ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 777 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 15521 - 15540 จากข้อมูลทั้งหมด 124010 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15521 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน 2559-2564 วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ | ทส | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมป่าไม้และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan International Research Center for Agricultural Science : JIRCAS) ร่างแผนปฏิบัติงาน ๒๕๕๙-๒๕๖๔ วนวัฒนวิธีที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกสวนป่าสักและร่างข้อตกลงการใช้ตัวอย่างชีวภาพ คืนไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่างแผนปฏิบัติการฯ และร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมในส่วนของร่างข้อตกลงฯ เช่น ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไข (ปริมาณวัสดุที่ต้องส่งในแต่ละครั้ง จำนวนครั้งสูงสุดที่ต้องจัดส่ง) ซึ่งอาจเกิดการร้องขอเกินความจำเป็นและจะมีผลต่อเนื่องในข้อตกลงเรื่องการขนส่งที่กรมป่าไม้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดส่งแต่ฝ่ายเดียว เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15522 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2561 | กค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ คนร. อย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคนร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ฯ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งจัดสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจ โดย คนร. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับมาตรฐานในการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากล โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคในการกำกับดูแลติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๓ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง พบว่าธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาองค์กรจนถึงปัจจุบัน คนร. จึงมีมติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร และมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานต่อไป สำหรับรัฐวิสาหกิจอีก ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบเวลาที่ คนร. มอบหมาย เพื่อให้กระบวนการกำกับดูแลและการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ตลอดจนการจัดตั้งและบริหารจัดการบริษัทลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15523 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม | วท | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการภาคยานุวัติอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และการให้สัตยาบันข้อแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญา โดยไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการภาคยานุวัติอนุสัญญาฯ และการให้สัตยาบันข้อแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาฯ ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติของการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาแล้ว ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว โดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15524 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี 2560/61 ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ปี ๒๕๖๐/๖๑ ภายใต้มาตรการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร : ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ ๓๑ จังหวัด พื้นที่ ๗๐๐,๐๐๐ ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวนาปรังเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ กระจายผลผลิตให้ออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน จากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หมุนเวียนในระบบปลูกข้าว โดยรัฐถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกร รวมทั้งสนับสนุนเงินอุดหนุนในอัตราไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท (รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่) คิดเป็นเงินสนับสนุนทั้งสิ้น ๑,๔๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการฯ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการฯ จะต้องไม่ดำเนินการเพาะปลูกในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นการใช้งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต้องใช้จ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการฯ ให้หน่วยงานในพื้นที่และเกษตรกรในพื้นที่รับทราบ การตรวจสอบสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรต้องรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อรอบการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนา ควรเข้มงวดกวดขันการลักลอบนำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และในการลดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ป่า และควรส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมและมีรายได้ใกล้เคียงกับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15525 | ขออนุมัติโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการเพิ่มศักยภาพกำลังคนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมผู้สำเร็จอาชีวศึกษาในทุกระดับให้มีศักยภาพและขีดความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และทันต่อเทคโนโลยีการประกอบอาชีพที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาสถานศึกษาต้นแบบในสังกัด สอศ. จำนวน ๒๐ แห่ง ทั่วประเทศ ที่มีคุณภาพสำหรับการขยายผลต่อไป และเพื่อสนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (Fist S Curve) การเติมอุตสาหกรรมอนาคต (New S Curve) และตอบสนองการพัฒนาประเทศตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๑) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณของประเทศไทย วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ วงเงิน ๒,๗๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยในส่วนของโครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียดให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับทุนการศึกษา ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของผู้เรียน เงื่อนไขในการให้/ชดใช้ทุนประเภทต่าง ๆ อัตราตำแหน่งรองรับครูของ สอศ. ภายหลังจากที่นักเรียนจบการศึกษา ให้เป็นไปด้วยความรัดกุม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินการในลักษณะการร่วมจ่าย (Co-sharing) หรือรูปแบบประชารัฐ เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณภาครัฐด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เช่น ควรสร้างความร่วมมือระหว่าง สอศ. กับสถาบันวิจัยที่มีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ EEC เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกทำงานจากโจทย์จริงของภาคอุตสาหกรรม