ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 772 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 15421 - 15440 จากข้อมูลทั้งหมด 124010 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15421 | ผลการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 | วธ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๘ (The 8th Asia-Europe Culture Ministers’ Meeting-ASEM CMM 8) ระหว่างวันที่ ๑-๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงโซเฟีย สาธารณรัฐบัลแกเรีย ซึ่งการประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมให้มากขึ้น โดยคำนึงถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตระหว่างเอเชียและยุโรปภายใต้หัวข้อ “บทบาทของวัฒนธรรมในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ : แนวทางสำหรับอนาคต (The Role of Culture in International Relations : The Road Forward)” โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม พร้อมทั้งกล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับการดำเนินการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น การฉลองการครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต และการเดินสายเผยแพร่วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้นำเสนอมาตรการส่งเสริมความร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการวัฒนธรรมสัญจรสำหรับคณะทูตานุทูต และการส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการเสนอศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติหรือเสนอเป็นมรดกโลก เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการรับรองแถลงการณ์ประธาน ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป คือ มุ่งเน้นการสนับสนุนบทบาทของวัฒนธรรมในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งเสริมความเชื่อมโยงทางสังคมและวัฒนธรรมแต่ละสังคมเข้าด้วยกัน และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมต่อไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำประเด็นเกี่ยวกับพหุวัฒนธรรมมาเป็นหัวข้อหนึ่งในการเจรจาหารือร่วมกับประเทศต่าง ๆ ในการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15422 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดราชการอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 พ.ศ. .... | คค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดราชการอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพิ่มเติมให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติเป็นราชการอื่นที่ได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ และตัดกรมศุลกากรออก เนื่องจากได้ถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงานที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15423 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดระยอง พ.ศ. .... (กำหนดวันเปิดทำการศาลแขวงระยอง วันที่ 1 ตุลาคม 2561) | ศย | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดระยอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีศาลแขวงระยอง โดยมีเขตอำนาจในอำเภอทุกอำเภอ และให้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15424 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายชัยยุทธ คำคุณ) | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวนงพงา บุญเปี่ยม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๒. นายชัยยุทธ คำคุณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15425 | ความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ | ศธ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำแผนการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาดำเนินการปรับปรุง (ร่าง) แผนการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติให้มีความสมบูรณ์ โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ๒. การกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเร่งดำเนินการปรับปรุงกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เมื่อเสร็จแล้วจะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนต่อไป ๓. การปรับระดับมาตรฐานอาชีพให้สอดคล้องกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางานและกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการแล้ว โดยให้มีการวางแผนและติดตามผลการนำไปปฏิบัติและมีกระบวนการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ๔. การชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจัดพิมพ์เอกสาร “กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง” และจะจัดประชุมเชิงปฏิบัติการใน ๕ ภูมิภาค เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในระยะต่อไป ๕. การวางแผนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ ระยะที่ ๑ ในสาขาช่างอากาศยาน ให้นำแผนแม่บทการพัฒนากำลังคนด้านช่างอากาศยานเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ส่วนระยะที่ ๒ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๗ กลุ่มอาชีพ และระยะที่ ๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเพื่อคัดเลือกสาขาอาชีพเพิ่มเติมอีก ๓ กลุ่มสาขาอาชีพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15426 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการประกอบหรือดัดแปลงรถยนต์ | อก | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการประกอบหรือดัดแปลงรถยนต์ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีแผนการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการประกอบหรือดัดแปลงรถยนต์ ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถสามล้อสาธารณะ ดำเนินกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรฐานภายในประเทศและส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งานนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด ยกระดับเทคโนโลยีสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และมุ่งสู่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งในปี ๒๕๖๑ ได้รับงบประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) โครงการพัฒนาเครือข่าย Food Truck ให้มีมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ให้เกิดเครือข่ายผู้ประกอบการตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ดัดแปลง ผู้ประกอบการ และเพิ่มช่องทางการตลาดให้เติบโตอย่างยั่งยืนและขยายตัวสู่อาเซียน ซึ่งในปี ๒๕๖๑ ได้รับงบประมาณจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ ยังมีแผนการดำเนินการปกติของกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะดำเนินการในปี ๒๕๖๑ ได้แก่ โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และการส่งเสริมด้านมาตรฐานความปลอดภัยให้ผู้ประกอบการ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการเงิน การคลัง และแหล่งเงินทุน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและผู้ขับขี่รถสามล้อสาธารณะ (รถตุ๊กตุ๊ก) ปรับเปลี่ยนรถสามล้อสาธารณะในปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไปเป็นรถสามล้อที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และในระยะต่อไปให้พิจารณาขยายผลการดำเนินการไปยังรถประเภทอื่น