ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 100 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 1981 - 2000 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1981 | รายงานผลการจัดหาเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 มิถุนายน 2556 | กค | 07/01/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการจัดหาเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีการบริหารจัดการในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นจำนวนรวม ๔๖๓,๘๐๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ต่ำกว่ากรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ เงินกู้ที่กระทรวงการคลังได้จัดหาเพื่อเป็นทุนหมุนเวียน ภายใต้กรอบวงเงินกู้ไม่เกิน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีหนี้คงค้างสำหรับโครงการฯ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นจำนวนรวม ๓๙๖,๗๕๖ ล้านบาท ยังคงเหลือกรอบวงเงินกู้ จำนวน ๑๓,๒๔๔ ล้านบาท (๔๑๐,๐๐๐-๓๙๖,๗๕๖ ล้านบาท) ๑.๒ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ใช้เงินทุนหมุนเวียนของ ธ.ก.ส. ภายใต้กรอบวงเงิน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ธ.ก.ส. ได้ใช้เงินทุนไปแล้ว สำหรับปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ จำนวนรวม ๓๗,๙๙๔ ล้านบาท และปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จำนวน ๒๙,๐๕๕ ล้านบาท คงเหลือวงเงินอีก จำนวน ๒๒,๙๕๑ ล้านบาท (๙๐,๐๐๐-๓๗,๙๙๔-๒๙,๐๕๕ ล้านบาท) ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเห็นควรให้มีการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เหมาะสม ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้นำเรื่องการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวไว้แล้ว กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และ ธ.ก.ส. สามารถดำเนินการโครงการฯ ต่อไปได้ตามแนวทางที่เคยปฏิบัติมาตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติ ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่ได้อนุมัติหรือเห็นชอบไว้ก่อนมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
|
|||||||||||||||||||||
1982 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) | พณ | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และการห้ามนำเข้าอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี รวมทั้งให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำกำจัดความของคำว่า “อาวุธและยุทโธปกรณ์” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้กำหนดให้รัฐสมาชิกที่จะจัดหา ซื้อขาย หรือขนย้ายอาวุธเล็กและอาวุธเบาไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี รวมทั้งธุรกรรมทางการเงิน การฝึกอบรม การให้คำแนะนำ การบริการ การให้ความช่วยเหลือ การผลิต และการบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องแจ้งให้คณะกรรมการคว่ำบาตรทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๕ วัน ซึ่งอาจมีผลเป็นการจำกัดสิทธิของไทยในทางปฏิบัติ เกินกว่าที่จำเป็นหรือที่มีผลผูกพันประเทศไทย โดยเฉพาะหากจะมีผู้ประกอบการไทยที่ประสงค์จะส่งออกหรือส่งผ่านอาวุธเล็กหรืออาวุธเบาไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีจะไม่อาจทำได้ภายใต้ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับใหม่นี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาหารือกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบในรายละเอียด และให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งรายละเอียดของร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทราบอย่างทั่วถึงโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1983 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - กัมพูชา" | สสป | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย-กัมพูชา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวนโยบายการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย-กัมพูชา แนวนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา แนวนโยบายการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา ได้แก่ ผลักดันให้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจกัมพูชา-ไทย (ฝั่งกัมพูชา) ให้สำเร็จ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อหลักกับสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (ฝั่งไทย) ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาแล้ว แนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนไทย-กัมพูชา และแนวนโยบายเพื่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยมีกัมพูชาเป็นฐานการผลิต
|
|||||||||||||||||||||
1984 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม 2556 | พณ | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ (เดือนกันยายน ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๑๖) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง หมวดผักและผลไม้ หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๐๕ จากการลดลงของหมวดน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๒ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล หมวดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
|||||||||||||||||||||