และร่วมทำโครงการวิจัยและพัฒนากับภาคเอกชน ควรกำหนดแผนการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาในระยะสั้น โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่ออาศัยความชำนาญเฉพาะด้านของหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนากำลังคนระดับอาชีวศึกษาในภาพรวมของประเทศ การจัดสรรทุนควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของสาขาวิชาให้สอดคล้องกับระดับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ รวมทั้งควรศึกษาวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนอาชีวศึกษาของประเทศทั้งในมิติเชิงปริมาณและมิติเชิงคุณภาพ ตลอดจนแผนการดำเนินการเตรียมและพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษา และควรคำนึงถึงการได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากหน่วยงาน/องค์กรวิชาชีพที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของประเทศไทยของตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้ผู้รับทุนสามารถปฏิบัติงานได้เมื่อสำเร็จการศึกษา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในส่วนของแหล่งเงินที่จะใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ โดยกรณีเงินสมทบที่เป็นเงินงบประมาณของประเทศไทยนั้น เห็นควรให้ สอศ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนเงินสมทบที่มาจากแหล่งเงินกู้ควรคำนึงถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น โดยผ่านกลไกขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้คำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15526 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รายการเงินอุดหนุนเป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียนรวม 6 ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนรวม ๖ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมระยะเวลา ๒ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๑๘๐,๓๗๙,๓๐๐ บาท โดยค่าก่อสร้างอาคาร จำนวน ๑๘๐,๓๗๙,๓๐๐ บาท ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๕๗,๘๓๒,๓๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๗๘,๙๑๖,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๗๘,๙๑๖,๓๐๐ บาท ให้มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๒,๕๔๗,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาและกรอบวงเงินงบประมาณที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. การดำเนินการเรื่องทำนองนี้ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15527 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ 2562 รายการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนามาตรฐานและเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารเคมี กำจัดศัตรูพืชในผลิตภัณฑ์ออกานิกในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ของมหาวิทยาลัยนเรศวร | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนามาตรฐานและเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผลิตภัณฑ์ออกานิกในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมระยะเวลา ๒ ปี วงเงินทั้งสิ้น ๙๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๗๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓๕,๔๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๓๖,๐๙๐,๐๐๐ บาท ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยนเรศวรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเมื่อดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ก็ให้ขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารฯ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลา และกรอบวงเงินงบประมาณที่ให้ไว้อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. การดำเนินการเรื่องทำนองนี้ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อน อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15528 | ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2565 รายการค่าเช่ารถประจำตำแหน่ง (ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา) | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการถอนเรื่อง ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕ รายการค่าเช่ารถประจำตำแหน่ง (ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา) คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15529 | ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการกำหนด "พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" เพิ่มเติม | อก | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า ค่าพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งดำเนินงานบริหารและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๕๐ ปี และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) จัดเก็บรายได้จากการพัฒนาพื้นที่โครงการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของประกาศ กนศ. โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ รฟท. มีอำนาจร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก โดยรายละเอียดของการร่วมลงทุนอยู่ภายใต้หลักการของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่ได้อนุมัติไว้ ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในกรอบวงเงินจำนวน ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ รฟท. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชน ในวงเงินไม่เกิน ๑๑๙,๔๒๕.๗๕ ล้านบาท ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาร่วมลงทุน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งระบบแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี โดยให้กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามผลการดำเนินงาน เกณฑ์ประเมินผลผลิตที่เอกชนต้องส่งมอบ (Output Specification) ระดับในการบริการ (Level of Service) และระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งนี้ กรณีมีเหตุจำเป็น อาจให้ทยอยจ่ายเงินดังกล่าวให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน โดยแบ่งจ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ โดยในกรณีดังกล่าว กนศ.จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๕ เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ของ รฟท. เป็นจำนวนเงิน ๒๒,๕๕๘.๐๖ ล้านบาท ๑.๖ เห็นชอบให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ภายนอกระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ๑.๗ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ รฟท. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) แนวทางการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (๒) การคำนึงถึงผลกระทบต่อโครงการลงทุนอื่นที่อยู่ภายในพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ (๓) การกำหนดให้พื้นที่ของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม และ (๔) การกำกับดูแลและติดตามภาระผูกพันงบประมาณของภาครัฐจากการร่วมลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและสอดคล้องกับบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมืองและการขอให้รัฐบาลรับภาระโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. ร่วมกับ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15530 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2561 - ปี 2563 | กษ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและแห้งไม่เป็นผง) หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้กรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการบริหารการนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าวให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่กับต่างประเทศ ดังนี้ ๑.๑ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๓.๑๕ ตัน (๖,๙๔๔ ปอนด์) อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๒๑๘ ๑.๒ สินค้าหอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและแห้งไม่เป็นผง) ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๗๖๔ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ ๑.๓ หัวพันธุ์มันฝรั่ง ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-ปี ๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๑.๔ หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้กรอบ WTO ให้เปิดตลาดนำเข้าในช่วงปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ปริมาณในโควตาปีละ ๕๒,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเปิดตลาดสินค้าเกษตรที่ไทยมีพันธกรณีกับต่างประเทศ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการนำเข้าและการตลาดสินค้าเกษตรให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรภายในประเทศ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การบริหารการนำเข้าภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมั่นฝรั่ง ควรมีการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ความเคลื่อนไหวของราคา และความต้องการใช้สินค้าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ดำเนินการเพิ่มเติม (๑) พิจารณาศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปิดตลาดเสรีการนำเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่งตามพันธกรณีตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) และพันธกรณีตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) รวมทั้งแนวทางการบริหารการนำเข้าและมาตรการอื่นเพื่อไม่ให้การเปิดตลาดเสรีที่จะมีขึ้นในปี ๒๕๖๓ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งภายในประเทศ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวควรพิจารณาให้เป็นไปตามความตกลงที่ไทยมีอยู่กับต่างประเทศด้วย และ (๒) พิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และคุณภาพของผลผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งของเกษตรกรภายในประเทศ เพื่อให้เกษตรกรมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures) ให้มีความเหมาะสม รวมทั้งบังคับใช้มาตรการที่ได้กำหนดขึ้นแล้วอย่างเข้มงวดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15531 | การประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6 (6th GMS Summit) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | นร11 | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบประเด็นหารือของไทยและเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (The Greater Mekong Subregion Economic Coordination : GMS) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยประเด็นหารือของไทยในการประชุม GMS ได้แก่ (๑) กรอบการลงทุนของภูมิภาค ปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Framework : RIF2022) (๒) โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง (๓) นโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๔) การซื้อขายไฟฟ้าในอนุภูมิภาค GMS (๕) การส่งเสริมการลงทุนให้กับภาคเอกชนในภูมิภาค และ (๖) การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการภัยพิบัติ สำหรับเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุม GMS ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ระดับผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๖ (Joint Summit Declaration : JSD) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความชื่นชมยินดีต่อการดำเนินงานตามแผนงาน GMS ในช่วงระยะเวลา ๒๕ ปีที่ผ่านมา และเน้นย้ำถึงแนวทางการดำเนินงานของแผนงาน GMS ในอนาคตว่าจะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 3Cs [ความเชื่อมโยง (Connectivity) ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) และประชาสังคม (Community)] เพื่อขับเคลื่อนให้อนุภูมิภาค GMS เป็นภูมิภาคที่มั่งคั่งและยั่งยืน ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการฮานอยปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ (Hanoi Action Plan 2018-2022) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน GMS เช่น การเตรียมแผนแม่บทเชิงพื้นที่ การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินกิจกรรมของแต่ละสาขาความร่วมมือ และการปรับปรุงระบบการติดตามและประเมินผลเพื่อให้ GMS สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศสมาชิกในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ๑.๑.๓ กรอบการลงทุนในภูมิภาค ปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Framework 2022 : RIF2022) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการลงทุนในภูมิภาค GMS ทั้ง ๑๐ สาขา ให้มีความสอดคล้องกับร่างแผนปฏิบัติการฮานอย โดยกรอบการลงทุนดังกล่าวประกอบด้วย โครงการความร่วมมือ จำนวน ๒๒๗ โครงการ ในสาขาความร่วมมือ ๑๐ สาขา มูลค่ารวมประมาณ ๖.๖ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒.๐๘๘ ล้านล้านบาท ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15532 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 และร่างปฏิญญากรุงบากู | กต | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๘ (18th Mid-Term Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement : NAM) และร่างปฏิญญากรุงบากู (Draft Baku Declaration) และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับในการประชุมดังกล่าวที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ มีสาระสำคัญสอดคล้องกับข้อมติของสหประชาชาติ และเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอด NAM ครั้งที่ ๑๗ เมื่อปี ๒๕๕๙ ซึ่งเน้นย้ำถึงการดำเนินการตามพันธกิจของ NAM เช่น การไม่แทรกแซงกิจการภายใน การเคารพในสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การปลดปล่อยอาณานิคม และการงดเว้นการใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น เพื่อยับยั้งความพยายามในการชี้นำหรือครอบงำของประเทศพัฒนาแล้ว และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งผลักดันให้กลุ่ม NAM มีบทบาทในการปฏิรูปสหประชาชาติด้วยการสร้างเอกภาพและความเข้มแข็งของ NAM ผ่านการประสานท่าทีระหว่างสมาชิก เพื่อแสดงท่าทีที่สอดประสานในเวทีระหว่างประเทศ ส่วนร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงหลักการที่กลุ่ม NAM ให้ความสำคัญ เช่น สิทธิการกำหนดใจตนเองของประชาชน การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ และการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น ๑.