สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 10  เดือนแรกของ
ปี พ.ศ. 2549 (มกราคม-ตุลาคม 2549) ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ การส่งออกในระยะ 10 เดือนแรก
ของปี พ.ศ. 2549  มีมูลค่า 107,117.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ  เพิ่มขึ้นจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อย
ละ 16.8 และคิดเป็นร้อยละ 82.2 ของเป้าหมายการส่งออก  เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในสินค้าเกษตร/อุตสาห
กรรมการเกษตรร้อยละ 19.4  สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 13.7  และสินค้าอื่น ๆ ร้อยละ  26.5  ตลาดส่งออก
สำคัญ ประกอบด้วย ตลาดใหม่ ได้แก่ ลาตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง  อินโดจีนและพม่า  ออส
เตรเลีย ไต้หวัน จีน แคนาดา เกาหลีใต้ และอินเดีย และตลาดหลัก  ได้แก่  สหรัฐ ฯ  สหภาพยุโรป  ญี่ปุ่น  และ
อาเซียน  สำหรับการนำเข้าในระยะ 10 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2549  มีมูลค่า  106,670  ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ
เทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ  7.9  โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น  ได้แก่  สินค้าเชื้อ
เพลิง สินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่
สินค้ายานพาหนะ/อุปกรณ์ขนส่ง  และสินค้าอาวุธยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น ๆ  ในส่วนของดุลการค้าเดือนตุลา
คม 2549  ไทยเกินดุลการค้า 810.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ  ส่งผลให้ดุลการค้าระยะ 10 เดือนแรก  ไทยเกินดุล
การค้ารวม 447.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ขาดดุลสูงถึง  7,136.6  ล้านเหรียญ
สหรัฐ ฯ

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้ เห็นชอบร่างบันทึกแนบท้ายบันทึกความเข้าใจ
ระหว่างคณะกรรมาธิการประชาคมยุโรปกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อขยายระยะเวลาสิ้นสุดการมีผล
บังคับใช้โครงการความร่วมมือด้านสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประชาคมยุโรป-อาเซียน (EC-ASEAN
Intellectual Property Rights Cooperation Programme : ECAP II) จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549  ไป
จนถึงวันที่  31  ธันวาคม  2550 เป็นครั้งที่ 3 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามฝ่าย
ไทยและมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม  (Full  Powers)  ให้แก่รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงพาณิชย์ในการลงนามร่างบันทึกแนบท้ายบันทึกความเข้าใจดังกล่าว

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหาร
สัตว์ ปี 2550  (กากถั่วเหลือง  ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  และปลาป่น)  ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่
2/2549 วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 และให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ออกประกาศลด/ยกเว้นอากร
นำเข้าของวัตถุดิบอาหารสัตว์ดังกล่าว โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์ข้าวและผลการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการ
ผลิต 2549/50  ของกระทรวงพาณิชย์  สรุปได้ดังนี้  สถานการณ์ข้าวเปลือกและข้าวสาร  ราคาข้าวเปลือกหอม
มะลิราคาตันละ 8,500-8,700 บาท ข้าวเปลือกเหนียวราคาตันละ 10,800-11,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 5%
ราคาตันละ 6,000-6,300 บาท  และข้าวเปลือกปทุมธานีราคาตันละ 6,100-6,600 บาท  สำหรับผลการรับ
จำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2549/50 ตั้งแต่วันที่ 1-26 พฤศจิกายน 2549  มีโรงสีสมัครเข้าร่วมโครงการ จำนวน
603 โรง เปิดจุดรับจำนำ  162  โรง  มีผลรับจำนำข้าวเปลือกในจังหวัดภาคเหนือและภาคกลาง รวม 138,425
ตัน  ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวของเกษตรกรยังไม่มีผลการรับจำนำ   ในส่วนของแนวโน้ม
ราคา คาดว่าราคาข้าวเปลือกเจ้ามีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากภาครัฐได้ดำเนินมาตรการรับจำนำข้าวเปลือกส่งผล
ให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับตลาดต่างประเทศยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคา
ผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน 2549 ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค
ทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 2549  เท่ากับ 115.4  เปรียบเทียบกับเดือนตุลาคม 2549 (115.5)  ลดลงร้อยละ
0.1 โดยดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.2 จากการลดลงของดัชนีราคาผักสดร้อยละ 1.8 ผล
ไม้ร้อยละ 2.7  และจากการลดลงของดัชนีราคาเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ร้อยละ  0.2  นมและผลิตภัณฑ์นม
ร้อยละ 0.2 และน้ำมันพืชร้อยละ 0.5  ในขณะที่ราคาอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเหนียว ไก่สด และ
ไข่ไก่  และดัชนีหมวดอื่น  ๆ  ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.1  จากการลดลงของดัชนีราคาน้ำมัน
เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยลดลงร้อยละ 0.7 เครื่องรับอุปกรณ์สื่อสารร้อยละ 0.2  และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ร้อยละ
0.1  สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน 2549 เท่ากับ 105.0  เทียบกับเดือน
ตุลาคม 2549 โดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง และเดือนพฤศจิกายน 2548 สูงขึ้นร้อยละ 1.7

