ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 779 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 15561 - 15580 จากข้อมูลทั้งหมด 124010 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15561 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดสุขลักษณะการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน พ.ศ. .... | สธ | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสุขลักษณะการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการควบคุมหรือกำกับดูแลการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสุขภาพและอนามัยของประชาชน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการบริหารจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน การแก้ไขข้อกำหนดบางประการในร่างกฎกระทรวง และการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15562 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการอ้างบทอาศัยอำนาจ และการกำหนดตำแหน่งของผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินค่ารับรองเท่าที่จ่ายจริง ยังไม่สอดคล้องกับนิยามคำว่า “ข้าราชการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนของภาระงบประมาณที่อาจเพิ่มขึ้นให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการ และรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับอัตราค่าเช่าที่พักในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาค่าเช่าที่พักท้องถิ่นในปัจจุบัน การปรับอัตราค่าเช่าที่พักสำหรับบางประเทศ และการเบิกจ่ายค่าเช่าที่พักแบบการใช้บริการห้องพักชั่วคราว (Day-Use) ระหว่างพักรอเที่ยวบินและการขอเข้าที่พักก่อนกำหนด (Early Check-in) ไปพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15563 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าเช่ารถยนต์พร้อมคนขับเพื่อใช้ในการปฏิบัติราชการ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) | ตผ | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐนมตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเช่ารถยนต์พร้อมคนขับ จำนวน ๘๖ คัน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๖ ระยะเวลา ๖๐ เดือน (มิถุนายน ๒๕๖๑-พฤษภาคม ๒๕๖๖) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕๗,๙๓๕,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีเฉพาะราย ตามอัตราค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถ ที่กระทรวงการคลังกำหนด ประกอบด้วย (๑) ค่าเช่ารถโดยสารขนาด ๑๒ ที่นั่ง (ดีเซล) พร้อมคนขับ จำนวน ๖๑ คัน ระยะเวลา ๖๐ เดือน (มิถุนายน ๒๕๖๑-พฤษภาคม ๒๕๖๖) เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๑,๖๙๕,๐๐๐ บาท และ (๒) ค่าเช่ารถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน แบบดับเบิ้ลแคบ พร้อมคนขับ จำนวน ๒๕ คัน ระยะเวลา ๖๐ เดือน (มิถุนายน ๒๕๖๑-พฤษภาคม ๒๕๖๖) เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๖,๒๔๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่ารถยนต์พร้อมคนขับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ระยะเวลา ๔ เดือน (มิถุนายน-กันยายน ๒๕๖๑) ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามนัยมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15564 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากตำรายาแผนไทยของชาติหรือตำราการแพทย์แผนไทยของชาติ และค่าธรรมเนียมคำขออนุญาต คำขอขึ้นทะเบียน และคำขอจดทะเบียน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15565 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๖๐,๐๐๐ บาท (ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑) รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่กำหนดในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15566 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ครบกำหนดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้าบบาท ประกอบด้วย (๑) การกู้เงินระยะสั้น โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๑ เดือน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ เบิกเงินกู้ในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี และ (๒) การออก R-Bill รุ่นอายุ ๑๘๒ วัน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๑.๓๓๐๐๗ ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดส่งประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15567 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเร่งรัดดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี โดยให้กรมธนารักษ์เร่งรัดดำเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่าที่ดิน กรมธนารักษ์ได้เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่มีความพร้อมตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ให้ความเห็นชอบแล้ว รวม ๓ พื้นที่ ประกอบด้วย จังหวัดตาก กาญจนบุรี และนครพนม โดยกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษฯ แล้ว ๑.๒ การขอรับการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แปรรูปอาหารทะเลครบวงจรและจำหน่ายอาหารทะเล และขอยกเว้นระเบียบกรมธนารักษ์ในการเช่าที่ราชพัสดุ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดค่าเช่าตามความเหมาะสม ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่า อาคารตลาดปลาและอาคารระบบบำบัดน้ำเสียปลูกสร้างบนที่ดินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ดังนั้น ในกรณีดังกล่าวมิได้เป็นการเช่าที่ราชพัสดุแต่อย่างใด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในศูนย์แปรรูปอาหารทะเลครบวงจรและจำหน่ายอาหารทะเล จังหวัดสมุทรสงคราม โดยดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15568 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น ติดตามผลการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน พิจารณาทบทวน ปรับปรุง หรือเสนอแนะสวัสดิการสังคมเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๒. ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามผลการดำเนินการและการเบิกจ่ายงบประมาณ ตามแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๑ มีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) การผลิตและการแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ (๒) การใช้สิทธิและการจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๓) การวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) (๔) แนวทางการควบคุมภายในการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐกรณีร้านธงฟ้าประชารัฐ (๕) ความก้าวหน้าของร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... และ (๖) หลักเกณฑ์การพิจารณาการให้ข้อมูลผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15569 | รายงานผลการประเมินความคุ้มค่าและภาระค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมตรวจลงตราจากการดำเนินมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ | กก | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินความคุ้มค่าและภาระค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมตรวจลงตราจากการดำเนินมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมประเมินผลมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย และปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ ที่ประชุมมีความเห็นว่า มาตรการฯ มีความคุ้มค่าในการดำเนินการ แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินมาตรการฯ เป็นกรณีเร่งด่วน ทำให้พบกับปัญหาความไม่พร้อมของหน่วยงานภาคปฏิบัติ และรัฐสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา แต่เนื่องจากประเทศไทยสามารถดำเนินมาตรการฯ ได้ทันท่วงทีกับช่วงสถานการณ์การท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนหดตัวลง แต่จากสถานการณ์การท่องเที่ยวในปัจจุบันได้ฟื้นตัวและมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ จึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวอีกต่อไป รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า หากมีการดำเนินมาตรการฯ ในลักษณะเดียวกันในอนาคต กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรจะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางป้องกันสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าก่อนการดำเนินมาตรการฯ ๒. การประเมินผลการดำเนินมาตรการฯ ระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ พบว่า มาตรการฯ มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ มีผลกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปขอรับการตรวจลงตราจากสถานทูต/สถานกงสุลไทยขยายตัว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15570 | สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการบินพลเรือนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก | คค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการบินพลเรือนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Ministerial Conference on Civil Aviation) ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม-๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นโดยมุ่งหวังให้ประเทศสมาชิกองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันพัฒนาด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยในการเดินอากาศให้ได้มาตรฐาน โดยที่ประชุมฯ ได้มีการรับรองปฏิญญาว่าด้วยการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการบินพลเรือน (Draft Declaration of Asia Pacific Ministerial Conference on Civil Aviation) ซึ่งสะท้อนความตระหนักรู้และวิสัยทัศน์ของประเทศสมาชิก ICAO ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในด้านความปลอดภัยการบิน การเดินอากาศ การสอบสวนอุบัติเหตุอากาศยาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยปฏิญญาฯ นี้ถือเป็นฉันทามติให้ประเทศสมาชิกได้ถือปฏิบัติและยึดเป็นแนวนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในอนาคตต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15571 | รายงานผลการผลักดันทรัพย์สิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | ยธ | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบการบังคับคดี ของกรมบังคับคดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งผลการผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบการบังคับคดี (การขายทอดตลาด การงดการบังคับคดี และการถอนการบังคับคดี) คิดเป็นเงินจำนวน ๑๒๙,๐๔๓.๙๒ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ในอัตราร้อยละ ๒๙.๐๔ ซึ่งเป็นยอดผลักดันทรัพย์สินที่สูงที่สุดในรอบ ๗ ปี โดยปัจจัยสนับสนุนที่มีผลต่อการผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบการบังคับคดีให้สามารถดำเนินการได้ในอัตราที่สูงกว่าปีที่ผ่านมา เช่น (๑) การกำหนดนโยบายเชิงรุกในการดำเนินการ (นโยบาย ๔ ร. เร่งรัดติดตามคำสั่งศาล เร่งรัดประชุมคณะกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ เร่งรัดการประกาศขายทอดตลาด และเร่งรัดการผลักดันทรัพย์สิน) (๒) การดำเนินการขายทอดตลาดในวันหยุดราชการ (วันเสาร์) และขายทอดตลาดทรัพย์สินนอกสถานที่ (๓) การนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานต่าง ๆ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15572 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | นร | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง พิกัดอัตราศุลกากร ๒๓๐๔.๐๐.๙๐ รหัสย่อย ๐๒ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค บริโภค (รหัสสถิติ 002/KGM) และรหัสย่อย ๒๙ เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ 090/KGM) เป็นคราวละ ๓ ปี คือปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเปิดตลาดสินค้ากากถั่วเหลืองมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค เมื่อนำมาเป็นวัตถุดิบหรือผลิตผลิตภัณฑ์อาหารต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐานเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การกำกับดูแลการปฏิบัติตามแนวทางการบริหารการนำเข้าอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร อันจะนำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทยตลอดห่วงโซ่อุปทาน การติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาด และความเคลื่อนไหวราคาสินค้าเกษตรดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชได้รับทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเปิดตลาดในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลและติดตามการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่จะมีการเปิดตลาดภายใต้กรอบการค้าต่าง ๆ ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งพิจารณาทบทวนมาตรการการนำเข้าและแนวทางการบริหารการนำเข้าภายใต้กรอบการค้าต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์การนำเข้าและสถานการณ์การตลาดภายในประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15573 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 1 | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๘๕,๙๐๖.