๒ หากถ้อยคำเรื่องทะเลจีนใต้ในเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ ไม่สอดคล้องกับข้อเสนอของกลุ่มอาเซียน อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) ต่อถ้อยคำดังกล่าวในเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอด NAM ครั้งที่ ๑๗ เมื่อปี ๒๕๕๙ ๑.๓ หากถ้อยคำเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ที่ถูกบรรจุในเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ ไม่สอดคล้องกับท่าทีไทย แสดงท่าทีเชิงลบ หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวนของไทย (reservation) หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับถ้อยคำดังกล่าวได้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ และร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาถ้อยคำเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ในร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมฯ อย่างรอบคอบก่อนลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) ของไทยในประเด็นนี้ หากถ้อยคำดังกล่าวอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและอยู่บนพื้นฐานของหลักปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถพิจารณารับรองร่างเอกสารดังกล่าวได้ แต่หากถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการประณามประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง และอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบกับไทยและกลุ่มอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถพิจารณาลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับถ้อยคำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ให้ยึดผลประโยชน์ของไทยและกลุ่มอาเซียนเป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15533 | ร่างกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับสภาพการจ้างงานในงานประมงทะเลและกฎหมายว่าด้วยการประมงเพื่อคุ้มครองแรงงานให้ได้รับความเป็นธรรม และแก้ปัญหาการใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอเพิ่มเติม และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ขอแก้ไขระยะเวลาในการบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงในร่างข้อ ๑ เกี่ยวกับการให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างและค่าทำงานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างผ่านบัญชีธนาคารของลูกจ้างตามข้อ ๑๐/๒ จากเดิม “ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เป็น “ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสี่สิบห้าวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” ๒. ขอตัดร่างข้อ ๓ แก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๖/๑ ออก เพื่อไม่ให้กฎหมายมีความขัดแย้งกันเนื่องจากปัจจุบันได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๓/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพิ่มเติมครั้งที่ ๓ สั่ง ณ วันที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15534 | การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ ตาม "โครงการไทยนิยม ยั่งยืน" (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) | มท | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในคู่มือการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตาม “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) โดยมีหลักเกณฑ์/เงื่อนไขของโครงการที่จะเสนอขอรับเงินอุดหนุนจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (๑) สร้างรายได้ให้กับประชาชน หรือทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก (๒) จะช่วยยกระดับหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น (๓) โครงการที่น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชน และ (๔) โครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการของประชาชน และเมื่อโครงการของชุมชน/หมู่บ้านได้รับความเห็นชอบแล้ว จะโอนเงินตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติเข้าบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ๑๒๐ วัน (เดือนเมษายน-กรกฎาคม ๒๕๖๑) มีเป้าหมาย ๘๒,๓๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน สนับสนุนงบหมู่บ้าน/ชุมชนละไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินการดำเนินงานที่สะท้อนทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลของทั้งโครงการ รวมทั้งจัดทำตัวชี้วัดที่ชัดเจนมีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำเที่ยงตรงและมีความน่าเชื่อถือสำหรับการวางแผนพัฒนาโครงการและใช้ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งรัดหรือกำกับดูแลหมู่บ้าน/ชุมชน ให้เตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการของชุมชนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าหรือสามารถดำเนินโครงการได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ การกำจัดผักตบชวา/วัชพืชและขยะสิ่งปฏิกูลเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำที่ควรต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูฝน รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการในการกำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15535 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2561 | รง | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๑.๑ กระทรวงมหาดไทยดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกกฎกระทรวงเพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากกระบวนการเดินทางออกจากราชอาณาจักรเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๑ และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนด ๑.๑.๒ ออกประกาศกระทรวงโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ๑.๑.๒.๑ ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทยในตำแหน่งงานกรรมกร รับใช้ในบ้าน ช่างเครื่องยนต์ในเรือประมงทะเล และผู้ประสานงานด้านภาษากัมพูชา ลาว เมียนมา ดังต่อไปนี้ โดยให้เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ และกลับเข้ามาในราชอาณาจักรในช่วงเวลาดังกล่าว หากพ้นกำหนด ให้ดำเนินการตามกฎหมายปกติ ซึ่งครอบคลุม (๑) แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ซึ่งถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่ยังไม่สิ้นอายุการอนุญาตทำงาน หรือระบุวันสิ้นอายุวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ (เป็นแรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรที่อยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑) และ (๒) แรงงานต่างด้าวและบุตรซึ่งเป็นแรงงานที่นำเข้าถูกกฎหมายภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MOU) และผ่านการตรวจสัญชาติหรือพิสูจน์สัญชาติ ๑.