1985 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 3 | พณ | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างไทยกับสิงคโปร์ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ติดตามปัญหา/อุปสรรคทางการค้าและนำขึ้นหารือกับสิงคโปร์เพื่อหาแนวทางแก้ไข และสนับสนุนการดำเนินงานความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน ๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดแนวทางและกิจกรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเรือสำราญ และจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ๓. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ สานต่อความร่วมมือและประสานงานร่วมกับฝ่ายสิงคโปร์ คือ Agri-Food & Veterinary Authority (AVA) เพื่อการดำเนินการให้เกิดผลในเรื่องการอนุญาตให้โรงงานไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้น การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าไก่ปรุงสุกจากไทยเป็นสายการผลิต การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าสุกรแช่เย็นแช่แข็งจากไทย และการเข้ามาลงทุนเลี้ยงสุกรในไทยเพื่อส่งออกไปยังสิงคโปร์ ๔. ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำรายละเอียดขอบเขตความร่วมมือโครงการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ OTOP ของไทย เพื่อนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ และติดตามการดำเนินงานตาม MOU ๒ ฉบับ คือ MOU ระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) กับ Media Development Authority (MDA) ของสิงคโปร์ และ MOU ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ ๕. ความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้แก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ และการเข้ามาลงทุนของสิงคโปร์ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย ๖. ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำแผนดำเนินการเพื่อไปสู่การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Agreement : MRA) ด้าน Authorized Economic Operator (AEO) ระหว่างกรมศุลกากรไทยกับสิงคโปร์ให้แล้วเสร็จและการลงนาม MRA ภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม และติดตามการประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างผู้ประสานงานด้านศุลกากรของฝ่ายไทยกับสิงคโปร์ ๗. การจัดประชุม STEER ครั้งที่ ๔ ได้แก่ ประสานกับฝ่ายสิงคโปร์เพื่อกำหนดวันและสถานที่ และดำเนินการจัดการประชุม |
|||||||||||||||||||||
1986 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี | นร04 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของนายเซบัสเตียน ปิเญรา เอเชนีเก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางประมวลประเด็นที่ต้องติดตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรี ไทย-ชิลี ให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้ภาคเอกชนไทยได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงอย่างเต็มที่ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันดิอาโก ดำเนินการในสาธารณรัฐชิลีอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเรื่องการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนกับสาธารณรัฐชิลี ๓. ให้กระทรวงคมนาคมติดตามและเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศกับสาธารณรัฐชิลี ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีติดตามและเร่งรัดการจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างสถาบันดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสาธารณรัฐชิลี (CONICYT) ๕. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลง Work and Holiday กับสาธารณรัฐชิลี
|
|||||||||||||||||||||
1987 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี 2556/2557 | อก | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ในอัตรา ๙๐๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ ๙๖.๒๑ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ๙๓๕.๔๘ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๔ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน ๑.๒ ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เท่ากับ ๓๘๕.๗๑ บาทต่อตันอ้อย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคาอ้อยที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งควรเร่งหาข้อยุติเรื่องการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดอัตราการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลให้เกิดความเป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยมีการหารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1988 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในราชการ | พณ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักกระทรวงพาณิชย์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๑ คัน ระยะเวลา ๒ ปี ๑๑ เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖) ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (เดือนกันยายน ๒๕๕๙) อัตราค่าเช่าเดือนละ ๕๓,๖๔๐ บาท วงเงินทั้งสิ้น ๑,๘๗๗,๔๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๕๙๐,๐๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑,๒๘๗,๓๖๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพภาคการตลาด การค้า และการลงทุน งบดำเนินงาน ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามสัญญาเช่าต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
1989 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 9 | พณ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยในการประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ ในประเด็นเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation : TF) เกษตร (Agriculture) และการพัฒนา (Development) รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs issues) และให้ผู้แทนไทยพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. กรณีการใช้ดุลยพินิจของผู้แทนไทยจะต้องอยู่ในกรอบของพันธกรณีภายใต้กรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกและกรอบการเจรจาเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับองค์การการค้าโลกที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาไว้แล้ว ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่ที่ประชุมรัฐมนตรี ขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ จะริเริ่มการเจรจาภายใต้กรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกในประเด็นอื่นใดที่อยู่นอกกรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกและกรอบการเจรจาเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับองค์การการค้าโลก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา กระทรวงพาณิชย์จะต้องเสนอแก้ไขกรอบการเจรจาฯ ให้ครอบคลุมถึงประเด็นที่เพิ่มขึ้นและขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนที่จะดำเนินการเจรจาในเรื่องนั้น ๆ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันมาตรการรองรับผลกระทบไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งควรเร่งประชาสัมพันธ์และพัฒนาฐานข้อมูลให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงและนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับตัวให้สอดคล้องกับระเบียบข้อปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1990 | พิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน | อก | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement : ACIA) เพื่อระบุขั้นตอนการแก้รายการข้อสงวนไว้ชัดเจน โดยการเพิ่มเอกสารภาคผนวกเพื่อระบุขั้นตอนการแก้ไขรายการข้อสงวน เพื่อรองรับการแก้ไขรายการข้อสงวนใน ๓ กรณี คือ ๑.๑.๑ กรณีที่ ๑ การแก้ไขเพื่อเปิดเสรีเพิ่มเติมตามกำหนดใน AEC Blueprint ๑.๑.๒ กรณีที่ ๒ การแก้ไขเพื่อเพิ่มเติมมาตรการที่ตกหล่นให้ครบถ้วนตามกฎหมาย ภายในระยะเวลา ๑๒ เดือน นับจากวันที่ความตกลง ACIA มีผลใช้บังคับ (ภายใน ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖) ๑.๑.๓ กรณีที่ ๓ การแก้ไขให้มาตรการเข้มงวดขึ้นกว่าเดิมหลังความตกลง ACIA มีผลใช้บังคับครบ ๑๒ เดือน ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ และต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสารสำหรับพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน และแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อให้พิธีสารฯ มีผลใช้บังคับ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามความตกลงฯ โดยควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลความตกลงฯ ดังกล่าว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับภายในประเทศได้ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1991 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน 2556 | นร | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. การดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์ในการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) เป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกันเพื่อพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมและผลสำเร็จของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมต่อไป ๓. การดำเนินการตามนโยบายด้านการปฏิรูปการจัดการที่ดิน เป็นเรื่องสำคัญที่เป็นประเด็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศในการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ผลการดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร กรณีขอขยายเวลาโครงการรับจำนำข้าว ประจำปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ทัน
|
|||||||||||||||||||||
1992 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง พิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และข้อผูกพันเปิดตลาดการค้า บริการชุดที่ 9 ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ซึ่งมิได้แก้ไขเงื่อนไขทั่วไปในตารางข้อผูกพันบริการโทรคมนาคม ตามความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน) เนื่องจากการเพิ่มเติมเงื่อนไขข้อผูกพันดังกล่าวต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาเพื่อขอความยินยอมจากคณะกรรมการประสานงานด้านบริการอาเซียน และอาจส่งผลให้ไทยไม่สามารถลงนามพิธีสารฯ ได้ตามกำหนดเวลา รวมทั้งยังมีขั้นตอนการเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบสำหรับการลงนามดังกล่าว ซี่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ขัดข้องหากไม่มีการปรับปรุงข้อผูกพันบริการโทรคมนาคมภายใต้ข้อผูกพันชุดที่ ๙ ของไทยในกรอบอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้เสนอพิธีสารฯ ไปเพื่อขอความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๒. เห็นชอบความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับประเด็นการตีความเงื่อนไขทั่วไปข้อผูกพันบริการโทรคมนาคม ควรมีการหารือและซักซ้อมความเข้าใจระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1993 | รายงานผลการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Memorandum of Understanding between the Department of Intellectual Property, Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand, and the Department of Science and Technology, the General Administration of Quality Supervision, Inspection, and Quarantine of the People’s Republic of China on Cooperation in the Areas of Geographical Indications) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งราชอาณาจักไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ กับอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการแลกเปลี่ยนเอกสารทางไปรษณีย์ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นการลงนามในต้นฉบับคู่ ๓ ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษาจีน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันลงนามและฝ่ายจีนได้ส่งเอกสารการลงนามที่ครบถ้วนถึงกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งราชอาณาจักรไทย และกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ครอบคลุมความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ การจัดสัมมนา ฝึกอบรม โครงการนำร่องเพื่อคุ้มครองและจดทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GIs) ระหว่างกัน การเยี่ยมแหล่งผลิตสินค้า GIs การจัดแสดงสินค้า GIs การบริหารจัดการ การควบคุมและการตรวจสอบการจดทะเบียนสินค้า GIs และการจัดโครงการฝึกอบรมภาคธุรกิจ เป็นต้น มีผลเป็นระยะเวลา ๖ ปี และจะต่ออายุออกไปอีก ๒ ปี โดยอัตโนมัติจนกว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกโดยการบอกกล่าวเจตนาเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายเป็นระยะเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย ๒ เดือน
