ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1961 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีเหลือจ่ายจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑๘,๖๐๒,๓๗๕.๕๐ บาท และเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓๗๖,๓๐๓,๘๔๖ บาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR+๑% ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัย ให้เหมาะสมและเป็นที่จูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรจัดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลฯ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจขยายการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลไปสู่สินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งให้ฝ่ายกำกับดูแล กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การรักษาวินัยการเงินการคลัง การให้ความรู้และมาตรการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งให้นำเรื่องดังกล่าวหารือรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนต่อไป และให้มีความเชื่อมโยงกับโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (zoning) การปลูกพืชทดแทน และการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1962 | การลงนามในภาคผนวกของร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994 | พณ | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในสารัตถะของร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมภาคผนวก ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994 โดยสาธารณรัฐกาบองขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันอัตราภาษีสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าเกษตรภายใต้ WTO ให้สอดคล้องกับอัตราภาษีที่เก็บจริงตาม Economic and Monetary Community of Central Africa หรือ CEMAC ส่งผลให้ตารางข้อผูกพันอัตราภาษีนำเข้า (bound rate) ของสินค้าเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยที่ร้อยละ ๑๕.๓๘ เป็นเฉลี่ยที่ร้อยละ ๑๘.๐๘ โดยปรับขึ้น bound rate สินค้าจำนวน ๒,๑๕๙ รายการ เพิ่มจากร้อยละ ๑๕ เป็นร้อยละ ๒๐-๓๐ และปรับลด bound rate สินค้าจำนวน ๒,๕๐๐ รายการ จากร้อยละ ๑๕ มาเป็นร้อยละ ๕-๑๐ ๑.๒ ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในภาคผนวกผลการเจรจาระหว่างไทย-กาบอง เพื่อผนวกเข้ากับร่างหนังสือผลการเจรจาปรับแก้ตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าของกาบองภายใต้ WTO ภายใต้กระบวนการเจรจาขอปรับแก้ตารางข้อผูกพันของประเทศสมาชิก WTO ตามมาตรา XXVIII ของ GATT 1994 ๑.๓ ให้ผู้แทนไทย ตามข้อ ๑.๒ พิจารณาใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ หรือแก้ไขสาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในกรอบร่างหนังสือผลการเจรจาฯ และภาคผนวกดังกล่าว ๒. การใช้ดุลพินิจของผู้แทนไทย ให้ระมัดระวัง เพราะจะต้องรับผิดชอบ และให้ยึดผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลกเป็นหลัก ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าของสินค้าข้าวและการประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชน ผู้ประกอบการทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ประเมินถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเป็นสมาชิก WTO โดยเฉพาะพันธกรณีข้อกำหนดเกี่ยวกับการลดหย่อนอัตราภาษีว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลประโยชน์อย่างไรและได้รับการลดหย่อนภาษีจากประเทศคู่ค้าแล้วเท่าใด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดยุทธศาสตร์ในเชิงรุกเพื่อเจรจากับคู่ค้าทั้งในระบบทวิภาคีและพหุภาคีด้วย โดยจะต้องจัดทำรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1963 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 | อก | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในอัตราตันละ ๑๖๐ บาท ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๑.๒ อนุมัติให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน (Straight loan) จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามนัยมาตรา ๒๗ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๖๐ บาท โดยให้จ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อยในทุกตันอ้อยที่ส่งเข้าหีบในโรงงานน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จากผลผลิตอ้อยทั้งสิ้น ๑๐๓.๗๐ ล้านตัน รวมเป็นเงินประมาณ ๑๖,๕๙๒ ล้านบาท หรือจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายตามปริมาณอ้อยเข้าหีบจริงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ตามแผนชำระหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๗ เดือน โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยให้ถึงมือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการบันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน อีกทั้งจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศกิโลกรัมละ ๕ บาท เพื่อนำไปเป็นรายได้ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสำหรับนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ จนกว่าจะใช้หนี้หมดเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งในด้านปริมาณผลผลิตต่อไร่และค่าความหวาน การส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตลอดห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เพื่อลดภาระการอุดหนุนจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายลง การเพิ่มความสามารถในการพึ่งตนเองของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างยั่งยืน การควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามการใช้เงินจากการจัดเก็บรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายเพื่อนำไปชำระหนี้เฉพาะเงินกู้ที่นำมาช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อย การเร่งรัดการทบทวนสูตรการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อย และการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ประเทศ การเร่งนำผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มาประกอบการพิจารณาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในระยะยาวโดยเร็ว การเพิ่มองค์ประกอบของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอุตสาหกรรม การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายให้ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในอุตสาหกรรม การเร่งรัดให้เกิดการส่งเสริมการพัฒนาด้านอ้อยตามระเบียบวาระอ้อยแห่งชาติ ระยะ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งปรับปรุงร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ ให้มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น การกำกับดูแลและตรวจสอบให้การช่วยเหลือบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด การควบคุมดูแลการเบิกจ่ายเงินโดยเคร่งครัด รวมทั้งร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพผลผลิตอ้อยแทนการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ลดภาระการใช้จ่ายเงินในการช่วยเหลือเยียวยา และเพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้ให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยดังกล่าว คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติเห็นชอบแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ ๔. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1964 | รายงานการชดใช้คืนเงินทดรองราชการ ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการชดใช้คืนเงินทดรองราชการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้เบิกเงินทดรองราชการที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อโอนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนำไปจ่ายให้แก่ชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางได้รับคืนเงินทดรองราชการที่กรมการค้าต่างประเทศได้นำส่งชดใช้คืนเงินทดรองราชการดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้าข้าวในระยะต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ควรบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเดียวกันที่จะพัฒนาคุณภาพข้าวให้ได้มาตรฐาน ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) กำกับให้กระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมการค้าต่างประเทศและกรมการค้าภายในชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและภาคเอกชนว่ามาตรการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการเกี่ยวกับการระบายข้าวและการทำสัญญาซื้อขายข้าวของรัฐ เป็นเพียงการดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสเท่านั้น มิได้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจตามปกติของภาคเอกชนแต่อย่างใด |
|||||||||||||||||||||||||||
1965 | แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/2558 | สลธ.คสช. | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ตามที่พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการหลัก ได้แก่ การลดราคาปัจจัยการผลิต โดยสมาคมผู้ค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรกรที่มีธุรกิจค้าปุ๋ย สมาคมผู้รวบรวมและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวไทย ผู้ให้เช่านา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินดีให้ความร่วมมือในการลดราคาสินค้า ควบคุมราคาสินค้า รวมทั้งการจัดหาเมล็ดพันธุ์ข้าวและสารเคมีคุณภาพดีราคาถูกมาจำหน่ายให้กับชาวนาเพื่อช่วยลดราคาปัจจัยการผลิต ๑.๒ มาตรการสนับสนุน มี ๔ ด้าน ได้แก่ ๑.๒.๑ ด้านการส่งเสริมปัจจัยการผลิต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าว การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (Zoning) และการจัดหาแหล่งน้ำสนับสนุน ๑.๒.๒ ด้านการสนับสนุนแหล่งเงินทุน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๒ มาตรการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร และการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกร ๑.๒.๓ ด้านการส่งเสริมการตลาด กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ การเร่งหาตลาดใหม่ การเชื่อมโยงตลาดข้าวในประเทศและต่างประเทศ และการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และ ธ.ก.ส. มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ การให้สินเชื่อเกษตรกรเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (ประกันยุ้งฉาง) ๑.๒.๔ ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ธ.ก.ส. มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ การจัดตั้งสถาบันพัฒนาศักยภาพการค้าข้าวแบบครบวงจร และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการสนับสนุน จำนวน ๑ มาตรการ คือ การจัดตั้งกองทุนข้าวและชาวนาแห่งชาติ ทั้งนี้ ฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะรวบรวมรายละเอียดเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ เพื่อใช้ในการดำเนินมาตรการระยะสั้น (ระยะที่ ๑) ต่อไป ๒. ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปดำเนินการจัดตั้งศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตร ในระดับจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายด้านการเกษตรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีการบูรณาการจากทุกหน่วยงานที่มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานในพื้นที่อยู่แล้ว และกำหนดให้มีหัวหน้าที่รับผิดชอบประจำอยู่ทุกศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตร และให้เชื่อมโยงข้อมูลในระดับอำเภอและตำบลด้วย ทั้งนี้ ให้ศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรมีหน้าที่หลัก ๓ ประการ ได้แก่ ๒.๑ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เช่น ด้านการเกษตร ด้านการตลาด มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐ เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้องและทั่วถึง ๒.๒ ให้บริการช่วยเหลือเกษตรกรให้ครอบคลุมพืชผลทางการเกษตรทุกประเภท ๒.๓ เฝ้าระวังภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อแจ้งเตือนไปยังเกษตรกรและให้การช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที โดยศูนย์การช่วยเหลือผลิตผลทางการเกษตรจะต้องทำการเชื่อมโยงกับหน่วยงานและคณะกรรมการระดับนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการจัดทำมาตรการเชิงรุกเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาการส่งออกข้าว ในกรณีที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปอาจมีการปรับลดปริมาณการนำเข้าข้าวไทยในอนาคต โดยกระทรวงพาณิชย์ควรจัดหาตลาดส่งออกข้าวแหล่งใหม่สำรองไว้ด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับไปพิจารณาหามาตรการผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องและสถานะทางการเงินของธนาคารฯ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1966 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้
๑. เรื่องด้านงบประมาณ ๑.๑ เพื่อให้การอนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงเพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายที่รับผิดชอบการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วจึงเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอนุมัติหลักการหรือให้ความเห็นชอบแล้วแต่กรณีต่อไป โดยกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้นำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากวงเงินเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ ๑.๒ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในกรณีต่าง ๆ เช่น งบประมาณปกติ งบกลาง และงบประมาณผูกพันข้ามปี เป็นต้น เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้อง มอบให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการจัดทำสรุปขั้นตอนการใช้จ่ายงบประมาณในกรณีต่าง ๆ ให้ชัดเจน ครบถ้วน แล้วเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๑.๓ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของแต่ละกระทรวงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาทบทวนโครงการ/งานที่เป็นเรื่องเดียวกันและอาจซ้ำซ้อนกับของกระทรวงอื่น เพื่อนำมาบูรณาการร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน สำหรับแผนงานหรือโครงการของส่วนราชการใดที่ยังไม่ดำเนินการ ให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนหรือปรับแผนงานหรือโครงการดังกล่าวให้เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความเป็นธรรม ทั่วถึง และเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ภาครัฐให้เป็นมาตรฐาน โดยพิจารณาในแง่ของประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เป็นหลัก โดยกำหนดมาตรฐานให้เกิดความเป็นธรรมและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดกลไกการดำเนินการ โดยเริ่มจากการเก็บภาษีก่อน เช่น ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก รายได้ของรัฐที่ได้จากสัมปทาน เป็นต้น ๑.๕ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ กรณีที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญใช้บังคับ ในขั้นตอนการตั้งคณะกรรมาธิการ ให้สำนักงบประมาณรับไปเตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้ล่วงหน้า โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการให้มีผู้แทนจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นด้วย ๑.๖ ให้ปรับโครงสร้างการจัดส่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ครอบคลุมกรุงเทพมหานคร โดยให้เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของกรุงเทพมหานครให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๗ มอบหมายรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลโท ชาตอุดม ติตถะสิริ) ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวบรวมรายชื่อคณะกรรมการตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดกลไก แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณ และมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงาน ๑.๘ มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหาแนวทางในการบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณและนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ ๒.๑ กฎหมายที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นข้อจำกัดต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมจิตวิทยา ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมและจัดทำแผนงานว่าเรื่องใดควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ โดยให้เร่งดำเนินการเรื่องที่อยู่ในระยะที่ ๑ ก่อน ๒.๒ โครงการโรงงานยาสูบ ระยะที่ ๒ ให้ดำเนินการตามแผนงานเดิม โดยให้ปรับพื้นที่โรงงานเดิมเป็นสวนสาธารณะ แต่หากจำเป็นจะต้องก่อสร้างที่จอดรถในพื้นที่ดังกล่าวให้ดำเนินการเป็นที่จอดรถใต้ดิน ๒.๓ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้มีการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๒.