ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 91 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1801 - 1820 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1801 | นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) | วท | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การปฏิบัติงานในโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐถือเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลาของหน่วยงานต้นสังกัด โดยให้นับเป็นอายุราชการหรืออายุงานของหน่วยงานต้นสังกัด ๑.๒ ให้การปฏิบัติงานในโครงการฯ ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่มีข้อผูกพันตามสัญญาชดใช้ทุน นับเป็นระยะเวลาชดใช้ทุนตามสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้รวมถึงผู้รับทุนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อนเริ่มปฏิบัติงานในหน่วยงานต้นสังกัดสำหรับกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และองค์การมหาชน โดยครอบคลุมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ที่เป็นหน่วยงานด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ๑.๓ ให้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถใช้ผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นผลงานในการขอตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งงานอื่น ๆ รวมทั้งการขึ้นเงินเดือน โดยให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐจัดทำเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่ง การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ และการขึ้นเงินเดือนที่ชัดเจน ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบายให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกำหนดสิ่งจูงใจ ค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานอื่นที่บุคลากรไปปฏิบัติงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวเกิดประสิทธิผลสูงสุด และให้มีการประเมินและติดตามผลของนโยบาย Talent Mobility อย่างสม่ำเสมอ โดยครอบคลุมถึงผลกระทบด้านความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ประเทศ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานที่นำนโยบายนี้ไปดำเนินการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อให้บุคลากรในสังกัดสามารถเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา กำหนดกรอบและทิศทางการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต่าง ๆ ให้สอดคล้อง สนับสนุน และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ๑๑ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทำทะเบียนบุคลากรที่ปฏิบัติงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งรวบรวมผลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ต่อไป ๕. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนด ตรวจสอบ และรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันมาตรวิทยา สถาบันทดสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เร่งรัดขั้นตอนดำเนินการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการประกอบการของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||
1802 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป. ลาว ครั้งที่ 6 | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ ๖ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรมตามตารางติดตามการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ เมื่อวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป.ลาว เป็นหัวหน้าคณะฝ่าย สปป.ลาว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายการค้า ส่งเสริมและผลักดันให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ ต่อปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ เพื่อให้บรรลุถึง ๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร การดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection-SSI) ด่านชายแดน การขอรับการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) การเชื่อมโยงในภูมิภาค ๑.๓ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือในรายละเอียดร่วมกันในการร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน ในการพัฒนาความร่วมมือในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดมุกดาหารและจังหวัดหนองคายของไทย ๑.๔ การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-สปป.ลาว ได้แก่ งานแสดงสินค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าและการลงทุน ๑.๕ ความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุน ประสานกับฝ่าย สปป.ลาว เรื่องการจัดทำ MOU ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ๑.๖ ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้ด้านวิชาการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมีมาตรฐานการรับรองภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ๑.๗ ความร่วมมือด้านวิชาการ อาทิ ดำเนินงานภายใต้โครงการ ICT เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลการค้าและวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ใน ๕ แขวงนำร่องของ สปป. ลาว ให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา เป็นต้น ๑.๘ ความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ประสานงานสำหรับการจัดประชุมแผนความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ ๗ ที่ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพ ๑.๙ ความร่วมมือภาคเอกชน ผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายมีการพบหารือและจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ๑.๑๐ เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีซื้อขายรถยนต์ (Sales-Purchase Tax) และการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้า (National Trade Repository : NTR) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการในส่วนของสำนักงานฯ ซึ่งจะได้เร่งหารือร่วมกับ สปป.