้ นโยบายที่ ๘ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม หัวข้อ ๘.๒ โครงการสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ตัดคำว่า “(จากแผน ๑๐๐ วัน)” ออกจากแผนงาน/โครงการที่ ๑๕, ๑๖ และ ๑๗ เนื่องจากทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าแผนงาน/โครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นและเกิดผลได้ใน ๑๐๐ วัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ทุกส่วนราชการควบคุมการก่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้ศึกษาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างละเอียดรอบคอบและเหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้างเพื่อป้องกันการแก้ไขแบบก่อสร้างภายหลัง ซึ่งเป็นผลให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
1854 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement) จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เร่งรัดให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับโดยเร็วเพื่อรองรับการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณากำหนดแนวทางในการจัดตั้งโรงงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีความสนใจเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ ให้เน้นโรงงานสำหรับการนำผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูป เช่น โรงงานน้ำตาล เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยาย เพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเร็ว ๑.๓ ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศไทยขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จึงให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาหาแนวทางการนำนวัตกรรมมาใช้ส่งเสริมสินค้าเพื่อการส่งออกเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกและการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมทั้งพิจารณาขยายฐานการส่งออกไปสู่ประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการจัดตั้งโรงสีข้าวขนาดกลางในเขตพื้นที่ที่มีการทำนา โดยบริการสีข้าวให้แก่ชาวนาเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการขายข้าวของชาวนานอกเหนือจากการขายเฉพาะข้าวเปลือกเท่านั้น ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคเหนือ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และมติที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ โดยส่งเสริมสถาบันอาชีวศึกษาในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การสนับสนุนเครื่องมือประจำวิชาชีพของนักเรียนอาชีวศึกษา จัดทำฐานข้อมูลผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษา และส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษามีงานทำ แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาทบทวนสถานที่ก่อสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค โดยอาจก่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือในภาคกลาง หรือขยายพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่มีอยู่เดิมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเทคโนธานี ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ส่วนราชการส่งข้อมูลผลการดำเนินการตามบันทึกความตกลง บันทึกความเข้าใจ หรือเอกสารความร่วมมือระหว่างประเทศให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลสำหรับการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามความตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานเจ้าภาพเตรียมการจัดประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นสารัตถะที่จะใช้ในการประชุมให้ครบถ้วนแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงพลังงานจัดเตรียมข้อมูลและแนวทางในการหารือกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกี่ยวกับผลกระทบที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและราชอาณาจักรกัมพูชาจะได้รับจากการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขง ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งจัดลำดับความสำคัญร่างกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบตามแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) จำนวน ๑๖๓ ฉบับ พร้อมแสดงเหตุผลความจำเป็นและกรอบเวลาให้ชัดเจน แล้วส่งให้กระทรวงยุติธรรมเพื่อรวบรวม และรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔.๒ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการรวบรวมผลการพิจารณาคดีขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น ความมั่นคง ยาเสพติด อาวุธสงคราม โดยให้รวบรวมจำนวนคดีความที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จำนวนคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจำนวนคดีที่พิจารณาเสร็จสิ้น แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจข้อมูลการดำเนินงานตามความรับผิดชอบของทุกส่วนราชการและเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกส่วนราชการสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลการบริหารจัดการน้ำระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เร่งสรุปผลการดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการที่ปัจจุบันให้บริษัทจากเอกชนเป็นผู้ประเมิน ซึ่งภาคเอกชนอาจขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของส่วนราชการ เพื่อให้การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้น รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๕.๓ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
1855 | รายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหิน | สธ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหิน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จากผลการศึกษาของคณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหิน สรุปได้ว่า แร่ใยหินทุกชนิด รวมทั้งไครโซไทล์ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ซึ่งการก่อโรคมะเร็งของใยหินชนิดไครโซไทล์เกิดขึ้นเช่นเดียวกับสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพและจากสิ่งแวดล้อมคือ (๑) ไม่มีระดับความปลอดภัยของการรับสัมผัส (No safe threshold) ของใยหินชนิดไครโซไทล์ และ (๒) การเกิดมะเร็งอันเนื่องจากใยหินชนิดไครโซไทล์มีความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของใยหินที่ได้รับการตอบสนองที่เกิดขึ้นในร่างกาย (dose-response relationship) หรือขึ้นกับระดับความเข้มข้นสะสม (fiber/cc/years) ของใยหินชนิดไครโซไทล์ที่แขวนลอยในอากาศที่ได้รับสัมผัส ยิ่งได้รับสัมผัสมากยิ่งก่อให้เกิดโรคมะเร็งมาก (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.1 fiber/cc/year จึงจะปลอดภัย แต่ทำได้ยาก) สำหรับหลักฐานเชิงประจักษ์ของการก่อมะเร็งเยื่อหุ้มปอดและมะเร็งปอดจากงานวิจัย นั้น งานวิจัยที่มีน้ำหนักมากพบในงานวิจัยกลุ่มคนงานเหมืองแร่ใยหินชนิดไครโซไทล์ รองลงมาคือ กลุ่มคนงานอุตสาหกรรมที่นำใยหินชนิดไครโซไทล์มาใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต และงานวิจัยที่มีน้ำหนักน้อย คือ กลุ่มประชาชนในชุมชนที่เป็นที่อยู่อาศัยโดยทั่วไป ๑.