๔ การทำความเข้าใจกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และการนิรโทษกรรมที่ยังมีข้อโต้แย้ง รวมทั้งติดตามสถานการณ์การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด โครงการลงทุนต่าง ๆ ๒.๕ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษและมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย เป็นต้น ๒.๖ โครงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานให้เร่งดำเนินการโครงการที่ได้รับอนุมัติและได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว รวมทั้งเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เช่น โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สำหรับแผนงานหรือโครงการใดที่มีข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) รับไปติดตาม ตรวจสอบ ก่อนดำเนินการต่อไป การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๗ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยให้พิจารณารายละเอียดกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาผลิตผลทางการเกษตร มอบหมายให้หน่วยงานราชการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกร โดยให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานนำร่องในการรับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรโดยตรง ๒.๘ มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เพื่อลดความเดือดร้อนแก่ประชาชน กลุ่มผู้ค้ารายย่อย เช่น กลุ่มคนพิการ เป็นต้น ๒.๙ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ การกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๑๐ สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการป้องกันน้ำท่วมและแก้ปัญหาภัยแล้ง เช่น การขุดลอกคูคลองแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น การศึกษา ๒.๑๑ มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก เช่น การพัฒนาการเชื่อมโยงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยเชื่อมต่อกับโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๓. เรื่องด้านความมั่นคง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และส่วนราชการปกติ บูรณาการการทำงานเพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้ กอ.รมน. ภาค ๔ เป็นส่วนหน้าในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการจัดทำแผนงานด้านความมั่นคง และให้มีคณะกรรมการฟื้นฟูเพื่อสันติภาพ เพื่อสร้างความไว้วางใจและเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1967 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการค้าและภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนมีนาคม 2557 | พณ | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการค้าและภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๖.๙๔ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (เท่ากับ ๑๐๖.๗๑) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๒ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓) เป็นอัตราการสูงขึ้นที่ชะลอลง จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๔๕ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ผักกาดขาว ผักคะน้า มะเขือเจ้าพระยา มะนาว ผักกาดหอม ส้มเขียวหวาน กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) และดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๐) สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ก๊าซหุงต้ม สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แชมพูสระผม น้ำมันเบนซิน ๙๕ แก๊สโซฮอล์ ๙๑ แก๊สโซฮอล์ ๙๕ วารสารรายสัปดาห์ เบียร์ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๔.๒๒ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการใช้จ่ายในประเทศและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการท่องเที่ยวที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ด้านการเมือง โดยสอดคล้องกับการนำเข้าสินค้าที่หดตัว ขณะที่การส่งออกสินค้าปรับดีขึ้นตามแนวโน้มอุปสงค์จากต่างประเทศ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๑ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๙๖) ตามการสูงขึ้นของราคาอาหารสำเร็จรูปที่ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารสดที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น เนื้อสุกร ผักและผลไม้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๓๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
1968 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 8 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Draft Joint Statement of the Eighth Summit of Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมการดำเนินงานนโยบายความร่วมมือ และการตกลงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี (Special Envoy) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๓ เห็นชอบการกำหนดองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๘ แผนงาน IMT-GT ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประกอบด้วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสภาธุรกิจ IMT-GT ประเทศไทย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายฯ ควรพัฒนาการเชื่อมโยงอย่างสอดคล้องกับความร่วมมือระดับภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย และควรเร่งดำเนินการโครงการความร่วมมือภายใต้แผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายฯ โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่ง การค้าการลงทุน การเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมฮาลาล และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น ไปพิจารณาด้วย ๓. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จึงไม่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อันเป็นข้อห้ามตามมาตรา ๑๘๑ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