ๆ เช่น รถนำเที่ยว ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15427 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | กก | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการ The Michelin Guide Thailand ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ร่วมกับบริษัท มิชลิน ทราเวล พาร์ทเนอร์ จำกัด จัดทำโครงการ The Michelin Guide Thailand เป็นโครงการต่อเนื่อง ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) เพื่อสร้างการรับรู้การท่องเที่ยวด้านอาหาร (Gastronomy Tourism) และอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายด้านอาหารจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ ได้เปิดตัวโครงการฯ และการแถลงข่าวเปิดตัวคู่มือแนะนำร้านอาหารและที่พักระดับโลก ฉบับกรุงเทพมหานคร ประจำปี ๒๕๖๑ หรือ “The Michelin Guide Bangkok 2018” รวมทั้งพิธีมอบรางวัล Chef Awards ซึ่งมีร้านอาหารที่ได้รับสองดาวมิชลิน ๓ ร้าน และระดับหนึ่งดาวมิชลิน ๑๔ ร้าน ซึ่งในจำนวน ๑๔ ร้าน มีเพียง ๑ ร้านที่เป็นร้านอาหารประเภทริมทาง (Street Food) คือ ร้านเจ๊ไฝ และเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ได้จัดพิธีประกาศรางวัล Chef Awards และงาน Gala Dinner ภายใต้แนวคิด “Reaching for the Stars” ภายในงานมีการจัดพื้นที่การแสดงสาธิตการจัดทำอาหารไทย “เมี่ยงกลีบบัว” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก ๑.๒ สรุปความคุ้มค่าสื่อ หรือ Media Value จากการดำเนินงานโครงการฯ ปีที่ ๑ (ปี ๒๕๖๐) สามารถสร้างการรับรู้แก่นักท่องเที่ยวผ่านสื่อมวลชนชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า ๑๖๐ ล้านคน (เป้าหมาย ๑๕๐ ล้านคน) คิดเป็นมูลค่าสื่อในประเทศประมาณ ๑๐ ล้านบาท และสื่อต่างประเทศไม่ต่ำกว่า ๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒๙๗ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ ผลประโยชน์ และความคุ้มค่าที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยให้มีข้อมูลที่ครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว การเข้ารับบริการในภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร ที่พัก และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ในลักษณะการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15428 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 3 (12 กันยายน 2559-12 กันยายน 2560) | นร | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับรูปแบบการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กขร. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ มีมติรับทราบร่างรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) และให้นำกราบเรียนนายกรัฐมนตรี และเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ รับทราบรายงานฯ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานฯ เพื่อเผยแพร่ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. กขร. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ มีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับรูปแบบการรจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) จากการจัดพิมพ์เอกสารเป็นรูปเล่มเพื่อเผยแพร่ เป็นการจัดทำในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-booK) เพื่อเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15429 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 3 ปี 6 เดือน | ดศ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ ๓ ปี ๖ เดือน ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติได้เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ ๒-๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ จำนวน ๕,๘๐๐ ราย โดยผลการสำรวจความคิดเห็นฯ ด้านการติดตามข้อมูลข่าวสาร/รายงานของรัฐบาล ประชาชนมากกว่าร้อยละ ๘๐ ติดตามข้อมูลข่าวสาร/รายงานของรัฐบาล ด้านการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ ๙๐ ทราบเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล ด้านความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดำเนินงานของรัฐบาล ร้อยละ ๖๕.๘ ระบุว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด และความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล ประชาชนมากกว่าร้อยละ ๕๐ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ในส่วนของความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ร้อยละ ๖๓.๘ มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด การเพิ่มเบี้ยยังชีพอีก ๑๐๐ บาทต่อเดือน ให้แก่ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีรายได้น้อยในโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนร้อยละ ๙๔.๓ เห็นด้วย และเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน ๕ อันดับแรก ได้แก่ การควบคุมสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้มีราคาแพง การแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ำ การแก้ปัญหายาเสพติด การแก้ปัญหาหนี้สิน และการปรับขึ้นค่าแรงให้เพียงพอกับค่าครองชีพ รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ (๑) ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ประชาชนรับทราบน้อย (๒) เร่งรัดและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาตามความต้องการของประชาชนอย่างเร่งด่วน มุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดกฎหมาย และติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับวิธีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล โดยในประเด็นคำถามควรมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาล ให้ครอบคลุมถึงพื้นที่ กิจกรรม ตลอดจนจำแนกตามระดับรายได้ของประชาชน เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลในลักษณะการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15430 | ร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. .... | กห | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น “สำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ” โดยเป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะซึ่งไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์การร่วมทุนกับสำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ การกำหนดแนวทางป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล และการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง ขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน) และให้กระทรวงกลาโหมเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะต่อไป รวมทั้งการใช้จ่ายเงินและการกู้ยืมเงินของสำนักงานเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15431 | รายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช. ประจำปี 2560 | กสทช | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำปี ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๑. ผลงานที่สำคัญของ กสทช. ในปี ๒๕๖๐ ๒. แผนการดำเนินงานและงบประมาณรายจ่ายในปี ๒๕๖๑ ๓. งบการเงินของสำนักงาน กสทช. สำหรับงวดปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ๔. ปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ที่มีความสำคัญต่อประชาชน ๕. คุณภาพและอัตราค่าบริการโทรคมนาคมประเภทต่าง ๆ ๖. ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภค กรณีกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ๗. ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ๘. รายงานสภาพตลาดและการแข่งขันของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ในปี ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15432 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงิน โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๑ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๓.๗ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีในทุกตลาดส่งออกสำคัญและในเกือบทุกหมวดสินค้า และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูง ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๖ ใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกของปีซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๗ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๑ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๐ ที่อัตราร้อยละ ๓.๙ จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่องตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัวชัดเจน ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ โดยในการตัดสินนโยบายอัตราดอกเบี้ย กนง. ได้คำนึงถึงผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-offs) ทั้งในด้านระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินภายใต้ภาระอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และเห็นว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันมีความเหมาะสม ๓. การติดตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยแม้ว่ามีทิศทางขยายตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง แต่การส่งผ่านผลดีจากการขยายดังกล่าวไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนและมีแนวโน้มใช้ระยะเวลานานกว่าในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยประเด็นที่ กนง. ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคุณภาพสินเชื่อในบางธุรกิจที่ยังด้อยลงแม้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรและธุรกิจ SMEs
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15433 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๔.๑ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนภาครัฐหดตัวเนื่องจากการลงทุนบางส่วนยังเผชิญกับข้อกำจัดด้านประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของบางหน่วยงาน ทำให้ล่าช้าออกไปจากแผน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนด้านเสถียรภาพต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากเห็นว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังเอื้อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายเพียงพอและสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ มีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ๒.๓ ด้านนโยบายระบบชำระเงิน ธปท. ได้ส่งเสริมและพัฒนาบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการระบบพร้อมเพย์ และผลักดันให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการใช้มาตฐาน Quick Response Code (QR Code) เพื่อการชำระเงินและการโอนเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค เพิ่มช่องทางการรับเงินของภาคธุรกิจที่สะดวก และต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมการเชื่อมโยงระบบหรือบริการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยการผลักดันให้มีกฎระเบียบที่รองรับและเอื้อต่อการชำระเงินข้ามพรมแดน และกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15434 | สถานการณ์ด้านแรงงานเดือนมกราคม 2561 และประมาณการไตรมาส 1 ปี 2561 | รง | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์ด้านแรงงานเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การจ้างงาน ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อัตราการจ้างงานขยายตัวร้อยละ ๓.๑๖ (YoY) และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๓.๑๓ (YoY) เนื่องจากภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวลง และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล โดยประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ อัตราการจ้างงานจะขยายตัวร้อยละ ๒.๑๗ (YoY) และแนวโน้มการจ้างงานในภาพรวมปี ๒๕๖๑ อยู่ในภาวะปกติ ๒. สถานการณ์การว่างงาน ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๒๖ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๙๖ เนื่องจากผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและอยู่ระหว่างการรองานมีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึงในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานเพิ่มขึ้น โดยประมาณการไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๑ จะมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๐.๘๙ ๓. สถานการณ์การเลิกจ้าง ณ เดือนมกราคม ๒๕๖๑ อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา ๓๓ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๒ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๑ เนื่องจากในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานเพิ่มขึ้น ๔. ประเด็นด้านแรงงานที่น่าสนใจ คือ ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาผลิตภาพแรงงานต่ำ เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น แรงงานมีความชำนาญหรือทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลก เป็นต้น โดยกระทรวงแรงงานได้จัดทำแผนแม่บทการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและแผนปฏิบัติการการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) เพื่อใช้เป็นกรอบในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้านผลิตภาพแรงงาน และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย ๔.๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15435 | ร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและครอบคลุมการทำธุรกรรมที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการพิจารณาข้อกฎหมายที่อาจมีความเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายฉบับอื่น ๆ การนำแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาปรับใช้ เช่น การกำหนดให้ภาคธุรกิจที่ทำสัญญาต่างตอบแทนต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาไว้ในเอกสารชี้ชวนหรือสัญญา หรืออาจดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น การประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา การคุ้มครองเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์ การแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำในบางมาตรา และการแก้ไขประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15436 | ขอความเห็นชอบโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ปี 2561 ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) | พม | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ปี ๒๕๖๑ ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ดำเนินการโดยกรมประชาสัมพันธ์ จำนวน ๑๐ โครงการ รวม ๑๙๒ หน่วย วงเงินงบประมาณ ๑๕๓.