หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รับทราบ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานเกี่ยวกับการดูแลราคาสินค้าและการช่วยเหลือลดค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภค โดยการดู
แลราคาสินค้า และการป้องกันการกักตุนหรือขึ้นราคาสินค้า  ได้มีหนังสือกำชับผู้ประกอบการมิให้ทำการกักตุน
สินค้าหรือขึ้นราคาสินค้าทุกประเภท  และไม่อนุญาตให้ปรับราคาสินค้าที่มีการขอปรับก่อนนี้  โดยได้สั่งให้ระงับ
การปรับราคาต้นทางไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน   ส่วนการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนผู้บริโภค ได้
ดำเนินการตาม  "โครงการธงฟ้าเพื่อผู้บริโภค"  เป็นครั้งคราว  ซึ่งครั้งต่อไปกำหนดจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศใน
วันที่ 29 กันยายน-1 ตุลาคม 2549

           หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รับทราบ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาธุรกิจการค้าส่งค้าปลีก  โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ประชุมหา
รือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ จำนวน 23 ราย  ซึ่งที่ประชุมขอความ
ร่วมมือผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ให้ชะลอการตั้งและขยายสาขาเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน และให้มี
คณะทำงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมทั้งจะเร่งดำเนินการทบทวนและเตรียมการนำ
เสนอร่างกฎหมายธุรกิจค้าส่งค้าปลีกเพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับความก้าวหน้าการคัดค้าน
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า "ฤาษีดัดตน" ในประเทศญี่ปุ่น  โดยสรุปดังนี้  ตามที่กรมทรัพย์สินทาง
ปัญญา กระทรวงพาณิชย์  ได้จัดจ้างบริษัท S&I International Bangkok Office  ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัท Toyosaki &
Associates  เพื่อดำเนินการคัดค้านการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า  "ฤาษีดัดตน"  ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง
บริษัทได้ทำเรื่องคัดค้านต่อสำนักสิทธิบัตรของประเทศญี่ปุ่น (Japan Patent Office : JPO) เมื่อวันที่ 29 พฤษภา
คม 2549 ทั้ง Class 16 (สิทธิที่ใช้ในกิจการเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์และนิตยสาร) และ Class 41 (สิทธิในการสอน
โยคะและไทย ฯลฯ) ขณะนี้ทนายความในประเทศญี่ปุ่น (บริษัท Toyosaki & Associates) รวบรวมข้อมูล  เอกสาร
หลักฐาน และเหตุผลประกอบคำคัดค้านส่งสำนักงานสิทธิบัตรของประเทศญี่ปุ่น  (Japan  Patent  Office : JPO)
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2549 แล้ว

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์มันสำปะหลังฤดูการผลิต ปี
2549/50 โดยผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2549/50 คาดว่าจะมีผลผลิตมันสำปะหลังประมาณ 21.723 ล้านตัน
เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.76 จากปี 2548/49  ซึ่งมีผลผลิต 20.736 ล้านตัน  ในขณะที่ความต้องการใช้ทั้งในประเทศ
และส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ  24-25  ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 10  โดยผลผลิตจะ
ออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2549-มีนาคม 2550 (ร้อยละ 77.53) สำหรับการส่งออก ในระยะ
7  เดือนแรกของปี พ.ศ. 2549  เพิ่มขึ้น 3.603 ล้านตัน  เทียบระยะเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีการส่งออก 3.056
ล้านตัน  เพิ่มขึ้นร้อยละ 17  โดยมันเส้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.37  และแป้งดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ  54.38  และคาดว่า
แนวโน้มการส่งออกในปี พ.ศ. 2550 จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่าร้อยละ 15  ส่วนราคาหัวมันสด ในฤดูกาลที่ผ่าน
มาอยู่ในเกณฑ์สูงที่ระดับ กก.ละ 1.30-1.50 บาท และคาดว่าระดับราคาหัวมันสดจะยังทรงตัวไปอีกระยะหนึ่ง
เนื่องจากความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศยังมีอย่างต่อเนื่อง  แต่ในระยะต่อไป เกษตรกร
จะเร่งขุดหัวมันออกจำหน่าย เพราะต้องการเงินไปชำระหนี้ ธ.ก.ส.  ประกอบกับโรงงานผลิตเอทานอลจากมัน
สำปะหลังยังไม่เปิดการผลิตตามเป้าหมาย  (เปิดแล้วเพียง 1 โรง)  ซึ่งส่งผลทำให้ราคาหัวมันสดโน้มต่ำลง จึง
ขอความร่วมมือกระทรวงการคลังผ่อนผันระยะเวลาชำระหนี้  ธ.ก.ส.  ตั้งแต่ 1 กันยายน 2549  ออกไปถึง 31
พฤษภาคม 2550  เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาด ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ด้านราคาที่ลดต่ำลง
คลี่คลายลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ควรกำหนดราคาเป็นขั้นบันได เพื่อจูงใจเกษตรกรทยอยขุดหัวมันออก
จำหน่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่สามารถรองรับได้ในแต่ละช่วง   รวมทั้งผลักดันให้มีการซื้อ
ขายมันเส้นที่ได้จากการแทรกแซงนำไปจำหน่ายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าส่วนหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ
และป้องกันไม่ให้เกิดการกดราคารับซื้อในทุกขั้นตอนการตลาด

            คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์ ) ประธานคณะกรรมการพืช
น้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 1/2549 เมื่อวันที่ 5 กันยา
ยน  2549  เกี่ยวกับการเปิดตลาดพืชน้ำมันและน้ำมันพืชตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก  (WTO)  ปี  2550
และการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ  และอนุมัติการเปิดตลาดเมล็ดถั่วเหลืองปี 2550  ดังนี้
ปริมาณเปิดตลาดและอัตราภาษีนำเข้าไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 0 อัตรา
ภาษีนอกโควตาร้อยละ 80 ให้ผู้มีสิทธินำเข้าในโควตารวม 12 ราย และหากมีผู้ยื่นขอสิทธิรายใหม่ให้ฝ่ายเลขา
นุการคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา และแจ้งให้คณะกรรมการทราบผู้มีสิทธินำเข้าต้องรับซื้อถั่วเหลืองที่ผลิตใน
ประเทศจากเกษตรกรทั้งหมด การนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบ ACMECS  ให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ
เช่นเดียวกับการนำเข้าภายใต้กรอบ  WTO  ทั้งนี้  ผู้มีสิทธินำเข้าต้องทำสัญญารับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศ
กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์  และการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันอย่างเป็น
ระบบ  โดยมอบให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันอย่างเป็นระบบพิจารณาข้อเสนอของจังหวัดกระบี่ใน
เรื่องการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมัน โดยให้เพิ่มเติมกระทรวงพลังงานเป็นคณะกรรมการ ส่วนการจัดตั้งองค์
กรเพื่อกำกับดูแลอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันทั้งระบบ   มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณา

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับรายงานความเคลื่อนไหวดัชนี
ราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม 2549  สรุปได้ดังนี้  ดัชนีราคาผู้
บริโภคทั่วไปเดือนสิงหาคม 2549 เท่ากับ 115.4 เทียบกับเดือนกรกฎาคม 2549 (115.3)  สูงขึ้นร้อยละ 0.1
เป็นการเพิ่มขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาข้าวเหนียว และผลไม้สด  ขณะที่
อาหารประเภทเนื้อสัตว์มีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อหมู  ไก่  และไข่  สำหรับดัชนีราคาหมวด
อื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีสินค้าสำคัญที่มีการเคลื่อนไหว ได้แก่ น้ำมันเชื้อ
เพลิง โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน  ค่าโดยสารสาธารณะ  ค่าโดยสารรถเมล์เล็กในท้องถิ่นบางจังหวัด  และหนังสือ
พิมพ์ ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีช่วงไตรมาสสุดท้ายของปียังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง  เพราะแรงกดดันของราคา
น้ำมันเชื้อเพลิงต่อภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงตามสถานการณ์น้ำมันในตลาดโลก และฐานของการคำนวณใน
ครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2548 ได้ปรับให้ราคาน้ำมันลอยตัวตามภาวะตลาดแล้ว สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน
ของประเทศเดือนสิงหาคม 2549 เท่ากับ 104.9 เทียบกับเดือนกรกฎาคม 2549 สูงขึ้นร้อยละ 0.1  และเดือน
สิงหาคม 2548 สูงขึ้นร้อยละ 1.9

             ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่  5  กันยายน  2549  นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในเรื่องต่าง ๆ
ดังนี้  ให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ)  เร่งรัดติดตามการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยว
ข้องกับการแก้ไขปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยในระยะสั้น  จะต้องเร่งแก้ไขปัญหามันสำปะหลังที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดจำนวนมากและเป็นช่วงฤดูฝนทำให้
จำนวนลานมันมีไม่เพียงพอรองรับการตากมัน และอาจมีปัญหาราคาตกต่ำได้  และพิจารณาความเหมาะสมใน
การแทรกแซงตลาด การผ่อนผันการให้สินเชื่อและการชำระหนี้ของเกษตรกร  รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจ  และ
ขอความร่วมมือให้เกษตรกรเลื่อนเวลาการขุดหัวมันออกไปก่อน  เพื่อให้ได้หัวมันที่มีคุณภาพและราคาต่อหน่วย
ที่ดีกว่าปัจจุบัน  ส่วนการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ควรเร่งรัดการสร้างโรงงานผลิตเอธานอลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอธานอลให้สอดคล้อง
กับปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังในแต่ละฤดูกาล   กับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาการก่อสร้างช่อง
ทางเชื่อมแม่น้ำน่านและแม่น้ำยมเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดภาคเหนือ และให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณา
ดำเนินการประกาศขายข้าวสารในสต๊อคในปริมาณ  และระยะเวลาที่เหมาะสม  เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคา
ข้าวที่กำลังจะออกมาในฤดูใหม่

           คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบคำชี้แจงของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับ
อำนาจในการทำสนธิสัญญาตั้งแต่การเจรจาไปถึงการลงนามและให้สัตยาบันเพื่อผูกพันเป็นของฝ่ายบริหาร
ยกเว้นกรณีการทำสนธิสัญญาตามมาตรา 224 วรรคสอง  ของรัฐธรรมนูญ ฯ  ซึ่งบัญญัติว่า "หนังสือสัญญา
ใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ   หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไป
ตามสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา" โดยที่การจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย เป็น
การดำเนินการที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายทั้งสิ้น  และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจแห่งรัฐ  ไม่มีบท
เปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย   รวมทั้งไม่มีการออกพระราชบัญญัติรองรับเพื่อให้เป็นไปตามความตกลง  ฯ  แต่
อย่างใด  ดังนั้น การที่รัฐบาลทำความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย โดยไม่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
จึงไม่ขัดมาตรา 224  วรรคสอง  ของรัฐธรรมนูญ ฯ  และอนุมัติให้นำคำชี้แจงดังกล่าวแจ้งให้สำนักงานผู้ตรวจ
การแผ่นดินของรัฐสภาทราบและพิจารณาดำเนินการต่อไป

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการหารือกับภาค
รัฐและภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสเยือน
สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 8-14 กรกฎาคม 2549  โดยในภาพรวมการเยือนสามารถสร้างความเข้าใจและ
ความมั่นใจในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนกับภาครัฐและภาคเอกชนสหรัฐ  ฯ  ในหลาย
ด้าน และได้มีการหารือกันถึงการเจรจา FTA ไทย-สหรัฐ ฯ สิทธิประโยชน์ทางศุลกากร (GSP) พันธบัตรค้ำ
ประกันภาษีการทุ่มตลาด  การค้าและการลงทุน  โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก  และโครงการความร่วมมือกับ
สถาบัน Kenan

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการดำเนินโครงการจัดหารถจักร
ดีเซลไฟฟ้า ของการรถไฟแห่งประเทศไทย  (ร.ฟ.ท.)  ด้วยวิธีการค้าแบบแลกเปลี่ยนกับข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล
โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบด้วยว่าการจำหน่ายและส่งมอบข้าวสารให้แก่สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้
โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าของ ร.ฟ.ท. ในครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อให้สามารถระบายข้าวออกเพิ่มเติม
นอกเหนือจากการจำหน่ายข้าวสารที่ดำเนินการกับสาธารณรัฐประชาชนจีนตามปกติ  และให้กระทรวงพาณิชย์
ประสานสำนักงบประมาณ  เพื่อจัดตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายในการชดเชยภาระส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้ และ
ดอกเบี้ยเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโครงการฯ ตามที่จ่ายจริงแล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้นำหลัก
การการจัดตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายในการชดเชยภาระส่วนต่างดอกเบี้ย ฯ นี้ ไปใช้ในการดำเนินโครงการ
โดยวิธีการค้าแบบแลกเปลี่ยน (Barter Trade) อื่นๆ ที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตด้วย

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับรายงานความเคลื่อนไหวดัชนี
ราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม 2549 สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้
บริโภคทั่วไปเดือนกรกฎาคม 2549 เท่ากับ 115.3  เทียบกับเดือนมิถุนายน 2549 (115.1) สูงขึ้นร้อยละ 0.2
โดยการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 0.3  จากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผักสด  และ
ผลไม้  ร้อยละ 1.1  เป็นสำคัญ  รวมทั้งดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3  เช่น
กัน สาเหตุหลักยังคงเป็นดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4  สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของ
ประเทศเดือนกรกฎาคม 2549  เท่ากับ 104.8  เทียบกับเดือนมิถุนายน 2549  โดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน
เดือนกรกฎาคม 2548 สูงขึ้นร้อยละ 2.0

