ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 164 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 3261 - 3280 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3261 | สถานะล่าสุดและอนาคตของการเจรจารอบโดฮา | พณ | 06/03/2550 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานะล่าสุดและอนาคตของการเจรจารอบโดฮา โดย
กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ขณะนี้สมาชิกได้กลับมาเจรจารอบโดฮากันต่อแล้วโดยมุ่งที่จะให้มีข้อสรุปในประเด็นที่เป็น ปัญหาหลัก เช่น สูตรการลดภาษีสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม สูตรการลดการอุดหนุนภายในสินค้าเกษตร ขณะ เดียวกันประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจาเช่น สหรัฐ ฯ สหภาพ ฯ บราซิลและอินเดีย ก็หารือสองฝ่ายเพื่อหา ข้อสรุปในประเด็นละเอียดอ่อน เช่น เรื่องการปฏิบัติต่อสินค้าอ่อนไหวเพื่อช่วยเร่งให้การเจรจามีความคืบหน้าภาย ในเดือนเมษายน ศกนี้ อย่างไรก็ตามหากการเจรจาไม่มีความคืบหน้า ก็จะส่งผลให้การเจรจาต้องล่าช้าออกไปโดย ไม่มีกำหนด สำหรับผลกระทบต่อไทยหากการเจรจารอบโดฮายืดเยื้อออกไปหรือประสบความล้มเหลว ไทยอาจ จะต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันการค้าทั้งในรูปภาษีและมิใช้ภาษีในตลาดโลกต่อไป โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญ ของไทย เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ไก่ และน้ำตาล ซึ่งปัจจุบันนอกจากจะถูกจำกัดการนำเข้าด้วยปริมาณโควต้าแล้ว ยังถูกเรียกเก็บอัตราภาษีสูง นอกจากนั้น ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังคงให้การอุดหนุนภายในและการอุดหนุนส่งออก สินค้าเกษตรต่อไป แทนที่จะยกเลิกการอุดหนุนส่งออกไปภายในปี 2013 ตามที่ตกลงกันไว้
|
||||||||||||||||||||||||
3262 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน 12 คน (1. นายอำพล ไมตรีเวช ฯ) | พณ | 27/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ
สิทธิบัตร จำนวน 12 คน ประกอบด้วย นายอำพล ไมตรีเวช นายวีระศักดิ์ ว่องปรีชา นายกิตติ อมรรักษา นาย วิชา ธิติประเสริฐ นายสำเริง จักรใจ นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว นายพลาวุธ เชาวนโยธิน นายเย็นใจ เลาหวณิช นายฉัตรชัย บุญรัตน์ นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา นายสวราช สัจจมาร์ค และนายมิ่งพันธ์ ฉายาวิจิตรศิลป์ แทน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนด 2 ปี ตามวาระในวันที่ 31 มกราคม 2550 โดย ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (27 กุมภาพันธ์ 2550) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
3263 | การสรรหาและคัดเลือกเลขาธิการอาเซียนจากประเทศไทย | กต | 27/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินการสรรหาและคัดเลือก
เลขาธิการอาเซียนจากประเทศไทย โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกเลขาธิการอาเซียนจากประเทศ ไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่าง ๆ ที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านต่างประเทศ เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของอาเซียน จำนวน 6 ท่าน ดังนี้ (1) นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย อดีตเลขาธิการอาเซียน และอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (2) นายเตช บุนนาค ที่ปรึกษาราชเลขาธิการ และ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (3) ดร.สุทัศน์ เศรษฐบุญสร้าง Partner บริษัท Price Waterhouse Cooper อดีต รองเลขาธิการอาเซียน (ฝ่ายเศรษฐกิจ) (4) นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อดีตรองอธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (5) รศ.ดร.โคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ และ (6) รศ.ดร.กุสุมา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขาธิการสมาคมเพื่อความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิ ภาคเอเชีย-แปซิฟิก และที่ปรึกษาสถาบันความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
|
||||||||||||||||||||||||
3264 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล) | พณ | 27/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล เป็นผู้อำนวย