๒ คณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงฯ สมาคมการพยาบาลอาชีวอนามัย และสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทยได้แสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับจุดยืนขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) และองค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency Research on Cancer : IARC) ที่เสนอแนะประเทศต่าง ๆ ว่าการควบคุมให้ค่าสัมผัสต่ำกว่ามาตรฐาน 0.1 Fiber/cc/year ทำได้ยาก ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุด คือ ยกเลิกการใช้แร่ใยหิน ดังนั้น จึงมีมติเห็นควรยกเลิกการใช้แร่ใยหินในทุกผลิตภัณฑ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับเรื่องนี้ไปกำกับดูแล โดยให้ตั้งคณะทำงานขึ้น ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาและตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งหมด เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหินทั้งในส่วนของประชาชนทั่วไปและผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถานประกอบการที่ใช้แร่ใยหินเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ความเหมาะสม คุ้มค่า และเป็นไปได้ในการใช้วัสดุอื่นทดแทนการใช้แร่ใยหิน แนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในกรณีที่มีการห้ามใช้แร่ใยหินเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ แนวทางและมาตรการในการดำเนินการที่เหมาะสมในการใช้แร่ใยหิน/ยกเลิกการใช้แร่ใยหิน และผลกระทบจากการนำเข้าแร่ใยหิน เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1856 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย | กต | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ที่ ๒๑๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๔) และที่ ๒๑๗๘ (ค.ศ. ๒๐๑๔) เกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการผู้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป นอกจากนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติทั้งสองฉบับ ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1857 | การเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) | พณ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการให้ประเทศไทยเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ [Information Technology Agreement (ITA) Expansion] ต่อไป เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยใช้ข้อเสนอล่าสุดของฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุมเจรจา ITA Expansion ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ซึ่งสมาชิกที่เข้าร่วมเจรจาได้ถอนสินค้าจาก Attachment A ออก ๑๔ รายการ ตรงกับสินค้าอ่อนไหวของไทย ๑๑ รายการ ทำให้ไทยมีสินค้าอ่อนไหวในขณะนี้ จำนวน ๔๐ รายการ (ลดลงจากเดิม ๕๑ รายการ) แบ่งเป็นสินค้า removal (ขอถอนออกจากการยกเลิกภาษี) ๓ รายการ, สินค้า ex-out [เปิดตลาดบางส่วนจากระดับ HS (Harmonized System) ๖ หลัก] ๒ รายการ และสินค้า staging (มีระยะเวลาในการยกเลิกภาษี) ๓๕ รายการ เป็นพื้นฐานในการเจรจาต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเจรจาควรคำนึงถึงข้อตกลงทางการค้าที่ประเทศไทยได้ทำไว้กับประเทศภาคีต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน และควรกำหนดรหัสสินค้าตามพิกัดอัตราศุลกากรให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาการนำเข้าสินค้าในอนาคต การให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์และประเมินผลกระทบจากการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ อย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการรองรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมทราบเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1858 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิที่ครบวาระ (จำนวน 12 คน) | พณ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการแบบผังภูมิ จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายเอกชัย ลีลารัศมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายวัลลภ สุระกำพลธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ ๔. นายพินิจ กำหอม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๕. นายพินัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขานิติศาสตร์ ๖. นายประดนเดช นีละคุปต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๗. นายบุญโชติ เผ่าสวัสดิ์ยรรยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิทยาศาสตร์ ๘. นายวชิระ จงบุรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๙. นาวาอากาศเอก ประสงค์ ปราณีตพลกรัง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑๐. นายสันติ รัตนสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์ ๑๑. นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาอุตสาหกรรม ๑๒. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
1859 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ครบวาระ (จำนวน 12 คน) | พณ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตรชุดใหม่ จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป
๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาอุตสาหกรรม ๓. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๔. นายสำเริง จักรใจ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๕. นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๖. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาเภสัชศาสตร์ ๗. นายธีรยศ เวียงทอง ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๘. นายชำนาญ ภัตรพานิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเภสัชศาสตร์ ๙. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเกษตรศาสตร์ ๑๐. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์ ๑๑. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑๒. นายชัชวาลย์ สุมนะเศรษฐกุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
1860 | แนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลังปี 2557/58 | พณ | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๖๐ ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น (๔-๖ เดือน) โดยการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเก็บเกี่ยว วงเงินชดเชย ๓๗๕ ล้านบาท และการเพิ่มสภาพคล่องทางการค้า วงเงินชดเชย ๑๐๐ ล้านบาท และมาตรการระยะปานกลาง (๒ ปี หรือ ๒๔ เดือน) โดยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกในระบบน้ำหยด วงเงินชดเชย ๑,๓๘๐ ล้านบาท และการยกระดับมาตรฐานการแปรรูปมันสำปะหลัง วงเงินชดเชย ๙๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของภาครัฐ วงเงิน ๕ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการระยะสั้นและระยะปานกลาง จำนวน ๒,๗๕๕ ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้ามันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อปรับวิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังได้อย่างเหมาะสม โดยศึกษารูปแบบการดำเนินงานที่ประสบผลสำเร็จ เช่น สีคิ้วโมเดล เป็นต้น มาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนหรือขยายผลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการดำเนินการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการตามมาตรการระยะปานกลางของแนวทางการบริหารจัดการตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นด้วย |
.....