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอโครงการเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550 รวม 4 โครงการ  โดยใช้
งบประมาณของกระทรวงพาณิชย์  ได้แก่  โครงการประกวดผลงานสิทธิบัตรการประดิษฐ์เพื่อเทิดพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะทรงเป็น "พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย"  โครงการ UN  Conference
on Sustainable Economy โครงการ Thailand  Rice  Convention  2007  และโครงการทำบุญ  พัฒนาจิตใจ
เพื่อพ่อหลวง

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค  ครั้งที่ 18
ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2549 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม  โดยมีรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุม สำหรับการประชุมรัฐมนตรีเอเปคในครั้งนี้ได้มีการหารือเรื่องต่าง ๆ ได้แก่
การเจรจารอบโดฮาภายใต้องค์การการค้าโลก   โดยที่ประชุมเห็นพ้องกันที่จะช่วยผลักดันการเจรจาดังกล่าวให้
กับฟื้นขึ้นมา และมีความคืบหน้าต่อไป  โดยมอบให้ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลกนำสมาชิกกลับมาเจรจากัน
ต่อ  ขณะที่สหรัฐ ฯ และสมาชิกอีกหลายประเทศเสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรี-แปซิฟิค  (Free Trade Area
of the Asia-Pacific: FTAAP)  เพื่อสนองตอบท่าทีเรียกร้องของภาคเอกชนที่ต้องการให้เอเปคจัดทำ FTAAP เพื่อ
อำนวยความสะดวกทางการค้าและลดต้นทุนการทำธุรกิจ  นอกจากนี้  ที่ประชุมยังได้รับรอง  model measures
จำนวน 6 เรื่องจากทั้งหมด 14 เรื่อง เพื่อใช้เป็นต้นแบบสำหรับการจัดทำ RTAs/FTAs ของสมาชิก ประกอบด้วย
Trade in goods; Technical Barriers to Trade; Government Procurement, Dispute Settlement; Transparency
และ Cooperation  และระหว่างการประชุม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้หารือทวิภาคีกับสมาชิก
เอเปค 6 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน ออสเตรเลีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน และอินโดนีเซีย อาทิ การหารือกับ
เปรูเกี่ยวกับการลงนามพิธีสารเพิ่มเติมเรื่อง กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดของสินค้าภายใต้ความตกลง  Early  Harvest
เพื่อให้ความตกลงการค้าสินค้าซึ่งทั้งสองฝ่ายลงนามเมื่อปลายปี พ.ศ. 2548 มีผลในทางปฏิบัติ  และการหารือ
กับจีนในเรื่อง การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมไทย-ลาว คุนหมิง  ซึ่งผลการหารือจีนจะรับผิดชอบในส่วนที่
สร้างในแผ่นดินลาว และขอให้ไทยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนที่สร้างในแผ่นดินไทย เป็นต้น