|
|||||||||||||||||||||
1994 | ขออนุมัติและสนับสนุนงบประมาณโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปนมที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี | กษ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมปศุสัตว์ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปนมที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๕๙,๙๙๒,๔๒๘.๓๐ บาท โดยให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนพัฒนากระบวนการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำนมโคให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร และการวางแผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลิตภัณฑ์นมไม่มีที่จำหน่าย จนกระทั่งจำเป็นต้องพึ่งพาตลาดนมโรงเรียน รวมทั้งในระยะยาวควรมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้โครงการฯ ดำเนินอยู่ได้ด้วยตนเอง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1995 | แถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ | กต | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ไทย-นิวซีแลนด์ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และการต่อยอดผลการเยือนนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งผลักดันความร่วมมือทวิภาคีในมิติด้านต่าง ๆ อาทิ การค้าและการเชื่อมโยงธุรกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแน่นแฟ้นตลอด ๕๗ ปี นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและนิวซีแลนด์ ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองแถลงข่าวร่วมฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามผลการเยือนนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง สรุปผลการเยือนนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี) รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงการต่างประเทศโดยด่วนด้วย |
|||||||||||||||||||||
1996 | การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุใต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | นร04 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประสบกับภัยพิบัติรุนแรงมากจากพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Haiyan) ซึ่งได้พัดขึ้นฝั่งทางตอนกลางของประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนเสียชีวิตและไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก สมควรที่ประเทศไทยจะให้การช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์เป็นการด่วนในฐานะมิตรประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อไป โดยอาจขอความร่วมมือจากภาคเอกชนร่วมดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1997 | การบังคับใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในสารัตถะของร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ หรือ Decision to Endorse the Amendment of Appendix 1 [Operational Certification Procedures (OCP) for Rules of Origin] ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง สำหรับร่างระเบียบปฏิบัติฯ มีวัตถุประสงค์อำนวยความสะดวกทางการค้ามากขึ้น โดยให้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญตามพันธกรณีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่ ๑.๑ การขยายอายุหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจาก ๖ เดือน เป็น ๑๒ เดือน ๑.๒ การอนุญาตให้ผู้ส่งออกสามารถออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าก่อนเวลาที่ส่งออกจากเดิมที่อนุญาตให้ออกใบรับรองได้เฉพาะเวลาที่ส่งออกหรือหลังส่งออก ๑.๓ การอนุญาตให้การแก้ไขใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ผิดพลาด โดยการขีดฆ่าข้อความที่ไม่ต้องการและเพิ่มเติมข้อความที่ถูกต้องหรือออกใบรับรองฉบับใหม่ จากเดิมที่ให้แก้ไขจากฉบับเดิมเท่านั้น ๑.๔ การอนุญาตให้ไม่ต้องระบุราคาสินค้าที่ส่งมอบ ณ ท่าเรือ (Free On Board : FOB) [ยกเว้นกรณีที่ใช้เกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content) ต้องระบุราคา FOB] จากเดิมที่ต้องระบุว่า FOB ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออกในกรณีที่ไม่ต้องการเปิดเผยราคาของผู้ขายหรือผู้ผลิต ๒. เห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศและกรมศุลกากรดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศภาคีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีว่า ไทยพร้อมที่จะดำเนินการบังคับใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่หลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินกระบวนการภายในแล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยทราบถึงระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฉบับใหม่ดังกล่าว เพื่อป้องกันปัญหาในทางปฏิบัติ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1998 | การลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในสารัตถะของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทยและภูฏาน (Trade Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Royal Government of Bhutan) โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ความร่วมมือด้านการค้า/การลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า การท่องเที่ยว การก่อสร้าง ด้านสุขภาพ/การรักษาพยาบาล การศึกษา ด้านพลังงาน ด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๑.๑.