๔๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๐๒,๙๗๗.๐๖ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๘,๘๘๓.๔๘ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๙,๘๓๐.๑๑ ล้านบาท จากเดิม ๑๖๑,๔๓๓.๔๕ ล้านบาท เป็น ๑๗๑,๒๖๓.๕๖ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ตามนัยข้อ ๓.๔ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบผลการติดตามการบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พร้อมทั้งมอบหมายให้ กยท. ดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยางพาราคงเหลือ และดำเนินการจำหน่ายยางพาราในระดับราคาที่เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และให้ กยท. รายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะต่อไป ๒. ให้ กยท. เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะที่เห็นควรให้ กยท. ดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยาง และดำเนินการจำหน่ายยางพาราคงค้างของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางออกสู่ตลาด โดยเร็วต่อไป โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินงานของ กยท. อย่างใกล้ชิด ๓. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้ ทั้งในส่วนของการดำเนินการตามแผนงานปกติและการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ กำกับและติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานดำเนินโครงการตามแผนและใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมของระดับหนี้สาธารณะที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศที่อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนในแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการการคลัง ซึ่งรวมถึงหนี้สาธารณะและงบประมาณในระยะปานกลางและระยะยาวที่สะท้อนกรอบการลงทุนในภาพรวมของประเทศ รวมถึงพื้นที่การคลังที่เหลือ (fiscal space) และให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อใช้ในการกำหนดกรอบแนวทางการพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล และเพื่อให้ภาพรวมของการบริหารงบประมาณและระดับหนี้สาธารณะเป็นไปด้วยความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานจัดทำภาพรวมการใช้จ่ายที่เป็นภาระผูกพันในระยะยาวโดยเฉพาะโครงการลงทุนภาครัฐ โดยให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงินในมิติต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน/การบริหารจัดการน้ำ โดยคำนึงถึงการดำเนินงานให้บรรลุตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศที่กำหนดไว้ และนำเสนอภาพรวมการใช้จ่ายดังกล่าวต่อกระทรวงการคลังเพื่อรวบรวมข้อมูลโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15574 | โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน โดยให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน ๕ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน และอนุมัติวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการฯ เป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลธนาคารออมสินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดภาระหนี้เสีย หรือหนี้สงสัยจะสูญ รวมทั้งให้ธนาคารออมสินมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดำเนินโครงการฯ และควรมีมาตรการดำเนินการบริหารสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยงที่ชัดเจน รวมถึงติดตามผลกระทบของโครงการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลรักษาคุณภาพของลูกหนี้ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการฯ ของธนาคารออมสิน ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) พิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing loan : NPL) และปัญหาการปล่อยสินเชื่อไม่เหมาะสม (moral hazard) ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณของภาครัฐเกินความจำเป็น ทั้งนี้ ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการอนุมัติสินเชื่อในโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ ๒ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการฯ ในระยะที่ ๑ เป็นลำดับแรกก่อนเพื่อความเป็นธรรม ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามการดำเนินโครงการฯ ทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสินอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้มีระบบตรวจสอบที่รัดกุมและโปร่งใส และให้พิจารณานำข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการฯ มาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลังเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงฐานข้อมูลดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสอดคล้องกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15575 | ขอความเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. 2562 และเห็นชอบในหลักการต่อร่างขอบเขตการฝึก (Concept Note) สำหรับเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. 2562 | มท | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. ๒๕๖๒ และเห็นชอบในหลักการต่อร่างขอบเขตการฝึก (Concept Note) สำหรับเสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. ๒๕๖๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบการตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉินระดับชาติตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ (การสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน) โดยเฉพาะการพัฒนาและทดสอบการประสานการรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความรู้และการฝึกซ้อมการเผชิญเหตุแผ่นดินไหวของประเทศสมาชิกอาเซียนและเอเชีย-แปซิฟิก กำหนดจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ในเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) พิจารณาหารือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อขอปรับปรุงขอบเขตและเนื้อหาสาระของการจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ให้ครอบคลุมถึงภัยที่เกิดจากสภาวการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในเขตเมืองด้วย เช่น ไฟป่า ปัญหาฝุ่นละออง น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุฯ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15576 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)] | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจกรรมที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)] มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ที่ประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ สำหรับรายรับจากการให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาและพัฒนาที่ดินและรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และภารกิจของสถาบันฯ ในการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15577 | การลงนามเอกสาร Compact between the Secretary-General of the United Nations and the Government of ... : Commitment to eliminate sexual exploitation and abuse | กต | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ประเทศไทยลงนามในร่างเอกสารความตกลงระหว่างเลขาธิการสหประชาชาติกับรัฐบาลของรัฐสมาชิก : คำมั่นในการขจัดการแสวงหาประโยชน์และการล่วงละเมิดทางเพศ (Compact between the Secretary-General of the United Nations and the Government of … : Commitment to eliminate sexual exploitation and abuse) ซึ่งสาระสำคัญของร่างเอกสารความตกลงฯ เป็นการเน้นย้ำหลักการในการดำเนินการร่วมกันขององค์การสหประชาชาติ (UN) และรัฐสมาชิก เพื่อขจัดปัญหาการแสวงหาประโยชน์และการล่วงละเมิดทางเพศ ๑.๒ มอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในเอกสารความตกลงฯ ทั้งนี้ UN กำหนดให้ผู้ได้รับมอบหมายลงนามในนามผู้แทนรัฐบาลไทย ๑.๓ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่ส่งบุคลากรเข้าร่วมภารกิจของ UN ในพื้นที่ต่าง ๆ ถือปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนร่างเอกสารความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทยนั้น หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15578 | ขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมณ รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารบูรณาการของกระทรวงยุติธรรม จำนวน 10 แห่ง | ยธ | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมดำเนินการรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารบูรณาการของกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๑๐ รายการ ตามแผนงานที่ดำเนินการจริง ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ จำนวน ๙ รายการ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ จำนวน ๑ รายการ โดยคำนวณค่าควบคุมงานก่อสร้างตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๓,๒๙๐,๘๔๙.๕๐ บาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รายการค่าควบคุมงาน ๑๐ แห่ง ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒,๙๗๒,๙๐๐ บาท โอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อดำเนินการดังกล่าว โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมกำกับ ติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างอาคารบูรณาการของกระทรวงยุติธรรมและเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามแผนงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15579 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๑ ในช่วงการรณรงค์เทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐-๓ มกราคม ๒๕๖๑ (รวม ๗ วัน) เปรียบเทียบกับปี ๒๕๖๐ พบว่า จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุลดลงร้อยละ ๑.๔๙ ผู้บาดเจ็บลดลงร้อยละ ๑.๕๕ ผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๑.๕๑ จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ จังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ เชียงราย จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ จังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี และรถที่เกิดเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ รองลงมา คือ รถปิคอัพ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มีข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวินัยจราจร การสร้างการรับรู้ของประชาชนในประเด็น “ดื่มไม่ขับ ไม่ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และการใช้อุปกรณ์นิรภัยในระหว่างการเดินทาง” ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง อย่างจริงจังและต่อเนื่อง (๒) การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เพียงพอ รวมถึงส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ประกอบการบังคับใช้กฎหมาย เช่น เครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เครื่องตรวจจับความเร็ว (๓) ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครบทุกพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้มีกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของโรงพบาบาลให้สามารถเก็บตัวอย่างเลือดผู้ขับขี่ทุกรายที่เข้ามาทำการรักษาในโรงพยาบาลได้โดยเร็ว รวมทั้งกำหนดระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับผลการดำเนินการในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ เช่น ทางด่วน ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ถนนในเขตชุมชน เป็นต้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการสัญจรในแต่ละกรณีต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตั้งป้ายกำหนดความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ ดังกล่าวให้ชัดเจนและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15580 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project จำนวน ๒๓ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๑.๕ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๔ พันล้านบาท โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดลงจากโครงการทั้งหมด เท่ากับ ๙๙,๘๗๐ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ กิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project ก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ (๑) การผลิตพลังงาน และ (๒) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น จำนวน ๓ ครั้ง โดยที่ประชุมมีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานรับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๖ วิธี พร้อมทั้งรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ จำนวน ๔ ราย และขึ้นทะเบียนโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน ๑ โครงการ ๓. การจัดการอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๑ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๗๒๘ คน และได้เข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ JCM จำนวน ๕ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการ จำนวน ๔ โครงการ
|
.....