1969 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม 2557 | พณ | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๖.๔๖ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ (เท่ากับ ๑๐๖.๐๑) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๔) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๖๗ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ไม่เปลี่ยนแปลง) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร ไก่สด เนื้อโค ไข่ไก่ นมสด กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารเช้า อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) อาหารเย็น (อาหารตามสั่ง) และดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๐ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๒) สินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ผ้าอนามัย แชมพูสระผม น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก น้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ เบียร์ สุรา สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๘๖ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๑ ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ชะลอตัวลงตามภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการใช้จ่ายภาคเอกชน เนื่องจากภาคธุรกิจและครัวเรือนยังกังวลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน และอาเซียน ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกสินค้าฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และมีภาวะเงินไหลออก ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมกราคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๙๓ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๖๗) ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
1970 | รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (เสร็จการชำระบัญชี) | กษ | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (บริษัท สธท. จำกัด) (เสร็จการชำระบัญชี) โดยเป็นการสรุปผลการชำระบัญชีในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. จำนวนโคทั้งหมด ๒๑,๖๘๔ ตัว จำแนกเป็นโคปกติ จำนวน ๙,๕๓๕ ตัว (จำหน่ายเสร็จสิ้นแล้ว) โคผิดปกติ (ตาย เจ็บป่วยรักษาไม่หาย หรือนำไปแลกเปลี่ยน) จำนวน ๔๓๙ ตัว และโคลักลอบขาย จำนวน ๑๑,๗๑๐ ตัว ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีและจำหน่ายกิจการบริษัท สธท. จำกัด ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการจำหน่ายหนี้เกษตรกรโคลักลอบขายออกจากบัญชีเป็นสูญ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ จำนวนเกษตรกร ๑๔๘ ราย จำนวนโค ๒๙๐ ตัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓.๐๕ ล้านบาท ๓. ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท สธท. จำกัด ในการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ได้มีมติอนุมัติงบการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินแล้ว และอนุมัติเสร็จการชำระบัญชีบริษัท สธท. จำกัด ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมได้อนุมัติให้จ่ายคืนทุนแก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนที่ได้ชำระทุนให้แก่บริษัท สธท. จำกัด ซึ่งเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังได้รับเงินคืนดังกล่าวไปแล้ว จำนวน ๓๓๑.๙๕ ล้านบาท และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีต่อกระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
1971 | การเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 08/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งนางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนนายบุญนริศร์ สุวรรณพูล (ซึ่งเกษียณอายุราชการ) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การดำเนินการในกรณีนี้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการในช่วงการยุบสภาผู้แทนราษฎร) และไม่เป็นการกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1972 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การพัฒนาการตลาดสินค้าเกษตรโดยระบบสหกรณ์" | สสป | 18/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาการตลาดสินค้าเกษตรโดยระบบสหกรณ์" มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการสหกรณ์ ตามมาตรา ๕๐ วรรค ๓ เป็น "แต่ต้องไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน เว้นแต่ที่ประชุมใหญ่จะเห็นเป็นอย่างอื่น " เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์สามารถใช้หลักการสหกรณ์บริหารกลุ่มของตนเองได้ตามที่เห็นสมควร ๑.๒ กำหนดนโยบายให้สหกรณ์ภาคการเกษตรและขบวนการสหกรณ์เป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับเกษตรกรทดแทนการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม ๑.๓ สนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตรให้มีความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และปรับปรุงกฎระเบียบให้สามารถนำไปใช้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสหกรณ์ในทุกระดับ ๑.๔ จัดทำฐานข้อมูลการผลิตสินค้าสหกรณ์ทุกชนิดทั้งผลิตภัณฑ์จากพืช การปศุสัตว์ การประมง สินค้าหัตถกรรม และสินค้าเกษตรแปรรูป ทั้งในลักษณะของข้อมูลพื้นที่การผลิต และในลักษณะข้อมูลปริมาณการผลิต และคุณภาพการผลิต เพื่อประโยชน์ในการทำการตลาด ๑.