ลาว เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางความร่วมมือการพัฒนาเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองฝ่ายในลักษณะเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนร่วม (Cross Border Economic Zone : CBEZ) รวมทั้งการนำแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ (Joint Summit Declaration : JSD) ที่ผู้นำทั้ง ๖ ประเทศได้ให้การรับรองร่วมกันแล้วในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) มาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันการดำเนินงานภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Agreement : CBTA) ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าและคนระหว่างไทยและ สปป.ลาว มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1803 | แนวทางการดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประขุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ก่อนดำเนินการระบายให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ แนวทางและเงื่อนไขการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาด ให้เป็นไปตามแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลที่ได้รับความเห็นชอบ ๑.๒ มอบหมายให้องค์การคลังสินค้าแจ้งยืนยันปริมาณที่มีอยู่จริง สภาพของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ภาระผูกพันของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งปริมาณคงเหลือที่ปลอดภาระผูกพันที่สามารถระบายได้เป็นรายคลัง ๑.๓ มอบหมายคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลพิจารณากรอบในการระบาย เช่น วัตถุประสงค์ในการระบาย เกณฑ์การพิจารณาราคาขาย รวมถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอซื้อ เป็นต้น แล้วนำเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการระบายตามกรอบที่นำเสนอ ๑.๔ ระบายด้วยวิธีการเปิดประมูลขายให้ผู้ประกอบการเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ ส่วนต่างของราคาที่ประมูลได้กับราคาที่รัฐควรได้รับตามคุณภาพสินค้าที่ควรจะเป็นตามระยะเวลาที่เก็บรักษา รวมทั้งค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขาย ให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องและรายงานผลให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประชาสัมพันธ์การดำเนินงานที่ผ่านมาในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการชี้แจงและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการกำกับดูแลขั้นตอนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เมื่อคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาลพิจารณากำหนดกรอบในการระบายแล้ว ควรเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเป็นแนวทางให้คณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาล ใช้ในการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการระบายตามความเหมาะสม นอกจากนี้ การติดตามตรวจสอบปัญหาคุณภาพและปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในสต็อกของรัฐบาล ซึ่งมีการตรวจพบการทุจริต เช่น การปลอมปน และการแจ้งปริมาณไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นต้น ควรเร่งรัดให้องค์การคลังสินค้าดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขายที่จะให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น ควรพิจารณาถึงสาเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินการทางกฎหมาย ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
1804 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Ministerial Gathering : IMG) เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุม IMG เน้นย้ำความสำคัญและการผลักดันให้สมาชิกปฏิบัติตามข้อมติการประชุมระดับรัฐมนตรี WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ (MC9) เมื่อปี ๒๕๕๖ ทุกเรื่อง รวมทั้งการให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Agreement on Trade Facilitation : TFA) การจัดทำมาตรการถาวร (permanent solution) สำหรับการคงคลังสินค้าของรัฐบาลเพื่อความมั่นคงทางอาหาร (Public Stockholding for Food Security Purposes) และประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เช่น การให้สิทธิประโยชน์ในการค้าบริการแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC Services Waiver) การยกเลิกภาษีและโควตา (DFQF) แก่สินค้าส่งออกจากประเทศพัฒนาน้อยที่สุด และการกำหนดให้มีกระบวนการเพื่อความโปร่งใสและการกำกับดูแลการค้าผลิตค้าฝ้าย ตลอดจนผลักดันให้มีการจัดทำแผนงานเจรจา (work program) เพื่อกำหนดขอบเขตประเด็นเจรจาที่ต้องการผลักดันภายใต้การเจรจารอบโดฮา (Doha Development Agenda : DDA) ที่มีรายละเอียดและมีความชัดเจนภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ที่ประชุม IMG สนับสนุนให้สมาชิกมีความยืดหยุ่นและพยายามเสนอข้อประนีประนอมสำหรับประเด็นหลักการเจรจา ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และการค้าบริการ โดยประเทศสมาชิกจะต้องหาข้อสรุปในประเด็นทั้งหลายให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมติ MC9 โดยเฉพาะเรื่อง TFA ประเทศไทยอาจพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการภายในเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่องการให้สัตยาบันต่อ TFA ภายในปี ๒๕๕๘ เพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ ลดขั้นตอนเอกสารและต้นทุนค่าใช้จ่ายยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าในการเจรจาสินค้าและประมง (NAMA) ภายใต้ WTO ประเทศไทยควรสนับสนุนการเจรจาลดภาษีในภาพรวมเพื่อให้เกิดความเสมอภาคในการเจรจา ควรเร่งประสานงานระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อให้การบูรณาการจัดทำแผนงานเจรจา (Work program) มีความชัดเจนในรายละเอียดและแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และเพื่อให้ประเทศไทยมีบทบาทร่วมในการผลักดันการเจรจารอบโดฮาไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งเพิ่มเติมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมและประมง และการลดภาษีรายสาขาสำหรับการเจรจาสินค้าอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1805 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/02/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายเร่งด่วนที่จะลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และในช่วงที่ผ่านมาได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการและเร่งรัดไปแล้วหลายครั้ง นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์จัดทำมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของผู้มีรายได้น้อยเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เช่น ผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบอาชีพรับจ้าง ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยพิจารณาถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การลดดอกเบี้ย และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ สนับสนุนการดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการที่จะกำหนดขึ้นด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ให้หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมโฆษกของทุกกระทรวงกำหนดแนวทางปรับปรุงการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่คณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการจนบังเกิดผลเป็นรูปธรรมในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องที่จะดำเนินการในระยะต่อไป โดยให้พิจารณาขยายช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ให้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น หนังสือพิมพ์ social media ทั้งนี้ ในเบื้องต้นให้เริ่มการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีวศึกษาและการดำเนินการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย
|
||||||||||||||||||
1806 | การรายงานผลการบริจาคข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในประเทศมาเลเซียและในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ | พณ | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการส่งมอบข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในประเทศมาเลเซียและในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง การบริจาคข้าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และมาเลเซีย และเรื่อง ขอรับการสนับสนุนข้าวสารเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ภาคใต้] โดยประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวได้ให้ความเห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศประสานความร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยในการจัดหาข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ที่มีคุณภาพดีจากตลาดเพื่อนำมาบรรจุถุงประทับข้อความ “with the compliments of the Royal Thai Government” จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ถุง ปริมาณรวม ๕๐๐ ตัน เพื่อบริจาคให้ประเทศมาเลเซีย และขนส่งให้ถึงจุดส่งมอบไปยัง Pengkalan Chepa depot ประเทศมาเลเซีย และจัดทำข้าวสารบรรจุถุงประทับข้อความ “รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประสบภัย” จำนวน ๒๗๒,๐๐๐ ถุง ปริมาณรวม ๑,๓๖๐ ตัน เพื่อส่งมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคใต้ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศชำระค่าดำเนินการให้สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยเป็นข้าวสารตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล โดยใช้ข้าวในคลังของกระทรวงพาณิชย์ตามมูลค่าข้าวที่ส่งมอบรวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
|
||||||||||||||||||
1807 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | พณ | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (ประเด็นการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและการขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและหาแนวทางพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออก) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เพื่อร่วมกันยกร่างยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ โดยที่ประชุมมีมติให้บรรจุประเด็นกลยุทธ์การส่งเสริมและพัฒนาการบริหารจัดการการแปรรูปผลไม้ ซึ่งมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การพัฒนาการเพิ่มมูลค่าผลไม้และผลิตภัณฑ์ไว้ภายใต้ยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหลักในการผลักดันการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มต่อผลิตภัณฑ์ผลไม้ ๒. ในส่วนของสินค้ากล้วยไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก และกระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ในฐานะคณะทำงาน อยู่ระหว่างเชิญศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (National Metal and Materials Technology : MTEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมประชุมกำหนดแนวทางพัฒนาบรรจุภัณฑ์กล้วยไม้ให้รักษาความสดใหม่อยู่ได้นานต่อไป
|
||||||||||||||||||