           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร
ชาวเขาที่เข้ามาอยู่ในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับวิถีการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ
ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม  และมีความเป็นห่วงว่าจะประสบปัญหาหนี้สินและปัจจัยยังชีพ  รวมถึงการเพาะปลูกพืชเพื่อ
เป็นรายได้จะยังไม่ได้ผลผลิต จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) รับไปประสาน
กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เพื่อพิจารณาข้อห่วงใยของ
ราษฎรกลุ่มดังกล่าว  หากมีความจำเป็นอาจพิจารณาพักหนี้หรือให้สินเชื่อที่จำเป็นเหมาะสม  รวมทั้งให้กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอรับการสนับสนุนข้าวสารที่กระทรวงพาณิชย์จัดซื้อไว้แล้ว เพื่อ
ให้สามารถยังชีพอยู่ได้ในช่วงปรับตัวและรอรายได้จากผลผลิต ตลอดจนจัดหาตลาดรองรับผลผลิตที่จะเกิดขึ้น

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ
การแข่งขันทางการค้า จำนวน 12 คน ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ประกอบด้วย นายศักดา ธนิตกุล  นาย
อนันต์ จันทรโอภากร นายศุภัช ศุภชลาศัย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์  นายเสงี่ยม สันทัด  และนายพงษ์ภาณุ
เศวตรุนทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ประกอบด้วย นายฉัตรชัย บุญรัตน์ นายไพรัช บูรพชัยศรี  ว่าที่ ร.อ. จิตร์
ศิรธรานนท์ นายสันติ  วิลาสศักดานนท์  นายบดินทร์  อัศวาณิชย์  และนายนิพนธ์  สุรพงษ์รักเจริญ  โดยให้
การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (4 สิงหาคม 2549) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 7  แห่งพระราช
กฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ
พิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน จำนวน  3  คน ประกอบด้วย นายวินัย อาจคงหาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน
การเกษตร นายศิริชัย สาครรัตนกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ  และนายชูเกียรติ  รัตนชัยชาญ
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ โดยให้มีตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ  (4 สิงหาคม 2549)  เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตาม
มาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 1-2 มิถุนายน 2549 ณ นครโฮจิมินห์  สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดตาม  โดยมีรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม  สำหรับสาระสำคัญของการประชุมครั้ง
นี้ ได้มีการออกแถลงการณ์เพื่อส่งสัญญาณทางการเมืองเพื่อผลักดันให้การเจรจารอบโดฮามีความคืบหน้า และ
กำหนดแนวทางการเจรจาสำหรับระดับเจ้าหน้าที่ ณ นครเจนีวา โดยจะลดภาษีสินค้าเกษตรลง เพื่อให้เกิดการ
เปิดตลาดอย่างแท้จริง กำหนดระเบียบวินัยการอุดหนุนภายในเพื่อมิให้บิดเบือนการค้า พร้อมทั้งทยอยลดการ
อุดหนุนการส่งออกทุกรูปแบบให้หมดภายในปี ค.ศ. 2013 ส่วนการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม จะใช้สูตรลด
ภาษีที่เรียกว่า Swiss Formula (อัตราภาษีสูงต้องลดมากกว่าอัตราภาษีต่ำ) โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์  2  ค่าที่แตก
ต่างกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา  และร่วมกันผลักดันให้มีการเปิดเสรีรายสาขาต่อไป
เพื่อให้มีการลดภาษีสินค้าบางสาขามากกว่าการลดโดยใช้สูตร  นอกจากนี้  ที่ประชุมได้กำหนดแผนงานในการ
ปฏิบัติตาม Roadmap ซึ่งได้ตกลงไว้ที่เมืองปูซานเมื่อปี พ.ศ. 2548  เพื่อให้เอเปคดำเนินกิจกรรมไปสู่เป้าหมาย
โบกอร์ในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในปี ค.ศ. 2010/2020  (Busan Roadmap to  Bogor  Goals)  รวมทั้ง
รับทราบความคืบหน้าการประเมินผลการดำเนินงานด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของสมาชิกเอเปค
ในช่วง 5  ปี (ค.ศ.2001-2005) และมอบหมายให้คณะทำงานของเอเปคจัดทำ model measures สำหรับการ
จัดทำ RTAs/FTAs ของสมาชิกเอเปคให้เสร็จภายในปี ค.ศ. 2008