การองค์การคลังสินค้าตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบค่าตอบ แทนและสัญญาจ้างแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
3265 | การแต่งตั้งคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า และการปรับบทบาทภารกิจขององค์การคลังสินค้า จำนวน 7 ราย (1. นายสมพงษ์ วนาภาฯ) | พณ | 27/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้ อนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการ รองประธาน
กรรมการ และกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าชุดใหม่ ประกอบด้วย นายสมพงษ์ วนาภา เป็นประกรรมการ นายยรรยง พวงราช เป็นรองประธานกรรมการ นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ พลโท เสถียร เพิ่มทองอินทร์ นางสาววิไลพร ลิ่วเกษมศานต์ นายนิพนธ์ พัวพงศกร และนายสมจินต์ สันถวรักษ์ เป็นกรรมการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (27 กุมภาพันธ์ 2550) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
3266 | การจำหน่ายน้ำตาลทรายดิบในราคาส่งออกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย | อก | 27/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการจำหน่ายและกำหนดราคาน้ำตาลทรายดิบให้แก่บริษัท พูแรค (ประเทศไทย) จำกัด หรือบริษัทอื่น ๆ ที่ประสงค์จะใช้น้ำตาลทรายดิบเป็นวัตถุดิบในการผลิต โดยให้รวมถึงกิจการเลี้ยงผึ้งด้วย ให้ จัดอยู่ในโควตา ค.สำหรับการกำหนดราคาน้ำตาลที่นำมาคิดคำนวณเป็นรายได้ของระบบให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลกำหนด โดยรับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับรายได้จากการขายน้ำตาล ทรายดิบต้องนำมาคำนวณราคาอ้อยและใช้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่เคยปฏิบัติ และต้องถือปฏิบัติกับบริษัทเช่นเดียวกับ กลุ่มผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกที่สามารถซื้อน้ำตาลทรายขาวในประเทศได้ในโควตา ค. เฉพาะส่วนที่ใช้ในการผลิต สินค้าและส่งออกเท่านั้น หากบริษัท ฯ ผลิตกรดแลคติคและจำหน่ายในประเทศด้วย ก็จะต้องพิจารณากำหนดราคา น้ำตาลทรายดิบในส่วนนี้ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องไม่ตั้งเงื่อนไขอื่น ๆ ที่จะเป็นอุปสรรคในการนำเข้าสินค้าอัน เป็นการลดการแข่งขัน เช่น การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น เพื่อให้การตั้งโรงงานผลิตกรดแลคติคในประเทศ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้กรดแลคติคซึ่งเดิมเคยพึ่งพาการนำเข้าทั้งหมด และความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกรณีการอนุมัติให้จำหน่ายน้ำตาลทรายดิบในราคาส่งออกให้กับกิจการ ที่ใช้น้ำตาลทรายดิบเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะส่งผลให้ความต้องการน้ำตาลทรายดิบในประเทศ สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายเพื่อการบริโภคได้ จึงมอบหมายให้กระทรวง อุตสาหกรรมดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการจำหน่ายน้ำตาลทรายดิบในราคาส่งออก รวมทั้ง ระบบกำกับตรวจสอบและรายงานผลที่ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้กระทบต่อระดับราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศไป พิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3267 | การยกเลิกการค้าต่างตอบแทนและการค้าแบบแลกเปลี่ยน | พณ | 27/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเกี่ยวกับการยกเลิกการค้าต่างตอบแทน โดยยกเลิก
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการการค้าต่างตอบแทน พ.ศ. 2547 รวมทั้งยก เลิกการค้าแบบแลกเปลี่ยน โดยยกเลิกและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการค้าแบบแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2549 โดยในส่วนของการค้าแบบแลกเปลี่ยนที่มีข้อผูกพันตามมติคณะรัฐมนตรีที่ออกไว้ก่อนหน้านี้ให้ปฏิบัติต่อไป เว้นแต่ คณะรัฐมนตรีจะมีมติเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น สำหรับสัญญาการซื้อตอบแทนและการค้าแบบแลกเปลี่ยน ที่ได้มี การลงนามไปแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปจนเสร็จสิ้น และในกรณีที่จะต้องนำเอาวิธีการซื้อขายแบบการค้าต่างตอบ แทน หรือการค้าแบบแลกเปลี่ยนมาใช้ในการบริหารจัดการสินค้าในสต๊อกรัฐบาล ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ การยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการค้าแบบแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2549 มอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรียกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ แล้วส่งให้คณะ กรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