1808 | ผลการลงนามหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้ WTO พร้อมภาคผนวกระหว่างไทย - กาบอง ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิกฯ ตาม Article 28 ของ GATT 1994 | พณ | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการลงนามหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) พร้อมภาคผนวกระหว่างไทย-กาบอง ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตาม Article 28 ของ GATT 1994 สรุปสาระสำคัญหนังสือผลการเจรจาของสองฝ่ายดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ กาบองปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าอุตสาหกรรมของกาบอง โดยปรับอัตราภาษีนำเข้าที่ผูกพันไว้ใน WTO (Bound Rate) จำนวน ๒,๑๕๙ รายการ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑๕ เป็นร้อยละ ๒๐-๓๐ และปรับลด Bound Rate จำนวน ๒,๕๐๐ รายการ ลดลงร้อยละ ๑๕ เป็นร้อยละ ๕-๑๐ ในภาพรวมจะทำให้ Bound Rate สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑๕.๓๘ เป็นร้อยละ ๑๘.๐๘ ๑.๒ กาบองยอมชดเชยให้กับไทย โดยลดภาษีนำเข้า (Bound Rate) ของสินค้าข้าวพิกัด ๑๐๐๖ ตามข้อเรียกร้องของไทย จากร้อยละ ๖๐ หรือร้อยละ ๔๐ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ [เรื่อง การลงนามในภาคผนวกของร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994] ที่ให้ประเมินถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเป็นสมาชิกของ WTO โดยเฉพาะพันธกรณีข้อกำหนดเกี่ยวกับการลดหย่อนอัตราภาษีว่าที่ผ่านมาไทยได้รับผลประโยชน์อย่างไรและได้รับการลดหย่อนภาษีจากประเทศคู่ค้าแล้วเท่าใด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดยุทธศาสตร์ในเชิงรุกเพื่อเจรจากับคู่ค้าทั้งในระบบทวิภาคีและพหุภาคีด้วย โดยจะต้องจัดทำรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ประกอบการทราบถึงการปรับอัตราภาษีสินค้าอุตสาหกรรมของกาบองภายใต้ WTO เพื่อที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้าที่ผูกพัน (Bound Rate) โดยเฉพาะสินค้าข้าวซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในการส่งออกในตลาดกาบอง รวมทั้งจะได้ปรับตัวและเตรียมพร้อมในการรองรับผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าที่ผูกพัน (Bound Rate) ของกาบอง โดยเฉพาะสินค้าที่กระทบกับการส่งออกของไทย เช่น รถยนต์ รถบรรทุก และถังบรรจุก๊าซ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1809 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.45/2557 ระหว่างนายชูศักดิ์ เศรษฐพินิจ ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีและประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้วและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 และขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับหรือชะลอการบังคับตามผลของประกาศกระทรวงพาณิชย์ ทั้ง 2 ฉบับ | อส | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.๔๕/๒๕๕๗ ระหว่างนายชูศักดิ์ เศรษฐพินิจ ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๔ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีและประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้วและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๕ และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับหรือชะลอการบังคับตามผลของประกาศกระทรวงพาณิชย์ ทั้ง ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
1810 | การโอนภารกิจกำกับดูแลความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่นกลับไปกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 10/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้โอนภารกิจการกำกับดูแลนโยบายการดำเนินการตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) กลับไปกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้กระทรวงการต่างประเทศเห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนโดยความตกลงฯ สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองกับญี่ปุ่นให้รัดกุมและตอบสนองผลประโยชน์ของไทยได้ครบถ้วน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่ขอเสนอแก้ไขชื่อหน่วยงาน จาก กรมส่งเสริมการส่งออก เป็น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานตามความตกลงฯ ซึ่งมีนัยและมิติที่มีความครอบคลุมหลากหลายสาขา จึงควรเน้นย้ำและส่งเสริมให้มีการดำเนินงานร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อให้การขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทั้งทางด้านการค้า การลงทุน การผลิต และธุรกิจภายใต้ความตกลงฯ สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และภายหลังการโอนภารกิจกำกับดูแล JTEPA กลับไปกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ควรมุ่งเน้นการเจรจาความร่วมมือทางด้านการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมเหล็กและการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนในการสร้างความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าที่จะได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงฯ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรปรับปรุงข้อความใน (ร่าง) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ /๒๕๕๘ เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการกำกับการดำเนินการตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ในสัดส่วนขององค์ประกอบ จากเดิม “๑.๔๐ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นกรรมการ” เป็น “๑.๔๐ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. กรณีที่ต้องมีความเห็นของส่วนราชการเพื่อประกอบการดำเนินการในเรื่องใด ๆ ตามความตกลง JTEPA ให้กระทรวงการต่างประเทศถามความเห็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1811 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (กรณีเกษตรกรอำเภอเมืองพิจิตร อำเภอโพทะเล อำเภอบางมูลนาก และอำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร ถูกละเมิดสิทธิไม่ได้รับใบประทวนสินค้าและเงินจากการจำนำข้าวเปลือกตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ปีการผลิต 2555/56) | สม | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบให้ใช้ผลการตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรที่นำข้าวเปลือกไปจำนำตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ กับบริษัท โรงสีแอลโกลด์แมนูเฟคเจอร์ จำกัด และท่าข้าวหัวดง ที่คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัดพิจิตรได้ตรวจสอบรับรองแล้วเป็นหลักฐานแทนใบประทวนที่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรออกให้เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรนำไปยื่นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรใช้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินให้เกษตรกร ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวตรวจสอบข้อคลาดเคลื่อนหรือความเสียหายที่เกิดจากจำนวนเกษตรกรและปริมาณข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ตรวจสอบไว้ พร้อมทั้งดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาหาแหล่งงบประมาณเพื่อจ่ายเยียวยาให้แก่เกษตรกรในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น) ต่อไป |