๙๙๓๒ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่อยู่อาศัยให้แก่ข้าราชการรายได้น้อยถึงปานกลางของกรมประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) และส่วนภูมิภาค [๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา (บ้านสานฝันปันน้ำใจ) จังหวัดลำปาง และจังหวัดตาก] ได้มีที่อยู่อาศัยและได้มาตรฐาน ใกล้สถานที่ทำงาน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กรมประชาสัมพันธ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละระดับ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กรมประชาสัมพันธ์พิจารณาแนวทางการจัดรัฐสวัสดิการอย่างเหมาะสม โดยให้กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเข้าพักอาศัยในโครงการให้มีความชัดเจน และให้ความสำคัญกับกลุ่มข้าราชการผู้มีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก รวมถึงจัดทำมาตรการดำเนินการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น การจัดระเบียบการอยู่อาศัย การเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับใช้ในการบำรุงรักษาอาคารและสภาพแวดล้อมทั่วไป และกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการอยู่อาศัยของโครงการ เช่น เมื่อข้าราชการมีระดับรายได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดต้องออกจากโครงการและไปใช้สิทธิอื่น ตลอดจนพิจารณารูปแบบการก่อสร้างและขนาดการลงทุนที่เหมาะสมและเป็นไปตามบัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้างของสำนักงบประมาณ เพื่อให้การใช้งบประมาณของภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15437 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 2 | มท | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเปิดตลาดประชารัฐและการจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้า การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว การประเมินโครงการตลาดประชารัฐเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ และก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15438 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ | นร11 | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วยความก้าวหน้าการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ความก้าวหน้าการดำเนินการปฏิรูปประเทศ การติดตามประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ การสร้างการรับรู้และขยายหุ้นส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ และการดำเนินการในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ ๒. มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ คณะ เพื่อพิจารณาจัดลำดับกิจกรรมที่สำคัญและเร่งด่วนในประเด็นการปฏิรูปด้านต่าง ๆ และนำกิจกรรมปฏิรูปดังกล่าวมาขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในขั้นตอนการดำเนินการให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. แผนการปฏิรูปประเทศ พระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๗ บัญญัติให้ระบุวงเงินที่คาดว่าจะใช้ในการดำเนินการ ตลอดจนประมาณการของแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งปรากฏว่าแผนแต่ละด้านระบุวงเงินไว้สูงมากและกำหนดให้ตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่เป็นอันมาก โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมิได้พิจารณาความเร่งด่วนและความพร้อมทางด้านบุคลากร และการเงินการคลังของประเทศตามความในวรรคสอง จึงให้ผู้เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทเสนอมายังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๔. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กับสาธารณชนเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการตามประเด็นการปฏิรูปภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศให้ถูกต้อง ทั่วถึง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันด้วย ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดทำระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15439 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย การส่งออกของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวสูงสุดในรอบ ๗ ปี ที่ร้อยละ ๑๐.๓ (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า ๒๐,๓๖๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกกระจายสู่ตลาดศักยภาพและตลาดใหม่อื่น ๆ ได้มากขึ้น ด้านการนำเข้า คิดเป็นมูลค่า ๑๙,๒๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๖ (YoY) จากการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ เช่น สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน วัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการผลิตในประเทศ และสินค้าอุปโภค ด้านการส่งออกรายสินค้าและรายตลาด โดยสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๖ ที่ร้อยละ ๐.๓ (YoY) โดยเฉพาะข้าว น้ำมันปาล์ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป รวมทั้งการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๒ ที่ร้อยละ ๑๑.๕ (YoY) จากการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ และน้ำมันสำเร็จรูป ขณะที่การส่งออกสินค้าบางชนิดหดตัว เช่น ทองคำ และแผงวงจรไฟฟ้า ด้านการส่งออกรายตลาดยังคงขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน และตะวันออกกลาง ๒. แนวโน้มการส่งออกปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกของไทย และทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามอุปสงค์โลก สำหรับสินค้าสำคัญที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15440 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2561 | มท | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย หัวข้อหลักในการรณรงค์ใช้ชื่อว่า “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” ช่วงเวลาการดำเนินการระหว่างวันที่ “๑๑ เมษายน ๒๕๖๑-๑๗ เมษายน ๒๕๖๑” และมาตรการสำคัญ ได้แก่ (๑) มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน (๒) มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม (๓) มาตรการการลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ (๔) มาตรการดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว (๕) มาตรการความปลอดภัยทางน้ำ และ (๖) มาตรการด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้ครบถ้วนในทุกมิติ เช่น สาเหตุหรือปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุ สถิติการเกิดอุบัติเหตุ ผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เป็นต้น และจัดทำเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการวางแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวมของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
.....