๕ จัดทำฐานข้อมูลความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อนำมาวางแผนการผลิตและกระจายปริมาณการผลิตให้กับสหกรณ์ต่าง ๆ ตามศักยภาพการผลิต ๑.๖ สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มการผลิตโดยใช้ปัจจัยการผลิตร่วมระหว่างสมาชิกสหกรณ์ ทั้งในด้านที่ดิน แรงงาน และเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อลดปัญหาขาดแคลนทั้งที่ดิน แรงงาน และเงินจัดซื้อเครื่องทุนแรง ๑.๗ สนับสนุนให้กระบวนการสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินการตลาดกลางสินค้าเกษตร โดยให้รัฐร่วมลงทุน และให้สหกรณ์เป็นผู้นำในการรวบรวมผลผลิต ทำหน้าที่ควบคุม จัดชั้นคุณภาพสินค้า และให้ความเป็นธรรมด้านราคา ๑.๘ สนับสนุนการสร้างตราสินค้าสหกรณ์ให้เป็นเอกลักษณ์ ๑.๙ เพิ่มบทบาทให้สหกรณ์มีส่วนร่วมกับภาครัฐในมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในทุกระดับ ๑.๑๐ สนับสนุนเงินทุนในการปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภูมิอากาศ และตามความต้องการของตลาด ผ่านช่องทางสหกรณ์โดยตรง ๑.๑๑ สนับสนุนให้มีศูนย์กระจายสินค้าเกษตรโดยระบบสหกรณ์ไปตามตลาดที่เหมาะสมทุกระดับของตลาดระดับบน ตลาดระดับล่าง ทั้งภายในและต่างประเทศ ๑.๑๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้เครือข่ายสหกรณ์ช่วยเหลือเกื้อกูล และส่งเสริมการดำเนินการระหว่างกันโดยไม่แยกประเภท ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของประเด็นการแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ การกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับเกษตรกร การจัดทำฐานข้อมูลการผลิตสินค้าสหกรณ์ทุกชนิดและฐานข้อมูลความต้องการสินค้าเกษตรโดยการจัดทำบันทึกฐานข้อมูลการผลิตสินค้าสหกรณ์ทุกชนิดและฐานข้อมูลความต้องการสินค้าเกษตรโดยการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การสนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตรให้มีความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการให้รัฐสนับสนุนเงินทุนให้กับสหกรณ์ภาคการเกษตรให้มีความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการให้รัฐสนับสนุนเงินทุนในการดำเนินการตลาดกลางสินค้าเกษตร รวมทั้งการสนับสนุนเงินทุนในการปรับโครงสร้างการผลิตทางการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ และตามความต้องการของตลาดผ่านทางช่องทางสหกรณ์โดยตรง เช่น โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ซึ่งการดำเนินการตามประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายและการใช้งบประมาณของประเทศ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1973 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Destination)" | สสป | 18/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Destination)” และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ ๒. ส่งเสริมให้เกิดองค์กรเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เป็นศูนย์กลางสนับสนุนแต่ละธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ๙ ด้าน ได้แก่ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนปัจจุบัน อาหารไทย สมุนไพรไทย การทำเกษตรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งปฏิบัติธรรม สปา และการดูแลด้านความสวยงาม ๓. การอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่ม Superstar และกลุ่มทั่วไปที่มีความสนใจด้านสุขภาพ ๔. การประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ใช้กระแสความนิยมจากฐานความมีชื่อเสียงของคนดังระดับโลกในวงการต่าง ๆ มาเป็นกระบอกเสียงในการโฆษณาประชาสัมพันธ์คุณภาพมาตรฐานงานบริการเชิงสุขภาพของไทย จัดทำรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบเจาะจง คือเน้นเฉพาะโรคที่มั่นใจว่าดีจริงและมีการประเมินที่รับรองผลได้เท่านั้น ส่งเสริมการจัดทำฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่มีความทันสมัย ๕. การบริหารจัดการ และการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ยกระดับมาตรฐานและส่งเสริมสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการรวมกลุ่มและองค์กร และการส่งเสริมกิจการและความร่วมมือระหว่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1974 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | พณ | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จ่ายให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ธ.ก.ส. จะได้จ่ายให้เกษตรกรตามใบประทวนที่เกษตรกรได้จำนำไว้กับรัฐบาลต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กรมการค้าต่างประเทศเพื่อขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ สำหรับนำไปใช้จ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยเมื่อได้รับกระแสเงินสดจากกระทรวงการคลังและการระบายข้าวแล้ว ให้กรมการค้าต่างประเทศนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชดใช้คืนเงินทดรองราชการต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของใบประทวนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และตามมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญก่อนการเบิกจ่ายด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