3268 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ | พณ | 20/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 เกี่ยวกับการลงนามความตกลง/ข้อตกลง/พิธีสารต่าง ๆ ที่ลงนามโดยรัฐมนตรี เศรษฐกิจอาเซียน และผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ โดยในส่วนของการลงนาม ความตกลง/ข้อตกลง/พิธีสารต่าง ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามความตกลง/ข้อ ตกลง/พิธีสารรวม 6 ฉบับ ได้แก่ กรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียน (ฉบับแก้ไข) พิธี สารว่าด้วยการรวมกลุ่มรายสาขาของอาเซียน (ฉบับแก้ไข) พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 5 ภายใต้กรอบความ ตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน ข้อตกลงการยอมรับร่วมสาขาวิชาชีพการพยาบาลของอาเซียน พิธีสาร ฉบับที่สองเพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและจีน และพิธีสารเพื่อ แก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าระหว่างอาเซียนและจีน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 ซึ่งจัด ขึ้นที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2549 และการลงนามความตกลงว่าด้วยการค้า บริการระหว่างอาเซียนและจีน สำหรับผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ที่ประชุม ได้ให้ความเห็นชอบการจัดทำแผนงานเพื่อเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ภายใน ปี ค.ศ. 2015 รวมทั้งการหารือระหว่างประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย และการหารือทวิ ภาคีระหว่างรัฐมนตรีการค้าของ 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินเดีย และออสเตรเลีย
|
||||||||||||||||||||||||
3269 | ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัย พ.ศ. .... (การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัย พ.ศ. ....) | พณ | 20/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติสำนักงานคณะ
กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยสำนักงานคณะ กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัย เพื่อรองรับบทบาทและภารกิจของหน่วยงานที่กำกับดูแลธุรกิจ ประกันภัยที่ปรับเปลี่ยนให้มีการบริหารที่มีความเป็นอิสระ มีความยืดหยุ่น และคล่องตัว มีโครงสร้างการ บริหารงานที่เหมาะสมและชัดเจน และเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่ เป็นมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ โดยมีการบริหารงานในรูปของคณะกรรมการซึ่ง มีกระบวนการสรรหาคณะกรรมการเช่นเดียวกับหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินประเภทอื่น และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับรูปแบบและ กระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัยที่เป็นไปตามหลักการสากล มี ความเป็นกลาง และสามารถดำเนินการด้วยความโปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งอาจใช้เป็นแนวทาง สำหรับการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลในกิจการอื่นในอนาคตได้ และควรคำนึงถึงทิศทางของรัฐธรรมนูญฉบับ ใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยกร่าง ตลอดจนบทบาทขององค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น วุฒิสภา เป็นต้น แล้วส่ง คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3270 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | นร | 20/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมแผนความร่วมมือ
ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิป ไตยประชาชนลาว ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 ธันวาคม 2549 ณ นครหลวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิป ไตยประชาชนลาว โดยสาระสำคัญของการประชุมทั้งสองฝ่ายได้หารือและตกลงร่วมกันในการจัดทำเป้าหมาย การค้า โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าสองฝ่ายเป็น 2 เท่า และเพิ่มมูลค่าการส่งออกจาก สปป.ลาว มายังไทยเป็น 3 เท่า ภายในปี พ.ศ. 2553 และจะร่วมมือกันผลักดันการอำนวยความสะดวกและทำให้เกิดความร่วมมือในการ ลงทุนด้านต่าง ๆ ได้แก่ โครงการ Contract Farming และการตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตร และการพัฒนาพื้น ที่เพื่อการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวันเซโน พัฒนาเมืองอุดมไชย และบนเส้นทางหมายเลข 9 จากสะพาน มิตรภาพ 2 เข้าไปในแขวงสะหวันนะเขต รวมทั้งผลักดันการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการขนส่งผ่านแดนและข้าม แดน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านศุลกากรเพื่อความคล่องตัวในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านต่าง ๆ อาทิ การเจรจาการค้าระหว่าง ประเทศ กฎหมายการแข่งขันการค้า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค การจัดเก็บข้อมูลสถิติการค้า การจัดฝึกอบรม ให้ความรู้และจัดหาคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนการจัดตั้ง Single Stop Inspection โดยให้ความสำคัญแก่ด่านที่มี ปริมาณการค้าสูง เช่น ด่านสะหวัน แขวงสะหวันนะเขต ด่านปากห้วย เมืองแก่นท้าว เป็นต้น การพัฒนาสินค้า OTOP ของ สปป.ลาว อย่างครบวงจร และสนับสนุนให้ลาวเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย และ จัดงานแสดงสินค้าชายแดนของกลุ่ม 11 จังหวัดและ 9 แขวงที่มีชายแดนติดต่อกัน ตลอดจนศึกษาความเป็น ไปได้ในการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าตามความพร้อมของงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมแผนความร่วมมือดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
3271 | ข้อเสนอแนะการดำเนินนโยบายกรอบ BIMSTEC | กต | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอเกี่ยวกับข้อเสนอแนะการดำเนินนโยบาย
กรอบ BIMSTEC สำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า และให้เร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป โดยรับความ เห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดสาขาความร่วมมือควรพิจารณาให้มีจำนวนสาขาที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป โดยให้ความสำคัญ เฉพาะสาขาที่มีความสำคัญสูง และมีการบูรณาการผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมในระหว่างสาขา ได้แก่ เกษตร ประมง คมนาคม และพลังงาน เป็นต้น โดยเป้าหมายความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค คือ การลดความยากจน และ เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ที่เอื้อต่อการพัฒนาในกรอบ BIMSTEC มีความแตกต่างกับในกรอบ GMS ที่เห็นได้ชัด คือ การพัฒนาเส้นทางถนนใน GMS ที่เห็นผลเป็นรูปธรรมได้เร็วและชัดเจนกว่า เนื่องจากเป็นพื้นที่ Iand-to-land ประกอบกับมีแหล่งทุนสนับสนุนที่ชัดเจน ในขณะที่ภายใต้กรอบ BIMSTEC การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบก ได้แก่ ไทย-พม่า-อินเดีย และไทย-พม่า-บังคลาเทศ ค่อนข้างเห็นผลเป็นรูปธรรมยาก และแหล่งทุนสนับสนุนไม่ เพียงพอ ดังนั้น ความร่วมมือสาขาคมนาคม จึงควรให้ความสำคัญและเร่งรัดการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ทางอากาศ และทางทะเลด้วย โดยเฉพาะในส่วนของไทย ควรเร่งรัดการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามันเพื่อเชื่อม ระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับเอเชียใต้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การใช้คำว่า "...การค้าเสรี" อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จึงให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาถ้อยคำใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นและควรชี้แจงทำความเข้า ใจกับประชาชนผู้สนใจกลุ่มต่าง ๆ ตามความเหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3272 | การขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจ | พน | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอให้การไฟฟ้าฝายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ดำเนินการประกวดราคาในโครงการที่กระทำไปในช่วงก่อนมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนการ แปรสภาพ กฟผ. ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามประกาศและมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการการค้าต่างตอบแทน พ.ศ. 2547 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2529 เรื่อง การสนับสนุนใช้บริการของบริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2544 เรื่อง หลักเกณฑ์การใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