๑.๒.๒ การเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ไม่ถือว่าเป็นการออกนอกเขตพื้นที่จังหวัดที่จัดทำทะเบียนประวัติ หรือจังหวัดที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน ๑.๑.๒.๓ กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ซึ่งประจำ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุกแห่ง ประทับตราวัน เดือน ปี ที่แรงงานต่างด้าวเดินทางออก-เข้า ราชอาณาจักรในเอกสารที่เกี่ยวข้อง ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองแห่งนั้น ๑.๒ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน หรือหน่วยงานในสังกัดออกหนังสือรับรองให้กับแรงงานต่างด้าว และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประทับตราเข้า-ออก ๑.๓ สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการแล้ว ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรายงานผลการเดินทางให้กระทรวงแรงงานทราบเพื่อสรุปสถิติการเดินทางเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๑.๔ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ๑.๕ กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ๓ ประเทศ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๖ กระทรวงสาธารณสุขติดตาม เฝ้าระวัง โรคที่ติดมากับแรงงานต่างด้าว ๑.๗ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานด้านความมั่นคงแจ้งข้อมูลแนวทางการดำเนินการให้หน่วยงานในสังกัดได้รับทราบการดำเนินนโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติให้ถูกต้อง ๒. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติรองรับสำหรับการดำเนินงานดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานให้กับแรงงาน ลดปัญหาการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอันอาจนำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการเสนอร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนให้มีผลใช้บังคับได้ทันตามกำหนดเวลาต่อไป ๔. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15536 | การปรับเพิ่มระยะเวลาการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักร ขออนุญาตทำงาน และจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติให้กับแรงงานต่างด้าว | รง | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกประกาศ (๑) ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติและได้ยื่นเรื่องขอจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติไว้กับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ พิสูจน์สัญชาติ ขอรับตรวจลงตรา (Visa) และประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักร และ (๒) ให้เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองสามารถตรวจลงตรา (Visa) และประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติซึ่งได้ยื่นเรื่องขอจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติไว้กับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว โดยยกเว้นค่าปรับฐานอยู่ในราชอาณาจักรเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากแรงงานต่างด้าวมีจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจลงตรา (Visa) และประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ทันในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ๑.๒ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสามารถตรวจลงตรา (Visa) และประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวที่ได้ยื่นเรื่องขอจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติไว้กับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว โดยให้ตรวจลงตรา (Visa) และประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักรให้แก่แรงงานต่างด้าวดังกล่าวถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ หรือ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ในกรณีแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำ ๑.๓ ให้กรมการจัดหางานกำหนดสถานที่รับคำร้องขอจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ๑-๑๐ รวมถึงการยื่นเอกสารผ่านระบบออนไลน์ ๑.๔ ให้กรมการปกครองจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) แก่แรงงานต่างด้าวที่ได้ยื่นเรื่องขอจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติไว้กับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ๑.๕ ให้กระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางาน) สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการขั้นตอนกำหนดสถานที่ในการดำเนินการจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ตรวจลงตรา (Visa) และประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการเสนอร่างประกาศต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนให้มีผลใช้บังคับได้ทันตามกำหนดเวลาต่อไป ๓. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15537 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (นางเกศินี วิฑูรชาติ) | วท | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเกศินี วิฑูรชาติ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (จากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง) ในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ แทน นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ที่ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15538 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย พ.ศ. 2551 (นายกรีพงศ์ เทียมเศวต) | วธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้ง นายกรีพงศ์ เทียมเศวต เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะร่วมสมัย) สาขาศิลปะการแสดงในคณะกรรมการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย แทนผู้ที่ลาออก ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15539 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์) | ศธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ตามมติคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ ๕๑๕/๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑) ตามความในมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๔๑ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่กำหนดในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ลาออกจากการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15540 | มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ | สลธ.คสช. | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอมาตามมาตรา ๔๒ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบกับมาตรา ๒๖๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ตามที่เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการอย่างเคร่งครัด และให้ใช้กับกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความผิดเพราะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการด้วย
|
.....