๒ การยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าที่นำเข้ามาชั่วคราวเพื่อใช้เป็นตัวอย่าง/สินค้าโฆษณาที่ไม่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ เครื่องมือ/ชิ้นส่วนสำหรับการประกอบและซ่อมแซม และสินค้าสำหรับแสดงในงานแสดงสินค้าซึ่งจะต้องส่งกลับไป (Re-export) โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของแต่ละภาคี ๑.๑.๓ การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) เพื่อทบทวนการดำเนินการตามความตกลงทางการค้าฉบับนี้ พิจารณาแนวทางขยายการค้าระหว่างกัน และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการค้าระหว่างกัน ๑.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการติดต่อทางธุรกิจระหว่างบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนและส่งเสริมการเปิดสาขาธุรกิจในแต่ละภาคี โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบภายในของแต่ละภาคี ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้ลงนามตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และเร่งสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนในรายละเอียดของความตกลงฯ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งติดตามประเมินผลเพื่อขยายไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1999 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ต่อต้านมาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionist measures) ขยายเวลาที่จะคง (standstill) การไม่นำมาตรการใหม่ ๆ ที่เป็นการปกป้องทางการค้ามาใช้จนถึงปี ๒๕๕๙ และเรียกร้องให้สมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) แสดงเจตจำนงทางการเมืองและความยืดหยุ่นเพื่อให้การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ (The 9th WTO Ministerial Conference : MC9) เมื่อวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย บรรลุผลสำเร็จ สนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA Expansion) ให้สามารถหาข้อสรุปได้ก่อน MC9 โดยได้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ น่าเชื่อถือ ปฏิบัติได้ และสมดุล ๑.๒ ยืนยันการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี ๒๕๕๘ และเห็นชอบการจัดตั้งเวทีหุ้นส่วนภาครัฐและเอกชนเรื่องสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม (APEC Public-Private Partnership on Environmental Goods and Services : PPEGS) เพื่อหารือประเด็นด้านการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้การส่งเสริมการค้าสินค้าที่สนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงโดยการพัฒนาชนบทและบรรเทาความยากจน นอกจากนี้ ต่อต้านและยกเลิกมาตรการที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนทางการค้า ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff measures : NTMs) และให้การรับรองแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสร้างงานและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน (APEC Best Practices to Create Jobs and Increase Competitiveness) เพื่อเสนอแนะนโยบายการสร้างงาน การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แทนการใช้มาตรการกำหนดเงื่อนไขให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ๑.๓ รับรองแผนงานด้านความเชื่อมโยงในกรอบเอเปค (APEC Framework on Connectivity) ประกอบด้วยความเชื่อมโยง ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านสถาบัน และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน และเพื่อบรรลุเป้าหมายปรับปรุงประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานของเอเปคให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๕๕๘ ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (APEC Trade and Investment Liberalization Sub-Fund on Supply Chain Connectivity) เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ๑.๔ ส่งเสริมบทบาทสตรีและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อการมีส่วนร่วมมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด ส่งเสริมความเป็นสากล ให้ความรู้เรื่องการเงิน และการคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางน้ำ พลังงาน และทางอาหาร โดยส่งเสริมความร่วมมือและนโยบายแบบบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ภายในเวลาที่กำหนด การดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค ให้รับฟังความเห็นจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชน รวมทั้งพิจารณามาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการเข้าถึงการค้าบริการ [APEC Services Trade Access Requirements (STAR) Database] ควรมีการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพ (Trade in Health Services) อย่างรอบคอบในทุกกรอบความร่วมมือ รวมทั้งท่าทีของประเทศไทยในการสนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA Expansion) เพื่อให้สามารถหาข้อสรุปได้ก่อนการประชุม MC9 อยู่บนฐานของความยืดหยุ่นและระดับการพัฒนาด้าน IT ที่แตกต่างกัน และไม่ควรมีผลกระทบต่อรายการสินค้าอ่อนไหวของความตกลงการค้าเสรีในกรอบอื่น ๆ ที่ได้ลงนามไปแล้ว รวมถึงต้องคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม IT ภายในประเทศ และการปฏิบัติได้จริงตามกระบวนการศุลกากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2000 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ รวม 6 ฉบับ | นร09 | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ รวม ๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดชื่อส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ตามร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ได้เปลี่ยนชื่อ “สำนักนโยบายและแผน” เป็น “กองยุทธศาสตร์และแผนงาน” ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ากระทรวงพาณิชย์) ยังคงใช้ชื่อ “สำนักนโยบายและแผน” (เดิม) จึงเห็นควรตรวจสอบการกำหนดชื่อส่วนราชการภายในของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ให้สอดคล้องกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....