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงพาณิชย์
โดยในส่วนของการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้จัดทำถุงยังชีพซึ่งประกอบด้วย อาหารกระป๋อง น้ำตาล
ทราย  ยารักษาโรค  น้ำดื่ม  ฯลฯ  ไปมอบให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย และมอบข้าวสารบรรจุถุง โดย
ผ่านให้กับจังหวัดที่ประสบอุทกภัยเพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัด รวมทั้งได้ติดตามตรวจ
สอบราคาสินค้าในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า สำหรับการช่วยเหลือ
ภายหลังน้ำลด  กระทรวงพาณิชย์มีแผนเข้าฟื้นฟูภาวะความเป็นอยู่ของประชาชน  โดยจัด  Mobile  Unit  ออกให้
บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย  โดยจะเริ่มดำเนินการร่วมกับจังหวัดต่าง  ๆ   ซึ่งครั้ง
แรก  ณ  จังหวัดอ่างทอง  ส่วนการช่วยเหลือด้านภัยหนาว ได้กำหนดแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว โดยจัดหา
ผ้าห่มและเสื้อกันหนาวเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงเดือน
ธันวาคม 2549-มกราคม 2550 โดยจะประสานงานกับจังหวัดในพื้นที่ประสบภัยหนาวต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอร่างพระ
ราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการประกอบธุรกิจให้บริการออกใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ  ให้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการประกอบธุรกิจให้บริการออก
ใบรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความ
เห็นและข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ในบางประเด็นอาทิ ร่างมาตรา 6(2)  และมาตรา 7(2)  มีการกำหนด
ให้แจ้งชื่อผู้สอบบัญชี  แต่ในกรณีหน่วยงานราชการเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอเล็กทรอ
นิกส์จะไม่มีชื่อผู้สอบบัญชี ควรกำหนดข้อยกเว้นไว้สำหรับหน่วยงานภาครัฐในการแจ้งชื่อผู้สอบบัญชี  ส่วนร่าง
มาตรา 8(2) ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจัดให้มีหลักประกันความรับผิดสำหรับความสูญ
หาย ฯ เช่น สิ่งใดที่จะใช้เป็นหลักประกันได้ ใครเป็นผู้ดูแลรักษาหลักประกันหรือจะให้ผู้ประกอบการเป็นผู้ดูแล
รักษาหลักประกันไว้เอง  และกรณีผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเลิกและชำระบัญชี
แล้วต้องจัดให้มีหลักประกันเพื่อความเสียหายอีกหรือไม่ เป็นต้น  และร่างมาตรา 34 กรณีการควบ  รวม  หรือ
เลิกกิจการ ตามมาตรา 34  ควรบัญญัติให้ชัดเจนว่าประสงค์จะให้หมายถึงการควบ รวม หรือเลิกกิจการเฉพาะ
ธุรกิจให้บริการออกใบรับรอง  หรือเป็นการควบ  รวม  หรือเลิกกิจการทั้งหมด  ซึ่งมีผลต่อสภาพความเป็นนิติ
บุคคลตามกฎหมายด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายก
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ตามมาตรา 42  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534  โดยครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ด้วย ทังนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายก
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีที่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ตามมาตรา 42  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534  โดยครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ด้วย ทังนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้
บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม 2549 ของกระทรวงพาณิชย์  สรุปได้ดังนี้  ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป
เดือนตุลาคม 2549  เท่ากับ 115.5  เปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2549 (115.0) สูงขึ้นร้อยละ 0.4  โดย
ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 2.4  จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดผักสด  เนื่องจากสถานการณ์
น้ำท่วม  นอกจากนี้ ดัชนีราคาข้าวสารเหนียวยังคงสูงขึ้นร้อยละ 3.7  ไก่สดสูงขึ้นร้อยละ 1.7  และผลไม้ราคา
สูงขึ้นร้อยละ 0.6 ในขณะที่เนื้อหมูและไข่ไก่ราคาลดลง  ส่วนดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง
ร้อยละ  0.7  จากการลดลงของดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ 5.4  โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดเฉลี่ย
ลดลง 30 สตางค์ต่อลิตร รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารและเครื่องใช้ไฟฟ้ามีราคาลดลง สำหรับค่ากระแสไฟฟ้ามีการ
ปรับค่าเอฟที (Ft) ลดลงจาก 0.8544 บาทต่อหน่วย  เหลือ  0.7842  บาทต่อหน่วย  แต่มีการยกเลิกในส่วน
มาตรการช่วยเหลือ  (ลด 10 สตางค์ต่อหน่วย)  ในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน  150 หน่วย  ทำให้ดัชนีราคาค่า
กระแสไฟฟ้าโดยเฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 0.2 สำหรับดัชนีผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม 2549 เท่ากับ
105.0 เทียบกับเดือนกันยายน 2549 โดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง และเดือนตุลาคม 2548 สูงขึ้นร้อยละ 1.8

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การนำหอมหัวใหญ่และกระเทียมเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. ....  มีสาระ
สำคัญคือ ให้หอมหัวใหญ่ และกระเทียมที่ผลิตและส่งมาจากภาคีอาเซียนตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน
ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการ
นำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า    และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอ
คณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า
ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับนี้ได้อ้างบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2540  แต่โดยที่รัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้ว   จึงสมควรตัดบท
บัญญัติจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญฉบับเดิมรับรองไว้ในร่างประกาศฉบับนี้ออก   แล้วดำเนิน
การต่อไปได้

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 9 เดือนแรกของ
ปี พ.ศ. 2549 (มกราคม-กันยายน) ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ การส่งออก มีมูลค่า 95,616.8 ล้าน
เหรียญสหรัฐ ฯ  เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.4  คิดเป็นร้อยละ 73.3  ของเป้าหมายการส่ง
ออก  เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร  ร้อยละ  18.6  สินค้าอุตสาหกรรม
ร้อยละ 13.4 และสินค้าอื่น ๆ ร้อยละ 26.2  สำหรับตลาดส่งออกสำคัญในช่วงดังกล่าว การส่งออกไปตลาด
ใหม่(ยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง อินโดจีนและพม่า  ออสเตรีเลีย  ไต้หวัน  จีน  แคนาดา
เกาหลีใต้ และฮ่องกง) ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 24.7 ขณะที่ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐ ฯ สหภาพยุโรป  และญี่ปุ่น
มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยขยายตัวร้อยละ 11.0 ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 95,980 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ7.7  โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง  สินค้าทุน
สินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภค  ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง  ได้แก่  สินค้ายาน
พาหนะ/อุปกรณ์ขนส่ง และสินค้าอาวุธยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น ๆ