3273 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายอิษฎ์ อะยะวงศ์) | พณ | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายอิษฎ์ อะยะวงศ์ เป็นผู้ช่วยเลขา
นุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
3274 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. .... | กค | 13/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มีมติเห็น
ชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการ เดินทางไปราชการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ โดยนำ หลักเกณฑ์ตามระเบียบและหนังสือสั่งการต่าง ๆ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการมารวมไว้เป็นฉบับ เดียวกัน และปรับปรุงแก้ไข หลักเกณฑ์ และอัตราการเบิกจ่ายให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน เพื่อความสะดวก คล่องตัว เอื้อประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของส่วนราชการในการศึกษาอ้างอิงและลดขั้นตอนเอกสารที่ไม่จำเป็น และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยเพิ่ม อัตราค่าเบี้ยเลี้ยงการเดินทางสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งระดับ 1-2 เป็น 180 บาท/วัน และผู้ดำรงตำแหน่งระดับ 3-8 ให้เพิ่มเป็น 200 บาท/วัน และให้แก้ไขตำแหน่งของผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าที่พักเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น และเหมาะสม ในบัญชีหมายเลข 12 ของร่างข้อ 6 เนื่องจากมีการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ ทำให้บาง ตำแหน่งถูกยกเลิก และบางตำแหน่งสามารถเบิกจ่ายได้จากกฎหมายฉบับอื่น จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องและเป็น ปัจจุบัน รวมทั้งแก้ไขคำว่า "รายคณะ" ในร่างข้อ 19 เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าครองชีพเพื่อให้สามารถเบิกจ่าย ได้ในกรณีที่มีการเดินทางไปราชการคนเดียว แต่การจะใช้คำใดแทน ให้พิจารณาในชั้นการตรวจพิจารณาร่าง ระเบียบ ฯ ตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ สำหรับประเด็นที่ให้พิจารณาทบทวนอัตราค่า เช่าที่พักในต่างประเทศ ในบัญชีหมายเลข 7 ในประเภท ข และ ค ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปหารือกับกระทรวง การต่างประเทศเพื่อให้ได้ข้อยุติ และแจ้งให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะ รัฐมนตรีทราบโดยเร็วเพื่อจะได้ปรับปรุงตามข้อยุติดังกล่าว แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ การเสนอร่างระเบียบ กระทรวงการคลัง ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21(2) ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ให้กระทรวงการคลังดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สอดคล้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3275 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการยื่นคำขอทบทวนความจำเป็นในการต่ออายุการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. .... | พณ | 06/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และระยะเวลาในการยื่นคำขอทบทวนความจำเป็นในการต่ออายุการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุด หนุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการยื่นคำขอให้มีการเรียกเก็บอากร ตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไปของบุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งทำการแทนอุตสาหกรรมภายใน โดยให้ยื่นคำขอพร้อมทั้ง เอกสารหลักฐานล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนระยะเวลาการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดจะสิ้นสุดลง แต่ต้องไม่ยื่นล่วงหน้าเกิน 8 เดือน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อ ไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
3276 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. .... | พณ | 06/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มีมติอนุมัติ
หลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น และส่งสำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประเด็นอภิปรายของคณะกรรม การกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า มาตรการปกป้อง (Safeguards) ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ใช้กับสินค้าทั่วไป และต้องมีกระบวนการไต่สวนและพิสูจน์ความเสียหาย ซึ่งใช้เวลาและมีขั้นตอนมาก จึงไม่ควรนำข้อกำหนดปกป้อง พิเศษมารวมไว้ในร่างพระราชบัญญัติ ฯ นี้ นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ เงื่อนไข และการบังคับใช้มาตรการตอบโต้การ ทุ่มตลาด (AD) และการอุดหนุน (CVD) และมาตรการปกป้อง (safeguards) แตกต่างกัน กรณีการใช้มาตร การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน เป็นการกำหนดอากรนำเข้าในอัตราเฉพาะราย มีผลเฉพาะประเทศและ บริษัทที่ทุ่มตลาดหรือที่ให้การอุดหนุน แต่มาตรการปกป้องเป็นมาตรการฉุกเฉินเพื่อลดผลกระทบของการทะลัก เข้าของสินค้าโดยพิจารณาปริมาณนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก หากนำมารวมในพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันอาจทำ ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป และให้รับความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่เห็นว่า การกำหนดให้มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรม การต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ และเกี่ยวข้องกับความตกลงระหว่าง ประเทศหลายฉบับ ควรมีการประสานงานกับสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า ระหว่างประเทศทราบล่วงหน้าเพื่อจะได้วางแผนด้านบุคลากร ให้มีความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญใน การดำเนินคดีที่จะเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
3277 | รายงานสถานการณ์ข้าว และผลการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2549/50 | พณ | 06/02/2550 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ข้าวและผลการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี
ปีการผลิต 2549/50 ของเดือนมกราคม 2550 ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ ราคาข้าวเปลือกทุกชนิดมี แนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันในปีที่ผ่านและเดือนที่แล้วเนื่องจากตลาดมีความต้องการเพิ่มขึ้น ขณะที่ ผลผลิตข้าวเปลือกนาปีออกสู่ตลาดเกือบหมดแล้ว และการกำหนดราคารับจำนำปีนี้ใกล้เคียงราคาตลาด มีผล ให้ตลาดมีการแข่งขันซื้อขายเพิ่มขึ้น ราคาข้าวสาร ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ข้าวสารเหนียว 10% เมล็ดยาว และข้าวนึ่ง 100% ราคาสูงขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ข้าวขาว 100% ชั้น 2 และข้าวขาว 5% ราคาปรับลดลง ส่วน ราคาส่งออก F.O.B. ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ข้าวขาว 100% ชั้น 2 ข้าวขาว 5% และข้าวสารเหนียว 10% เมล็ดยาว ราคาส่งออก F.O.B. ปรับตัวสูงขึ้นตันละ $2-36 ข้าวนึ่ง 100% ปรับลดลงตันละ $1 ในขณะที่ราคา F.O.B. ข้าวขาว 5% ของเวียดนามทรงตัวที่ตันละ $293 และต่ำกว่าข้าวขาว 5% ของไทยอยู่ตันละ $20 ด้านการ ส่งออก ตั้งแต่ 1 มกราคม-17 มกราคม 2550 ส่งออกแล้ว จำนวน 0.230 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็นร้อยละ 0.03 ของเป้าหมายการส่งออกที่กำหนดไว้ 8.50 ล้านตันข้าวสาร สำหรับผลการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2549/ 50 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549-25 มกราคม 2550 มีโรงสีเปิดจุดรับจำนำ 416 โรง ปริมาณรับจำนำข้าว เปลือก รวมจำนวน 1,439,119 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548/49 ซึ่งมีโรงสีเปิดรับจำนำ 634 โรง ปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก จำนวน 4,202,686 ตัน โดยลดลง 2,763,567 ตัน หรือลดลงร้อยละ 66
|
||||||||||||||||||||||||
3278 | ขอรายงานการส่งออกข้าวของไทยในปี 2549 และแนวโน้มปี 2550 | พณ | 06/02/2550 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการส่งออกข้าวในปี พ.ศ. 2549 และแนวโน้มปี พ.ศ. 2550
ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ การส่งออกข้าว ในปี พ.ศ. 2549 มีปริมาณ 7.415 ล้านตัน มูลค่า 2,552 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (97,307.2 ล้านบาท) ราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 344 เหรียญสหรัฐ ฯ (13,123 บาท) โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ จีน อิหร่าน อิรัก เบนิน โกตดิวัวร์ แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และเซเนกัล ส่วนชนิดข้าว จำแนกการส่งออกและตลาดสำคัญตามชนิดข้าวได้ดังนี้ ข้าวหอมมะลิไทย ปริมาณ การส่งออก 2.572 ล้านตัน มูลค่า 1,056.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (40,122.9 ล้านบาท) โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ ข้าวขาว ปริมาณการส่งออก 2.539 ล้านตัน มูลค่า 798.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (30,534.2 ล้านบาท) โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ อิหร่าน อิรัก จีน และมาเลเซีย ข้าวนึ่ง ปริมาณการส่งออก 1.662 ล้านตัน มูลค่า 506.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (19,229.8 ล้านบาท) ตลาด หลัก ได้แก่ เบนิน แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย และเยเมน และข้าวชนิดอื่น ๆ อาทิ ข้าวเหนียว ข้าวกล้อง เป็นต้น ปริมาณการส่งออก 0.642 ล้านตัน มูลค่า 190.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ (7,420.3 ล้านบาท) ทั้งนี้ ราคาข้าว ส่งออกทุกชนิดสูงกว่าปี พ.ศ. 2548 โดยข้าวหอมมะลิไทย 100% ชั้น 2 และข้าวขาว 100% ชั้น 2 มีราคาส่ง ออกเฉลี่ยตันละ 504 และ 315 เหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 และ 5.7 ในขณะที่ข้าวเหนียว 10% และ ข้าวนึ่ง 100% ชั้น 2 มีราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 421 และ 306 เหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 และ 5.2 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกในปี พ.ศ. 2550 กระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันส่งเสริมการส่งออกข้าวภาคเอก ชนและภาครัฐบาล โดยจัดทำแผนการตลาดซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์และขยายตลาดข้าวไทยใน ต่างประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ปริมาณ 8.5 ล้านตัน มูลค่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งสูงกว่าปี พ.ศ. 2549 ร้อยละ 14.9 และร้อยละ 1.9 ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||
3279 | การลงนามความตกลงทางการค้าไทย - อิสราเอล | พณ | 06/02/2550 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้ เห็นชอบความตกลงทางการค้าไทย-อิสราเอล และ
อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์สามารถปรับปรุงถ้อยคำในร่างความตกลง ฯ โดยไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของ ร่างความตกลง ฯ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามความตกลง ฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร ไทย ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประสานหารือกับกระทรวงการต่างประเทศก่อนดำเนินการต่อไป ด้วยว่า สมควรจะแก้ไขร่างความตกลงในข้อ 4 จากเดิมที่ใช้คำว่า "... ที่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยเสรี ..." เป็น "... ที่สามารถใช้ได้โดยเสรี ..." และใน ARTICLE 4 จากเดิมที่ใช้คำว่า "... freely convertible currencies, ... เป็น " ... freely usable currencies, ..." หรือไม่ |
||||||||||||||||||||||||
3280 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ เดือนมกราคม 2550 | พณ | 06/02/2550 | |||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้
บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม 2550 ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ของประเทศเดือนมกราคม 2550 เท่ากับ 115.0 เปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2549 (115.3) ลดลงร้อย ละ 0.3 โดยดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 0.3 จากการลดลงของดัชนีราคาเนื้อสุกร ร้อยละ 7.1 ดัชนีหมวดผักลดลงร้อยละ 2.1 และดัชนีราคาไก่สดราคาลดลงร้อยละ 1.1 รวมทั้งดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่ อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 0.2 จากการลดลงของดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงร้อยละ 2.3 สำหรับ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม 2550 เท่ากับ 105.1 เทียบกับเดือนธันวาคม 2549 สูงขึ้นร้อยละ 0.1 และเดือนมกราคม 2549 สูงขึ้นร้อยละ 1.6
|
.....