1975 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 9 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พณ | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ (MC9) ๑.๑ ที่ประชุมฯ สามารถสรุปผลลัพธ์การเจรจาเรียกว่า “Bali Package” ซึ่งครอบคลุม ๓ ประเด็นภายใต้การเจรจารอบโดฮาที่สมาชิกได้หยิบยกมาเจรจาเพื่อหาข้อสรุปก่อน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) เกษตร (Agriculture) และการพัฒนา รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด สำหรับประเด็นต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๘ ที่ประชุมฯ มีมติขยายเวลาการยกเว้นการเก็บอากรศุลกากรชั่วคราวสำหรับการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ภายใต้แผนงานด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) และขยายเวลาการยกเว้นการฟ้องกรณีพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ออกไปอีก ๒ ปี (๒๕๕๗-๒๕๕๘) รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการดำเนินการต่อเนื่องตามแผนงานเกี่ยวกับกลุ่มประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดเล็ก (small economies) โครงการความช่วยเหลือเพื่อการค้า (Aid for Trade) และการค้ากับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมใหญ่ (Plenary Session) ว่า ไทยให้ความสำคัญกับระบบการค้าพหุภาคี และเห็นว่า การประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูบทบาทการเป็นเวทีการเจรจาการค้าขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การสรุปผลของการเจรจารอบโดฮาในที่สุด อีกทั้งเรียกร้องให้สมาชิกผลักดันการเจรจาเกษตรที่มีผลลัพธ์ที่สมดุลระหว่างการเปิดเสรีสินค้าเกษตรกับผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา ในการนี้ไทยได้ประกาศการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least-Developed Countries : LDCs) โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา (Duty Free Quota Free : DFQF) แก่สินค้านำเข้าจากประเทศพัฒนาน้อยที่สุด จำนวน ๔๙ ประเทศ ในสัดส่วนประมาณร้อยละ ๗๓ ของรายการสินค้าทั้งหมด ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามในพิธีสารการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทย-อัฟกานิสถานภายใต้กระบวนการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิก WTO ๒. การดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุม MC9 ในเรื่องความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Agreement on Trade Facilitation : TFA) กระทรวงพาณิชย์จะจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดวินัยที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ และแจ้งต่อ WTO โดยเร็วเพื่อนำไปประกอบในความตกลง TFA สำหรับในส่วนการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้ง WTO เพื่อผนวก TFA เป็นส่วนหนึ่งของความตกลงภายใน WTO จะเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๔ ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาแจ้งการยอมรับพิธีสาร (ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘) ๓. หลังจากที่ไทยประกาศดำเนินโครงการการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา (DFQF) อย่างเป็นทางการในการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ แล้ว กรมศุลกากรต้องพิจารณาหลักเกณฑ์กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าและคณะกรรมการป้องกันผลกระทบอันเนื่องจาก “การให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา” และกระทรวงพาณิชย์ต้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการระงับสิทธิพิเศษ ก่อนที่จะแจ้งรายละเอียดโครงการฯ ต่อ WTO ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1976 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู | นร04 | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายโอยันตา อุมาลา ตัสโซ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๔-๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับการลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-เปรู ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับสถาบันพลังงานนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับฝ่ายเปรู ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฝ่ายเปรูเรื่องโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเอกชนแห่งสาธารณรัฐเปรูเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนในระดับทวิภาคี อย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาแผนการลงทุนของฝ่ายเปรูโดยเฉพาะในสาขาการก่อสร้างและพลังงาน ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามให้มีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะมีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยกับผู้บริหารระดับสูงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือกับฝ่ายเปรูเรื่องทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย และการส่งอาจารย์ชาวเปรูมาสอนภาษาสเปนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ๖. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดให้มีเที่ยวบินตรงระหว่างไทยกับเปรู ๗. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงสุขภาพ ๘. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านสวัสดิการสังคมกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศผลักดันให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญา อย่างเป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||