||||||||||||||||||
1812 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สภาวิชาชีพบัญชี) | พณ | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สภาวิชาชีพบัญชี) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรของสภาวิชาชีพบัญชีที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
1813 | ผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 03/02/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการหารือข้อราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา และการเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ฝ่ายไทยได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนการค้าชายแดนแม่สอด-เมียวดี ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และนโยบายกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมการค้าชายแดน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะเร่งผลักดันให้เกิดการดำเนินการ (๑) ตั้งเป้ามูลค่าการค้าชายแดนระหว่างกันในปี ๒๕๕๙ ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว (๒) จัดตั้งคณะกรรมการร่วมการค้าชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการค้าชายแดนสองฝ่าย และ (๓) จัดตั้งสภาธุรกิจเพื่อขยายการค้าและการลงทุนบริเวณชายแดนของภาคเอกชน ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาได้เสนอให้มีการเร่งรัดการเปิดด่านมูต่อง จังหวัดมะริด-ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาท้องถิ่น การควบคุมราคาสินค้าตามแนวชายแดน และเน้นว่ากระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น พร้อมทั้งยินดีจะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าของแม่สอด และเมียวดีให้เป็นประตูหลักในการพัฒนาการค้าชายแดนไทยเมียนมาต่อไป นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ยื่นข้อเสนอยุทธศาสตร์ “แม่สอด-เมียวดี โมเดล” ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมาพิจารณาเพื่อร่วมดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ซึ่งจะมีการหารือรายละเอียดในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ๒. การเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ใช้ศักยภาพความพร้อมของหน่วยงานในสังกัดนำผู้ซื้อและตัวแทนห้างสรรพสินค้าจากกรุงย่างกุ้ง จังหวัดเมียวดี ผาอัน และเมาะลำไย เข้าร่วมงาน มีผู้เข้าร่วมจำหน่ายรวมทั้งสิ้น ๓๐๐ คูหา มีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ มีนักธุรกิจจากไทยเข้าร่วม ๑๑๒ ราย และจากเมียนมา ๗๐ ราย โดยบริษัท Jaroon-Sawai Engineering Limited Partnership กับ บริษัท Apex World International Co., Ltd สามารถตกลงร่วมทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ ๖๐ ล้านบาท (๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) |
||||||||||||||||||
1814 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/02/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการสำรวจปริมาณการใช้ยางพาราของแต่ละหน่วยงานโดยเร็ว และจัดทำแผนการใช้ยางพาราในประเทศเพื่อให้การใช้ยางพาราเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวบรวมปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของทุกหน่วยงานเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาหาแนวทางการลดพื้นที่ปลูกยางพาราในประเทศ โดยในระยะแรกให้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ซึ่งชาวสวนยางได้บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูก พร้อมทั้งพิจารณาหาแนวทางการเยียวยาชาวสวนยางกลุ่มดังกล่าวด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดให้มีการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น และให้หาแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถซื้อข้าวบริโภคได้ในราคาถูกด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานในประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดและลดการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากต่างประเทศ ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กำหนดมาตรการป้องกันอัคคีภัยสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม และตรวจสอบความพร้อมของมาตรการป้องกันการเกิดอัคคีภัยภายในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงงานในเขตอุตสาหกรรม รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำของชุมชนด้วย ๑.๖ ให้สำนักงบประมาณรวบรวมงบประมาณเหลือจ่ายของแต่ละส่วนราชการและนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาใช้จ่ายสำหรับนโยบายเร่งด่วนที่เป็นการช่วยเหลือประชาชนต่อไป ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ผลการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ บุคคลสองสัญชาติ การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างไทยและมาเลเซีย การขนส่งทางถนน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรถยนต์ ซึ่งขณะนี้ไทยได้อนุญาตให้รถยนต์ของมาเลเซียเข้ายังพื้นที่ตอนในของไทยได้ ในขณะที่ไทยยังไม่ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกันจากมาเลเซีย) การค้าและการลงทุน (โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าของมาเลเซีย) และความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ๓. ด้านสังคม รัฐบาลได้มีมาตรการดูแลประชาชนทุกกลุ่มที่มีความเดือดร้อน เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย คนจนเมือง และผู้ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม และโดยที่รัฐบาลเห็นว่าครูเป็นบุคลากรสำคัญในการสร้างอนาคตของประเทศ ซึ่งมีปัญหาหนี้สินจำนวนมากทำให้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มประสิทธิภาพ จึงให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเพิ่มเติมด้วย ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าจะสามารถดำเนินการเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใต้แนวเขตทางด่วนได้อย่างคุ้มค่า และสามารถจัดเป็นพื้นที่ประกอบอาชีพของประชาชน เพื่อลดผลกระทบผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย คนจนเมือง และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม ได้หรือไม่ประการใด และหากจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมาย ให้พิจารณายกร่างกฎหมายแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยร่วมดำเนินการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเร่งนำตัวผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญต่อประชาชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการก่อวินาศกรรม ปัญหาอาชญากรรม และปัญหายาเสพติด ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการแจ้งชื่อผู้แทนไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งคณะทำงานบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายระดับกระทรวง ทำหน้าที่ติดตาม ประสานและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และงานสำคัญของรัฐบาลร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ ปี ๕.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำฐานข้อมูลกลางโดยเชื่อมโยงข้อมูลในการดำเนินงานจากฐานข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นระบบเดียวกัน โดยแบ่งการดำเนินการเป็น ๓ ลักษณะ ได้แก่ (๑) ให้มีการบูรณาการการใช้ข้อมูล เช่น อัตราส่วนของแผนที่หน่วยจัดเก็บข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกหน่วยงาน (๒) ให้มีการกำหนดเจ้าภาพในการรวบรวม จัดเก็บและกลั่นกรองข้อมูลในแต่ละด้าน โดยมีการกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล และการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และ (๓) ให้มีการจัดชั้นความลับและการเข้าถึงข้อมูล กรณีข้อมูลที่อาจจะส่งผลกระทบต่องานด้านความมั่นคงให้มีการคัดกรองโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) นัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เช่น การช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกรในลักษณะสหกรณ์การเกษตรพิมาย เพื่อให้การรวมกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมามีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ และเพื่อเป็นโครงการนำร่อง ๕.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยสำรวจพื้นที่ซึ่งประชาชนมีความต้องการใช้น้ำบาดาลและพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว เช่น การสนับสนุนเงินทุนเพื่อให้สามารถขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อนำน้ำขึ้นมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
1815 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโซมาเลียและเอริเทรีย | กต | 27/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโซมาเลียและเอริเทรีย รวม ๗ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติ ที่ ๑๙๐๗ (ค.ศ. ๒๐๐๙), ที่ ๑๙๗๒ (ค.ศ. ๒๐๑๑), ที่ ๒๐๒๓ (ค.ศ. ๒๐๑๑), ที่ ๒๐๓๖ (ค.ศ. ๒๐๑๒), ที่ ๒๐๙๓ (ค.ศ. ๒๐๑๓), ที่ ๒๑๑๑ (ค.ศ. ๒๐๑๓) และที่ ๒๑๘๒ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ประกอบด้วยการคว่ำบาตรทางอาวุธต่อโซมาเลียและเอริเทรีย การห้ามเดินทางต่อโซมาเลียและเอริเทรีย การอายัดทรัพย์สินต่อโซมาเลียและเอริเทรีย และการห้ามนำเข้าถ่านไม้จากโซมาเลีย ๒. มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป นอกจากนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1816 | ขออนุมัติร่างบันทึกผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ 6 | พณ | 27/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ ๖ เป็นกรอบในการหารือ โดยร่างบันทึกผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันไว้ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้า เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ โดยมีประเด็นสำคัญที่จะมีการหยิบยกขึ้นหารือระหว่างการประชุม ได้แก่ การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ลาว การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และความร่วมมือภาคเอกชน เป็นต้น ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกผลการประชุมฯ ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ชายแดนติดกัน เพื่อให้ทราบปัญหาและความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง โดยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงคลังข้อมูลการค้าระหว่างกันเพื่อสร้างโอกาสให้เกิดการขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันมากยิ่งขึ้น รวมทั้งดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือระหว่างกันเพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1817 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/01/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ และ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับด้วย นั้น เนื่องจากธนาคารกลางยุโรปได้เริ่มใช้มาตรการด้านการเงิน (Quantitative Easing : QE) โดยการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมากผ่านการซื้อพันธบัตรของรัฐบาล จึงมีแนวโน้มที่เงินทุนจำนวนมากจะเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยด้วย ประกอบกับบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มเกินดุลมากกว่าปีก่อนอันเป็นผลจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่ออัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก จึงให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและกำหนดมาตรการการเงินการคลังเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ๑.