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับจีน  
ไทยกับอินเดีย ไทยกับออสเตรเลีย และไทยกับนิวซีแลนด์ ภายหลังการจัดทำ FTA ดังนี้ การส่งออกสินค้าระหว่าง
ไทยกับจีน  ตั้งแต่เดือนตุลาคม  2546-พฤษภาคม  2549  ไทยส่งสินค้าภายใต้ข้อตกลง ฯ  มูลค่า  382,938.55
ล้านบาท สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่  เครื่องประมวลผลข้อมูล ฯ  ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อ
ตกลง ฯ มูลค่า 419,171.82 ล้านบาท  สินค้าที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักรตั้งแต่
เดือนตุลาคม  2546-พฤษภาคม  2549  ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ามูลค่า  36,233.27  ล้านบาท  สำหรับการ
ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับอินเดีย  ตั้งแต่เดือนกันยายน 2547-พฤษภาคม 2549  ไทยส่งออกสินค้าภายใต้ข้อ
ตกลง ฯ มูลค่า 20,518.53 ล้านบาท สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่  เครื่องรับโทรทัศน์สี  ขณะที่ไทยนำ
เข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลง ฯ มูลค่า 5,903.52 ล้านบาท สินค้านำเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ กระปุกเกียร์ ตั้งแต่
ดือนกันยายน 2547-พฤษภาคม 2549 ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 14,615.01 ล้านบาท  ส่วนการส่งออก
สินค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลีย  ตั้งแต่เดือนมกราคม  2548 -พฤษภาคม  2549   ไทยส่งออกสินค้าภายใต้ข้อ
ตกลง ฯ มูลค่า 186,953.96 ล้านบาท สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ  ขณะที่
ไทยนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลง ฯ มูลค่า 183,453.62 ล้านบาท สินค้านำเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่  ทองคำ
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548-พฤษภาคม 2549  ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 3,500.34 ล้านบาท  และการส่ง
ออกสินค้าระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์  ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548-พฤษภาคม  2549  ไทยส่งออกสินค้าภายใต้
ข้อตกลง  ฯ  มูลค่า  18,652.55  ล้านบาท   สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่  ยานยนต์สำหรับขนส่งของ
น้ำมันปิโตรเลียมดิบและน้ำมันที่ได้จากแร่บิทูมินัส  ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลง  ฯ  มูลค่า  9,532.22
ล้านบาท สินค้านำเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ นมและครีมที่ทำให้เข้มข้นหรือเติมสารให้ความหวาน ตั้งแต่เดือน
กรกฎาคม 2548-พฤษภาคม 2549 ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 9,120.33ล้านบาท

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ
พิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน จำนวน  3  คน ประกอบด้วย นายวินัย อาจคงหาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน
การเกษตร นายศิริชัย สาครรัตนกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ  และนายชูเกียรติ  รัตนชัยชาญ
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ โดยให้มีตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ  (4 สิงหาคม 2549)  เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตาม
มาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ
การแข่งขันทางการค้า จำนวน 12 คน ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ประกอบด้วย นายศักดา ธนิตกุล  นาย
อนันต์ จันทรโอภากร นายศุภัช ศุภชลาศัย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์  นายเสงี่ยม สันทัด  และนายพงษ์ภาณุ
เศวตรุนทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ประกอบด้วย นายฉัตรชัย บุญรัตน์ นายไพรัช บูรพชัยศรี  ว่าที่ ร.อ. จิตร์
ศิรธรานนท์ นายสันติ  วิลาสศักดานนท์  นายบดินทร์  อัศวาณิชย์  และนายนิพนธ์  สุรพงษ์รักเจริญ  โดยให้
การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (4 สิงหาคม 2549) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 7  แห่งพระราช
กฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุม  The 3rd Pan-
Pearl River Delta Regional Cooperation and Development ระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายน 2549 ณ นครคุนหมิง
สาธารณรัฐประชาชนจีน  โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุมหารือ
เรื่องการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนกับ PPRD ครั้งที่ 1 ที่ประเทศไทย  การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านการ
ค้า การลงทุน  การท่องเที่ยว  และสภาธุรกิจไทย-มณฑล PPRD  รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์และการดำเนิน
มาตรการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และมณฑลที่เป็นสมาชิก PPRD  และการกำหนดกลยุทธ์มาตรการ และ
ผลักดันความร่วมมือการใช้เส้นทางคมนาคมระหว่างไทยสู่จีนเพื่อสนับสนุนการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
การค้า  การลงทุน  และท่องเที่ยว  และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง  ๆ  ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การ
ดำเนินยุทธศาสตร์ของไทยต่อจีนบรรลุตามที่กำหนดอย่างเป็นรูปธรรม

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอให้ขยายระยะเวลาการ
ดำรงตำแหน่งของนายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ต่อไปอีก 1 ปี  (ต่อเวลาครั้งที่ 2)  ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 เป็นต้นไป