1977 | การแก้ไขปัญหาเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ โดย กขช. มีมติอนุมัติให้เพิ่มปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ของเกษตรกร จำนวน ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี อุทัยธานี และพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเกิดปัญหาใบประทวนสินค้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ตกค้าง และยังไม่ได้รับเงิน รวมเกษตรกรจำนวน ๓,๙๗๑ ราย ปริมาณจำนวน ๔๗,๔๔๒.๐๖ ตัน โดยไม่ให้เพิ่มปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ อีก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการระบายข้าว และยังไม่สามารถใช้เงินหมุนเวียนจากการระบายข้าวเพื่อการนี้ได้ ๒. อนุมัติในกรอบวงเงิน ๗๑๒.๐๘๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้วตามแนวทางที่กำหนดโดยสำนักงบประมาณ เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของเกษตรกร จำนวน ๓,๙๗๑ รายดังกล่าว และให้มีผลการดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตรวจสอบขั้นตอนและระบบการรายงานผลการเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกร และพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อมิให้เกษตรกรได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนดังเช่นกรณีดังกล่าวขึ้นอีก |
|||||||||||||||||||||||||||
1978 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2552 | พณ | 21/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๔๓ รายการ คงเดิมต่อไปในระยะหนึ่ง และให้พิจารณาทบทวนรายการสินค้าและบริการควบคุมดังกล่าวอีกครั้งเมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยสินค้าและบริการ จำนวน ๔๓ รายการ จำแนกเป็น สินค้า ๔๐ รายการ และบริการ ๓ รายการ ดังนี้
๑. หมวดอาหาร ได้แก่ กระเทียม ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร น้ำตาลทราย น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน นมผง นมสด แป้งสาลี อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก ผลปาล์มน้ำมัน ๒. หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน ได้แก่ ผงซักฟอก ผ้าอนามัย กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า ๓. หมวดปัจจัยทางการเกษตร ได้แก่ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ รถไถนา รถเกี่ยวข้าว เครื่องวัดความชื้นข้าว เครื่องตรวจสอบคุณภาพข้าว เครื่องชั่งวัดอัตราส่วนร้อยละของแป้งในหัวมัน ๔. หมวดวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ ปูนซีเมนต์ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น สายไฟฟ้า ๕. หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน เยื่อกระดาษ ๖. หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง ได้แก่ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ๗. หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง เม็ดพลาสติก ๘. หมวดยารักษาโรค ได้แก่ ยารักษาโรค ๙. หมวดอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องแบบนักเรียน ๑๐. หมวดบริการ ได้แก่ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า บริการทางการเกษตร
|
|||||||||||||||||||||||||||
1979 | รายงานผลการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิ์ข้างเคียงระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี | พณ | 21/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี [Memorandum of Understanding on the co-operation in the field of Copyright and Neighboring Rights between The Department of Intellectual Property (Ministry of Commerce Thailand) and The Korea Copyright Office Ministry of Culture Sports and Tourism of Republic of Korea] กับอธิบดีสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยลงนามร่วมกันในต้นฉบับภาษาอังกฤษ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันลงนาม และทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนเอกสารการลงนามครบถ้วนแล้วในวันเดียวกัน ๒. บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการคุ้มครองลิขสิทธิ์และป้องปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศผ่านการหารือแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล การจัดการประชุมหารือระดับอธิบดีหรือระดับผู้บริหารชั้นสูงและระดับเจ้าหน้าที่ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานด้านลิขสิทธิ์ เป็นต้น มีผลเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับจากวันที่ลงนาม และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติ เว้นแต่จะมีผู้เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความร่วมมือฉบับนี้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย ๖ เดือน ก่อนบันทึกความเข้าใจฯ จะมีกำหนดสิ้นสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
1980 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน 2556 | พณ | 07/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาตามหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๐๙ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดข้าว ร้อยละ ๐.๓๔ หมวดปลาและสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ หมวดเครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๔ หมวดอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๒ สำหรับหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๕) จากดัชนีหมวดน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ หมวดตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕ หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๔ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๒ หมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๗ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๕๔ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๘ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเคหสถาน หมวดอาหารสำเร็จรูป ประกอบด้วยอาหารบริโภค-ในบ้าน และอาหารบริโภค-นอกบ้าน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
.....