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ผู้แทนสภา
อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (31 ตุลาคม 2549) เป็นต้นไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน
สามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งระดับ 10 จำนวน 10 ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป  ทั้งนี้  ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุม
คณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนี้
              (1) นางจันทรา บูรณฤกษ์ ดำรงตำหน่งอธิบดี กรมการประกันภัย
              (2) นายราเชนทร์ พจนสุนทร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการส่งออก
              (3) นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการค้าต่างประเทศ
              (4) นางสาวชุติมา บุณยประภัศร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
              (5) นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
              (6) นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมทรัพย์สินทางปัญญา
              (7) นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์
การการค้าโลก ณ นครเจนีวา ประเทศสมาพันธรัฐสวิส สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
              (8) นางฉวีวรรณ จันทนภุมมะ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง  สำนักงานปลัดกระทรวง
พาณิชย์
              (9) นางปราณี ภาษีผล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ 
            (10) นางอรสา  มั่นคงขันติวงศ์  ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง  สำนักงานปลัดกระทรวง
พาณิชย์

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอการขยายเวลาการดำรง
ตำแหน่งของ นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรม
การค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ต่อไปอีก 1 ปี  (เป็นการต่อเวลาครั้งที่ 2)  ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2549
ถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2550

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทก
ภัยในจังหวัดต่าง ๆ  ของกระทรวงพาณิชย์  โดยได้มอบถุงยังชีพ พร้อมข้าวสารและน้ำดื่ม ให้กับผู้ประสบอุทก
ภัยในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา  อ่างทอง  เป็นต้น  และได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ
กระทรวงพาณิชย์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและภัยหนาว  ณ  กระทรวงพาณิชย์ เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์
จากประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัย โดยมีสายด่วน (Hot line)  02-507 5555  จำนวน 10 คู่สาย  ตลอด
24  ชั่วโมง  และเปิดรับการบริจาคสิ่งของและเงินจากประชาชนทั่วไป  รวมทั้งได้จัดทำแผนปฏิบัติงานในระยะ
เร่งด่วนและระยะยาว เพื่อให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูภายหลังสถานการณ์น้ำลด  ได้แก่  การจัดหาสินค้าราคา
ถูกเพื่อนำมาจำหน่ายให้กับประชาชนโดยเฉพาะสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภคในโครง
การธงฟ้ามหาชน   และจัดเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง  ๆ  ของกระทรวงพาณิชย์ในลักษณะ  Mobile Unit  ลงพื้น
ที่เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือประชาชนในเรื่องประกันภัยกรณีมีการทำประกันภัยรถยนต์และที่อยู่อาศัย  การ
ช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจในด้านการจัดทำเอกสารที่สูญหายหรือชำรุดให้ใหม่ การขยายระยะเวลาการจัดส่ง
งบการเงินการขยายเวลาการส่งคืนเงินต้นให้กับร้านค้าชุมชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย   ตลอดจนออกติดตาม
ตรวจสอบราคาและการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้มีการจำหน่ายเกินราคา และให้มีปริมาณเพียงพอ
กับความต้องการ

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2
ราย ประกอบด้วย นางอรนุช โอสถานนท์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ
นายสกล  หาญสุทธิวารินทร์ ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ตั้งแต่วันที่ 10
ตุลาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป  ทั้งนี้  ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการ
ประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

           หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รับทราบ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า  จากผลการติดตามดูแลสินค้าเกษตร พบสินค้าที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน จำนวน 3
สินค้า ได้แก่ ข้าวเปลือกนาปี มันสำปะหลัง ขิง  ที่ราคาผลผลิตอ่อนตัวลง  รวมทั้งสินค้าที่ต้องเฝ้าระวัง จำนวน 2
สินค้า ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเมล็ดกาแฟ  ในการนี้กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย  และกระทรวงการคลัง  โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งรัด
ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีจำเป็นโดยรีบด่วนไปก่อนเมื่อได้มีการพิจารณามอบหมายรองหัวหน้าคณะ
ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ทำหน้าที่ประธานคณะกรรม
การนโยบายข้าว (กนข.)  และคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) หรือแต่งตั้งคณะ
รัฐมนตรีแล้วจะได้นำเสนอคณะกรรมการ กนข. หรือ คชก. พิจารณาต่อไป