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะรายการที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และกำหนดมาตรการในการดูแลระดับราคา รวมทั้งการแจ้งเตือนผู้ประกอบการ เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนหลักในภาคการขนส่งลดลง จึงให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และให้ดูแลราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนพลังงาน ๑.๓ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ติดตาม ตรวจสอบ และเร่งดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ในวงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ แต่ปัจจุบันการเบิกจ่ายวงเงินสินเชื่อยังอยู่ในระดับต่ำ ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ (๑) การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนเครื่องมือและปัจจัยการผลิต ตลอดจนแนวทางการพักชำระหนี้เกษตรกร แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปด้วย และ (๒) การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีรายได้น้อย คนจนเมือง และผู้ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการลดผลกระทบของผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้พื้นที่ทางสาธารณะทำการค้าขายอยู่เดิม และจัดหาพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพ และเสนอแผนการดำเนินงานดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว โดยให้คำนึงถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย รวมทั้งเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ขาดแคลนเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานที่จะจัดทำโครงการที่เป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้การอุดหนุนแก่ประชาชนเฉพาะกลุ่มระบุวัตถุประสงค์ของโครงการ ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ให้มีความสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ ให้เน้นการช่วยเหลือผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็ก ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วนให้ทั่วถึงและเป็นหลักก่อน และให้คำนึงถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของงบประมาณด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาดำเนินโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่บัณฑิตที่จบการศึกษาใหม่ เช่น การจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะความรู้ที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานทั้งภายในประเทศ ในภูมิภาค และในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินการเร่งนำตัวผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญต่อประชาชนให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและดำเนินคดีตามกฎหมายได้โดยเร็ว ๓. ด้านการต่างประเทศ เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นปีครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ จึงให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนในการเตรียมการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสนี้ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ และให้พิจารณาจัดโครงการหรือกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การออกตราไปรษณียากร (แสตมป์) ที่ระลึก การจัดแสดงแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม การจัดการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียด้วย ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปดำเนินการประสานกับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับผลการดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา โดยให้สรุปประเด็นที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และจัดทำเอกสารเสนอในที่ประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนไปในทุก ๆ ไตรมาส นั้น ให้ทุกส่วนราชการและจังหวัดเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยโครงการที่ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ และให้พิจารณาการจ้างงานประชาชนในพื้นที่เป็นลำดับแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ๕.๒ ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดวงเงินการจัดสรรงบประมาณให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้มีความเหมาะสม และกำหนดมาตรการจูงใจในการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเวลาที่กำหนด รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำรายงานการใช้จ่ายงบประมาณที่แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าด้วย ๕.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปพิจารณากำหนดอัตรากำลังตำรวจท่องเที่ยวและงบประมาณให้มีความเพียงพอต่อการดูแล การให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวก และให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๕.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่มีภารกิจให้บริการประชาชนร่วมกันพิจารณาเปิดศูนย์บริการสาธารณะแบบครบวงจรที่ครอบคลุมการให้บริการหลากหลายแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกและสามารถใช้บริการหลังเวลาเลิกงาน หรือในวันหยุดราชการได้ เช่น ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนด้วย ๕.๕ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง นั้น ให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ ที่มีความคืบหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยในวาระแรกให้เผยแพร่การทำงานของศูนย์บริการจัดหางานของกระทรวงแรงงานที่เปิดให้ผู้ว่างงานสามารถเข้าไปหางานที่ต้องการได้อย่างสะดวก รวมทั้งให้นายจ้างสามารถเข้าไปหาแรงงานตามที่ต้องการได้
|
||||||||||||||||||
1818 | การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | พณ | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย สถานการณ์การคุ้มครองศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในปัจจุบัน การคุ้มครองภายใต้ระบบกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา การดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และปัญหากรณีที่มีการนำศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยไปใช้ประโยชน์โดยต่างชาติ ๑.๒ เห็นชอบกับความเห็นแนวทางการดำเนินการ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยดำเนินการต่อไป ในส่วนของการคุ้มครองศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านพันธุ์พืช และด้านทรัพย์สินทางปัญญา การแก้ไขปัญหากรณีที่มีการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมไทยไปใช้ประโยชน์โดยต่างชาติ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในสาขาที่ไทยมีศักยภาพและอยู่ในความสนใจของต่างชาติ ตลอดจนมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สามารถพัฒนาและต่อยอดไปสู่สินค้าอุตสาหกรรม ๒. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ ด้านศิลปวัฒนธรรม (กระทรวงวัฒนธรรม) ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น (กระทรวงสาธารณสุข) ด้านพันธุ์พืช (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ด้านทรัพย์สินทางปัญญา (กระทรวงพาณิชย์) เร่งดำเนินการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยให้เป็นรูปธรรม เช่น การขึ้นทะเบียนปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี ให้ชัดเจน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงาน โครงการต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกฎหมายเฉพาะ (sui generis) ที่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ครอบคลุมภารกิจของทุกหน่วยงาน รวมทั้งผลักดันเรื่องดังกล่าวในเวทีองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ให้มีผลผูกพันระหว่างประเทศและเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ควรเป็นเจ้าภาพหลักในการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรคการดำเนินงานที่ผ่านมา และเพื่อร่วมกันกำหนดขอบเขตและแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้สามารถลดระยะเวลา ขั้นตอนและกระบวนการทำงาน ตลอดจนความซ้ำซ้อนของงาน รวมทั้งการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในการจัดทำฐานข้อมูลการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยในภาพรวมของประเทศ และการเผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เกิดเอกภาพและประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1819 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับลิเบีย | กต | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติ ที่ ๒๐๙๕ (ค.ศ. ๒๐๑๓), ที่ ๒๑๔๔ (ค.ศ. ๒๐๑๔), ที่ ๒๑๔๖ (ค.ศ. ๒๐๑๔) และที่ ๒๑๗๔ (ค.ศ. ๒๐๑๔) เกี่ยวกับลิเบีย ๒. มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
||||||||||||||||||
1820 | การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดี เพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย - เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก | พณ | 20/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดี โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการผลักดันและขับเคลื่อนการค้าชายแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายรัฐบาล โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยมอบผู้ว่าราชการจังหวัดตากหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเมียวดี เพื่อประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดี ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยและเมียนมาเป็นประธานร่วมในงานมหกรรมการค้าชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศบูรณาการการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้มีการลงนามสถาปนา Sister City ในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๑.๔ รับทราบผลการเดินทางลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ พบว่า ธุรกิจในพื้นที่มีการขยายการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยธุรกิจที่มีการขยายตัวมาก คือ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และธุรกิจบริการด้านสุขภาพและอสังหาริมทรัพย์ สำหรับความคืบหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ภาคเอกชนในพื้นที่ต้องการให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ให้สิทธิพิเศษในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมากกว่าสิทธิพิเศษในพื้นที่อื่นเพื่อดึงดูดให้มีนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่ และอนุมัติให้แรงงานประเทศเพื่อนบ้านสามารถใช้บัตรผ่านแดนเข้ามาทำงานได้ชั่วคราว ตามมาตรา ๑๗ ของ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้ข้อมูลจากการลงพื้นที่ดังกล่าวประกอบการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ เพื่อให้เป็นโครงการนำร่องในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๓. เพื่อให้แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องมีความชัดเจนและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนม กับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) และเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) จาก “เพื่อให้การสถาปนาความสัมพันธ์ฯ ในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศที่มีเขตแดนต่อเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความคล่องตัว ให้ถือเป็นหลักการว่า เรื่องในทำนองนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วให้ความเห็นชอบ/อนุมัติไปได้ โดยถือว่าคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ...” เป็น “... ให้ถือเป็นหลักการว่า เรื่องในทำนองนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยต้องมีความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในประเด็นดังกล่าวก็ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติไปได้ โดยถือว่าคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ...” |
.....